![]() |
![]() |
xkoxikI![]() |
...เมฆฝนทะมึนเริ่มก่อตัว และคืบคลานมาจากทางด้านทิศใต้ อากาศขมุกขมัวในเวลาใกล้ค่ำ เริ่มเย็นลงอย่างรวดเร็ว สายลมเย็นเฉียบเริ่มโชยพัดอย่างช้า ๆ...
ตอน : :แรกพบพาน
เมฆฝนทะมึนเริ่มก่อตัว และคืบคลานมาจากทางด้านทิศใต้ อากาศขมุกขมัวในเวลาใกล้ค่ำ เริ่มเย็นลงอย่างรวดเร็ว สายลมเย็นเฉียบเริ่มโชยพัดอย่างช้า ๆ ผู้คนในตลาดน้อยแห่งนี้เริ่มลงมือเก็บของที่นำมาขาย ความหวังที่จะได้กำไรในวันนี้ ชักชวนกันหลบหนีไปตั้งแต่เมฆตั้งเค้า หลายคนเริ่มด่าทอฝนฟ้า และเทพเจ้าเบื้องบน หารู้ไม่ว่าฝนจะตกฟ้าจะร้องไม่ได้ขึ้นอยู่กับผู้ใด เพียงแต่ด่าทอเพื่อที่จะไม่ต้องนึกถึงความโชคร้าย และคาดหวังว่าเทพเจ้าโชคลาภจะมาเยือนในวันพรุ่งนี้ความโกลาหลเริ่มกลับเข้าสู่ความสงบทีละน้อย มีเพียงสุนัขเถื่อนไร้เจ้าของที่ยังวิ่งวนเวียนหาที่หลบฝนที่กำลังจะตกในไม่ช้า มันหลุบหางวิ่งไปหลบที่ข้างแผงขายผักกลับตื่นตกใจ ผงะวิ่งกลับออกมา มันคงไม่คิดว่าที่ซอกข้างแผง ยังมีผู้คน คนกลับเป็นขอทาน ขอทานเป็นขอทานหนุ่มน้อยอายุสิบเจ็ดสิบแปดหน้าตามอมแมมผู้หนึ่ง
เป็นขอทานย่อมไม่มีบ้านให้กลับ ทุกที่ที่อาศัยหลับนอนย่อมสามารถเป็นบ้าน ในที่สุดขอทานมีบ้านมากกว่าคนสามัญ สรุปแล้วผู้ใดร่ำรวยหรือยากจน นี่เป็นมุมมองที่ทั้งแคบทั้งสั้น แต่เป็นมุมมองที่แปลกประหลาด กล่าวถึงบ้านผู้คนมักหมายถึงที่พักอาศัยมีรั้วรอบขอบชิด เป็นที่หลบฝน เป็นที่หลับนอนแม้กระทั่งประกอบกิจอื่น บางคนหมายถึงที่รวมของญาติมิตรลูกหลาน เป็นที่พบปะสังสรรค์ คนโง่เขลาบางคนยังถือบ้านเป็นเครื่องประดับ คนฉลาดกลับถือบ้านเป็นเครื่องมือ ยังมีบางคนแปลกประหลาดถึงกลับถือว่าบ้านเป็นภาระ มันมีบ้านใหญ่โตกลับหลบหนีออกมาเป็นคนเร่ร่อน
ขอทานย่อมไม่มีบ้าน ที่มันยังนั่งอยู่ที่ตลาด ไม่เป็นเรื่องน่าประหลาด ที่ประหลาดคือผู้คนต่างพากันหลบหนีพายุฝน มันกลับนั่งนิ่ง แหงนหน้ามองฟ้า อยู่อย่างนั้นเป็นเวลานาน ข้างหน้าแม้มีกระบอกไม้ไผ่ว่างเปล่า ที่เป็นเครื่องมือทำอาชีพเพียงหนึ่งเดียวตั้งอยู่ ถูกลมพัดกลิ้งไปมาก็ไม่ได้ทำให้มันหันกลับมาสนใจ
จนกระทั่งกระบอกไม้ไผ่กระบอกนั้น กลับมาตั้งอยู่ข้างหน้า พร้อมกับเสียงโลหะกระทบก้นกระบอกดังกุกกัก จึงทำให้มันค่อย ๆ เบนสายตาจากบนฟ้าลงมามองได้
ที่เบื้องหน้ากลับยืนไว้ด้วยคนผู้หนึ่ง เป็นเด็กหนุ่มอายุอานามคงไม่ห่างจากขอทานเท่าใด ที่แตกต่างกลับเป็นทั้งหมดที่เป็นมัน มันยืนอยู่ตรงนั้นแค่สองก้าว แต่เหมือนมันยืนอยู่อีกฟากฝั่งถนน การแต่งกายด้วยผ้าที่ตัดเย็บอย่างประณีตดูก็รู้ว่าต้องเป็นช่างฝีมือดี สวมรองเท้าหนังสัตว์ที่ผ่านการฟอกจนนิ่มแล้วค่อยตัดเย็บ ผมดำสนิทที่ยาวเลยบ่าแล้วมัดด้วยแพรสีเขียวอ่อนไว้อย่างหลวมพัดพลิ้วอยู่ในสายลม ที่ข้อมือยังมีผ้าผูกหินสีเขียวแดงจากภูเขาโกจาเว ที่เป็นแหล่งหินรัตนชาติ เพียงแห่งเดียวในดินแดนยารา ที่ดึงดูดใจคือดวงตาสุกใส ที่จ้องมองมา ทั้งมีแววจริงใจ ทั้งอยากรู้อยากเห็น ยามนั้นมันยิ้มแล้ว บางคนยิ้มที่ปาก บางคนยิ้มที่จมูก ยังมีบางคนยิ้มที่หู แต่เวลามันยิ้มมันยิ้มที่ตาก่อน แล้วค่อย ๆ ยิ้มที่จมูก สุดท้ายค่อยขมวดรวมที่ริมฝีปาก ทุกขั้นตอนล้วนเหมาะเจาะเป็นธรรมชาติ
ในที่สุดขอทานน้อยค่อยดึงสติกลับมา กล่าวว่า “พี่ท่านนี้ ค่อยมียิ้มที่เป็นผู้คนอยู่บ้าง”
หนุ่มน้อยนั้นก็นึกไม่ถึงว่าขอทานจะเอ่ยเช่นนี้ ทำให้งุนงงไปชั่วครู่ค่อยถามขึ้นว่า
“เมื่อครู่ท่านกำลังทำอันใด ข้าพเจ้ายืนดูอยู่หลายอึดใจ นึกว่าท่านเสียสติไปแล้วเสียอีก”
ขอทานน้อยหัวเราะค่อย ๆ ตอบว่า “ข้าพเจ้ากำลังพนัน” “ท่านพนันกับผู้ใด” “ข้าพเจ้าพนันกับตัวเอง” หนุ่มน้อยนั้นได้แต่กระพริบตาปริบ ๆ หรือนอกจากมันเป็นขอทานแล้วมันเสียสติจริงๆ แต่ก็ยังอดถามต่อไม่ได้ว่า
“ที่ผ่านมาข้าพเจ้าเห็นแต่คนศรีษะบู้บี้(เสียสติ) ที่พนันกับตัวเอง ว่าแต่ท่านพนันอันใด” ขอทานน้อยหัวเราะอย่างไม่ถือสากล่าวว่า “กำลังพนันว่าฝนเม็ดแรกจะตกถูกตาข้างซ้ายหรือข้างขวา” หนุ่มน้อยนั้นงันไปชั่วครู่ค่อยเปล่งเสียงหัวเราะชอบอกชอบใจ อยู่ชั่วครู่ค่อยนั่งยอง ๆ ลงตรงหน้าขอทานน้อย บัดนี้มันแน่ใจแล้วว่าขอทานน้อยนี้เสียสติแล้วจริง ๆ
“น่าสนุก ๆ จริง ๆ ถ้าอย่างนั้นเป็นเช่นนี้” ว่าพลางล่วงลงไปในย่ามเล็ก ๆ ข้างกระเป๋าในที่ล้วงออกมาเป็นทองคำแท่งเล็ก ๆ สองแท่งและวางไว้ในกระบอกไม้ใผ่ “การพนันคนเดียวจะสนุกอันใด ข้าพเจ้าขอพนันกับท่าน ว่าฝนเม็ดแรกต้องตกถูกตัวข้าพเจ้าก่อนตกถูกตัวท่าน”
ถึงคราวขอทานน้อยอ้าปากค้างแล้ว พร้อมกับบ่นพึมพำ “ไม่ทราบวันนี้เกิดอาเพศอันใด ฝนนี้กลับพาคนเสียสติผู้หนึ่งมาด้วย” “ท่านว่ากระไร” “ข้าพเจ้ากำลังบอกว่าเทพเจ้าโชคลาภกำลังมาเยือน อยู่ๆ ก็ส่งทองเหลืองอร่ามมาให้สองแท่ง กลับไปบ้านต้องตั้งประรำพิธีเซ่นไหว้สามวันสามคืน” หนุ่มน้อยนั้นกลับไม่ถือสา กล่าวว่า “ท่านอย่าได้มั่นใจไป ไม่มีการพนันใดที่จะชนะได้แน่นอน”
ในทันใดลมที่พัดแรงอยู่หวีดหวือ กลับหยุดชะงักไป ฝนที่ตั้งเค้าตั้งแต่หัวค่ำในที่สุดก็เทลงมามืดฟ้ามัวดิน หนุ่มน้อยทั้งสองยังไม่ทันลุกขึ้นก็แทบเปียกปอนแล้ว “ตามข้าพเจ้ามาทางด้านนี้ “ ขอทานน้อยตะโกนบอกแข่งกับสายฝน พลางวิ่งไปทางท้ายตลาด ในมือไม่ลืมถือกระบอกไม้ไผ่นั้นมาด้วย ไม่นานก็วิ่งมาถึงเพิงไม้ไผ่แห่งหนึ่ง แต่คนทั้งสองก็เปียกปอนเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั่งลงเรียบร้อย ขอทานนั้นก็ถือถ้าเก่า ๆ แต่ถูกซักสะอาดสะอ้าน ยังมีกลิ่นหอมของแสงแดดอยู่ อ่อน ๆ แสดงว่าผ้าเพิ่งถูกซักและพับไว้
“ยินดีต้อนรับสู่บ้านของข้าพเจ้า และท่านก็ควรเช็ดตัวให้แห้งก่อน คนส่วนใหญ่ที่เปียกฝนแรกของปีอย่างวันนี้ มักจะไม่สบาย “ หนุ่มน้อยนั้นรับผ้ามาแล้วเช็ดหน้าตาและตัวอย่างเร็วไวหูได้ยินขอทานน้อยทำอะไรกุกกัก อยู่มุมเพิง กล่าวต่อว่า “หลังจากเช็ดตัวแล้วท่านก็ควรเปลี่ยนเสื้อผ้าไม่ควรใส่ชุดที่เปียกยิ่งจะทำให้ไม่สบายหนักขึ้น นี่เป็นชุดประจำปีของข้าพเจ้าที่ซักสะอาดแล้ว” ว่าพลางยื่นเสื้อผ้าแห้งสะอาดมาให้ชุดหนึ่ง
หนุ่มน้อยนั้นไม่กล่าวว่ากระไรรับชุดมาถือไว้ชั่วครู่ค่อยถามขึ้นว่า “ชุดประจำปีหมายความว่าอย่างไร” ขอทานน้อยตอบว่า “ชุดประจำปีก็คือชุดที่ใส่ปีละครั้ง นอกจากนี้ยังมีชุดประจำเดือน ชุดตามอารมณ์ ชุดนอนชุดนั่ง และชุดสิ้นคิด” หนุ่มน้อยนั่งตาเบิกโพลงฟังขอทานน้อยสาธยายชุดที่ใส่ต่าง ๆ ที่มากมายและแปลกประหลาด “นอกจากนี้ยังมีชุดอยู่บ้าน ชุดทำงาน ชุดล่าสัตว์ ชุดทำอาหาร ต่อให้ข้าพเจ้าเล่าจนถึงเช้ายังกลัวว่ากล่าวไม่หมด” หนุ่มน้อยนั้นเริ่มทนไม่ได้พูดขึ้นว่า “แต่เท่าที่ข้าพเจ้ามองเห็นนอกจากในมือข้าพเจ้าแล้ว ก็มีแต่ชุดที่อยู่บนตัวท่านเท่านั้น” ขอทานน้อยยิ้มกริ่มอย่างมีเลศนัย กล่าวว่า “เป็นคนไม่กลัวมีสมบัติมาก แต่กลับกลัวคนรู้ ข้าพเจ้ามีบ้านเท่านี้ท่านจะให้ข้าพเจ้าเก็บชุดตั้งมากมายไว้ที่ใด เมื่อใคร่ครวญดีแล้วข้าพเจ้าจึงตัดสินใจ เก็บไว้แค่สองชุดที่ท่านเห็น” “แล้วชุดอื่น ๆ ของท่านอยู่ที่ใด” “ข้าพเจ้าฝากผู้อื่นไว้ก่อนเมื่อต้องการค่อยเรียกใช้” ว่าพลางหันมาสบตากันต่างก็เห็นแววความในใจของอีกฝ่าย แล้วสองหนุ่มน้อยที่เพิ่งรู้จักกันต่างก็หัวเราะขึ้นพร้อมกัน ที่แท้ขอทานน้อยมีชุดเพียง สองสามชุด เมื่อเก่าขาดจนใช้การไม่ได้ค่อยหาขอทานเสื้อผ้าเก่าผู้อื่นมาทดแทน หลังจากที่หนุ่มน้อยทั้งสองเปลี่ยนเสื้อผ้าและตากไว้ที่ข้างเพิงเรียบร้อยแล้ว หนุ่มน้อยค่อยกล่าวว่า “ข้าพเจ้าชนะแล้ว” ขอทานนิ่งงันไป ค่อยนึกถึงเรื่องการพนันขึ้นได้ “ท่านอาศัยอะไรจึงคิดว่าท่านชนะข้าพเจ้า” “เรื่องนี้มีเหตุผลง่ายมาก เนื่องเพราะข้าพเจ้ารู้ว่าฝนเม็ดแรกตกถูกตัวข้าพเจ้าก่อนตกถูกท่าน” ขอทานน้อยพบเจอผู้คนมามากมายกลับไม่เคยพบผู้ใดที่อาศัยความดื้อด้านยกเป็นเหตุผลเช่นนี้มาก่อน ถึงกลับแทบหาคำมาคัดค้านไม่ออก “หากข้าพเจ้าบอกท่านว่าฝนเม็ดแรกตกถูกตัวข้าพเจ้าก่อนท่าน ข้าพเจ้าคงเป็นคนไร้เหตุผลเช่นท่าน เรื่องนี้ถือว่าท่านชนะเถอะ” ว่าพลางหันไปหยิบทองคำแท่งสองแท่งที่ยังอยู่ในกระบอกไม้ใผ่คืนให้แก่หนุ่มน้อยนั้น แต่หนุ่มน้อยนั้นยังไม่รับทันใด กลับกล่าวว่า “ในเมื่อข้าพเจ้าชนะท่าน ทองคำย่อมยังเป็นของข้าพเจ้า แต่เค้าพนันของท่านคืออะไร” ขอทานน้อยนิ่งงันไป เนื่องจากในเพิงน้อยนี้ ต่อให้มีอีกสิบเพิงยี่สิบเพิงก็ยังไม่เท่าทองคำแม้ครึ่งแท่ง อย่าว่าแต่มันมีแค่เพิงเดียว ขอทานน้อยแบมือสองข้างยกไหล่น้อย พลางกล่าวว่า “ท่านล้วนสามารถเลือกสรรสินค้าในที่นี้ อย่าว่าแต่ที่นี้ล้วนแล้วแต่เป็นของมีราคาค่างวด ท่านดู” พลางยกกระบอกไม้ใผ่ที่ใช้ขอทานนั้นขึ้นมา “กระบอกนี้เป็นข้าพเจ้าสร้างขึ้นอย่างพิถีพิถัน มีราคาค่างวดอย่างน้อยสามพันเหรียญเงิน” ฝ่ายที่อ้าปากค้างกลับเป็นหนุ่มน้อยนั้น “สามพันเหรียญเงิน ข้าพเจ้าแม้ไม่ใช่ผู้ชำนาญการ ยังดูออกว่ากระบอกเช่นนี้ หนึ่งเหรียญข้าพเจ้ายังสามารถซื้อหาได้เจ็ดอันแปดอัน ท่านกลับบอกว่าราคาสามพันเหรียญ” “ย่อมเป็นสามพันเหรียญ ท่านลองนึกดูไม่ใช่เพราะมัน ข้าพเจ้าขอทานอย่างน้อยมีรายรับวันละห้าเหรียญสิบเหรียญ ข้าพเจ้าใช้มานานเท่าใดแล้วคิดเป็นเงินเท่าใดแล้ว” ในที่สุดหนุ่มน้อยก็รู้แล้วว่าได้พบตัวดื้อด้านอีกตัวแล้ว พลางถอนใจกล่าวว่า “ข้าพเจ้ามิกล้ารับกระบอกขอทานราคาสามพันเหรียญของท่านแล้ว แต่วันนี้ฝนคงไม่หยุดง่าย ๆ ข้าพเจ้าคงเบียดเบียนที่นอนของท่านเป็นที่แน่นอนแล้ว” “ไม่ใช่เรื่องลำบากอันใดอย่างน้อยเพิงนี้หลับนอนได้สองคน อย่าว่าแต่วันนี้อากาศหนาวเย็นนอนคนเดียวกลับหนาวไปบ้าง แต่ท้องทั้งสองท้องคงว่างเปล่าแล้ว” กล่าวจบปรากฎเสียงท้องร้องสนั่นพร้อมกันสองเสียง เป็นอีกครั้งที่ทั้งสองสบตากันแล้วหัวเราะขึ้นพร้อมกัน “ข้าพเจ้ากลับได้กำไรอยู่บ้าง ข้าพเจ้าอดอาหารจนคุ้นเคยย่อมไม่ทรมานเท่าใด แต่ท่านคงเป็นประสบการณ์ที่ยากพ้นผ่าน” “แม้ข้าพเจ้าจะไม่เคยอดอาหารข้ามคืนมาก่อน มีบ้างแค่ต้องทนรอ แต่ครั้งนี้ก็คาดว่าคงไม่เลวร้ายเท่าใด เพราะอย่างน้อยข้าพเจ้าไม่เคยเบิกบาน และได้หัวเราะมากเท่าวันนี้มาก่อน หักลบแล้วนับว่ายังได้กำไร” “หากท่านกลัวกำไรที่มีอยู่น้อยนิดโบยบินไป ต้องรีบนอน ยิ่งหลับเร็ว ท่านยิ่งไม่หิว เมื่อไม่หิวก็จะไม่ทรมาน” ว่าพลางล้มตัวลงนอนเป็นตัวอย่าง ไม่นานก็ได้ยินแต่เสียงหายใจเบา ๆ สม่ำเสมอ หนุ่มน้อยนั้นล้มตัวลงนอนบ้าง ชั่วครู่ค่อยถามขึ้นว่า “ท่านมีชื่อหรือไม่” ขอทานน้อยตอบเสียงสดใสมาว่า “แม้แต่ผีสางยังมีชื่อ ข้าพเจ้าเป็นคนย่อมมีชื่อ ข้าพเจ้าเรียกว่า ‘คีกาปอ’ ท่านล่ะมีชื่อหรือไม่” หนุ่มน้อยนั้นหัวเราะเบา ๆ ตอบว่า “ผู้ที่หน้าตาหล่อเหลาเช่นข้าพเจ้าไม่มีชื่อได้หรือ เรียกข้าพเจ้าว่า ‘นาสาติ’ “ “ยินดีที่ได้รู้จักนาสาติ ช่างหล่อเหลาแทบแย่แล้ว “ ประโยคสุดท้าย ฟังอู้อี้เนื่องจากซุกหน้าลงไปในกองผ้าแล้ว นาสาติถามว่า “ท่านว่ากระไรนะ” แต่ไม่มีเสียงตอบจากคีกาปอ แล้ว
ฝนข้างนอกยังตกพรำ ๆ คาดว่าคงตกจนรุ่งเช้า ในที่สุด นาสาติก็ผลอยหลับไป
เมื่อวันที่ : ๒๘ ต.ค. ๒๕๕๓, ๐๖.๕๕ น.
มาปรบมือให้กำลังใจผู้เขียนครับ
เขียนแปลกดี ! ถ้าไม่ใช้เครื่องหมายคำพูดก็ย่อมได้ เพียงจัดวรรคตอนและเรียบเรียงประโยคต่าง ๆ ให้ดีกว่านี้อีกหน่อยก็สื่อความหมายได้แล้วนะน้องท่าน ฮา ฮา