นิตยสารรายสะดวก  Memorandum  ๑๒ กรกฏาคม ๒๕๕๓
สยายปีก #5
นายอิติฯ
...ผมมี​ความสุข​กับการออกทำงานตามแค้มป์​ซึ่ง​จะมีอยู่​สอง​ที่ เทียว​ไปเทียวมา​ระหว่างอ.พนมทวน ​กับ สองพี่น้อง ​และเริ่มชิน​กับการตื่น​แต่เช้า​กลับค่ำ การนั่งบนรถ​เพื่อ...

ตอน : กลับคอน

ผมมี​ความสุข​กับการออกทำงานตามแค้มป์​ซึ่ง​จะมีอยู่​สอง​ที่ เทียว​ไปเทียวมา​ระหว่างอ.พนมทวน ​กับ สองพี่น้อง ​และเริ่มชิน​กับการตื่น​แต่เช้า​กลับค่ำ การนั่งบนรถ​เพื่อออก​ไปทำงานตอนเช้า​มืด ระยะแรกๆ​ จากไม่เคยนั่งหลับ..​ต่อมาก็นอนยาวเลย​ตั้งแต่เขื่อนจนถึงแค้มป์ หนูก็กินซะจนเอียน ปลาก็หาจับ​เอากะลุงเชิด​ที่ไต้เขื่อนแม่กลองนั่นล่ะครับ​ ​ได้มาก็ตากแห้ง​เอาไว้ทอดห่อ​เป็น​กับข้าว

​ส่วนเจ้าพังพอนผมเลี้ยงดูมันอย่างดี กรงใหญ่พอดู อาหารเพียบ หลานชายผมดูแลเต็ม​ที่ มันยังเคยชวนผม​ไปหาซื้องูเห่า.แล้ว​​เอามาใส่กรงพังพอนให้มันกัดกันดูซิว่า​ใครมัน​จะชนะ มันช่างเข้าใจคิดนะครับ​ ผมก็เลย​บอกว่าไม่​ได้หรอกมันไม่​เป็นตามธรรมชาติปล่อยให้กัดกันในกรง มีหวังตาย​ทั้งคู่

พูดถึงการหาปลา​ที่ใต้เขื่อนแม่กลองแล้ว​ ​ต้องขอเล่าถึง​ความเจ็บปนขนลุกอีกอย่างหนึ่ง​ซักกะ หน่อย​นะครับ​
​คืออย่างนี้นะ (ขยับเก้าอี้นั่งดีครับ​ )
ทุกวันหยุดผม​จะออกหาปลา​กับลุงเชิดแกบ่อยมาก ก่อน​ไปก็​ต้องเผาหัวกันก่อนด้วยเชียงชุนเจ้าเก่านั่นเลย​​เอาพอคึกคักครับ​ ​จะมี​ไป​ทั้งตอนกลางวัน​และตอนกลางคืน​ส่วนมากตอนกลางคืน​จะ​ได้ปลาเยอะกว่าตอนกลางวัน อุปกรณ์​ที่​ใช้ก็แห​กับตาข่าย ชาวบ้าน​ที่นี่หากันทุกวัน

ปลา​ที่ผมชอบมากๆ​ก็​คือปลากระทิงครับ​ทอดแล้ว​อร่อยหยั่งงี้เลย​ขอบอก มีอยู่​คืนหนึ่ง​ ​และ​จะ​เป็นคืนสุดท้าย คืนสุดท้ายจริงๆ​ครับ​​ที่ผม​จะไม่ ​และก็ไม่..ออก​ไปหาปลาใต้เขื่อนตอนกลางคืนอีกแล้ว​ ​ที่จำ​ได้ผมออกหาปลา​กับลุงเชิดตอนกลางคืนนับ​ได้ก็สามสี่ครั้ง มันก็ปรกติดีอยู่​หรอก ​แต่ครั้งหลังนี้​ทั้งเจ็บ​และ​ทั้งขนลุก

หนึ่ง​ทุ่ม วันนั้น​ผมก็ออก​ไปด้วยมอไซด์คันงามคันเดิม เชี่ยงชุน​กำลังขับเหงื่อให้คึกคัก ​ส่วนลุงเชิดแกก็​ไปของแกอีกคันมีเหน็บใส่ขวดกระทิงแดง​ไปด้วย ผม​จะลงวางตาข่ายตรงริมตลิ่ง​ที่น้ำไม่ค่อยลึกนัก​เพราะ​ถ้าลง​ไปลึกกว่านั้น​ น้ำ​ที่ปล่อยลงมาจากเขื่อน​จะแรงมากจนพยุงตัวแทบไม่ไหว แถวขอบตลิ่งเหมาะ​ที่สุดครับ​ มัน​จะมีหินเล็กบ้างใหญ่บ้างก็หิน​ที่เค้าขนมาทำเขื่อนนั่นล่ะ ​ซึ่งตรงบริเวณตรงนี้น้ำไหลไม่ค่อยแรงเท่าไร ​ความลึกก็แค่ระดับเอวปลา​ส่วนใหญ่ก็​จะอยู่​ตามซอกหิน วางตาข่ายซักพักปลาตะเพียนปลาสร้อยมันก็ติดกันให้พรึบแล้ว​ ต่าง​กับตอนกลางวันไม่ค่อยติดเยอะ ลุงเชิดแกก็บอกปล่อยไว้ก่อนเลย​ ขากลับค่อยเก็บทีเดียว ​เอาแหมาเหวี่ยงดีกว่าเผื่อ​ได้ตัวใหญ่ๆ​ ​เมื่อแกเสนอมา..ผมก็สนองซิครับ​ ว่าไงว่าตามกันอยู่​แล้ว​

แหของผมถูกเหวี่ยงลงใกล้ๆ​กลับลงเชิดนั่นล่ะ แกบอก​ต้องอยู่​ใกล้กันเข้าไว้ ​เพราะน้ำมันแรง มีอะไร​​จะ​ได้ช่วยกัน แสงไฟจากเขื่อน​ที่สาดส่องลงมา พอให้มองเห็นกันลางๆ​ ​แต่ก็มีไฟ​ที่สวมไว้บนศีรษะช่วยอีกแรง แหถูกเหวี่ยงครั้งแล้ว​ครั้งเล่า ก็พอ​ได้ตัวโตๆ​ ขึ้น​มาบ้างแล้ว​ ๖-๗ ตัว ​แต่ไอ้ครั้งล่าสุดนี่สิครับ​ ตอนดึงๆ​ลากๆ​มือก็ค่อยสาวๆ​เข้ามาเรื่อยๆ​ มันสัมผัส​ได้ถึงการดิ้นดุ่กๆ​ ผมก็บอกลุงเชิดว่า ท่าทาง​จะตัวโตทีเดียว ลุงแกก็รีบมา​ที่ผมเลย​
"อย่าพึ่งลาก..เดี๋ยวมันหลุด" ลุงเชิดแกบอก
"เนี่ยลุง มันยังดิ้นดึงแหอยู่​ครับ​" ผมตะโกนเสียงดัง แข่ง​กับเสียงน้ำ​ที่ตัวเขื่อน
"มา..เดี๋ยวลุงงมเอง" แกรวบเก็บแหของแกตรงมา​ที่ผม
"ไม่​เป็นไรลุง..เดี๋ยวผมเองครับ​..เอ้า!!! ลุงมาจับแห​และถือไฟให้ผมด้วย เดี๋ยวผม​จะมุดลง​ไปหักคอมันเอง"
"เฮ้ย!! ​เอางั้นเลย​รึ" ลุงเชิดถามด้วย​ความ​เป็นห่วง ​เพราะกระแสน้ำมันยังไหลแรงอยู่​
"ไม่​เป็นไรลุง...​เรื่อง​ดำน้ำจิ๊บจ้อยๆ​"
ผมรู้สึกตื่นเต้น​ที่​จะ​ได้ปลาตัวใหญ่​ไปโชว์ ผมดำลง​ไป แป๊บเดียวก็​ต้องโผล่พรวดขึ้น​มา คว้าไฟฉายจากมือลุงเชิด​ได้ ผมก็กระโจนขึ้น​ฝั่งเลย​ครับ​
"ลุง!! มันไม่ใช่ปลาครับ​ลุง แถมกัดมือผมอีก" ผมตะโกนลง​ไป​เมื่อยืนตั้งหลัก​ได้บนก้อนหินขนาดเขื่อง
"งู..มัน​คืองูครับ​ลุง ​แต่ไม่รู้งูอะไร​ ​ที่รู้ๆ​ไม่​ได้มีแค่ตัวเดียวแน่ๆ​ตัวใหญ่ด้วยลุง!!"

ทีแรกลุงเชิดแกก็ไม่เชื่อ​ที่ผมพูดหรอก​จะเชื่อหรือไม่เชื่อผมไม่สนแล้ว​ครับ​ตอนนี้ขอยกทัพขึ้น​บก​เอาไว้ก่อน​เป็นดีสุดล่ะ พอแกลากแหขึ้น​มาเท่านั้น​แหล่ะ พี่น้องเอ๊ย.ย.ย...​งูเหลือมตัวเท่าแขนสองตัว ผมก็​ได้​แต่ยืนส่องไฟดูห่างๆ​ ลุงแกบอกไม่เห็น​ต้องกลัวเลย​ แค่งูเหลือมมันไม่มีพิษหรอกชาวบ้าน​เขาก็เจอกันเยอะแยะ​ไป
"เง้อ!!! ลุงพูดง่ายเนาะ ​ถ้ามันงู​ที่มีพิษล่ะ"
แกก็ยังบอกอีกว่า งูมีพิษ​ที่ไหน​จะมาอยู่​ในน้ำ ผมก็ว่า​จะเถียงแล้ว​ว่ามีเยอะแยะ​ไป ​แต่​จะมีพิษหรือไม่มี ผมคนหนึ่ง​ล่ะครับ​ ขึ้น​ชื่อว่างูแล้ว​ล่ะก็...​ขออยู่​ห่างๆ​ก่อนเลย​ดีกว่า คืนนั้น​ผมปล่อยให้ลุงเชิดเก็บตาข่ายคนเดียว ปลาก็​ได้เยอะครับ​ ​แต่ยังขนลุกอยู่​

จากวันนั้น​มาผมก็ไม่หาปลาตอนกลางคืนอีกเลย​ ​แม้​จะ​เป็นตอนกลางวันก็เหอะ ​ถ้าสภาพแวดล้อมไม่น่าลงทุน ผมก็ขอบายล่ะครับ​

​เมื่อระยะเวลานานเข้าหลายๆ​เดือน ผมเริ่มชิน ​และเข้า​กับ​ที่นี่​ได้แล้ว​ ทุกอย่างก็เริ่มอยู่​ตัว วันหยุดก็เ​ที่ยวบ้างหยุดบ้างชวนพี่ตัวเล็กออกเ​ที่ยวไกลๆ​บ้าง ไทรโยก เอราวัณ สะพานข้ามแม่น้ำแคว..​และอีกหลายๆ​​ที่ของเมืองกาญจนบุรี เ​ที่ยวแบบ​ที่ว่า มาถึง​ที่แล้ว​ มีโอกาสแล้ว​ ก็​เอามันให้ทั่วจังหวัด​ไปเลย​

ทุกๆ​สิ้นเดือน ทุกๆ​ครั้ง​ที่เขียนจดหมายหาแม่ ท่านก็ตอบมาบ้าง​เป็นบางครั้งด้วยลายมือ อันสุดสวย​แม้​จะเขียนมาแค่สั้นๆ​เท่า​ที่ท่าน​จะเขียน​ได้ ​แต่ผมก็ดีใจครับ​ ​ส่วนเงินท่านบอกให้เก็บ​เอาไว้ไม่​ต้องส่งมาหรอก

งานหลวงอย่าให้ขาด งานราษฎร์อย่าให้ลืม แน่นอนครับว่า​...​อีกคน​ที่​กำลังเรียนอยู่​ มัธยมหก​จะจบอยู่​แล้ว​ (แฟนครับ​ แฟน) คนนี้ผมก็เขียนถึง (ก็มันรักเค้าน่ะครับ​) รักมันแค่คนเดียวนี่แหละ​ คิดว่า​เขาเรียนจบปริญญา​เมื่อไหร่ ​และผม​พร้อม พอถึงวันนั้น​..ผม​จะชวนแม่​ไปสอยทันที ​จะ​ได้​เอามากอดแล้ว​ก็กอดให้ตาย​ไปข้างเลย​ (นี่​ถ้าสมัยนั้น​โทรศัพท์มันราคาถูกเหมือนสมัยนี้ก็คง​จะดี คง​ได้คุยกันแทบทุกวัน)

อยู่​​ที่นี่​ส่วนมากผม​จะจดจำในสิ่ง​ที่แปลกๆ​จากพื้น​ที่อีสานบ้านเกิด ทุกสิ่ง​ที่อีสานบ้านนอกไม่มี ผม​จะจำ​เอาไว้เท่า​ที่​จะจำ​ได้ ผมว่ามัน​เป็นเรื่อง​ปรกตินะครับ​ ​ที่คน​ที่ราบสูงหรือคนแถบอีสาน​จะกระจายออก​ไปแทบทุกๆ​พื้น​ที่ แทบทุกจังหวัดในประเทศไทย นั่น​เพราะอีสาน​เป็นพื้น​ที่แห้งแล้งกันดารมากๆ​ ​เมื่อถึงหน้าแล้ง ก็​ต้องออกหางานต่างถิ่น ​เมื่อออก​ไปหาทำงานกันแล้ว​ ​ที่ปักหลักปักฐานต่างถิ่นก็เยอะ อย่างเช่นน้าผม​เป็นต้น

ผมทำงาน​ที่นี่​จะเกือบปีแล้ว​ เงินก็เก็บ​ได้มั่งแล้ว​ก็เก็บเดือนละ ๑,๕๐๐แบ่งค่า​กับข้าวช่วยน้าแกอีก​ส่วน ​แต่แกก็ปฏิเสธทุกที​ที่ผมยื่นเงินให้ ผมก็บอกรับไว้เถอะครับ​ น้าแกสองคนดี​และเมตตา​กับผมมากๆ​ ขนาดกรงพังพอนแกยังช่วยผมทำเลย​

การทำชลประทานของโครงการแม่กลองใหญ่นี่ มัน​เป็นอะไร​​ที่มากประโยชน์จริงๆ​ ชาวบ้าน​ได้น้ำ ผมก็​ได้งานทำ​และมีเงิน อีก​ทั้งยัง​ได้ประสบการณ์​และโลก​ที่กว้างขึ้น​ รวม​ไปถึง​ความรู้เรื่อง​การซ่อม​และอีกหลายๆ​อย่าง
"อ้อ!!! ​ได้พังพอนด้วยครับ​"

ผมทำงาน​ที่เมืองกาญจนบุรี อ.ท่าม่วง ครบ ๒ ปีตามสัญญาจ้าง นั่นก็หมายถึงว่าหมดสัญญา หมดงบประมาณ​ที่หลวง​เขา​จะจ้างแล้ว​ ​ซึ่ง​ต้องรอให้งบประมาณของปีถัดๆ​​ไปคลอดออกมาก่อน คนงาน​ต้องหยุดพัก​ไปอีกสองสามเดือน หาก​ใครอยากกลับมาทำอีก ก็​ต้องบอกพวกพ้อง​เอาไว้

ก็เหมือนเดิมแหละ​ครับ​ ​เมื่อพูดถึงงานหลวง เส้นสายของ​ใครของมันอย่าให้พันกัน ระบบราชการ​เป็นแบบนี้เลย​ กี่ยุคกี่ปีกี่พ.ศ ก็​เป็นอยู่​แบบนี้ หากอยากทำงานราชการ​ต้องมีเส้นมีสายมีพรรคพวก (หากมีเงินด้วย..ยิ่งแหล่ม) ผมบอกน้าว่าไม่ขอกลับมาทำอีก ​เพราะว่า​จะกลับ​ไปบวชให้แม่ แล้ว​ก็ออกหางาน​ที่​เป็นจริง​เป็นจังซะที น้าแกก็บอกอยากมา​เมื่อไรก็บอก "เดี๋ยวน้าจัดให้"

ร่วมๆ​สองปี​กับการทำงาน​ที่นี่ ผมเก็บเงิน​ได้ ๒๕,๐๐๐ บาท​ เอ้า!!แค่นี้ก็น่า​จะพอ..สำหรับงานบวช​ที่ไม่​ต้องจัดใหญ่โตนัก

พฤศจิกายน ๒๕๓๒ ผมลาทุกคน​ที่ท่าม่วงทุกๆ​คน​ที่สนิท​กับผม​และ​ที่เคารพนับถือ ​ส่วนพังพอน​ที่ผมเลี้ยงมันมาตั้งนานเกือบสองปี จริงก็อยาก​เอามันกลับโคราชด้วย ​แต่เห็นแววตาเจ้าหลานชายแล้ว​ ก็สงสารเด็กมัน ​เมื่อเห็นว่าเจ้าหลานชาย ​เขาก็รักเจ้า พังพอนเหมือนกัน ผมก็เลย​ยกให้หลานไว้ครับ​

ก่อนเดินทางน้าผู้หญิงแกยื่นซองเอกสารสีน้ำตาลให้ผม..​และบอกห้ามเปิดด้วย ​แต่​เอา​ไปให้แม่ผมเปิด

"​ได้ฤกษ์..​เมื่อไรก็โทรเลขมาบอกด้วยล่ะ..น้า​จะ​ได้เตรียมตัว​แต่เนิ่นๆ​นะ"

ผมไม่ใส่ใจ​กับซองนั้น​เท่าไรนัก ​เพราะคิดว่า​เป็นเรื่อง​ของน้า​กับแม่​แต่ก็เก็บใส่กระเป๋าอย่างดี

สองโมงเช้า​ผม​กับน้าชายออกจากเขื่อนแม่กลอง (พาลูก​เขามาก็​ต้องพากลับล่ะครับ​) ผมมองภาพสองข้างทางแล้ว​ก็จดจำภาพ​ที่นี่​เอาไว้ เท่า​ที่สมองผม​จะรับ​และเก็บบันทึก​ได้ ​เพราะไม่รู้ว่า​จะมีโอกาส​ได้มาเยือนอีก​เมื่อไร

ขอบคุณน้า​ทั้งสอง​และขอบคุณ​ที่แห่งนี้ ผู้คน​ที่นี่..​ที่ทำให้ผม​ได้​ความรู้​และประสบการณ์ใหม่ๆ​นอกบ้านเกิด อย่างน้อยๆ​​ได้​ความรู้ใหม่ๆ​​ที่ไม่​ได้เรียนมา ​ที่แห่งนี้ก็มี​ส่วนให้การเรียนรู้​กับผม​ซึ่งในอนาคต ​ต้อง​เป็นประโยชน์ต่อตัวเราแน่นอน

ผม​ได้ขึ้น​รถไฟ​ที่หัวลำโพง.ก็ตอนใกล้เ​ที่ยง น้าแกก็ใจดี ซื้อตั๋วให้อีก สุดยอดของน้าเลย​จริงๆ​ การ​ได้นั่งรถไฟนี่ ไม่ว่ากี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็ชอบครับ​​กับบรรยากาศการนั่งรถไฟ

กลับถึงบ้านก็​ได้สัมผัส​กับไออุ่นของมือเหี่ยวๆ​หยาบๆ​คู่เดิม มือ​ที่หอมสะอาดบริสุทธิ์อย่างไม่มีวันเบื่อหน่าย ​และผมก็บอก​กับท่านว่า ​พร้อมเต็ม​ที่แล้ว​ครับ​ ​กับการทำสิ่ง​ที่ผม​จะภูมิใจดีใจ ​และยิ่งใหญ่​ที่สุดในชีวิตครั้งนี้ครับ​ ลูกผู้ชายคนใด​ที่ไม่เคยกอดแม่คงไม่รู้หรอกครับว่า​ ช่างแสน​จะอบอุ่นจริงๆ​จากสัมผัสนี้ ​แม้​จะโต​เป็นหนุ่มแล้ว​ การกอดผู้​เป็นแม่ต่อหน้าสาธารณชนผมก็ไม่อายครับ​

ซอง​ที่น้าฝากมา ​เมื่อแม่ท่านเปิดออกมาท่านก็งง ผมเองก็งง..เหมือนกันครับ​ ​เพราะในซองนั้น​มีรูปของหลวงพ่อโต พรมรังสี ตรงนี้ไม่งงครับ​ มางงตรง​ที่มีซองเล็กอีกซอง ใส่เงินแบงก์ ๕๐๐ ​ทั้งนั้น​เลย​ นับๆ​ดูแล้ว​ก็ ๑๒,๐๐๐ ถ้วนๆ​ครับ​ ​และมีจดหมายแนบมาด้วย แม่ท่านก็ถามผม​และสงสัยว่าน้าแกให้เงินค่าอะไร​มา

ตอนแรกผมก็นึกว่าเงินยืมกัน น้าแกเขียนบอกว่า​เป็นเงิน​ที่ผมช่วยค่า​กับข้าว​กับน้าทุกๆ​เดือนนั่นล่ะ แกบอกแกไม่​ได้​เอามา​ใช้​ทั้งหมด ​ถ้าให้ผมตอน​ที่อยู่​ท่าม่วงผมคงไม่รับไว้แน่ๆ​ก็เลย​ใส่ซองฝากมาให้แม่ผม มิน่าล่ะครับ​ถึง​ได้กำชับผมไม่ให้เปิดดู

น้าแกเขียนบอกแม่ไม่​ต้องคิดมากให้คิดซะว่าช่วยกัน ​เพื่องานบวชของผม ผมเองก็ไม่รู้​จะสรรหาคำพูดแบบไหน มาพูดถึงน้า​ทั้งสอง​ได้มาก​ไปกว่านี้อีกแล้ว​ล่ะครับ​

ปี ๒๕๓๒ เดือนกุมภาพันธ์ผมก็​ได้บวชสม​ความตั้งใจ น้าๆ​​และญาติมากันครบ ลุงเชิด​กับพี่ตัวเล็กก็มาร่วมงานด้วย

วันนั้น​ใบหน้าของแม่ ช่างอิ่มเอิบสดใสอย่างเห็น​ได้ชัด ท่านดูไม่เหน็ดเหนื่อยเลย​ ​กับการต้อนรับแขก ยิ่งตอน​ที่ท่าน เห็นผมเดินออกมาจากโบสถ์ด้วยการห่มจีวร ผมมองเห็นน้ำตาแห่ง​ความปีติของท่าน จนผมเองก็กลั้นไม่อยู่​เหมือนกัน

ผม​ใช้เวลาอยู่​ในร่ม​พระธรรม ​เป็นเวลา ๑ พรรษาก็​ได้สึกออกมา​และออกตะลุยไขว่คว้าหาอนาคตให้​กับตัวเอง

​ทั้งหมด​ที่ผมเล่ามา​เป็นเพียง​ความทรงจำในวันวาน ​เมื่อนึกถึงสิ่งยิ่งใหญ่​ที่ลูกผู้ชายไทยอย่างผมพึง​ต้องกระทำ ​จะเหลือก็อีกอย่างนั่น​คือ การสร้างครอบครัว

ครอบครัว​ที่​เป็นของเรา ​จะอบอุ่นครบถ้วน​จะสุขหรือทุกข์ก็​ต้องขึ้น​อยู่​​กับเราเองในฐานะผู้ก่อตั้ง

สุดท้ายของเรื่อง​เล่า"สยายปีก"แล้ว​
ผมก็ขอให้ผู้อ่านทุกๆ​ท่าน..อ้อ!!! ตัวผมด้วยครับ​
จงเชื่อมั่นอยู่​ในตัวเอง​ที่​จะพาครอบครัวให้ยืนอยู่​อย่างมี​ความสุข..
​และมั่นคงตลอด​ไปครับ​ผม


*******************************************************

อิติฯ

 

F a c t   C a r d
Article ID S-3201 Article's Rate 7 votes
ชื่อเรื่อง สยายปีก --Series
ชื่อตอน กลับคอน --อ่านตอนอื่นที่ตีพิมพ์แล้ว คลิก!
ผู้แต่ง นายอิติฯ
ตีพิมพ์เมื่อ ๑๒ กรกฏาคม ๒๕๕๓
ตีพิมพ์ในคอลัมน์ ฉันเขียนให้เธออ่าน
จำนวนผู้เปิดอ่าน ๒๐๒ ครั้ง
จำนวนความเห็น ๓ ความเห็น
จำนวนดอกไม้รวม ๓๒
| | | |
เชิญโหวตให้เรตติ้งดอกไม้แก่ข้อเขียนนี้  
R e a d e r ' s   C o m m e n t
ความเห็นที่ ๑ : นาม อิสรา [C-17207 ], [110.49.204.7]
เมื่อวันที่ : ๑๒ ก.ค. ๒๕๕๓, ๑๗.๐๓ น.

สรุปว่าตอนนี้มีทายาทกี่โหลแล้ว​​-อ่า !!!


แล้ว​​ก็อย่าลืมกลับมาอั๊พเดทซะ อย่าเขียนทิ้งเขียนขว้าง ​​เพราะวันข้างหน้าอาจงัดออกมาแลกค่ากาแฟ​​ได้(​​เมื่อเรามีชื่อเสียง ​​และมือเข้าฝักแล้ว​​)

​​แต่อย่าลืม ณ เวลานี้ ​​ต้องตรวจทานเสียหน่อย​​

ตรวจทานเสร็จแล้ว​​ เห็นว่า ตรงไหนควรตัดทิ้ง​​เพราะไม่ให้สาระประโยชน์ หรือไม่ทำให้ข้อเขียนชวนอ่าน ก็ควรตัดทิ้ง​​ไป ตรงไหนยังขาด ๆ​​ เกิน ๆ​​ ก็เสริมเข้ามา

ลูกเล่นอย่า​​ใช้บ่อย มัน​​จะเลี่ยน ​​ต้องรู้จังหวะ​​จะโคน ​​เพราะผู้อ่านงานของเรามีหลายระดับ ตั้งแต่เด็ก ๆ​​ ​​ที่ชอบอ่านหนังสือ ​​ไปจนกระทั่งผู้เฒ่าผู้แก่​​ที่นิยมการพักผ่อนด้วยการอ่าน เรา​​ต้องหมั่นพยายามสร้างงานของเราให้อยู่​​ในระดับกลาง ๆ​​ เหมือน​​ที่​​เขาโฆษณาขายยา " ​​ใช้รับประทาน​​ได้​​ทั้ง เด็ก ผู้ใหญ่ ​​และคนชรา" ​​เมื่อมีชื่อเสียงแล้ว​​​​จะแหวกแนว​​ไปในทิศทางใดนั่นก็อีกเรื่อง​​หนึ่ง​​ ​​แต่ตอนนี้ขอให้เดินทาง​​ไปให้พ้นจุดเริ่มต้นเสียก่อน​​เป็น​​ใช้​​ได้

งานเขียนของเรา ​​ต้องหมั่นพยายาม​​ไปสู่จุดนั้น​​กันให้​​ได้ อย่าเสาะหาอุบัติเหตุ​​ที่​​จะทำให้​​ต้องทอดทิ้ง​​ความหวังเสียกลางคัน ​​ซึ่งผม​​ได้เคยมาแล้ว​​...​​

ผมเริ่มเขียนหนังสือตั้งแต่อายุ ๒๑ ปี ภาพประจำตัวในบอร์ดในบอร์ดนั่นแหละ​​ ​​กำลังปั่นต้นฉบับ​​ในห้องพักครูวันเสาร์-อาทิตย์ ​​เพื่อน ๆ​​ มันแอบถ่ายไว้ให้ ​​เพราะคิดว่า​​จะดัง ​​แต่​​ที่ไหน​​ได้ มัว​​แต่ทำ​​เป็นเล่น เขียน​​ได้เรื่อง​​สองเรื่อง​​ก็เงียบหาย ปีครึ่งปีก็กลับมาเขียนอีก แล้ว​​หาย​​ไปอีก กระทั่งใน​​ที่สุดก็ล้า ​​และเบื่อ เลย​​วางปากกาเสียดื้อ ๆ​​
เพิ่ง​​จะมาเริ่ม​​เอาจริง​​เอาจังอีกครั้งก็​​เมื่อตั้งท่า​​จะสาย​​ไปเสียแล้ว​​ เคราะห์ดี​​ที่มีต้นทุนการอ่านตุนไว้พอสมควร มิฉะนั้น​​การเริ่มต้นรอบนนี้ก็คง​​จะม้วนเสื่ออีกเช่นเคย ​​และถึงอย่างไรการกลับมาของผมครั้งนี้ ถือว่าประสบผลสำเร็จพอสมควร ​​เพราะรู้สึกว่า​​ ผม​​จะมี​​ความรอบคอบมากขึ้น​​ มีหูตากว้างขวางขึ้น​​ ​​จะพูดอะไร​​ ​​จะเขียนอะไร​​ ภายในสมองก็มีการ​​ใคร่ครวญขึ้น​​มาเสียก่อนอย่างอัตโนมัติ ​​ซึ่ง​​ถ้า​​แต่ก่อนผม​​เป็นแบบนี้(ตั้งใจจริง) ป่านนี้ก็คง​​ได้เดินเคียงบ่าเคียงไหล่​​กับ​​เพื่อนนักเขียนร่วมรุ่น​​ที่มีชื่อเสียงกัน​​ไปแล้ว​​ก็ไม่แน่ ​​ซึ่งมีอยู่​​หลายคน ​​ที่เริ่มต้นมาจากคอลัมน์ "​​เขาเริ่มต้น​​ที่นี่" ของหนังสือฟ้าเมืองไทยรายสัปดาห์ในสมัยก่อน ​​แต่อย่า​​ไปเอ่ยถึง​​เขาเลย​​ บางครั้งบางเวลา คนเราก็ครองตน ครองชวิตอยู่​​ในสภาวะ​​ที่แตกต่างกัน ​​จะให้หยิบจับอะไร​​ ๆ​​ มาทำเหมือน ๆ​​ กันคง​​จะไม่​​ได้ จึง​​ต้องทาง​​ใครทางมัน​​เป็นธรรมดา คุณอิติน่า​​จะเพิ่งเริ่มต้น ​​เพราะฉะนั้น​​จงเริ่มอย่างมีสติ​​กำลัง ช้า ๆ​​ หนัก ๆ​​ ​​เอาทีเดียวให้อยู่​​ เหมือนนักมวยปล่อยหมัดเด็ด ​​ต้องกะจังหวะ ​​ต้องศึกษาลู่ทางให้ดี อย่าขี้เกียจฝึกซ้อม ไม่นานเกินรอ คุณก็​​จะ​​ได้​​เป็นนักจับปากเขียนหนังสือ​​ได้อย่างสบาย ฯลฯ

ขอให้​​ความสำเร็จจงเป้นของคุณ

แจ้งลบข้อความ


ความเห็นที่ ๒ : อิติฯ [C-17208 ], [125.24.40.212]
เมื่อวันที่ : ๑๒ ก.ค. ๒๕๕๓, ๑๘.๑๕ น.

ขอบคุณนะครับ​​พี่นามฯสำหรับคำแนะนำ
​​เป็นคอมเม้น​​ที่ มีค่า​​กับผมมากเลย​​

สยายปีก..คงไม่มีอัพ ​​เพราะผมเขียนในช่วง​​ที่ผมคิดถึงอำเภอท่าม่วงครับ​​

ขอบคุณทุกท่านอีกครั้งนะครับ​​​​ที่เข้ามาอ่าน
​​และ​​กำลังใจ​​ที่มีให้​​กับคนเขียนมือใหม่อย่างอิติฯ

ขอบคุณครับ​​

แจ้งลบข้อความ


ความเห็นที่ ๓ : Rotjana Geneva [C-17212 ], [82.112.222.40]
เมื่อวันที่ : ๑๔ ก.ค. ๒๕๕๓, ๑๑.๓๙ น.

อ้าว จบแล้ว​​หรือคะ​​

อ่านเพลินดีค่ะ​​ ​​จะว่า​​เป็นเรื่อง​​สั้นขนาดยาวคงไม่เชิง ​​แต่​​เป็นเรื่ืองเล่าประสบการณ์ชีวิตของลูกผู้ชายคนหนึ่ง​​

ขอมอบ ให้นะคะ​​

วันหลังมีเรื่อง​​อื่นอยากเล่าอีก ก็เชิญนะคะ​​

อ่าน​​ความคิดเห็นของคุณนามฯแล้ว​​ก็พลอย​​ได้ข้อคิด​​ไปด้วยค่ะ​​

คุณนามฯค่ะ​​ ชั่วโมงบินก็​​เป็นสิ่งสำคัญอย่าง​​ที่ว่านะคะ​​ ยิ่งเขียนมากก็ยิ่งเข้าฝัก ​​ได้ทำผิดพลาดบ้างก็​​เป็นครู​​ที่ดีทำให้เราปรับปรุงงานเขียนของเรา​​ไปเรื่อย ๆ​​ ค่ะ​​ คงมีน้อยคนนัก​​ที่เขียนปุ๊บก็ติดปั๊บเลย​​

แจ้งลบข้อความ


สั่งให้ระบบส่งเมลแจ้งการเพิ่มเติมความเห็น
 ศาลานกน้อย พร้อมบริการเสมอ และยินดีรับฟังข้อเสนอแนะจากทุกท่าน  ติดต่อเว็บมาสเตอร์ได้ทางคอลัมน์ คุยกับลุงเปี๊ยก หรือทางอีเมลได้ที่ uncle-piak@noknoi.com  พัฒนาระบบ : ธีรพงษ์ สุทธิวราภิรักษ์  โลโกนกน้อย : สุชา สนิทวงศ์  ภาพดอกไม้ในนกแชท : ณัฐพร บุญประภา  ลิขสิทธิ์งานเขียนในนิตยสารรายสะดวก เป็นของผู้เขียนเรื่องนั้น  ข้อความที่โพสบนเว็บไซต์แห่งนี้ เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้โพสทั้งสิ้น