![]() |
![]() |
รจนา ณ เบรุต![]() |
...โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน คำว่า "ความสงบ (peace)" เป็นศัพท์ที่มีราคาแพงแสนแพงในยุคนี้ หาได้ยากยิ่งกว่าขุดทองขุดเพชรเสียอีก แล้วบ่อยครั้ง ต้องแลกด้วยเลือด เนื้อ น้ำตา และอาวุธ...
ตอน : ควันหลง ไฟสงคราม
เพื่อน ๆ ที่รักในที่สุดก็ได้ฤกษ์เขียนสักที หลังจากผัดผ่อนกับตัวเอง ข้ออ้างมากมายผ่านไปแล้ว
ชีวิตใหม่ที่เลบานอนเป็นอย่างไรบ้าง ฉันย้ายมาได้ห้าเดือนแล้ว ยังไม่หายเหนื่อยเลย
ที่นี่คือโลกอาหรับ คริสเตียน ผสมมุสลิม และกลุ่มศาสนาอีกหลายรูปแบบ และ กล่าวกันว่า แม้จะอยู่ในพื้นที่อ่อนไหวของโลก ก็ยังถือเป็นแดนที่สงบที่สุดในโลกอาหรับยุคนี้
แต่ว่า...... โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน คำว่า "ความสงบ (peace)" เป็นศัพท์ที่มีราคาแพงแสนแพงในยุคนี้ หาได้ยากยิ่งกว่าขุดทองขุดเพชรเสียอีก แล้วบ่อยครั้ง ต้องแลกด้วยเลือด เนื้อ น้ำตา และอาวุธ
เบรุตคือเมืองหลวงที่ผ่านความบอบช้ำจากสงครามกลางเมือง ที่ยาวนานถึง 15 ปี (จากปี 1975 จนจบในปี 1990 แล้วมาปะทุเล็ก ๆ ในปี 2008) ปัจจุบันแล้วก็ยังมีรอยแผลเป็นให้เห็นอยู่ทั่วตัว และมีคุกรุ่นเป็นระยะ ๆ โดยมีเชื้อไฟแห่งความโกรธแค้นจากแผ่นดินซีเรียข้างบ้านช่วยพัดโหม
ตอนที่รู้ว่าจะย้ายมา เพื่อนฝูงมีปฏิกิริยาต่างกันไป ส่วนใหญ่คนทำงานยูเอ็นด้วยกันจะตื่นเต้น เห็นว่าดี เห็นว่าเบรุตเป็นเมืองน่าอยู่ มีอะไรให้ค้นคว้ามากมาย
ส่วนคนที่ไม่รู้จัก และยังจำภาพร้าย ๆ ฝังใจก็จะอดเป็นห่วงฉันไม่ได้
ที่จริงมันก็น่าเป็นห่วงเมื่อเทียบกับความสงบที่แสนสะอาดปราศจากเชื้อในเจนี วา ตอนฉันย้ายมาใหม่ ๆ ทางยูเอ็นกำหนดเกณฑ์ความ(ไม่)ปลอดภัยของเบรุตอยู่ในระดับ 3 กล่าวคือ ให้ระวังตัว จะไปไหนไกล ๆ ต้องขออนุญาตก่อน ห้ามไปในบางพื้นที่ (เหนือสุดติดซีเรีย และใต้สุดติดอิสราเอล) หากเป็นระดับ 0 ก็คือ สงบเรียบร้อย ไม่มีเหตุ (แบบสวิส)
เมื่อย้ายมา ฉันคิดว่าที่น่าห่วงที่สุด คือ ความปลอดภัยบนท้องถนน ที่ดูเหมือนว่า รถน่าจะชนกันทุกวัน คนข้ามถนนน่าจะได้รับบาดเจ็บกันบ่อย ๆ จากฝีมือขับขี่ที่ไม่เหมือนใครในโลก (จะแพ้ก็แต่บังคลาเทศกระมัง) แต่เอาเข้าจริง คนเลบานีสรู้จักประนีประนอมบนท้องถนนเป็นอย่างดี อยู่มาสองเดือน เพิ่งเห็นรถชนท้ายกันจัง ๆ หนึ่งครั้ง แต่เอาไว้ฉันจะมาเล่าเรื่องมัน ๆ หลังพวงมาลัยให้ฟัง
เราก็คิดว่า เรานี้รักสงบ พอวันอาทิตย์ก่อน มีเหตุการณ์ทหารยิงนักเทศน์ที่ทริโปลี (ตอนเหนือ ติดชายแดนซีเรีย ห่างจากเบรุตประมาณ 80 กม) สร้างความปั่นปวน เจ็บแค้นกับญาติพี่น้อง มีเผายางกลางทางด่วน ปิดกั้นถนนประท้วงใกล้สนามบิน ยิงกันตาย ระเบิดรถยนต์ ยิงต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ ลามมาถึงยิงกันในเบรุต ไกลจากบ้านฉันไม่เท่าไร
จากนั้นเราก็จะได้รับข้อความจากยูเอ็นเป็นระยะ ๆ ว่าเหตุการณ์ไปถึงไหนแล้ว ทั้งทางเอสเอ็มเอส และทางอีเมล์ ส่วนใหญ่ฉันจะได้ยินแต่เผายาง กั้นถนนสายหลัก ๆ ปิดทางไปสนามบินนี่ยอดฮิตเลย
ทางยูเอ็นเลยยกระดับความ(ไม่)ปลอดภัยขึ้น เป็นระดับ 4 (สูงสุดคือ ระดับ 6 ต้องอพยพออกนอกประเทศ) เรียกว่า เราอยู่ในช่วงไม่สงบ ตึงเครียดทางการเมือง ให้เจ้าหน้าที่ไปไหนมาไหนด้วยความระวัง และต้องเตรียมพร้อม
ถ้าอยากรู้ว่า เจ้าหน้าที่ยูเอ็นอย่างฉันต้องปฏิบัติตัวอย่างไรในช่วงภาวะตึงเครียด ก็ติดตามรายการข้างล่างนี้ได้เลย
- ไม่ไปไหนมาไหนโดยไม่จำเป็น และไม่ออกนอกบ้านในยามวิกาล
- ปฏิบัติตามคำแนะนำด้านความปลอดภัยโดยเคร่งครัด โดยไม่ทักท้วงหรือสงสัย
- ต้องถืออุปกรณ์สื่อสารสองชนิดติดตัวตลอด นั่นคือ โทรศัพท์มือถือ และวิทยุวอล์คกี้ทอล์กี้ (ที่ทางสำนักงานให้เราไว้ใช้)
- รายงานเหตุการณ์ที่คุกคามความปลอดภัยแก่หน่วยรับผิดชอบทราบโดยทันที
- พกพาชาร์ตสื่อสารล่าสุดของสำนักงานติดตัว (มีเบอร์โทร และรหัสวิทยุเรียกตัว)
- ทดสอบการสื่อสารทันทีที่ได้รับแจ้ง โดยให้โทรหรือวิทยุไปหาคนที่อยู่ด้านล่างของผังสื่อสาร หากติดต่อไม่ได้ ให้แจ้งหน่วยกลางทันที
- ตรวจสอบสัญญาณวิทยุทุกเดือน
- ไม่ออกนอกพื้นที่เกินรัศมี 20 กิโลโดยไม่แจ้งให้หน่วยเหนือทราบ
ฟังแล้ว เหมือนปฏิบัติการซ้อมรบไหม ใครที่เคยไปทำงานในพื้นที่เสี่ยงมาก่อนคงจะเข้าใจดี
พวกเราทุกคนมีมือถือ และต้องให้เบอร์ทุกเบอร์ไว้กับสำนักงาน รวมทั้งเบอร์บ้าน เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้น เขาจะได้ตามตัวเราถูก เราจะมีบัตรแข็งเคลือบพลาสติก ขนาดพกพาได้ ที่มีชื่อเพื่อนร่วมงานทุกคน พร้อมรหัสวิทยุและโทรศัพท์ เราเก็บไว้ติดตัวตลอด ทางยูเอ็นจะส่งข้อความเข้ามือถือของเราเป็นระยะ ๆ ในช่วงมีเหตุการณ์และบอกว่า ให้เราระวัง อย่าเข้าไปในเขตไหนบ้าง มีอะไรเกิดขึ้นที่ไหนและอย่างไร
ในทางส่วนตัวแล้ว เรามีข้อพึงปฏิบัติมากมาย เช่น ให้เตรียมกระเป๋าเดินทางพร้อมติดตัวไปกับเราทันทีที่เหตุรุนแรงเกินยับยั้ง ในกระเป๋าให้มีเสื้อผ้า ของใช้ ไฟฉาย ยาประจำตัว เอกสารสำคัญ เงินสด ฯลฯ พร้อมไว้ (แหะ แหะ ฉันยังไม่ได้จัดเลย เข้าข่ายไม่เห็นโลงไม่หลั่งน้ำตา)
อย่างต่อไปคือ ให้ตุนอาหารและน้ำดื่มไว้ให้เพียงพอ ในกรณีที่ออกจากบ้านไม่ได้ (นึกถึงตอนเสื้อแดงเผาเมือง และคนกรุงเทพฯที่ออกนอกบ้านไม่ได้ขึ้นมาจับใจ) โถ ตอนเหตุการณ์มันแย่ ๆ ในวันแรก ใครจะอยากออกไปซื้อของตามห้าง เพราะนั่นคือเป้าหมายอย่างดีเลย สำหรับนักวางระเบิดทั้งหลาย
อย่างสุดท้ายและไม่ท้ายสุด ก็คือ ให้หูไวตาไวเข้าไว้ เห็นใครเขารวมกลุ่มกันก็ไปให้ห่าง ๆ เลย อย่าไปวอนหาลูกหลง อย่านั่งรถแทกซี่ ห้ามคุยเรื่องการเมืองในที่สาธารณะ (เด๋วจะไปแสลงใจใครเข้า) ขับรถให้ล็อคประตูทุกด้าน (เดือดร้อนเจ้าประคุณสามีฉันชอบขับรถเปิดประทุน)
ที่จริง ก่อนที่จะย้ายมา ฉันก็ต้องทำชุดแบบฝึกหัดความปลอดภัยเบื้องต้น และฉบับก้าวหน้าทางอินเตอร์เน็ต เราต้องอ่านคำแนะนำ ดูภาพ อ่านรหัส ตอบคำถาม (ส่วนใหญ่ใช้สามัญสำนึก) หัดดูดวงดาว (อันนี้ฉันตกแน่นอน) หัดดูแผนที่ ดูเส้นทางน้ำ ดูตะวัน ฯลฯ โชคดีว่า สอบผ่าน สามารถพิมพ์ประกาศนียบัตรออกมาได้ หลังจากคร่ำเคร่งอยู่สองสามชั่วโมงที่หน้าจอ
การจะทำเรื่องเดินทางเข้าประเทศก็ต้องขอเคลียร์กับหน่วยความปลอดภัยก่อน จึงจะเดินทางได้
พอย้ายมาแล้ว จึงเห็นคุณของการทำแบบฝึกหัดนั้น เพราะมันทำให้เราตื่นตัวขึ้น และเตรียมพร้อมได้ดีขึ้น
ถามว่า กลัวไหมในช่วงนี้ วันแรกกังวลนิดหน่อย ตอนรู้ว่าเขาเริ่มยิงกันในเมือง ตอนนี้ก็ชินแล้ว แต่ก็ไม่พยายามออกนอกบ้านตอนกลางคืนเลย รวมทั้งคุณสามีมาป่วยเป็นหวัดด้วย ก็เลยเป็นเหตุอันสมควรที่จะไม่ออกไปไหน ถูกลมถูกแดดแล้วคุณพี่ท่านอาการจะทรุด
อ้อ ต้องเพิ่มเติมว่า ที่เลบานอนนี้ เป็นประเทศเล็กนิดเดียว แต่มีหน่วยงานสหประชาชาติถึง 20 กว่าหน่วยใหญ่ ๆ มีเรือตรวจการณ์ป้ายยูเอ็นหรา นาน ๆ ก็เห็นรถหุ้มเกราะมิดชิด หรือรถขับเคลื่อนสี่ล้อแบบล้อยักษ์ผ่านหน้าไป เห็นแล้วก็แหยง ๆ
ช่วงอีสเตอร์ เรามีแขกมาเยี่ยม เราเลยขับรถไปเที่ยวเมืองโบราณที่บัลเบ็ค ซึ่งอยู่ในพื้นที่สีชมพู ไปได้ แต่ต้องไม่ไปเกินเขตที่กำหนด และไม่อยู่ค้างคืน ต้องไม่ออกนอกเส้นทาง ต้องไม่แยกกลุ่ม สารพัด และต้องขออนุญาตก่อนไปหลายวัน ต้องแจ้งทะเบียนและยี่ห้อรถยนต์ ชื่อคนเดินทางทั้งหมด เวลาเดินทางออกจากบ้าน เวลาไปถึง เวลากลับ เหมือนเด็ก ๆ รายงานตัวกับผู้ปกครอง พอก่อนออกก็ต้องโทรไปแจ้ง เขาจะได้รู้ว่า เราอยู่บนเส้นทางแล้ว พอไปถึงก็โทรบอก เที่ยวเสร็จก็บอกว่า จะกลับแล้วนะ พอถึงบ้านก็แจ้งว่า ถึงแล้ว ปลอดภัยดี
การไปเที่ยวก็สะดวกสบายดี เหมือนนักท่องเที่ยวทั่วไป บัลเบคเป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่น่าอัศจรรย์เหมือนเราหลงยุคย้อนอดีต ได้ส่งภาพไปให้เพื่อน ๆ หลายคนดูแล้ว ขาไปเราไปทางภูเขา ขากลับ เรามาทางด่วน ซึ่งไม่ด่วน เพราะมีก่อสร้าง รถติดสบัด ทำเอาคุณสามีเหนื่อยหมดแรง วันรุ่งขึ้นไปเที่ยวไม่ไหว
ผู้อำนวนการภูมิภาคของที่นี่เป็นสตรีชาวจอร์แดนที่เข้มแข็ง เฉียบคม เด็ดขาด และเป็นคนงามคนหนึ่ง เธอเองเคยประจำอยู่เมืองแบกแดด แล้วผ่านวีรกรรมสงคราม ถูกระเบิดกระเด็นกระดอนไกล ไม่ทราบว่าได้รับบาดเจ็บแค่ไหน แต่รอดชีวิตแน่นอน อาการก็ดูครบสามสิบสอง ก็กลายเป็นเหมือนวีรสตรี เลยมีชื่อเสียงมาแต่บัดนั้น
ตอนที่เกิดเหตุยิงกันในเบรุต เธอเรียกประชุมทุกคนทันทีและขอให้ทำตามระเบียบความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด ห้ามทักท้วงหรือสงสัย เธอบอกว่า หากใครไม่รักชีวิต ก็ขอให้สังวรณ์ว่า ความประมาทของตัวเองอาจทำให้คนอื่นและหน่วยงานเดือดร้อน ถือว่าผิดวินัย
ที่พักของฉันอยู่ติดถนนใหญ่ ริมทะเล คนเดินออกกำลังกายทั้งเช้า ทั้งเย็น คืนวันยิงกัน ถนนเงียบ คนหายตัวไปหมด รถวัยรุ่นที่ชอบมาเปิดเพลงกล่อมไปสามบ้านแปดบ้านก็กลับไปกบดานนิ่ง (พวกเราดีใจเป็นอย่างยิ่ง) วันรุ่งขึ้น ฉันไม่กล้าออกไปเดินริมทะเล และสังเกตว่า ไม่ค่อยมีคนเหมือนกัน แต่ผ่านไปสองสามวัน ทุกอย่างก็เหมือนเดิม ตอนนี้บทเพลงมอเตอร์ไซค์ยกล้อ ทำเสียงกรีดถนนให้คนสรรเสริญก็บรรเลงตามปกติ คุณสามีบอกว่า เมื่อกี้ได้ยินเสียงปืนไม่ไกลจากบ้านเรา แต่สุดท้ายก็สรุปไม่ได้ว่า มีอะไรหรือเปล่า
ห้องเราอยู่ชั้นสาม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยมาตรวจ แล้วสั่งให้ติดฟิล์มกันกระจกแตกกระจาย เพราะอยู่ในวิถีระเบิดกระสุน
ฉันก็ได้แต่ภาวนาว่า พระจะคุ้มครองเราตลอดไป ไม่ให้ต้องพบกับความรุนแรงชนิดต้องหนีหัวซุกหัวซุน
แต่ชีวิต จะเอาแน่อะไร เพิ่งอ่านข่าวสวิตฯบอกว่า การท่องเที่ยวเจนีวากำลังเดือดร้อนเพราะประเทศจีนกับประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นต้นทางนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ เพิ่งจัดอันดับให้เจนีวาเป็นเมืองไม่น่าเที่ยวอันดับที่สองจากสุดท้าย (ข่าวไม่ได้บอกว่า รายการนี้มีกี่ประเทศ) และออกคำแนะนำไม่ให้นักท่องเที่ยวมาเจนีวาอีกต่อไป เพราะเรื่องลักเล็กขโมยน้อย จี้ ล้วงหรือกระชากกระเป๋านักท่องเที่ยวซึ่งเกิดขึ้นถี่ขึ้นเรื่อย ๆ และการคุกคามอื่น ๆ ที่ทำให้เป้าหมายปลายทางอันเหมือนฝันและราคาแสนแพง กลายเป็นฝันร้ายไปสำหรับหลายคน แม้จะเป็นเรื่องดูเหมือนเล็ก แต่เพราะสวิตฯได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองงาม สงบ สะอาดปราศจากเชื้อ และปลอดภัยที่สุดของโลกมายั่งยืนนาน รวมทั้งการมาเที่ยวก็ต้องใช้จ่ายเงินมาก ค่าโรงแรม ค่ากินอยู่ ค่ารถราแพงหูฉี่ ของฝากก็ล้วนแต่ของหรูหราราคาแพง คงทำให้ความรู้สึกที่จะลงทุนมาเที่ยวเมื่อแลกกับความสบายใจ ไม่คุ้มกัน ที่จริงเจนีวาก็เรียบร้อยดีอยู่นาน จนสามสี่ปีที่ผ่านมาเริ่มแย่ขึ้นเรื่อย ๆ จากการเปิดชายแดนให้กลุ่มประเทศยุโรปตะวันออกเข้า-ออกได้เสรีมากขึ้น ผลคือคนยิปซีล้นเมือง แต่ก่อนไม่เคยมีเดี๋ยวนี้ก็มีคนมาขอทานตามสี่แยกไฟแดง มาเซ้าซี้เช็ดกระจกรถ (ทำให้หลงนึกไปว่า อยู่กรุงเทพฯ) มีเพิงอนาถาใต้สะพานบ้าง ซุกซ่อนในป่าชานเมืองบ้าง แอบไปอยู่ในตึกร้างบ้าง ก็ปวดหัวตำรวจท้องที่ ซึ่งบอกว่า จับไปก็เท่านั้น ล้นคุกเปล่า ๆ ก็เลยปล่อย ๆ ปราบ ๆ กันไป จนฉันคิดว่า นี่เราย้ายมาอยู่ประเทศสารขัณฑ์แห่งใหม่หรือไร แต่จะโทษคนยิปซีย้ายถิ่นเสียทั้งหมดก็คงไม่ได้ อาชญากรเล็ก อาชญากรน้อยที่เคยมีอยู่ก็คงพลอยเหิมเกริมไปด้วย
เริ่มด้วยเบรุตก็จบด้วยเจนีวาสำหรับตอนปฐมฤกษ์แต่เพียงเท่านี้
ฉันเอง