![]() |
![]() |
ทิดอินทร์![]() |
ตอน : บทที่ ๑๓
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
"บนเรือท่านเหลือกำลังคนเท่าใด"
เจ้าขุนหาญตะโกนถามขุนฟ้าผ่าซึ่งกำลังบัญชาการอยู่บนเรืออีกลำ
"สิบแปดคน เรือท่านเล่า..?"
"สิบหกคน รวมเจ้านางจันทร์และหญิงรับใช้ทั้งสามนาง ส่วนทารกน้อยของขุนเคนนั้นยังดีอยู่"
เจ้าขุนหาญตอบพลางครุ่นคิดหาวิธีแก้ไขสถานการณ์
ด้วยเพียงชั่วพริบตานั้น เจ้าขุนหาญกลับต้องสูญเสียบ่าวไพร่และสหายสนิทไปกว่าเจ็ดสิบหกคนในคราเดียว นับว่าเป็นเรื่องที่สร้างความคลั่งแค้นและสะเทือนใจเป็นอย่างยิ่ง แต่จากประสบการณ์ที่หล่อหลอมเจ้าขุนหาญมา สอนให้ต้องเร่งสลัดเรื่องราวปลีกย่อยต่างๆทิ้งก่อน และพาผู้คนที่เหลือชีวิตหลบรอดจากภยันตรายไปให้มากที่สุด
"ลำน้ำสายนี้คดเคี้ยวยิ่งนัก หากเราอาศัยการแจวเรือในการหลบหนี หากพวกเหล่าทหารชาวจามปาพากันควบม้าไล่ติดตาม ไม่นานก็คงจะติดตามไปดักพวกเราได้ทันไม่คุ้งน้ำใดก็คุ้งน้ำหนึ่งข้างหน้านี้"
เจ้าขุนหาญตะโกนบอกกล่าว พลางเงยหน้าขึ้นเพื่อมองดูท้องฟ้าที่กำลังถูกความมืดของยามราตรีเข้ากลืนกิน ฉับพลันนั้นจึงบังเกิดอุบายที่จะพาพวกที่เหลือหนีเอาตัวรอดขึ้นมาได้
"เราต้องหาวิธีถ่วงเวลาพวกมันเอาให้ไว้นานที่สุด ขุนฟ้าผ่า ทางน้ำเบื้องหน้านั้นคดเคี้ยวเป็นคุ้งน้ำทอดตัววกกลับดั่งรูปเดือนเส้ยว เมื่อถึงจุดนั้นขอให้ท่านจงนำเรือขึ้นเกยหาดไว้ให้มันเห็นเป็นที่สะดุดตา แล้วจึงค่อยแยกย้ายกัน และแสร้งทิ้งร่องรอยทำทีเป็นหลบหนีไปคนละทิศละทาง จากนั้นค่อยมุ่งหน้าไปยังที่ท่าตะเคียนทอง เราจะจอดเรือรอรับพวกท่านอยู่ที่นั่น"
เจ้าขุนหาญตะโกนร้องสั่งด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด เหล่าองครักษ์ที่เหลือรอดชีวิต ต่างก็คุ้นเคยกับการคุ้มกันสินค้าขึ้นล่องในเส้นทางนี้มาหลายปี ทำให้ทั้งหมดล้วนมีความชำนาญในพื้นที่เป็นอย่างดี ต่างจึงรีบพยักหน้ารับคำสั่งโดยพลัน
"ลำน้ำป่าสักในช่วงเส้นทางนี้ถึงแม้นจะเชี่ยวกราก แต่ก็มีความกว้างไม่ถึงยี่สิบวา และหากพวกเหล่าทหารจามปาติดตามมาได้ทัน แล้วโจมตีด้วยลูกธนู พวกเราคงต้องจบสิ้นกัน ดังนั้นขอให้ทุกท่านจงรีบเร่งอย่าได้ชักช้าเด็ดขาด"
เจ้าขุนหาญกำชับอีกครั้ง ทุกคนซึ่งรู้สถานการณ์เป็นอย่างดีอยู่แล้ว จึงรีบผงกศีรษะรับคำสั่งอีกครา
เมื่อเรือแล่นมาจนถึงคุ้งน้ำตามที่วางแผนกันไว้ ผู้คนทั้งหมดในสองลำเรือจึงแลเห็นชายฝั่งตลิ่งสูงชันระยะเกือบสองวา ล้วนอึมครึมเป็นดงต้นอ้อต้นพงที่รกทึบ ทันใดนั้นเจ้าขุนหาญจึงคัดท้ายเรือให้แล่นเลยออกไป แล้วปล่อยให้เรือขุนฟ้าผ่าแล่นพุ่งเข้าชนใส่ริมตลิ่ง แล้วเหล่าองครักษ์ทั้งสิบแปดคนซึ่งต่างเตรียมพร้อมอยู่ก่อนแล้ว พลันเมื่อหัวเรือกระแทกจึงพากันกระโจนขึ้นหาชายฝั่งโดยทันที
ฉับพลันนั้น เจ้าขุนหาญก็กลับต้องสะดุ้งเฮือก เมื่อได้ยินเสียงร้องอย่างโหยหวนของเหล่าองครักษ์ที่เพิ่งกระโจนขึ้นฝั่ง จึงเหลียวหันกลับไปมองโดยทันที จึงทันได้เห็นขุนฟ้าผ่าและขุนช่วง โผกระโดดกลับมายังลำเรืออย่างแตกตื่นลนลาน แต่กลับยังช้ากว่าลูกธนูนับสิบดอก ที่พุ่งเข้าปักร่างของคนทั้งสองอย่างแม่นยำ
ทันใดนั้น ขุนฟ้าผ่าพลันคว่ำหน้านอนทอดร่างแน่นิ่งไม่ไหวติงที่ริมตลิ่ง ขณะที่ขุนช่วงกลับร่วงหล่นลงในลำน้ำ ครั้นเมื่อร่างนั้นจมดิ่งลงในสายน้ำ โลหิตก็พลันหลั่งไหลย้อมผืนน้ำอันเชี่ยวกราก จนกลายเป็นสีแดงฉานไปทั่วทั้งคุ้งน้ำ
ถึงยามนี้ เจ้านางจันทร์และเหล่าหญิงรับใช้ก็ต่างมิอาจที่จะกุมสติกันไว้ได้อีกแล้ว จึงพากันแผดเสียงกรีดร้องอย่างโหยหวนด้วยความหวาดกลัว เมื่อเจ้าขุนหาญได้เห็นเช่นนั้นก็ทราบว่า ขณะนี้ยากที่จะปลอบขวัญผู้คน และแม้แต่กับตนเองก็ยังอดยอมรับมิได้ว่า รู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึงเช่นกัน
"พวกจามปา กางตาข่ายฟ้าไว้รองรับพวกเราจนถี่ยิบ พวกมันคงคาดคำนวณไว้แล้วว่า เราต้องเปลี่ยนเส้นทางหนีจากบนเรือมาขึ้นฝั่ง ณ จุดนี้ จึงได้จัดวางกำลังซุ่มเป็นกับดักไว้รอรับ โชคดีที่พวกเรากลับคิดวางแผนหลอกล่อพวกมัน จึงพากันหลุดรอดมาได้ แต่กลับเป็นคราวเคราะห์ร้ายของผู้คนบนเรือลำนั้นที่ต้องกลายเป็นปีศาจตายแทนพวกเรา"
เจ้าขุนหาญเอ่ยขึ้นกับเหล่าองครักษ์ที่เหลือน้ำเสียงสั่นสะท้าน ด้วยความเจ็บปวดและเคียดแค้น กระทั่งกรามนั้นขบแน่นจนเลือดไหลซึมออกจากมุมปาก
เจ้าขุนหาญผู้มิเคยหลบหนีผู้ใดมาก่อน แต่วันนี้เพื่อชีวิตทารกน้อยของขุนเคนและเจ้านางจันทร์ผู้เปรียบประดุจดั่งแก้วตา เจ้าขุนหาญจึงได้แต่กล้ำกลืนฝืนความอัปยศเอาไว้
คราวนี้เจ้าขุนหาญไม่กล้าเปลี่ยนเส้นทางขึ้นฝั่งอีก แต่กลับตะโกนให้ไพร่พลทุกคนเร่งพายเรือ และคอยสังเกตสิ่งผิดปกติที่สองฝากฝั่ง จากนั้นเจ้าขุนหาญจึงกระโดดกลับออกไปทำหน้าที่เป็นผู้คัดท้ายเรือด้วยตนเอง
แม้นว่าในฤดูนี้สายน้ำอันเชี่ยวกรากจะลดปริมาณต่ำลง หากแต่ลำน้ำที่คดเคี้ยวประกอบกับการจ้ำพายอย่างไม่คิดชีวิต จึงทำให้เรือแล่นลอยละลิ่วดุจดั่งพญาครุฑเหินบิน ทั้งเจ้าขุนหาญก็เชี่ยวชาญในเส้นทางสายนี้เป็นยิ่งนัก แม้ในยามค่ำคืนอันมืดมิดไร้แสงเดือน จึงพออาศัยได้เพียงแสงจากดวงดาว แต่กระนั้นยังกลับคัดท้ายเรือบังคับให้ล่องลอยไปอย่างแผ่วพลิ้ว
เมื่อแล่นออกมาได้ยี่สิบเส้น ในขณะที่เรือกำลังโลดแล่นอย่างรวดเร็ว พลันก็เกิดการสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งลำพร้อมด้วยเสียงโครมดังกัมปนาท ทันใดนั้นตอไม้เสี้ยมปลายแหลมที่วางดักไว้เป็น "หัวรอ" ก็ปรากฏทะลุเสียบอยู่กลางลำเรือพร้อมทั้งองค์รักษ์สองร่างที่กู่ร้องโหยหวนดิ้นเร่าๆอยู่ที่ปลายไม้นั้น
ฉับพลันเศษไม้และสายน้ำก็พุ่งกระจายจากท้องเรือ และด้วยแรงปะทะนั้นจึงทำให้ขุนเคนและองครักษ์อีกสามคนตกลงจากลำเรือทันที
ทั้งหมดมิทันตั้งสติได้ พลันก็ปรากฏเสียงควับเควี้ยวของลูกธนู จากทั้งสองฝากฝั่งพุ่งเข้าหาลำเรืออย่างหนาแน่นดังฝูงตั้กแตน เจ้าขุนหาญและเหล่าองครักษ์พลันหมอบลงกับกาบเรือเพื่อหลบกระสุนตามสัญชาติญาน
แต่ครั้นเมื่อตั้งสติได้ เจ้าขุนหาญจึงเหลียวหันมองออกไปยังเจ้านางจันทร์ จึงได้เห็นหญิงรับใช้ทั้งสองนาง ต่างพากันโอบกอดเจ้านางจันทร์ไว้ตรงกลาง กลับยินยอมใช้ร่างของตนเป็นเกราะกำบัง จึงทำให้ตลอดร่างของทั้งสองนางนั้น ถูกเสียบปักไปด้วยลูกธนูดุจดั่งตัวเม่น เมื่อเห็นเช่นนั้นเจ้าขุนหาญจึงแทบจะขาดใจตาย ด้วยชะตากรรมของเจ้านางจันทร์และทารกน้อยนั้น ทั้งหมดมิอาจคาดการณ์ได้
ขณะจะกระโจนเข้าไปช่วยเหลือ พลันก็ได้ยินเสียงดัง ปง ปง ของสะพานไม้ไผ่ที่พวกจามปาโยนพาดเข้ามายังลำเรือ เพื่อเตรียมบุกขึ้นมาเข่นฆ่าผู้คนที่รอดเหลือ เจ้าขุนหาญเห็นเหตุการณ์ดำเนินถึงขั้นนั้นก็เดือดดาลถึงขีดสุด จนดวงตาทั้งสองข้างล้วนแดงฉานไปด้วยฝอยโลหิต เอ่ยกล่าวกับเหล่าองครักษ์ด้วยความคลั่งแค้นว่า
"ในเมื่อพวกมันต้องการชีวิตพวกเราทั้งหมดจริงๆ เช่นนี้เถอะ เมื่อวันนี้เราไม่อาจหลุดรอดไปได้แล้ว ก็ชักชวนพวกมันติดตามลงปรโลกด้วยซักหลายคนเถอะ"
กล่าวจบก็หัวเราะราวกับคลุ้มคลั่ง พลันกู่ตะโกนก้องพลางกวัดแกว่งทิ่มแทงหอกประจำมือทะยานสวนขึ้นยังสะพานไม้ไผ่ เหล่าพวกทหารชาวจามปาจึงพากันแตกหือกระจายออกไปทันที ขุนช่วงและองครักษ์ที่เหลืออีกเจ็ดคนเห็นเช่นนั้น จึงพากันส่งเสียงกู่ร้องปลอบขวัญแล้วกระโจนติดตามนายของพวกมันออกไป ทั้งหมดต่างใช้หอกช่วยกันทิ่มแทงศัตรูจนกระเจิง
เมื่อขึ้นถึงฝั่ง เจ้าขุนหาญก็ดุจดังพยัคฆ์กระหายเลือด ควงหอกรวดเร็วปานจักรผัน กระโจนทิ่มแทงเพื่อระบายความแค้นติดต่อกันเจ็ดแปดครา ศัตรูก็พลันทอดร่างกลายเป็นศพเจ็ดคน บนลำคอต่างมีรอยบาดแผลกลวงโบ๋เป็นรูใหญ่ สายโลหิตพวยพุ่งกระจัดกระจายดังห่าฝน
เมื่อเจ้าขุนหาญพาขุนช่วงและเหล่าองครักษ์ ไล่เข่นฆ่าเหล่าศัตรูอยู่ชั่วครู่ก็เห็นเหล่าทหารจามปาทอดร่างเป็นปีศาจอีกสามสิบศพ พวกพ้องที่เหลือเห็นเจ้าขุนหาญและองครักษ์ฝีมือเข้มแข็งทั้งยังต่อสู้อย่างยอมตายถวายชีวิต ก็กลับรู้สึกหวาดหวั่นครั่นคร้าม จึงพากันแตกฮือถอยร่นออกไปไม่เป็นขบวน
พลันชายคลุมหน้า ซึ่งเป็นหัวหน้าควบคุมเหล่าพวกทหารชาวจามปา เห็นเช่นนั้นก็ทราบว่า ขณะนี้จิตใจในการสู้รบนั้นแตกต่างกัน ด้วยพวกเจ้าขุนหาญ ทราบแน่ว่าวันนี้ไม่อาจรอดชีวิต จึงคิดจะปลิดชีพเหล่าศัตรูเพื่อเอาวิญญาณร่วมสู่ปรโลกให้มากที่สุด ขณะที่ฝ่ายทหารของตนกลับขลาดเขลากลัวตาย ดังนั้นต่างจึงไม่ยอมเสี่ยงชีวิตด้วย และหากปล่อยให้สถานะการณ์เป็นเช่นนี้ต่อไป เจ้าขุนหาญอาจไล่ฆ่าฟันไพร่พลจนสามารถฝ่าวงล้อมพาพรรคพวกที่เหลือรอดชีวิตออกไปได้
เห็นดังนั้นจึงยกมือให้สัญญาณ เรียกพลธนูเข้ามาแล้วตะโกนสั่งออกไปว่า "ยิงเข้าไปอย่าให้พวกมันหลุดรอดแม้แต่คนเดียว"
แต่เหล่าพลธนูที่โน้มสายเตรียมปล่อยกระสุน กลับหันมามองหน้ากันไปมาด้วยความลังเลด้วยเกรงว่าลูกธนูจะพลาดไปถูกพวกเดียวกัน เห็นเช่นนั้นชายคลุมหน้าจึงชักดาบฟันคอพลธนูที่อยู่ตรงหน้าคราเดียว ก็เห็นทหารจามปาสามคนทอดร่างกลายเป็นศพทันที แล้วจึงร้องสั่งด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียมอีกครา
"ปล่อยธนู"
ครานี้กลับมิมีผู้ใดกล้าลังเลอีก พลันเสียงดังเควี้ยวควับของคันธนูที่ดีดตัวและเสียงลูกกระสุนแหวกอากาศจึงดังขึ้น แล้วตามด้วยเสียงโหยหวนอย่างเจ็บปวดของทั้งสองฝ่าย แล้วร่างของผู้คนทั้งหมดที่กำลังชุลมุนต่อสู้กัน พลันร่วงลงเกลือกกลิ้งร้องครวญคราง ตลอดทั้งร่างปักเต็มไปด้วยลูกธนู
"ทั้งหมดเข้าไปตรวจค้น หากเจ้าขุนหาญยังมีชีวิตอยู่ให้ลากมันเข้ามา ที่เหลือตัดคอให้หมดสิ้น" ชายคลุมหน้าออกคำสั่งน้ำเสียงเด็ดขาด
เสียงโหยหวนดังขึ้นอีกครา ทั้งจากฝ่ายเจ้าขุนหาญและฝ่ายทหารจามปาที่นอนบาดเจ็บอยู่ เหล่าทหารที่เหลือรอดต่างพากันขนลุกด้วยความสยดสยอง บ้างกลับนึกยินดีในโชคชะตาที่เจ้าขุนหาญไม่ได้บุกมาทางด้านตนเอง เช่นนั้นคงต้องตกตาย หากมิใช่เพราะด้วยคมหอกก็ต้องเป็นลูกธนู
"ขุนลำพงสั่งให้คนของเราล้อมบริเวณนี้ไว้อย่าให้มีผู้ใดเล็ดรอดออกไปได้ ส่วนท่านพาคนไปตรวจสอบหาผู้หลบซ่อนบนเรือ"
ชายคลุมหน้านั้นตะโกนสั่งการขุนทหารคู่ใจด้วยน้ำเสียงอันปราบปลื้มยินดี ที่เห็นเป้าหมายต่างแดดิ้นรอรับกับการจัดการของตน
"รับทราบ"
ขุนลำพงรับคำ แล้วนำบริวารติดตามขึ้นไปยังลำเรือขณะที่ทหารอีกกลุ่มพากันฉุดลากเจ้าขุนหาญที่ตลอดทั้งร่างปักเต็มไปด้วยลูกธนู ที่แม้ว่าชีวิตนั้นจะเหลือเพียงลมหายใจอันรวยริน แต่แววตากลับยังส่งประกายอาฆาตแค้น
ชายคลุมหน้าเห็นเช่นนั้นจึงส่งเสียงหัวเราะฮาฮาร้องสั่งว่า
"ทั้งหมดจุดคบเพลิงขึ้น เราจะได้เห็นมันตอนพ่ายแพ้ อย่างถนัดตา"
เมื่อเจ้าขุนหาญได้ยินเสียงอย่างถนัดหูจึงพลันสะดุ้งเฮือก ถลึงตาจับจ้องจนสองตาแทบเหลือกถลน ทันใดนั้นคบเพลิงหลายสิบอันพลันถูกจุดขึ้นพรึบพร้อมกันแล้วทั่วบริเวณราวป่าก็สว่างไสวดุจกลางวัน
เสียงหัวร่อด้วยความสะใจพลันดังขึ้นกึกก้องขึ้นมาอีกครา
"เจ้าขุนหาญ ท่านทราบหรือไม่ว่าเราเป็นใคร..?"
ชายคลุมหน้าเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
"ข้าพเจ้ามิได้หูหนวก ย่อมต้องจดจำสุ่มเสียงท่านได้ เจ้าขุนตะวัน"
เจ้าขุนหาญแค่นเสียงตอบ
ชายคลุมหน้าได้ยินเช่นนั้นจึงกระชากผ้าคลุมออก พลันระเบิดเสียงหัวเราะดังกึกก้องด้วยความสาสมใจอีกครา หากมันมิใช่เจ้าขุนตะวันแล้วจะเป็นผู้ใด
ทันใดนั้นขุนลำพง ขุนขอมคู่ใจของเจ้าขุนตะวันก็ฉุดกระชากลากเจ้านางจันทร์เข้ามา ทั้งหมดจึงได้เห็นเจ้านางจันทร์สองมือโอบอุ้มทารกน้อย ที่กำลังแผดเสียงร้องไห้จ้าด้วยความตื่นตระหนก พลันเมื่อนางเห็นเจ้าขุนหาญนอนทอดร่างอยู่บนพื้นทั้งหอบหายใจอย่างรวยริน จึงโผเข้ามาโอบกอดร่างสามีไว้แล้วเปล่งเสียงร่ำให้คร่ำครวญ
"มีองครักษ์หลุดรอดซ่อนตัวอยู่ในน้ำสามคน ข้าพเจ้าจัดการสังหารหมดสิ้นแล้ว"
ขุนลำพงรายงาน เจ้าขุนตะวันจึงพยักหน้าตอบและหันมาจับจ้องเจ้าขุนหาญด้วยแววตาเคียดแค้นอาฆาตระคนสะใจ กล่าวขึ้นช้าๆว่า
"รู้หรือไม่ว่าเหตุใดท่านจึงต้องอยู่ในสภาพเช่นนี้ ข้าพเจ้ากัดฟันรอวันนี้มาถึงสองปีเต็ม นี่กลับต้องโทษตัวท่านเอง เพราะท่านเก่งกาจเกินไป เฉลียวฉลาดและอาจหาญเกินไป พระบิดาจึงโปรดปรานแต่ท่าน แม้กับเจ้านางจันทร์ซึ่งข้าพเจ้าเคยทูลขอต่อพระบิดามาก่อน แต่พระบิดากลับยกนางให้แก่ท่าน หากเรามิกำจัดท่านในวันนี้ อนาคตในวันข้างหน้า เราจะสามารถวางใจต่อบัลลังค์แห่งอาณาจักรกัมพูชาได้อย่างไร"
กล่าวจบเจ้าขุนตะวันก็พลันฟาดฝักดาบลงบนใหล่ซ้ายอย่างสุดแรง
เจ้าขุนหาญถูกแรงฟาดกระทบกระเทือนต่อบาดแผล จนถึงกับแค่นคำรามกระอักโลหิตออกมาคำใหญ่ เห็นเช่นนั้นเจ้านางจัทร์ซึ่งมือหนึ่งโอบอุ้มทารก ส่วนอีกมือหนึ่งได้โอบกอดสามีเอาไว้อย่างแนบแน่น ขณะนั้นน้ำตาพลันหลั่งไหลเนืองนองเปื้อนเต็มใบหน้า
"ท่านจำได้หรือไม่ เป็นผู้ใดที่สละชีวิตช่วยเหล่าเขมรท่านปราบปรามพวกจามปา และเป็นผู้ใดที่คลายวงล้อมให้แก่เมืองพระนคร ทั้งพระบิดาท่านก็เคยให้คำสัตย์สาบานต่อข้าพเจ้าและบิดาของข้าพเจ้าเอาไว้ว่า จะให้ความคุ้มครองและไม่คิดร้ายต่อชาวเมืองของพวกเรา และเรามิเคยได้มีความปรารถนาต่อบัลลังค์แห่งราชอาณาจักรกัมพูชาเลยแม้แต่น้อย เหตุใดท่านลงมือต่อข้าพเจ้าด้วยความอำมหิตเช่นนี้" เจ้าขุนหาญคำรามออกมา
เจ้าขุนตะวันได้ยินเช่นนั้นจึงสะบัดเสียงดังเฮอะ กล่าวขึ้นมาว่า
"ข้าพเจ้าส่วนข้าพเจ้า พระบิดาก็ส่วนพระบิดา อีกไม่นานข้างหน้าราชบัลลังค์ก็ต้องตกเป็นของเรา แม้ว่าท่านจะไม่ได้ต้องการบัลลังค์ของเรา แต่เราไม่มีวันยินยอมให้เมืองท่านเติบโต ขึ้นมาเทียบเทียมบารมีและขัดขวางการขยายอำนาจของเราในกลุ่มเมืองแถบนี้อย่างแน่นอน"
พลันหยุดยิ้มเย้ยหยันเล็กน้อยแล้วจึงหันไปกล่าวกับเจ้านางจันทร์ว่า
"เจ้านางจันทร์ วันที่พระบิดาพระราชทานท่านให้แก่เจ้าขุนหาญ ข้าพเจ้าประกาศต่อท่านไว้ว่า ต่อให้ชีวิตต้องสูญสิ้น ข้าพเจ้าก็จะต้องช่วงชิงท่านกลับมาเป็นของเราให้จงได้ เพื่อให้วงศ์จันทราของท่านและวงศ์สุริยันของข้าพเจ้า ได้กลับมารวมอำนาจให้เป็นปึกแผ่น สืบสายเลือดอันบริสุทธิ์ของทวยเทพดังเดิมอีกครา และเพื่อให้ได้ครอบครองท่าน ข้าพเจ้ายินยอมกระทำทุกวิถีทาง ความจริงใจของข้าพเจ้า ท่านคงเห็นแล้วกระมัง ฮ่า ฮ่า ฮ่า"
เจ้านางจันทร์ได้ยินเช่นนั้น จึงเงยหน้าขึ้นมาจับจ้องมองดูเจ้าขุนตะวันด้วยแววตาอาฆาตแค้น
"ท่านมิได้ต้องการเราจริงๆหรอกเจ้าขุนตะวัน ที่ท่านต้องการนั้นก็เพียงใช้เราเป็นหลักประกันในการอ้างสิทธิ์ เพื่อครอบครองอำนาจบนบัลลังค์เท่านั้น ใช่ว่าข้าพเจ้าและพระบิดาจะดูไม่ออก" เจ้านางจันทร์ตวาดเสียงตอบกลับ
"ไม่มีสิ่งใดที่เราต้องการได้แล้วจะไม่ได้ แม้แต่ท่าน เจ้านางจันทร์"
กล่าวเพียงเท่านั้น เจ้าขุนตะวันก็แหงนหน้าขึ้นฟ้า หัวเราะราวคลุ้มคลั่ง เมื่อรู้สึกสาสมใจกับการได้ทวงแค้นหนี้รักรายนี้ได้
สิ้นเสียงหัวร่อฮา ฮา ที่ดังอยู่ยาวนาน พลันเจ้าขุนตะวันหันกลับมาตวาดว่า "นำเจ้าขุนหาญไปออกไปตัดศีรษะ"
สิ้นเสียงคำสั่ง เจ้านางจันทร์ได้ยินเช่นนั้นก็พลันสะดุ้งเฮือกผวาเข้ากอดเจ้าขุนหาญที่นั่งนิ่ง สองดวงตาแดงกล่ำจับจ้องที่เจ้าขุนตะวันอย่างไม่สะทกสะท้านต่อคำสั่งประหาร
ทหารสามคนจึงพลันเข้ามากระชากตัวเจ้าขุนหาญออกไป
ขณะกำลังชุลมุลนั้น ขุนลำพงกลับเข้าแย่งชิงกระชากทารกน้อยจากอ้อมอกเจ้านางจันทร์ ส่งให้แก่เจ้าขุนตะวัน
เจ้านางจันทร์เห็นเช่นนั้น จึงกลับโผเข้ามากอดเท้าของเจ้าขุนตะวันไว้ ปากก็เฝ้าร่ำร้องขอความเมตตา แต่เจ้าขุนตะวันเพียงมองตอบด้วยสายตาเหยียดหยาม
ทันใดนั้น เสียงดาบแหวกอากาศสับลงบนเลือดเนื้อและกระดูก ก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงแค่นเพียงแผ่วเบาของเจ้าขุนหาญ กระทบกับโสตประสาทของเจ้านางจันทร์ พลันทำให้เสียงร้องให้คร่ำครวญของนางหยุดชะงักลงในทันที
"เชิญเจ้านางจันทร์ขึ้นเรือโดยสาร ทั้งหมดแยกย้ายกลับต้นสังกัดอย่างเงียบเชียบอย่าให้ผู้ใดสงสัย และรอรับรางวัลจากเจ้าขุนตะวัน ซากศพและอาวุธทั้งหมดทิ้งไว้ที่นี่ ห้ามมิให้เคลื่อนย้าย"
ขุนลำพงร้องสั่งการ เจ้าขุนตะวันพยักหน้าตอบรับอย่างตรงใจ แสดงให้เห็นว่าขุนลำพงเป็นผู้รู้ใจเจ้าขุนตะวันอย่างแท้จริง
"ขอเราไปร่ำลาสามีเป็นครั้งสุดท้ายก่อน ได้หรือไม่...?"
เจ้านางจันทร์พลันเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา ซึ่งกลับมาแฝงอำนาจอันรู้สึกยากต่อการปฏิเสธ เจ้าขุนตะวันจึงพยักหน้าเป็นเชิงแสดงว่าอนุญาติ
แต่เจ้านางจันทร์กลับไม่รอให้เจ้าขุนตะวันตอบ พลันลุกขึ้นยืนอย่างแช่มช้า ด้วยความแค้นที่แน่นฝังอก จึงทำให้นางหวนคืนสู่อิริยาบถที่สง่างามแห่งนางพญาอีกครั้ง
ขณะนั้นนางก็กวาดสายตาเคียดแค้น จ้องมองดูเหล่าทหารที่ล้อมรอบทีละคน จนทุกผู้คนที่สบสายตานั้นกลับรู้สึกขนลุกพองด้วยความพรั่นพรึง
เจ้านางจันทร์ เดินเข้าไปโอบกอดซากศพสามี โน้มตัวกระซิบที่ข้างหูอย่างแผ่วเบาอยู่สองสามคำ จากนั้นจึงหันหน้ามองกลับมายังเจ้าขุนตะวัน แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันว่า
"หากท่านต้องการตัวเรา เราก็จะมอบให้ แต่นั่นจะเป็นเพียงร่างเท่านั้น ส่วนวิญญาณของเรา เราจะขอติดตามเจ้าขุนหาญไป"
กล่าวจบ เจ้านางจันทร์พลันดึงมีดสั้นที่พกติดตัวของเจ้าขุนหาญออกจากผ้าผูกเอว แล้วจ้วงแทงยังที่อกของนางเอง ร่างนั้นพลันสั่นสะท้านขึ้นคราหนึ่งด้วยความเจ็บปวด ก่อนที่จะฝุบลงบนซากร่างอันไร้วิญญาณของเจ้าขุนหาญ
เจ้าขุนตะวันและไพร่พลที่ยืนดูเหตุการณ์ทั้งหมด จึงตื่นตะลึงต่อเหตุการณ์อันมิคาดฝันที่เกิดขึ้น ทำให้ทั้งหมดต่างเงียบกริบ มิอาจเปิดปากเอ่ยเสียงใดๆออกมา
นาทีนั้น นกแสก นกเค้า ก็พลันกรีดเสียงร้องก้องขึ้นกลางนภา เหมือนพวกมันกำลังเพรียกร้องหาวิญญาณเร่ร่อนทั้งหลาย ให้ติดตามลงสู่พื้นปรภพ แล้วหรีดหลิ่งเรไรก็ร้องรับ ระงมทั่วผืนป่า ราวกับจะบรรเลงคีตาอันคร่ำครวญต่อโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นในราตรีนี้
เมื่อวันที่ : ๑๔ ธ.ค. ๒๕๕๓, ๑๗.๒๒ น.
สวัสดีค่ะ น้องทิดอินทร์
เรื่องนี้หายไปนานจนพี่รจเกือบจะลืมไปแล้ว
บราโว เขียนตอนนี้ได้ดีมากค่ะ คือเนื้อเรื่องยาว ต่อเนื่อง มีเหตุการณ์สำคัญ ๆ ในตอนเสร็จสรรพ มีจุดไคลแมกซ์หลายจุด ดีกว่าตอนก่อน ๆ ซึ่งสั้น ๆ และขาดห้วงยังไงชอบกล
นี่คงได้ครูดีชื่อว่า นาม อิสรา แนะนำให้ใช่ไหมคะ
จะรออ่่านตอนต่อไปนะคะ
ด้วยมิตรไมตรี
พี่รจ