![]() |
![]() |
นายอิติฯ![]() |
...พ.ศ. ๒๕๓๐ "ที่นี่สถานีชุมทางถนนจิระ ท่านผู้โดยสารที่มีความประสงค์จะลงสถานีชุมทางถนนจิระ โปรดตรวจดูสัมภาระสิ่งของให้เรียบร้อยก่อนลงจากขบวนรถ ส่วน...
ตอน : ไกลรัง
พ.ศ. ๒๕๓๐"ที่นี่สถานีชุมทางถนนจิระ
ท่านผู้โดยสารที่มีความประสงค์จะลงสถานีชุมทางถนนจิระ
โปรดตรวจดูสัมภาระสิ่งของให้เรียบร้อยก่อนลงจากขบวนรถ
ส่วนผู้โดยสารที่จะเดินทางไปกับขบวนรถดีเซลรางเที่ยวล่อง อุดรปลายทางกรุงเทพ
ท่านที่ยังไม่ซื้อตั๋ว กรุณาซื้อตั๋ว ก่อนขึ้นขบวนรถ ด้วยค่ะ
การรถไฟยินดีบริการ..ขอให้ทุกท่านเดินทางโดยสวัสดิ์ภาพ...ขอบคุณค่ะ"
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
นั่นเป็นเสียงประกาศจากเจ้าหน้าที่ (น่าจะสาวและสวยด้วยโดยวิเคราะห์จากเสียงที่ได้ยิน) ประจำสถานีรถไฟจิระ จังหวัดนครราชสีมา นี่เป็นครั้งแรกของหนุ่มน้อย (หน้าตาออกจะดี) จะได้เริ่มชีวิตการทำงานจริงๆจังซะที
การเดินทางที่ไกลขึ้นและห่างจากบ้านเกิดมากขึ้น สิ่งที่จะเจอะเจอต่อไปจากนี้ มันทำให้ผมทั้งตื่นเต้นและประหม่า เหมือนนกตัวหนึ่ง ที่มันเริ่มที่จะบินออกไปให้ไกลจากรัง แน่นอนครับว่าคนเราเมื่อเติบใหญ่ขึ้นมาต้องดูแลตัวเอง สร้างครอบครัวของตัวเอง แต่นั้นมันคือ "อนาคต" ครับ
ส่วนจุดหมายหลักที่ผมตั้งใจต่อจากนี้ คือการทำงานเองเก็บเงินเอง..เพื่อบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต ที่ลูกผู้ชายคนหนึ่ง..อย่างผมจะได้ทำสิ่งนี้อย่างเต็มภาคภูมิ ให้กับผู้ให้กำเนิดและอบรมสั่งสอนผมมาจนเติบใหญ่
พรที่แม่ให้ ก่อนออกบ้านเมื่อเช้ามืด ผมรับมาและจดจำไว้อย่างมีสุขและอิ่มใจ มือเหี่ยวๆ หยาบกร้านที่ผมเห็นมาจนชิน มือนั้นหอม และอบอุ่นเสมอที่ได้สัมผัสเพราะมันเป็นมือที่สวยสะอาดที่สุดที่ผมเคยเห็นมา
"อีก 2 ปี ผมจะกลับมาบวชให้แม่ครับ"
นั่นคือคำสัญญา ที่ผมให้ไว้กับท่าน ปลายทางของผมคือเมืองกาญจนบุรี เพราะน้าชายฝากฝังงานให้ทำที่นั่น
โดยน้าต้องมาคอยรับผมที่หัวลำโพง
เคยแต่ได้ยินครับ ว่า "หัวลำโพง" แต่ไม่เคยเห็นไม่เคยไป เอาวะ!!!...มันคงไม่ต่างจากบ้านเราหรอกมองหาแป๊บเดี๋ยวก็คงเจอน้าชาย ผมก็ขึ้นรถไฟไปแบบสบายๆ โดยไม่ต้องไปเครียดเรื่องน้าเลย วันนั้นบนขบวนรถคนไม่ค่อยเยอะผมหาที่นั่งเหมาะๆริมหน้าต่างตู้ขบวนสดท้ายกะนั่งกินลมชมวิวเต็มที่ครับ ชั้น 3 เหมาะสุดๆแล้ว...สำหรับผม
ปู้น.น.น.น....!!!!!
เมื่อขบวนรถเริ่มเคลื่อนตัวออกจนค่อยยืนระยะปรกติไม่เร็วมากนัก มองสองข้างทางเมื่อก่อนกับทุกวันนี้ก็ไม่ค่อยเปลี่ยนซักเท่าไร การปลูกผักของชาวสวนที่นี่ดูจะมีให้เห็นมาจนถึงทุกวันนี้ครับ ขบวนรถจอดสถานีนครราชสีมาอีกครั้ง
ที่นี่จะเป็นชุมทางที่ใหญ่กว่าจิระนิดหน่อย ซักพักขบวนรถก็เคลื่อนออก..การเดินทางออกจากบ้านเกิดก็เริ่มต้นขึ้นด้วยความตื่นเต้นของผมเอง ตลอดสองข้างทางที่รถวิ่งผ่านสถานี แล้ว..สถานีเล่า ผ่านลำตะคอง..ปากช่อง..มวกเหล็ก..สระบุรี
ทุกๆที่ที่ผ่านภาพที่ผมเห็นมันช่างเจริญตาดีจริงๆ ป่าเขาทุ่งหญ้า ท้องนา บวกกับสายลมที่พัดกระทบผิวหน้ามันช่างเย็นสบายให้ชวนหลับเป็นอย่างยิ่ง เสียงรถไฟที่วิ่งไปมันก็เหมือนเสียงดนตรีที่คอยขับกล่อมผู้โดยสารแบบดีๆนี่เอง แล้วผมก็เผลอม่อยหลับไปด้วยบรรยากาศของธรรมชาติจริงๆ
แป่กๆ
แป่กๆ
ผมมาสะดุ้งตื่นอีกที..เมื่อได้ยินเสียงดังแป่กๆ อยู่ตรงหน้า
"อูย..นึกว่าตำรวจ" เจ้าหน้าที่ตรวจตั๋วรถไฟครับ
"ถึงไหนแล้วครับ" ผมถามผู้โดยสารที่นั่งข้างๆ
"จะเข้าอยุธยาแล้ว"
"ขอบคุณครับ"
จังหวัดอยุธยานี่ เขาก็ทำนาเหมือนบ้านผมเลย เท่าที่รู้มาแถบนี้จะทำนาปรัง ปีละ ๒ ครั้ง ต่างจากบ้านผมทำได้ครั้งเดียวเอง เมื่อถึงสถานีรถไฟอยุธยา ผมนึกถึงรัชกาลที่ ๕ เพราะที่เคยเรียนมา ตัวอาคารสถานีของเก่าสร้างตั้งแต่สมัยของพระองค์ท่าน และได้มีการมาบูรณะขึ้นใหม่ในภายหลัง ที่นี่เป็นสถานีระดับที่ ๑ ขบวนรถไฟทุกขบวน จะจอดรับส่งที่สถานีนี้
ขบวนรถออกจากสถานีอยุธยา สภาพสองข้างทางรถไฟเริ่มเปลี่ยนไป ถนนหนทาง บ้านช่อง รถรา เริ่มเห็นบ่อยขึ้นและถี่ขึ้นเรื่อยจนกลายเป็นตึก สองชั้นสามชั้น
โอ้ว!! เป็นสิบชั้นก็มี รถก็เยอะ คนก็เริ่มแยะอีกต่างหาก เมื่อรถไฟจอด สถานีบางซื่อ เอ..สถานีก็เล็กๆ คนที่สถานีก็ไม่เยอะ จะมีเดินกันขวักไขว่ให้เห็นก็แต่ภายรอบนอก มองหาต้นไม้ใหญ่ๆแทบไม่เจอ จริงๆแล้วมันไม่มีต่างหากล่ะ
สักพักขบวนรถเริ่มวิ่งช้าลงเรื่อยๆจนกลายเป็นเคลื่อนขบวนไปอย่างช้าๆ ฉึกกะฉักๆ ประมาณนั้นนี่แสดงว่าเราจะถึง..กรุงเทพแล้วรึนี่ เราก็จะได้เหยียบ..หัวลำโพงแล้วสิ (เริ่มคึกอีกแล้วเรา ฮาๆ)
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
โอ้โฮ...ทำไมรถไฟมันเยอะอย่างนี้ ลายตามึนงงไปหมดเลยครับ ในใจก็คิดว่า นี่คงเป็นหัวลำโพง แน่ๆ
ซึ่งผมก็คิดไม่ผิดครับ ไอ้หย๋า...มันใหญ่กว่าที่เราคิดไว้เสียอีก ผู้คนก็มากซะด้วย เอาแล้วๆงานเข้าแล้วทีนี้
ผมจะหาน้าชายของผมเจอไหมหนอทีนี้ บัดนี้ความเครียดเข้ามาเต็มหัวขมองและเริ่มปวดขมับแล้วครับ เพราะมันไม่เป็นอย่างที่เราคิด มันไม่หมูอย่างที่ตั้งใจเอาไว้เลย คนเยอะๆแบบนี้ต่อให้กวาดสายตาจนตาเหล่ตาเหลือกก็หาไม่เจอ ตาย..ตาย..ตาย..หยั๋งเขียดล่ะทีนี้ เอาไงดีล่ะ แล้วใครจะไปรู้ว่าคนมันจะเยอะแบบนี้
เอี๊ยด.ด.ด.ด...
ขบวนรถที่ผมนั่งมาจอดอย่างแน่นิ่ง ผู้คนก็กรูกันลงสร้างความลายตามึนงงให้ผมเข้าไปใหญ่ ไม่รู้จะรีบไปไหนกันพี่น้อง ช่างไม่กลัวหลงกันมั่งเลยน๊อ!! ส่วนตัวผมยังนั่งคุมเชิงอยู่บนรถโดยสายตาพยายามโฟกัส มองหาน้าตัวเองอย่างตั้งใจและจริงจัง
คนบนรถเริ่มจะลงหมดแล้วผมก็ลุกจะลงมั่งต้องลงครับ ไม่ลงไม่ได้..ก็คนเขาลงกันหมดแล้ว..ผมจึงจำเป็นต้องลง
ผมพยายาม..ทำตัวไม่ให้เงอะงะ เดี๋ยวเค้า..หาว่าบ้านนอกเข้ากรุง พอลงไป ก็เดิน มองไปเรื่อยซ้ายทีขวาที ชะโงกข้างหน้าทีมองข้างหลังที่ ไม่เปิ่นครับไม่เงอะงะแน่นอน
"น้าจ๋า..อยู่ตรงไหนหนอ"
เมื่อผู้คนก็เริ่มบางลงบ้างแล้ว แต่สำหรับผม มันก็ยังเยอะอยู่และดูขวักไขว่พลุกพล่านอยู่ดี เมื่อมันมองหาจนเมื่อยแล้ว คนมันก็ต้องท้อแท้สิ มีหวังได้นอนตากยุงแน่ๆ คิดแล้วอยากจะร้องให้ครับ มาถึงบางกอกกรุงเทพวันแรก ก็ไม่เป็นไปอย่างที่คิดซะแล้ว
คิดถึงแม่ครับ บอกตรงๆว่าตอนนี้คิดได้แค่นี้ หิวก็หิว ว่าแล้วก็ลงนั่งปั้นข้าวเหนียวที่แม่ห่อมาให้ลงท้องกันหิว ในใจก็คิดว่าน้านะน้าอยู่กรุงเทพฯมาก่อน มารับหลานแค่นี้...ไม่เวิร์กเลยปล่อยให้มองหาอยู่คนเดียว กินไปคิดไป บ่นในใจไป
อั๊ก..อั๊ก.อั๊ก..
ผมยกน้ำขวดดื่มด้วยความน้อยใจ กลืนไปได้แค่สามอึกเท่านั้นแหล่ะครับ ไม่รู้มือใครมาตบหัวไหล่..ซะพลั๊ว!!! ใหญ่ แต่ไม่หนักพอสะดุ้ง!! สำลักสิครับพี่น้อง หันไปกะชกหน้าและต่อว่าซะหน่อย ช่างไม่รู้เลยว่าคนกำลังเครียด ตบมาได้ พอหันไป ชกไม่ลงครับ สองมือประกบกัน โดยอัตโนมัติ
"หวัดดี..ครับน้า"
โอย...ฟ้าเปิดแล้วครับพี่น้องเอ๋ย ทำไมหัวลำโพงมันสวยงามอย่างนี้หนอ
"เฮ้ย!!! หน้าตาเอ็งดูซีเรียด น่ะเนี่ย" น้าชายกล่าวชื่นชม
"ใครมันจะเบ่งบานได้ล่ะครับกลัวไม่มีที่นอน"
"ข้าเห็นเอ็งตั้งนานแล้ว..ชะโงกหน้าชะโงกหลัง..ยังกะบ้านนอกขนาดนั้นไม่เห็นก็บ้าแล้ว"
เมื่อวันที่ : ๐๖ ก.ค. ๒๕๕๓, ๐๑.๒๗ น.
เสียงจากคนบ้านนอกเข้ากรุงยุคหนึ่ง ซึ่งก็คงจะรู้สึกคล้ายๆกัน
ตามมาอ่านเพื่อให้กำลังใจครับ