![]() |
![]() |
นายอิติฯ![]() |
ตอน : กลับคอน
ผมมีความสุขกับการออกทำงานตามแค้มป์ซึ่งจะมีอยู่สองที่ เทียวไปเทียวมาระหว่างอ.พนมทวน กับ สองพี่น้อง และเริ่มชินกับการตื่นแต่เช้ากลับค่ำ การนั่งบนรถเพื่อออกไปทำงานตอนเช้ามืด ระยะแรกๆ จากไม่เคยนั่งหลับ..ต่อมาก็นอนยาวเลยตั้งแต่เขื่อนจนถึงแค้มป์ หนูก็กินซะจนเอียน ปลาก็หาจับเอากะลุงเชิดที่ไต้เขื่อนแม่กลองนั่นล่ะครับ ได้มาก็ตากแห้งเอาไว้ทอดห่อเป็นกับข้าวส่วนเจ้าพังพอนผมเลี้ยงดูมันอย่างดี กรงใหญ่พอดู อาหารเพียบ หลานชายผมดูแลเต็มที่ มันยังเคยชวนผมไปหาซื้องูเห่า.แล้วเอามาใส่กรงพังพอนให้มันกัดกันดูซิว่าใครมันจะชนะ มันช่างเข้าใจคิดนะครับ ผมก็เลยบอกว่าไม่ได้หรอกมันไม่เป็นตามธรรมชาติปล่อยให้กัดกันในกรง มีหวังตายทั้งคู่
พูดถึงการหาปลาที่ใต้เขื่อนแม่กลองแล้ว ต้องขอเล่าถึงความเจ็บปนขนลุกอีกอย่างหนึ่งซักกะ หน่อยนะครับ
คืออย่างนี้นะ (ขยับเก้าอี้นั่งดีครับ

ทุกวันหยุดผมจะออกหาปลากับลุงเชิดแกบ่อยมาก ก่อนไปก็ต้องเผาหัวกันก่อนด้วยเชียงชุนเจ้าเก่านั่นเลยเอาพอคึกคักครับ จะมีไปทั้งตอนกลางวันและตอนกลางคืนส่วนมากตอนกลางคืนจะได้ปลาเยอะกว่าตอนกลางวัน อุปกรณ์ที่ใช้ก็แหกับตาข่าย ชาวบ้านที่นี่หากันทุกวัน
ปลาที่ผมชอบมากๆก็คือปลากระทิงครับทอดแล้วอร่อยหยั่งงี้เลยขอบอก มีอยู่คืนหนึ่ง และจะเป็นคืนสุดท้าย คืนสุดท้ายจริงๆครับที่ผมจะไม่ และก็ไม่..ออกไปหาปลาใต้เขื่อนตอนกลางคืนอีกแล้ว ที่จำได้ผมออกหาปลากับลุงเชิดตอนกลางคืนนับได้ก็สามสี่ครั้ง มันก็ปรกติดีอยู่หรอก แต่ครั้งหลังนี้ทั้งเจ็บและทั้งขนลุก
หนึ่งทุ่ม วันนั้นผมก็ออกไปด้วยมอไซด์คันงามคันเดิม เชี่ยงชุนกำลังขับเหงื่อให้คึกคัก ส่วนลุงเชิดแกก็ไปของแกอีกคันมีเหน็บใส่ขวดกระทิงแดงไปด้วย ผมจะลงวางตาข่ายตรงริมตลิ่งที่น้ำไม่ค่อยลึกนักเพราะถ้าลงไปลึกกว่านั้น น้ำที่ปล่อยลงมาจากเขื่อนจะแรงมากจนพยุงตัวแทบไม่ไหว แถวขอบตลิ่งเหมาะที่สุดครับ มันจะมีหินเล็กบ้างใหญ่บ้างก็หินที่เค้าขนมาทำเขื่อนนั่นล่ะ ซึ่งตรงบริเวณตรงนี้น้ำไหลไม่ค่อยแรงเท่าไร ความลึกก็แค่ระดับเอวปลาส่วนใหญ่ก็จะอยู่ตามซอกหิน วางตาข่ายซักพักปลาตะเพียนปลาสร้อยมันก็ติดกันให้พรึบแล้ว ต่างกับตอนกลางวันไม่ค่อยติดเยอะ ลุงเชิดแกก็บอกปล่อยไว้ก่อนเลย ขากลับค่อยเก็บทีเดียว เอาแหมาเหวี่ยงดีกว่าเผื่อได้ตัวใหญ่ๆ เมื่อแกเสนอมา..ผมก็สนองซิครับ ว่าไงว่าตามกันอยู่แล้ว
แหของผมถูกเหวี่ยงลงใกล้ๆกลับลงเชิดนั่นล่ะ แกบอกต้องอยู่ใกล้กันเข้าไว้ เพราะน้ำมันแรง มีอะไรจะได้ช่วยกัน แสงไฟจากเขื่อนที่สาดส่องลงมา พอให้มองเห็นกันลางๆ แต่ก็มีไฟที่สวมไว้บนศีรษะช่วยอีกแรง แหถูกเหวี่ยงครั้งแล้วครั้งเล่า ก็พอได้ตัวโตๆ ขึ้นมาบ้างแล้ว ๖-๗ ตัว แต่ไอ้ครั้งล่าสุดนี่สิครับ ตอนดึงๆลากๆมือก็ค่อยสาวๆเข้ามาเรื่อยๆ มันสัมผัสได้ถึงการดิ้นดุ่กๆ ผมก็บอกลุงเชิดว่า ท่าทางจะตัวโตทีเดียว ลุงแกก็รีบมาที่ผมเลย
"อย่าพึ่งลาก..เดี๋ยวมันหลุด" ลุงเชิดแกบอก
"เนี่ยลุง มันยังดิ้นดึงแหอยู่ครับ" ผมตะโกนเสียงดัง แข่งกับเสียงน้ำที่ตัวเขื่อน
"มา..เดี๋ยวลุงงมเอง" แกรวบเก็บแหของแกตรงมาที่ผม
"ไม่เป็นไรลุง..เดี๋ยวผมเองครับ..เอ้า!!! ลุงมาจับแหและถือไฟให้ผมด้วย เดี๋ยวผมจะมุดลงไปหักคอมันเอง"
"เฮ้ย!! เอางั้นเลยรึ" ลุงเชิดถามด้วยความเป็นห่วง เพราะกระแสน้ำมันยังไหลแรงอยู่
"ไม่เป็นไรลุง...เรื่องดำน้ำจิ๊บจ้อยๆ"
ผมรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ปลาตัวใหญ่ไปโชว์ ผมดำลงไป แป๊บเดียวก็ต้องโผล่พรวดขึ้นมา คว้าไฟฉายจากมือลุงเชิดได้ ผมก็กระโจนขึ้นฝั่งเลยครับ
"ลุง!! มันไม่ใช่ปลาครับลุง แถมกัดมือผมอีก" ผมตะโกนลงไปเมื่อยืนตั้งหลักได้บนก้อนหินขนาดเขื่อง
"งู..มันคืองูครับลุง แต่ไม่รู้งูอะไร ที่รู้ๆไม่ได้มีแค่ตัวเดียวแน่ๆตัวใหญ่ด้วยลุง!!"
ทีแรกลุงเชิดแกก็ไม่เชื่อที่ผมพูดหรอกจะเชื่อหรือไม่เชื่อผมไม่สนแล้วครับตอนนี้ขอยกทัพขึ้นบกเอาไว้ก่อนเป็นดีสุดล่ะ พอแกลากแหขึ้นมาเท่านั้นแหล่ะ พี่น้องเอ๊ย.ย.ย...งูเหลือมตัวเท่าแขนสองตัว ผมก็ได้แต่ยืนส่องไฟดูห่างๆ ลุงแกบอกไม่เห็นต้องกลัวเลย แค่งูเหลือมมันไม่มีพิษหรอกชาวบ้านเขาก็เจอกันเยอะแยะไป
"เง้อ!!! ลุงพูดง่ายเนาะ ถ้ามันงูที่มีพิษล่ะ"
แกก็ยังบอกอีกว่า งูมีพิษที่ไหนจะมาอยู่ในน้ำ ผมก็ว่าจะเถียงแล้วว่ามีเยอะแยะไป แต่จะมีพิษหรือไม่มี ผมคนหนึ่งล่ะครับ ขึ้นชื่อว่างูแล้วล่ะก็...ขออยู่ห่างๆก่อนเลยดีกว่า คืนนั้นผมปล่อยให้ลุงเชิดเก็บตาข่ายคนเดียว ปลาก็ได้เยอะครับ แต่ยังขนลุกอยู่
จากวันนั้นมาผมก็ไม่หาปลาตอนกลางคืนอีกเลย แม้จะเป็นตอนกลางวันก็เหอะ ถ้าสภาพแวดล้อมไม่น่าลงทุน ผมก็ขอบายล่ะครับ
เมื่อระยะเวลานานเข้าหลายๆเดือน ผมเริ่มชิน และเข้ากับที่นี่ได้แล้ว ทุกอย่างก็เริ่มอยู่ตัว วันหยุดก็เที่ยวบ้างหยุดบ้างชวนพี่ตัวเล็กออกเที่ยวไกลๆบ้าง ไทรโยก เอราวัณ สะพานข้ามแม่น้ำแคว..และอีกหลายๆที่ของเมืองกาญจนบุรี เที่ยวแบบที่ว่า มาถึงที่แล้ว มีโอกาสแล้ว ก็เอามันให้ทั่วจังหวัดไปเลย
ทุกๆสิ้นเดือน ทุกๆครั้งที่เขียนจดหมายหาแม่ ท่านก็ตอบมาบ้างเป็นบางครั้งด้วยลายมือ อันสุดสวยแม้จะเขียนมาแค่สั้นๆเท่าที่ท่านจะเขียนได้ แต่ผมก็ดีใจครับ ส่วนเงินท่านบอกให้เก็บเอาไว้ไม่ต้องส่งมาหรอก
งานหลวงอย่าให้ขาด งานราษฎร์อย่าให้ลืม แน่นอนครับว่า...อีกคนที่กำลังเรียนอยู่ มัธยมหกจะจบอยู่แล้ว (แฟนครับ แฟน) คนนี้ผมก็เขียนถึง (ก็มันรักเค้าน่ะครับ) รักมันแค่คนเดียวนี่แหละ คิดว่าเขาเรียนจบปริญญาเมื่อไหร่ และผมพร้อม พอถึงวันนั้น..ผมจะชวนแม่ไปสอยทันที จะได้เอามากอดแล้วก็กอดให้ตายไปข้างเลย (นี่ถ้าสมัยนั้นโทรศัพท์มันราคาถูกเหมือนสมัยนี้ก็คงจะดี คงได้คุยกันแทบทุกวัน)
อยู่ที่นี่ส่วนมากผมจะจดจำในสิ่งที่แปลกๆจากพื้นที่อีสานบ้านเกิด ทุกสิ่งที่อีสานบ้านนอกไม่มี ผมจะจำเอาไว้เท่าที่จะจำได้ ผมว่ามันเป็นเรื่องปรกตินะครับ ที่คนที่ราบสูงหรือคนแถบอีสานจะกระจายออกไปแทบทุกๆพื้นที่ แทบทุกจังหวัดในประเทศไทย นั่นเพราะอีสานเป็นพื้นที่แห้งแล้งกันดารมากๆ เมื่อถึงหน้าแล้ง ก็ต้องออกหางานต่างถิ่น เมื่อออกไปหาทำงานกันแล้ว ที่ปักหลักปักฐานต่างถิ่นก็เยอะ อย่างเช่นน้าผมเป็นต้น
ผมทำงานที่นี่จะเกือบปีแล้ว เงินก็เก็บได้มั่งแล้วก็เก็บเดือนละ ๑,๕๐๐แบ่งค่ากับข้าวช่วยน้าแกอีกส่วน แต่แกก็ปฏิเสธทุกทีที่ผมยื่นเงินให้ ผมก็บอกรับไว้เถอะครับ น้าแกสองคนดีและเมตตากับผมมากๆ ขนาดกรงพังพอนแกยังช่วยผมทำเลย
การทำชลประทานของโครงการแม่กลองใหญ่นี่ มันเป็นอะไรที่มากประโยชน์จริงๆ ชาวบ้านได้น้ำ ผมก็ได้งานทำและมีเงิน อีกทั้งยังได้ประสบการณ์และโลกที่กว้างขึ้น รวมไปถึงความรู้เรื่องการซ่อมและอีกหลายๆอย่าง
"อ้อ!!! ได้พังพอนด้วยครับ"
ผมทำงานที่เมืองกาญจนบุรี อ.ท่าม่วง ครบ ๒ ปีตามสัญญาจ้าง นั่นก็หมายถึงว่าหมดสัญญา หมดงบประมาณที่หลวงเขาจะจ้างแล้ว ซึ่งต้องรอให้งบประมาณของปีถัดๆไปคลอดออกมาก่อน คนงานต้องหยุดพักไปอีกสองสามเดือน หากใครอยากกลับมาทำอีก ก็ต้องบอกพวกพ้องเอาไว้
ก็เหมือนเดิมแหละครับ เมื่อพูดถึงงานหลวง เส้นสายของใครของมันอย่าให้พันกัน ระบบราชการเป็นแบบนี้เลย กี่ยุคกี่ปีกี่พ.ศ ก็เป็นอยู่แบบนี้ หากอยากทำงานราชการต้องมีเส้นมีสายมีพรรคพวก (หากมีเงินด้วย..ยิ่งแหล่ม) ผมบอกน้าว่าไม่ขอกลับมาทำอีก เพราะว่าจะกลับไปบวชให้แม่ แล้วก็ออกหางานที่เป็นจริงเป็นจังซะที น้าแกก็บอกอยากมาเมื่อไรก็บอก "เดี๋ยวน้าจัดให้"
ร่วมๆสองปีกับการทำงานที่นี่ ผมเก็บเงินได้ ๒๕,๐๐๐ บาท เอ้า!!แค่นี้ก็น่าจะพอ..สำหรับงานบวชที่ไม่ต้องจัดใหญ่โตนัก
พฤศจิกายน ๒๕๓๒ ผมลาทุกคนที่ท่าม่วงทุกๆคนที่สนิทกับผมและที่เคารพนับถือ ส่วนพังพอนที่ผมเลี้ยงมันมาตั้งนานเกือบสองปี จริงก็อยากเอามันกลับโคราชด้วย แต่เห็นแววตาเจ้าหลานชายแล้ว ก็สงสารเด็กมัน เมื่อเห็นว่าเจ้าหลานชาย เขาก็รักเจ้า พังพอนเหมือนกัน ผมก็เลยยกให้หลานไว้ครับ
ก่อนเดินทางน้าผู้หญิงแกยื่นซองเอกสารสีน้ำตาลให้ผม..และบอกห้ามเปิดด้วย แต่เอาไปให้แม่ผมเปิด
"ได้ฤกษ์..เมื่อไรก็โทรเลขมาบอกด้วยล่ะ..น้าจะได้เตรียมตัวแต่เนิ่นๆนะ"
ผมไม่ใส่ใจกับซองนั้นเท่าไรนัก เพราะคิดว่าเป็นเรื่องของน้ากับแม่แต่ก็เก็บใส่กระเป๋าอย่างดี
สองโมงเช้าผมกับน้าชายออกจากเขื่อนแม่กลอง (พาลูกเขามาก็ต้องพากลับล่ะครับ) ผมมองภาพสองข้างทางแล้วก็จดจำภาพที่นี่เอาไว้ เท่าที่สมองผมจะรับและเก็บบันทึกได้ เพราะไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้มาเยือนอีกเมื่อไร
ขอบคุณน้าทั้งสองและขอบคุณที่แห่งนี้ ผู้คนที่นี่..ที่ทำให้ผมได้ความรู้และประสบการณ์ใหม่ๆนอกบ้านเกิด อย่างน้อยๆได้ความรู้ใหม่ๆที่ไม่ได้เรียนมา ที่แห่งนี้ก็มีส่วนให้การเรียนรู้กับผมซึ่งในอนาคต ต้องเป็นประโยชน์ต่อตัวเราแน่นอน
ผมได้ขึ้นรถไฟที่หัวลำโพง.ก็ตอนใกล้เที่ยง น้าแกก็ใจดี ซื้อตั๋วให้อีก สุดยอดของน้าเลยจริงๆ การได้นั่งรถไฟนี่ ไม่ว่ากี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็ชอบครับกับบรรยากาศการนั่งรถไฟ
กลับถึงบ้านก็ได้สัมผัสกับไออุ่นของมือเหี่ยวๆหยาบๆคู่เดิม มือที่หอมสะอาดบริสุทธิ์อย่างไม่มีวันเบื่อหน่าย และผมก็บอกกับท่านว่า พร้อมเต็มที่แล้วครับ กับการทำสิ่งที่ผมจะภูมิใจดีใจ และยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตครั้งนี้ครับ ลูกผู้ชายคนใดที่ไม่เคยกอดแม่คงไม่รู้หรอกครับว่า ช่างแสนจะอบอุ่นจริงๆจากสัมผัสนี้ แม้จะโตเป็นหนุ่มแล้ว การกอดผู้เป็นแม่ต่อหน้าสาธารณชนผมก็ไม่อายครับ
ซองที่น้าฝากมา เมื่อแม่ท่านเปิดออกมาท่านก็งง ผมเองก็งง..เหมือนกันครับ เพราะในซองนั้นมีรูปของหลวงพ่อโต พรมรังสี ตรงนี้ไม่งงครับ มางงตรงที่มีซองเล็กอีกซอง ใส่เงินแบงก์ ๕๐๐ ทั้งนั้นเลย นับๆดูแล้วก็ ๑๒,๐๐๐ ถ้วนๆครับ และมีจดหมายแนบมาด้วย แม่ท่านก็ถามผมและสงสัยว่าน้าแกให้เงินค่าอะไรมา
ตอนแรกผมก็นึกว่าเงินยืมกัน น้าแกเขียนบอกว่าเป็นเงินที่ผมช่วยค่ากับข้าวกับน้าทุกๆเดือนนั่นล่ะ แกบอกแกไม่ได้เอามาใช้ทั้งหมด ถ้าให้ผมตอนที่อยู่ท่าม่วงผมคงไม่รับไว้แน่ๆก็เลยใส่ซองฝากมาให้แม่ผม มิน่าล่ะครับถึงได้กำชับผมไม่ให้เปิดดู
น้าแกเขียนบอกแม่ไม่ต้องคิดมากให้คิดซะว่าช่วยกัน เพื่องานบวชของผม ผมเองก็ไม่รู้จะสรรหาคำพูดแบบไหน มาพูดถึงน้าทั้งสองได้มากไปกว่านี้อีกแล้วล่ะครับ
ปี ๒๕๓๒ เดือนกุมภาพันธ์ผมก็ได้บวชสมความตั้งใจ น้าๆและญาติมากันครบ ลุงเชิดกับพี่ตัวเล็กก็มาร่วมงานด้วย
วันนั้นใบหน้าของแม่ ช่างอิ่มเอิบสดใสอย่างเห็นได้ชัด ท่านดูไม่เหน็ดเหนื่อยเลย กับการต้อนรับแขก ยิ่งตอนที่ท่าน เห็นผมเดินออกมาจากโบสถ์ด้วยการห่มจีวร ผมมองเห็นน้ำตาแห่งความปีติของท่าน จนผมเองก็กลั้นไม่อยู่เหมือนกัน
ผมใช้เวลาอยู่ในร่มพระธรรม เป็นเวลา ๑ พรรษาก็ได้สึกออกมาและออกตะลุยไขว่คว้าหาอนาคตให้กับตัวเอง
ทั้งหมดที่ผมเล่ามาเป็นเพียงความทรงจำในวันวาน เมื่อนึกถึงสิ่งยิ่งใหญ่ที่ลูกผู้ชายไทยอย่างผมพึงต้องกระทำ จะเหลือก็อีกอย่างนั่นคือ การสร้างครอบครัว
ครอบครัวที่เป็นของเรา จะอบอุ่นครบถ้วนจะสุขหรือทุกข์ก็ต้องขึ้นอยู่กับเราเองในฐานะผู้ก่อตั้ง
สุดท้ายของเรื่องเล่า"สยายปีก"แล้ว
ผมก็ขอให้ผู้อ่านทุกๆท่าน..อ้อ!!! ตัวผมด้วยครับ
จงเชื่อมั่นอยู่ในตัวเองที่จะพาครอบครัวให้ยืนอยู่อย่างมีความสุข..
และมั่นคงตลอดไปครับผม
*******************************************************
อิติฯ
เมื่อวันที่ : ๑๒ ก.ค. ๒๕๕๓, ๑๗.๐๓ น.
สรุปว่าตอนนี้มีทายาทกี่โหลแล้ว-อ่า !!!
แล้วก็อย่าลืมกลับมาอั๊พเดทซะ อย่าเขียนทิ้งเขียนขว้าง เพราะวันข้างหน้าอาจงัดออกมาแลกค่ากาแฟได้(เมื่อเรามีชื่อเสียง และมือเข้าฝักแล้ว)
แต่อย่าลืม ณ เวลานี้ ต้องตรวจทานเสียหน่อย
ตรวจทานเสร็จแล้ว เห็นว่า ตรงไหนควรตัดทิ้งเพราะไม่ให้สาระประโยชน์ หรือไม่ทำให้ข้อเขียนชวนอ่าน ก็ควรตัดทิ้งไป ตรงไหนยังขาด ๆ เกิน ๆ ก็เสริมเข้ามา
ลูกเล่นอย่าใช้บ่อย มันจะเลี่ยน ต้องรู้จังหวะจะโคน เพราะผู้อ่านงานของเรามีหลายระดับ ตั้งแต่เด็ก ๆ ที่ชอบอ่านหนังสือ ไปจนกระทั่งผู้เฒ่าผู้แก่ที่นิยมการพักผ่อนด้วยการอ่าน เราต้องหมั่นพยายามสร้างงานของเราให้อยู่ในระดับกลาง ๆ เหมือนที่เขาโฆษณาขายยา " ใช้รับประทานได้ทั้ง เด็ก ผู้ใหญ่ และคนชรา" เมื่อมีชื่อเสียงแล้วจะแหวกแนวไปในทิศทางใดนั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ตอนนี้ขอให้เดินทางไปให้พ้นจุดเริ่มต้นเสียก่อนเป็นใช้ได้
งานเขียนของเรา ต้องหมั่นพยายามไปสู่จุดนั้นกันให้ได้ อย่าเสาะหาอุบัติเหตุที่จะทำให้ต้องทอดทิ้งความหวังเสียกลางคัน ซึ่งผมได้เคยมาแล้ว...
ผมเริ่มเขียนหนังสือตั้งแต่อายุ ๒๑ ปี ภาพประจำตัวในบอร์ดในบอร์ดนั่นแหละ กำลังปั่นต้นฉบับในห้องพักครูวันเสาร์-อาทิตย์ เพื่อน ๆ มันแอบถ่ายไว้ให้ เพราะคิดว่าจะดัง แต่ที่ไหนได้ มัวแต่ทำเป็นเล่น เขียนได้เรื่องสองเรื่องก็เงียบหาย ปีครึ่งปีก็กลับมาเขียนอีก แล้วหายไปอีก กระทั่งในที่สุดก็ล้า และเบื่อ เลยวางปากกาเสียดื้อ ๆ
เพิ่งจะมาเริ่มเอาจริงเอาจังอีกครั้งก็เมื่อตั้งท่าจะสายไปเสียแล้ว เคราะห์ดีที่มีต้นทุนการอ่านตุนไว้พอสมควร มิฉะนั้นการเริ่มต้นรอบนนี้ก็คงจะม้วนเสื่ออีกเช่นเคย และถึงอย่างไรการกลับมาของผมครั้งนี้ ถือว่าประสบผลสำเร็จพอสมควร เพราะรู้สึกว่า ผมจะมีความรอบคอบมากขึ้น มีหูตากว้างขวางขึ้น จะพูดอะไร จะเขียนอะไร ภายในสมองก็มีการใคร่ครวญขึ้นมาเสียก่อนอย่างอัตโนมัติ ซึ่งถ้าแต่ก่อนผมเป็นแบบนี้(ตั้งใจจริง) ป่านนี้ก็คงได้เดินเคียงบ่าเคียงไหล่กับเพื่อนนักเขียนร่วมรุ่นที่มีชื่อเสียงกันไปแล้วก็ไม่แน่ ซึ่งมีอยู่หลายคน ที่เริ่มต้นมาจากคอลัมน์ "เขาเริ่มต้นที่นี่" ของหนังสือฟ้าเมืองไทยรายสัปดาห์ในสมัยก่อน แต่อย่าไปเอ่ยถึงเขาเลย บางครั้งบางเวลา คนเราก็ครองตน ครองชวิตอยู่ในสภาวะที่แตกต่างกัน จะให้หยิบจับอะไร ๆ มาทำเหมือน ๆ กันคงจะไม่ได้ จึงต้องทางใครทางมันเป็นธรรมดา คุณอิติน่าจะเพิ่งเริ่มต้น เพราะฉะนั้นจงเริ่มอย่างมีสติกำลัง ช้า ๆ หนัก ๆ เอาทีเดียวให้อยู่ เหมือนนักมวยปล่อยหมัดเด็ด ต้องกะจังหวะ ต้องศึกษาลู่ทางให้ดี อย่าขี้เกียจฝึกซ้อม ไม่นานเกินรอ คุณก็จะได้เป็นนักจับปากเขียนหนังสือได้อย่างสบาย ฯลฯ
ขอให้ความสำเร็จจงเป้นของคุณ