![]() |
![]() |
พลอยพนม![]() |
ตอน : เกือบได้กินข้าวลิง
กับความซุกซนและดื้อรั้นของเด็ก ๆ บางคนในสมัยก่อน นอกจากไม้เรียวจะเป็นของกำราบที่ได้ผลชะงัดอย่างหนึ่งแล้ว เรื่องหลอกให้กลัวโน่นกลัวนี่ กลัวคนจับเด็ก กลัวตำรวจ หรือแม้กระทั่งหลอกให้กลัวผี ก็ดูเหมือนจะเป็นไม้เด็ดอีกอย่างที่ผู้ใหญ่มักจะนำมาใช้ หากแต่ไม่ค่อยจะได้ผลเท่าไม้เรียว เพราะเด็กบางคนดื้อรั้นสุดจะพรรณนาซึ่งความซุกซนดื้อรั้นนี่เหละ เมื่อย้อนกลับมาคิดภายหลังก็ให้รู้สึกหวาดเสียวอยู่ไม่น้อย บางครั้งก็ยังอดสงสัยไม่ได้ว่า เอ๊ะ...นี่เรารอดมาได้ยังไงวะ-ตอนนั้น...?
ดังเรื่องราวความซุกซนของฉัน ที่ฉันกำลังจะเล่าต่อไปนี้
โครงการตัดถนนซอยต่อจากถนนใหญ่เข้ามาที่บ้านไร่ของฉัน ฉันแอบฟังพวกผู้ใหญ่เขาปรึกษาหารือกันด้วยความใคร่รู้เป็นอย่างยิ่ง พร้อมทั้งจินตนาการไปต่าง ๆ นานา ตามประสาเด็กที่มีความอยากรู้อยากเห็นอย่างแก่กล้าเหมือนอย่างฉัน
ก็บ้านป่าทุรกันดารสมัยนั้นจะหามหรสพหรือสิ่งแปลกตาดูได้ที่ไหน แค่เพียงได้ยินเสียงเครื่องบินบินผ่านมาสักลำ พวกเด็ก ๆ อย่างพวกฉันก็แหงนมองจนคอเคล็ด เวลาพ่อพาออกไปซื้อขนมที่ร้านค้าริมทางหลวง พอได้ยินเสียงรถกรมทางแล่นผ่านมา ฉันก็จะวิ่งออกไปยืนดูอยู่ริมถนนจนเกือบจะถูกเฆี่ยน เพราะพ่อกลัวว่าฉันจะวิ่งเซ่อซ่าเข้าไปให้รถมันทับเอา
เรื่องรถแทรกเตอร์จะมากรุยทางทำถนนซอยมาที่บ้านไร่ของฉันนี้ ฉันหมายมั่นปั้นมือเอาไว้หนักหนา... จนกระทั่งในที่สุด วันนั้นได้เดินทางมาถึงเข้าจริง ๆ
เช้าวันนั้น ฉันได้ยินเสียงเครื่องยนต์รถแทรกเตอร์ครางหึ่ง ๆ อยู่ไกล ๆ ขณะที่พ่อกับไอ้เบี้ยวสุนัขคู่หูของท่านได้พากันออกจากบ้านหายไปแล้ว พ่อคดข้าวห่อใบตองติดมือไปด้วย ตอนนั้นฉันอยากไปกับพ่อเหลือเกิน เพราะฉันรู้ว่าพ่อไปไหน แต่ก็ติดอยู่ที่แม่ไม่อนุญาต
"อันตราย" แม่บอก
"ผมไปอยู่ห่าง ๆ" ฉันว่า
"อย่าดื้อ" แม่ทำตาดุ "อีกวันสองวันมันก็มาถึงบ้านเราแล้ว จะไปเกะกะให้พ่อต้องกังวนด้วยทำไม"
จริงด้วยแฮะ ... ไม่พรุ่งนี้ก็มะรืนนี้รถแทรกเตอร์คันนั้นมันก็จะกรุยทางมาถึงหน้าบ้านเรา ฉันนึกขึ้นได้ ทว่าถึงย่างไรหัวจิตหัวใจของฉันก็ร่ำร้องอยากจะไปที่นั่นอยู่ดี
จิตใจของฉันกระวนกระวาย ใคร่รู้ใคร่เห็นรูปร่างหน้าตาของเจ้าของเสียงเครื่องยนต์ที่ครางหึ่ง ๆ อยู่ในขณะนั้นเหลือเกิน คราใดที่กระแสลมพัดวูบมา เสียงเครื่องยนต์ของมันก็ดูเหมือนจะแผดคำรามแรงขึ้น ยั่วยวนจิตใจฉันให้กระวนกระวายหนักขึ้น มันรู้สึกฮึดฮัดเหมือนสัตว์ป่าติดบ่วงนายพราน
เช้าก็แล้ว สายก็แล้ว เที่ยงก็เพิ่งจะผ่านไปหยก ๆ พร้อมกับข้าวสวยราดน้ำไก่ต้มที่ฝืดคอเต็มที ฉันฝืนกินเข้าไปอย่างซังกะตาย เพียงไม่อยากให้โดนแม่ดุเท่านั้น กินเสร็จก็เร่ลงมาอยู่ที่ใต้ถุน ไม่อยากเข้าใกล้พวกน้อง ๆ ทั้งสอง โดยเฉพาะน้องสาวคนโต ที่รบเร้าแต่จะให้วาดรูปให้ดูอยู่ท่าเดียว ฉันก็ยิ่งรู้สึกรำคาญ เกรงจะยั้งใจไม่ได้ ประเดี๋ยวก็จะหยิกเอาเปล่า ๆ
ล่วงเข้ายามบ่าย...
"แม่"
"อะไรอีกล่ะ"
"ผมจะไปเล่นน้ำคลอง" ปากบอกไปเล่นน้ำคลอง แต่ใจอยู่ที่เสียงรถแทรกเตอร์ หากแต่แม่ก็รู้ทัน จึงร้องสั่งลงมาจากบนเรือนว่า
"แอบหนีไปที่พ่อ แม่ฟาดน่องขาดเชียวล่ะ"
"ครับ" ฉันรับปาก พลางคว้าหนังสติ๊กแล้วก็ปร๋อไปสู่ลำคลอง ไม่มีกะจิตกะจะใจที่จะสอดสายตาไปตามสุมทุมพุ่มไม้เพื่อที่จะยิงนกเล่นเหมือนวันก่อน ๆ เลยแม้แต่น้อย
เมื่อถึงท่าน้ำคลอง ฉันก็ถอดกางเกงและวางหนังสติ๊กไว้บนตลิ่ง กระโดดตูมลงไป ดำผุดดำว่ายจนหนาวสั่น แต่ก็ยังไม่อยากกลับบ้าน
ดวงตะวันยามบ่ายทอดเอียงไปทางทิศตะวันตกเกือบค่อนฟ้า สาดแสงทะลุก้อนเมฆลงมาเป็นลำยาว แต่งแต้มสีสันแนวป่าเบื้องหน้าสวยงามยิ่งกว่าวันไหน ๆ ทิวเขาที่อยู่ไกลลิบมองเห็นเป็นสีฟ้า เข้มกว่าทุกวัน... ฝนเดือนห้าใกล้ตก อากาศอบอ้าว ลมเงียบ ตั๊กแตนใบไผ่สีเขียวอ่อนลำตัวขนาดก้นยาใบจากของพ่อบินว่อนตลอดแนวป่า
"เดินป่าระวังมือ ระวังเท้า" เสียงเตือนของปู่ดังแว่วอยู่สองข้างหูเป็นผ้ายันต์คอยคุ้มครอง ถึงไม่มีหมาไอ้เบี้ยวมาเป็นเพื่อน แต่ฉันก็มีหนังสติ๊กกับกระสุนลูกหินเต็มสองกระเป๋า หลังจากเล่นน้ำคลองจนเบื่อแล้ว ฉันก็ขึ้นมาคว้ากางเกงบนตลิ่งเอามานุ่งและผูกรัดสะเอวด้วยสายป่านเสียจนแน่น แล้วฉันก็มุ่งไปยังแนวป่าเบื้องหน้า หมายจะเสาะหานกหนูยิงเล่นเพื่อให้ลืมสิ่งที่อัดอั้นอยู่ภายในเสียที
ทว่า..ในขณะเดียวกันเสียงเครื่องยนต์รถแทรกเตอร์คันนั้น ก็ล่องลอยตามลมมายั่วใจฉันอีกแล้ว
ฉันเข่าอ่อนจนไม่อยากจะก้าวเท้าไปข้างหน้าอีกแล้ว แม้เสียงที่ลอยมาให้ได้ยินนั้น จะยังคงดังแว่วอยู่ไกล ๆ แต่ก็คล้ายกับมันได้แล่นมาอวดโฉมอยู่ตรงหน้า ถึงแม้สองตาจะมองไม่เห็น แต่ใจมันเห็น เพราะฉันเคยเห็นของจริงมาแล้วครั้งหนึ่ง
มันจอดนิ่งอยู่ที่หน้าอำเภอ เขาว่าเครื่องยนต์ของมันพัง สนิมจับแดงเป็นปื้นหมดทั้งคัน ส่วนคันที่เคลื่อนไหวและใช้งานได้อย่างนี้ฉันยังไม่เคยเห็น...
ดูเอาเถอะอายุใกล้จะสิบขวบเข้าไปแล้ว ยังไม่เคยเห็นแทรกเตอร์ขับเคลื่อนเดินหน้าถอยหลัง แล้วอย่างนี้จะไม่ให้ฉันใฝ่ใจใคร่รู้ใคร่เห็นจนอดใจไม่ไหวได้อย่างไร
เบื้องบน แสงแดดสาดส่องลงมาร้อนระอุ เบื้องหน้าฉัน บนตอไม้ผุ กิ้งก่าคอแดงตัวโตเท่าแขนชูคอผงกหัวงก ๆ ฉันรีบง้างหนังสติ๊กเล็งหมายที่ดั้งจมูกของมัน... หากแต่วันนี้ฉันทำบาปไม่ขึ้น เหงื่อเจ้ากรรมดันมาไหลเข้าตาฉันเสียก่อน ฉันจึงหยุดปาดเหงื่อนานกว่าชั่วอึดใจจึงจะหายแสบตา ชะรอยเจ้ากิ้งก่าคอแดงตัวนั้นเห็นท่าไม่ดี มันจึงกระโดดแผล็วลงจากตอไม้แล้วพวยแนบผ่านหน้าฉันไปอย่างรวดเร็ว ชีวิตอันต่ำต้อยของมันจึงแคล้วคลาดจากคมกระสุนหนังสติ๊กของฉัน รอดไปได้อย่างหวุดหวิด
หลังจากนั้น ฉันก็เร่งสืบเท้าพาตนเองมุ่งสู่จุดหมายเบื้องหน้า... ตรงไหนเป็นป่าโปร่งฉันก็หมั่นเหลียวหน้าแลหลัง บางครั้งก็ต้องยืนแอบโคนไม้ เพื่อดูให้แน่ใจว่าไม่มีใครผ่านมา เพราะถึงแม้ฉันจะเดินลัดป่า แต่ฉันก็ไม่กล้าเดินอ้อมห่างไปจากเส้นทางสัญจรมากนัก กลัวหลง
ขณะนั้นป่าทั้งป่าเกิดความเงียบเข้าครอบงำอย่างประหลาด ราวกับทุกสายตากำลังจ้องระวังภัยบุกรุกของเครื่องจักรดีเซล D 6 คันนั้นอย่างไม่น่าเชื่อ ทั่วทั้งแนวไพรไร้เสียงสิงสาราสัตว์กู่ร้องเหมือนแต่ก่อน ไก่ป่าที่เคยขานขันเจื้อยแจ้ว ก็หลบซ่อนเงียบหาย จะมีอยู่บ้างก็พวกนกกินน้ำเกสรดอกไม้ตัวกระจิ๊ดริด ส่งเสียงแหลม ๆ แสบแก้วหู นอกนั้นก็เป็นเสียงอื้ออึงของเครื่องจักรที่กำลังทำงาน เสียงครวญครางของมันหนักบ้างเบาบ้างแล้วแต่จังหวะการยกใบมีดอันมหึมาที่ติดอยู่ด้านหน้า ยกขึ้นหรือวางลง พร้อมกับการเปลี่ยนเกียร์เดินหน้าถอยหลังของคนขับ สลับกับเสียงเห่าของไอ้เบี้ยว-สุนัขตัวโปรดของพ่อฉันเป็นครั้งคราว เมื่อมันเห็นกอไผ่กอเล็กกอน้อย ถูกใบมีดรถแทรกเตอร์ไถดันจนถอนรากถอนโคนล้มครืนลงมาต่อหน้าตา
โน่นพ่อ โน่นตารุ่ม และนั่นก็น้าด้วนกับเพื่อนบ้านอีกสองสามคน ยืนคอยสังเกตการณ์ พวกเขาคงเฝ้าระวังเถาวัลย์ที่เกี่ยวพันกิ่งไม้อยู่ข้างบน ซึ่งอาจจะเป็นอันตรายต่อคนขับ ถ้าหากมันดึงกิ่งไม้ผุหักโค่นลงมา ทุกคนจึงต้องทำหน้าที่ช่วยดูแล พร้อมกับส่งสัญญาณมือไปยังพนักงานขับแทรกเตอร์คันนั้นให้รู้ตัว เมื่อเขาขับเคลื่อนเครื่องจักรเข้าไปในเขตอันตราย
ในท่ามกลางความอึกครึกโครมเบื้องหน้า ฉันแอบยืนอยู่ข้างโคนไม้ เบิ่งตาจ้องมองออกไปด้วยความตื่นเต้นและเร้าใจ กระทั่งเสียง "แอบหนีไปที่พ่อ แม่ฟาดน่องขาด" ก็ลอยมาสะกิดเตือนจนฉันสำนึกได้ว่า บัดนี้ตนได้บรรลุจุดประสงค์แล้ว ความอยากรู้อยากเห็นได้รับการตอบสนองแล้ว เพราะฉะนั้นก็ควรจะเร่งกลับบ้านเสียที...
ทว่าฉับพลัน เสียง "โอ้ย !" ก็ดังขึ้น แม้จะฟังไม่ถนัดว่าเสียงใคร แต่มันก็ทำให้ฉันสะดุ้งและตกใจกลัวขึ้นมาทันที กลัวไม้เรียวของแม่ที่มีอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็กลัว ครั้นได้เห็นเหตุการณ์วุ่นวายโกลาหลโดยไม่รู้สาเหตุพุ่งกระทบเข้ามาอีก กระทั่งไม่ทันได้มองให้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น... เพียงแค่เห็นผู้คนแตกตื่น และแย่งกันกระโจนออกจากตรงนั้นคนละทิศละทาง ฉันก็เกรงไอ้เบี้ยวมันจะวิ่งมาทางฉัน แล้วถูกพวกเขาจับได้ จึงตัดสินใจโกยอ้าว... กว่าจะนึกเป็นห่วงพ่อขึ้นมาได้ ฉันก็เตลิดเข้าป่ามาไกลลิบเสียแล้ว เคราะห์ดีที่ยังมีหนังสติ๊กติดมืออยู่ แม้กระสุนจะร่วงไปเสียระหว่างทางจนเกือบหมด แต่ก็ยังอุ่นใจ แต่ครั้นจะย้อนกลับไปที่พ่ออีกครั้ง ฉันก็ไปไม่ถูกเสียแล้ว เสียงเครื่องยนต์ของรถแทรกเตอร์คันนั้นก็เงียบหาย ป่าทั้งป่าเงียบสงบจนได้ยินเสียงลมหายใจที่เหนื่อยหอบของตนเองอย่างชัดเจน
เกิดอะไรขึ้น ?
ฉันครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ขณะนั่งหายใจเหนื่อยหอบซี่โครงบานอยู่บนขอนไม้ที่ทอดราบไปกับพื้นอย่างงุนงงสงสัย และพยายามข่มความกลัว "เข้าป่าระวังมือระวังเท้า" ปูสอนฉัน จำได้ ปู่สอนว่า พิษภัยสัตว์ป่าที่น่ากลัวที่สุดคือสิ่งที่อยู่ใกล้ตัว ได้แก่ งู แมลงมีพิษ และสัตว์พิษทั้งหลายที่เราไม่รู้จักและมองเห็นยาก ไปเผลอเข้าใกล้ก็จะถูกทำร้ายทันที ส่วน เสือ ช้าง หมี หรือสัตว์อะไรก็แล้วแต่ที่เป็นสัตว์ใหญ่ ส่วนมากพวกมันจะมีสัญชาติญาณในการหลบหลีกเหนือกว่ามนุษย์ และที่สำคัญสัตว์ป่ากลัวเภทภัยจากมนุษย์ พวกมันจะไม่เข้าใกล้ถ้าไม่มีเหตุจำเป็น หรือเป็นเหตุบังเอิญ
ทว่านั่นมันทฤษฎีของปู่ แต่ส่วนฉันเมื่อนั่งรอฟังเสียงแทรกเตอร์อยู่บนขอนไม้ขอนนั้นจนนานผิดสังเกต ใจคอของฉันก็ชักจะไม่สู้ดี เพราะไม่รู้ว่าขณะนี้ฉันเตลิดมานั่งอยู่ตรงไหน แม้จะเห็นแสงตะวันแทงทะลุพุ่มไม้ทำมุมเฉียงกับฉันอยู่ตรงหน้า แต่ฉันก็เด็กเกินกว่าจะจับทิศทางคิดค้นหาทางกลับบ้านได้ถูกต้อง
แม่... พ่อ... ฉันหลุดปากออกมา แล้วร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร พร้อมกับยกแขนสองข้างปาดน้ำตาไปเรื่อย
ร้องไห้จนเหนื่อย...จนสาแก่ใจก็หยุด แต่ยังคงสะอึกสะอื้นเป็นพัก ๆ กระทั่งคราวหนึ่งฉันเกิดความฮึดสู้ขึ้นมา พร้อมกับมือปาดเช็ดน้ำตาเป็นครั้งสุดท้าย... บ้านของเราอยู่ทางทิศตะวันออก ฉันตัดสินใจแน่วแน่ แล้วก็ลุกขึ้นยืน หันหลังให้แสงอาทิตย์ ก้าวเดินมุ่งสู่ทิศตะวันออก แม้จะเดินอ้อมกอไผ่ฉันก็พยายามประคองทิศทางที่กำหนดขึ้นในใจอย่างระมัดระวัง โดยเอาแสงอาทิตย์ที่แทงทะลุกิ่งไม้ใบไม้เป็นเข็มทิศไปเรื่อย ๆ
หากแต่นั่นมันก็เฉพาะป่าโปร่งเท่านั้น พอถึงป่ารกทึบก็เกิดความยุ่งยากขึ้นกับฉันทันที
ภายในผืนป่าที่รกทึบเบื้องหน้า ทั่วทั้งป่ามืดครึ้ม และเต็มไปด้วยยุงร้าย มันกัดเด็กชายตัวเล็ก ๆ ที่ไม่ชอบสวมเสื้ออย่างฉันจนหนำใจ... จนฉันคันคายและปวดแสบปวดร้อนไปหมดทั้งตัว
บรรยากาศก็เย็นยะเยือกจนรู้สึกเสียวสันหลัง เรไรส่งเสียงระงมขึ้นมาทั่วทิศทาง เขย่าหัวใจฉันให้เกิดความหวาดกลัวขึ้นมาทันที
และโดยฉับพลันฉันก็ตัดสินใจหันหลังกลับ... โกยแนบมายังทิศทางเดิมเท่าที่พอจำได้ แต่ยิ่งวิ่งมันก็ยิ่งไกล ป่าโปร่งที่เคยโล่งแจ้งอยู่เมื่อสักครู่กลับกลายเป็นร่มครึ้มจนน่าสะพรึงกลัว ไก่ป่าที่เงียบหายไปเมื่อครั้งก่อน เริ่มส่งเสียงขานขัน
ฉันขนลุกซู่ เพราะรู้ว่ากาลเวลามืดค่ำกำลังมาเยือน และทันใดนั้นเองฉันก็เหลือบขึ้นไปเห็นเจ้าหมีป่าตัวใหญ่บนคาคบไม้เบื้องหน้า กำลังจ้องมองลงมาที่ฉันตาแป๋ว
"เฮ้ย!" ฉันร้องขึ้นเสียงดังด้วยความตกใจ
ตึง!
เสียงหล่นลงมากระแทกพื้นอย่างหนักหน่วงของเจ้าหมีตัวนั้น พร้อมกับฉันก็หมดสติล้มฟุบลงกับพื้นเช่นกัน
"อ้าปากกินยาหน่อยลูก" เป็นเสียงแรกที่ฉันได้ยินหลังจากรู้สึกว่าโลกทั้งโลกมืดมิดเป็นสีดำ
และเมื่อฉันเผยอเปลือกตาขึ้น... พ่อนั่นเอง นั่งขัตะหมาดอยู่ข้าง ๆ ฉัน ในแสงตะเกียงน้ำมันก๊าดอันวอมแวม ฉันเห็นแม่นั่งอุ้มน้องสาวคนเล็กน้ำตาคลอหน่วยอยู่ที่ปลายเท้าของฉัน แล้วฉันก็ส่งเสียงร้องไห้ขึ้นมาทันที น้องสาวคนโตที่นั่งมองฉันอยู่ข้างหลังแม่ก็ร้องไห้ตามฉันด้วย
คืนนั้นฉันนอนสะดุ้งละเมอด้วยพิษไข้จนพ่อต้องนอนกอดฉันตลอดทั้งคืน
ตื่นขึ้นมารุ่งเช้ามีคนแตกตื่นมาดูฉันกันเต็มบ้าน ปู่กับย่าก็มา
ย่าด่าฉันเป็นกระบุง แต่ปู่กลับหัวเราะ หึ ๆ พร้อมกับคุยโวโอ้อวดวิชาอาคมของแกว่า
"ป่าแถบนี้ข้าสะกดวิญญาณผีป่าไว้หมดแล้ว มันจะทำอะไรหลานข้าได้...ฮา ฮา"
หากแต่ตารวยน้องของย่ากลับบอกกับทุกคนว่า ถ้าไม่ได้หมาไอ้เบี้ยวไปช่วยดมกลิ่นค้นหาด้วยอีกแรง สงสัยเมื่อคืนฉันคงนอนกินข้าวลิงอยู่กลางป่าแน่ เพราะหลังจากพนักงานขับแทรกเตอร์คันนั้นโดนแตนลิ้นหมาที่ทำรังอยู่ที่โคนไผ่ต่อยเข้าที่ใบหน้าของเขาสามสี่แผล จนเขาต้องกระโดดทิ้งรถ ทั้งที่มันยังอยู่ในเกียร์และดันกอไผ่ไปตามลำพัง ทุกคนที่อยู่ที่นั่นก็ตกใจกลัว เพราะไม่รู้ว่าเขาโดนตัวอะไรต่อยกันแน่ จึงพากันเตลิดเปิดเปิงไปคนละทิศละทาง เพราะเกรงจะเป็นตัวต่อซึ่งพิษของมันอันตรายมาก
ครั้นต่อมา เมื่อรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ทุกคนก็ชวนกันเลิกงานและมุ่งกลับบ้าน โดยที่ไม่มีใครรู้ว่า ก่อนหน้านั้นฉันได้แอบไปยืนดูเหตุการณ์อยู่ที่นั่นด้วย และเรื่องมาแดงขึ้นเมื่อพ่อกลับถึงบ้านแล้วไม่เจอฉัน จึงออกตามเพื่อนบ้านพร้อมกับพาไอ้เบี้ยวออกตามหา
พวกลูก ๆ ที่นั่งฟังฉันเล่าความหลังต่อหน้าปู่ของเขา พากันมองหน้าฉันยกใหญ่ คล้ายกับจะสงสัยว่า ฉันหอบสังขารในวัยเยาว์รอดมาได้อย่างไร เพราะในสมัยนั้นฉันช่างซุกซนและดื้อรั้นเหนือมนุษย์มนาเสียจริง ๆ
จบตอนที่ ๔
เมื่อวันที่ : ๑๕ มิ.ย. ๒๕๕๓, ๐๓.๒๘ น.
โห ผจญภัยจริง ๆ เลยค่ะ
ซุกซนสมกับเป็นเด็ก ๆ
ดีใจที่รอดอุ้งมือหมีมาได้ค่ะ
สนุกขึ้นเรื่อย ๆ สมนาม(นก)กาค่ะะ