![]() |
![]() |
พลอยพนม![]() |
ตอน : พ่อคบไม่ได้
บทที่ ๑ในอดีตได้มีนักประพันธ์ชาวจีนนามอุโฆษท่านหนึ่ง กล่าวคำคมไว้อย่างน่าขบคิดว่า "แรกทีเดียวมันก็ไม่มีทาง แต่เมื่อมีการย่ำเดินไปมานานเข้า ก็กลายเป็นทางเดินขึ้นมา" ซึ่งคำกล่าวนี้ สำหรับผู้ด้อยปัญญาอย่างฉัน ความหมายในเชิงนามธรรมอาจจะไม่แจ่มชัดนัก ทว่าในส่วนรูปธรรมที่จับต้องและสัมผัสได้แล้วละก้อ ฉันมองทะลุปรุโปร่งทีเดียว
ก็ซอยบ่อหินบ้านฉันยังไงเล่า แต่ก่อนมันก็แค่ด่านช้างที่เลี้ยวลดคดเคี้ยวไปตามความต้องการของโขลงช้าง จากภูเขาลูกนี้ สู่ลูกโน้น จากทุ่งหญ้าสู่ป่ารกชัฏ เลาะเลียบห้วยหนองคลองบึง ซึ่งอุดมด้วยพืชพรรณธัญญาหารของพวกมัน ที่พากันท่องหากินอยู่ไปมา กลายเป็นทางด่านเก่าแก่มาแต่ครั้งปู่ยาตาทวดของฉันนั่นเอง...
"ถึงแล้วพ่อ ..."
"ช้า ๆ หน่อยพ่อ เดี๋ยวเลย..."
ลูกชายของฉันสองคนซึ่งนั่งอยู่ที่เบาะหลัง ส่งเสียงเตือนเพื่อให้ฉันผ่อนคันเร่ง เมื่อเจ้ากระบะตอนครึ่งของเราแล่นเลยสะพานข้ามลำน้ำเก่าแก่ ที่ซึ่งฉันเคยดำผุดดำว่ายมาอย่างช่ำชองในอดีต
"เถอะน่า..." ฉันโม้ "เชื่อสีมือพ่อเถอะ แถบนี้พ่อหลับตาเห็นหมดทุกซอกทุกซอย พวกแกไม่ต้องเป็นห่วง"
ฉันนึกถึงตอนขับรถพาพวกเขาไปเที่ยวกรุงเทพฯ แล้วเกิดมีไอ้บ้าที่ไหนก็ไม่รู้ แกล้งวิ่งมาชนรถของฉัน ขณะฉันชะลอความเร็วจนล้อรถเกือบจะหยุดหมุน ทำท่าจะหักเลี้ยวขึ้นทางด่วนย่านดาวคะนอง
โดยสัญชาติญาณ ฉันรู้ว่า เจ้าหมอนั่นมืออาชีพ แต่ทนการรบเร้าของพวกเด็ก ๆ ไม่ไหว เนื่องจากฉันเป็นคนปลูกฝังจิตสำนึกให้เขาเอง... ฉันจึงต้องตีไฟเลี้ยวหยุดจอดรถ
"เจ็บมากไหมลุง" เจ้าคนเล็กทรุดตัวนั่งลงถามใกล้ๆ ขณะเจ้าคนโตยืนเกาะแขนฉันคอยมองอยู่ด้วยสีหน้าตื่นตระหนก เคราะห์ดีที่วันนั้นอ้ายหัวปิงปองไม่ได้อยู่แถวนั้น ม่ายยังงั้นแทนที่จะฉันจะฟาดเคราะห์ไปแค่ห้าร้อยบาท เผลอ ๆ อาจจะมากกว่านั้นก็ได้
ฉันไม่อยากมีปากเสียงกับใครต่อหน้าเด็ก ๆ เพราะหลาย ๆ ความขัดแย้งที่ฉันเคยผ่านพบยังฝังใจฉันอยู่ ฉันจึงไม่ต้องการให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นกับลูกของฉันอีก ทว่าฉันก็ไม่พยายามอธิบายอะไรกับพวกเขามากไปกว่าตัดบทว่า... ห้าร้อยบาท คงพอค่ายา ลูกไม่ต้องเป็นห่วงเขาหรอก
ส่วนวันนี้ ขณะขับรถเข้าไปในซอยบ่อหิน ลึกค่อนซอย เพื่อพาครอบครัวกลับมาเยี่ยมพ่อแม่สองตายยาย กับหมาไทยที่แสนซื่อสัตย์อีกตัวหนึ่ง รวมทั้งน้องสาวที่อยู่กรุงเทพฯ ซึ่งลาพักร้อนพร้อมกับล่วงหน้ามารอฉันอยู่ที่นี่ก่อนแล้ววันสองวัน ฉันปิดแอร์รถพร้อมลดกระจกลงเกือบสุด ค่อย ๆ ขับรถเคลื่อนไปอย่างช้า ๆ เพื่อที่จะเท้าความหลังให้ลูกได้ซึมซับกับสิ่งที่เรียกกันว่า "ความเจริญ" ซึ่งพวกเขากำลังสัมผัสกันอยู่ด้วยสายตาในขณะนี้ พร้อมกับบีบแตรรถและหันไปโบกมือทักทายใครต่อใคร... เมื่อขับรถผ่านหน้าบ้านของเขา
"บ้านตาด้วน จำได้ไหมลูก?"
"ทามมายจะจำไม่ได้ เก๊าะแกเคยเสียรู้พ่อ สมัยพ่อเด็ก ๆ ใช่ป่าว
เจ้าตัวน้องนิสัยทะลึ่ง พูดจามักออกเสียงยียวนกวนบาทาอยู่เสมอ แต่ฉันก็อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้
"เออ เอ็งจำแม่น-ว่ะ"
ฉันหัวเราะหึ ๆ นึกถึงตอนหลอกกินเครื่องเซ่นไหว้ของน้าด้วนในสมัยนั้นแล้วยังอดขำไม่ได้จริง ๆ
ตอนที่ฉันเล่าเรื่องนี้ให้ลูก ๆ ฟังกันใหม่ ๆ พอฉันเล่าจบ เจ้าลูกชายตัวเล็กมันมองหน้าฉันอยู่ครู่หนึ่ง ในแววตานั้นเต็มไปด้วยความลังเลสงสัย ก่อนจะตัดสินใจพูดออกมาว่า
"พ่อคบไม่ได้"
ฉันเล่าให้พวกเขาฟังถึงสมัยที่ฉันยังเรียนหนังสืออยู่ชั้น ป. ๓ และกำลังจะสอบเทอมปลายขึ้น ชั้น ป.๔ เผอิญคุณครูซึ่งสอนคนเดียวทั้งโรงเรียน มีธุระต้องไปประชุมทำข้อสอบที่อำเภอเป็นเวลา ๑ สัปดาห์ อยู่ข้างหลังที่โรงเรียนก็ขาดครูสอน จึงต้องปิดเรียน ให้เด็กนักเรียนหยุดท่องหนังสือสอบกันอยู่ที่บ้าน ฉันถือจึงโอกาสรบเร้าย่า ให้พาฉันไปส่งที่บ้านไร่ของพ่อ ย่าแกทนรำคาญฉันไม่ไหวก็เลยพาฉันไป
ออกจากบ้านย่าที่หมู่บ้านชายทุ่งซึ่งอยู่ใกล้กับรั้วโรงเรียน ฉันกับย่าย่ำเท้าเปลือยเปล่าไปตามร่องทางแคบ ๆ ที่เป็นดินเหนียวปนทรายสีขาวแข็งกระด้าง และคดเคี้ยวเหมือนงูเลื้อยอยู่กลางผืนหญ้าสีเขียวกว้างใหญ่ จนกระทั่งทะลุออกสู่ถนนหลวงซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของหมู่บ้าน
ถนนหลวงสายนี้เพิ่งตัดเสร็จใหม่ ๆ ยังมีสภาพเป็นถนนลูกรัง ต้นหญ้า ใบไม้ริมทางโดนฝุ่นลูกรังย้อมสีจนแดงแปร๊ดไปทั้งสองด้าน ฉันกับย่าข้ามถนนตรงทางแยกหน้าร้านค้าเก่าแก่ของหมู่บ้าน ซึ่งขี้ฝุ่นลูกรังก็ย้อมสีร้านค้าหลังนั้นเสียจนแดงแปร๊ดไปทั่วอีกเหมือนกัน โดยเฉพาะบนหลังคา ฉันว่าฝุ่นลูกรังจากถนนหล่นลงไปกองทับถมกันอยู่บนนั้นไม่น้อยกว่าครึ่งข้อนิ้วของฉันแน่
ย่าแวะซื้อขนมไปฝากน้องสาวของฉัน และแบ่งให้ฉันเดินกินไปตามทางหน่อยหนึ่ง "เดี๋ยวค่อยไปกินกับน้องที่บ้านอีก" ย่าชี้ไปที่ถุงขนม ซึ่งห่อกับชายผ้าขาวม้าสีแดง ที่เตรียมจะยกขึ้นพาดบ่าตามประสานักเลงเฒ่าของแก แล้วเร่งให้ฉันออกเดินนำหน้าแกไป
ด่านช้างอยู่ห่างจากร้านค้าริมถนนเพียงแค่เดินเท้าพอเหงื่อซึมแผ่นหลัง มีลักษณะเป็นทางแคบ ๆ เช่นเดียวกับทางเดินในทุ่ง จะผิดกันก็ตรงที่มันเป็นร่องลึกอยู่สักหน่อย เพราะมันเคยผ่านการเหยียบย่ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากโขลงช้างป่ามาก่อน ซึ่งช้างเหล่านั้นแต่ละตัวมีน้ำหนักเป็นตัน ๆ
ทางด่านช่วงแรกเลาะเลียบไปตามชายคลอง คดเคี้ยวไปตามต้นไม้พุ่มใหญ่ใบหนา บางต้นแผ่กิ่งก้านอยู่สูงจนแหงนคอตั้งบ่า สลับกับป่าไผ่ ซึ่งมีกอไผ่ขึ้นอยู่เป็นพืด เป็นไผ่ป่าลำโตเกือบเท่าต้นตาล ไม่มีหนาม ผิดกับไผ่ชายทุ่งที่บ้านย่า
ขณะนั้นแม้จะเป็นยามสาย และจวนจะเที่ยงอยู่รอมร่อ หากแต่บรรยากาศระหว่างทาง ก็ไม่ร้อนระอุเหมือนเดินอยู่กลางทุ่งนา เพราะเบื้องบนมีกิ่งไม้สูงใหญ่แผ่ปกคลุมอยู่หนาทึบ อีกทั้งเสียงนกร้อง เสียงกระรอกกระแตร้องทัก และเสียงไก่ป่าขานขันขับกล่อมไปตลอดทาง ทำให้ฉันเพลิดเพลินจนลืมเหนื่อย ลืมร้อน และพลอยลืมนึกถึงขนมในห่อสะพายของย่าไปด้วย พอนึกขึ้นได้อีกทีก็จวนจะลุเข้าเขตแดนบ้านไร่ของพ่อฉันแล้ว
เลยแนวป่าข้างหน้ามองเห็นโล่งเตียนไปแต่ไกล ฉันจำได้
ฉันเคยถามพ่อหนสองหนว่าทำไมพ่อด้นดั้นมาอยู่เสียไกลลิบ ทำไมไม่แผ้วถางป่าริมถนน
พ่อหัวเราะหึ ๆ ก่อนตอบ
"พ่อไม่อยากกินข้าวแดงในคุกนะซีลูก"
การแผ้วถางและตัดไม้ทำลายป่า แม้จะเพื่อที่อยู่อาศัย หรือขยับขยายสร้างที่ทำกิน ก็มีความผิดและมีโทษตามกฎหมาย โดยไม่มีการปรับปรุงแก้ไข ไม่มีนโยบายปฏิรูปที่ดินให้เป็นรูปธรรมที่ชัดเจน หากแต่ปล่อยให้ราษฎรแอบไปบุกรุกแผ้วถางกันเองโดยรู้เท่าไม่ถึงการ ผืนป่าเมืองไทยจึงถูกบุกรุกแผ้วถางอย่างไร้กฎเกณฑ์อยู่เสมอ และที่สำคัญก็มีพวกอีแอบซึ่งเป็นพวกคนใหญ่คนโต เป็นหุ้นส่วนคอยเป็นเงายืนชักใยอยู่ข้างหลัง ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ว่า ทำไมทรัพยากรป่าไม้จึงตกไปอยู่ในมือนายทุนเสียส่วนมาก ส่วนคนจนก็ต้องลำบากยากจนและไร้ที่ทำกินกันต่อไป
สมัยนั้นพ่อของฉันรวบรวมสมัครพรรคพวกได้ห้าหกครัวเรือน หลบหนีสายตาป่าไม้อำเภอ แอบขึ้นมาหักร้างถางพงทำไร่ปลูกข้าวกันอยู่ที่นี่ ก่อนที่จะเพาะปลูกพืชสวนกันในภายหลัง และได้เนื้อที่กันคนละประมาณ ๔๐-- ๕๐ ไร่ ซึ่งก็ไม่น่าจะนับว่าพวกท่านอยู่ในข่ายบุกรุกตัดไม้ทำลายป่าโดยเปล่าประโยชน์กันมากมายแต่อย่างใด
และด้วยระยะทางเดินเท้าอย่างไม่รีบเร่งไปตามด่านช้างอันคดเคี้ยวไปสู่บ้านไร่ของพ่อฉันในขณะนั้น ถ้าวัดหน่วยเป็นชั่งโมง ก็ประมาณชั่วโมงกว่า ๆ จึงจะลุถึงเขตไร่ของพ่อ หากแต่ฉันแอบคิดอย่างพิเรน ๆ ตามแบบของฉัน โดยนับหน่วยเดินทางเป็นคำหมากของย่า ที่เคี้ยวอมไว้ในปากจนจืดแล้วคายทิ้ง ได้สามคำ
คำแรกเคี้ยวมาจากบ้านก่อนออกเดินทาง
คำที่สอง ย่าคายคำแรกที่ร้านค้าต้นทางแล้วตะบันใส่ปากเคี้ยวใหม่ที่นั่น
คำที่สาม ก็ที่บ้านน้าด้วน ซึ่งเมื่อยืนอยู่ที่หน้าบ้านหลังนั้น แล้วมองไปเหนือทิวป่าด้านทิศตะวันออก ก็จะเห็นหลังคามุงจากของบ้านพ่อโผล่อยู่เหนือไร่มันสีเขียวเป็นพืดอย่างชัดเจน ย่าชวนฉันแวะไปกินน้ำ และถือโอกาสเยี่ยมเยียนยายนุ่ม แม่ของน้าด้วน ผู้ซึ่งสังขารร่วงชราผมหงอกขาวทั่วศีรษะเหมือนย่าฉัน
เมื่อแวะกันเข้าไปแล้ว ฉันก็เตร็ดเตร่อยู่ที่ใต้ถุน... เพราะเด็ก ๆ จะสอดขึ้นไปนั่งบนเรือนฟังผู้ใหญ่เขาคุยกันไม่ได้ ถ้าจะขึ้นไปด้วย ก็ต้องหลีกไปนั่งอยู่ห่าง ๆ
ก็มันเป็นขนบธรรมเนียมบุร่ำบุราณ ฉันไม่ว่าอะไรหรอก กลับนึกในใจว่า สู้เที่ยวเดินหาของกินเล่นอยู่ตามข้างบ้านไม่ได้ มันอิ่มท้องสบายกว่ากันเป็นไหน ๆ
ว่าแล้วฉันก็ออกไปจากใต้ถุนบ้านน้าด้วน แวบไปที่ต้นตะขบริมคลอง
เรื่องของกินนี้ฉันจำแม่น บ้านใครที่ฉันเคยไปมาแล้ว ฉันรู้หมด มะเฟือง มะไฟ มะม่วง มะมุด ส้มโอ ต้นไหนเปรี้ยว ต้นไหนหวาน ฉันชิมมาหมด
ทว่าอ้ายตะขบเจ้ากรรมที่บ้านน้าด้วนต้นนี้มันก็แสนจะเปรี้ยว แม้ขณะสุกงอมและแดงยิ่งกว่าลูกตำลึง เมื่อหล่นลงมาใต้โคนแล้วก็ยังเปรี้ยว
หากแต่เป็นเพราะความซุกซนของฉัน...
ถึงเปรี้ยว-ก็เถอะน่า!
แผล็บเดียวฉันปีนขึ้นไปอยู่บนกิ่งเหนือสุดที่ปลายยอดของมันทันที
อ๊ะ - - ฉันมองลงไปจากยอดตะขบ ซึ่งสูงกว่าหลังคาบ้านน้าด้วน เห็นเครื่องเซ่นไหว้ใส่ถาดวางอยู่บนแคร่หน้าศาลเจ้าที่ที่ริมจอมปลวก หน้าบ้านน้าด้วน...
นั่นไข่ต้ม ไก่นึ่ง นั่นขนมแดง-ขนมขาว นั่นพอง นั่นลา... เฮ้ยนั่นเหล้าขาว ไม่กินก็ได้เว้ย...
อ้ายเด็กปลิ้นปลอก! น้าด้วนแกให้ฉายาฉันอย่างนั้น
เมื่อได้เห็นอาหารอันโอชะ และน่าเอร็ดอร่อยกว่าลูกตะขบเปรี้ยวต้นนี้เป็นไหน ๆ ฉันจึงไม่รอช้า รีบไต่ลงจากยอดตะขบ แล้ววิ่งกลับไปที่ใต้ถุนบ้านหลังน้าด้วนอีกครั้ง
"น้าด้วน น้าด้วน ไม่รู้หมาใครมากินเครื่องเซ่นที่ศาลเจ้าที่โน่นแน่ะ"
"อ้าวชิบหาย กูลืมแล้ว"
น้าด้วนร้องลงมาจากบนเรือน หากในน้ำเสียงไม่ได้แสดงอาการตกอกตกใจ หรือเสียดมเสียดายแต่อย่างใด เพราะแกถือเป็นของแก้บน... ในเมื่อแกเซ่นไหว้ให้เจ้าพ่อเจ้าแม่ของแกไปแล้ว เหลือมาก็ถือเป็นเศษเดน เป็นกาก เป็นชาน จะไปหวงอะไร ความปลื้มปีติที่ได้เซ่นไหว้ ก็ทำให้อิ่มอกอิ่มใจจวนจะกลืนข้าวไม่ลงอยู่แล้ว
"เออ เออ อ้ายถึงเอ๋ย เอ็งช่วยไปยกขึ้นมาเก็บไว้บนเรือนให้ยายทีเถอะ"
ยายนุ่มและคนอื่น ๆ อีกหลายคน มักเรียกฉันอย่างเอ็นดูรักใครว่า ไอ้ถึก ซึ่งหมายถึงสัตว์ตัวผู้ที่อยู่ในวัยคะนอง
วัวถึก ม้าถึก ช้างถึก
แต่ฉันมันเกิดปีวอก น่าจะเป็นลิงถึงเสียมากกว่า
ฉันเดินถือถาดเครื่องเซ่นไหว้ที่บรรดาเครื่องเซ่นเหล่านั้นเว้าแหว่งไม่สมบูรณ์ไปแทบทุกสิ่ง โดยเฉพาะไข่ต้ม ไก่นึ่ง และขนม ผ่านหน้าไอ้ปากดำ-หมาตัวโปรดของหน้าด้วน ที่โดนล่ามโซ่เส้นเท่าหัวแม่เท้าไว้ที่โคนเสาเรือน... มันคราหงิง ๆ ราวกับจะอิจฉาฉัน...
ก็ตอนที่ฉันกัดกินโน่นนิดนี่หน่อย พออย่าให้เขาจับได้ อ้ายเวรนั่นมันยืนจ้องฉันตาไม่กระพริบ แถมแลบลิ้นเลียปากอีกต่างหาก
นานสามสี่วันเมื่อน้าด้วนไปยืมหินลับมีดที่บ้านพ่อฉัน แกก็เล่าความลับให้พ่อฉันฟัง...
"เณรด้วนบอกพ่อว่า เอ็งไปหลอกกินไก่นึ่งของมันหมดไปเกือบซีก จริงไหม? รับมาเสียกรง ๆ พ่อไม่ตี"
ฉันกลัวไม่เรียวของพ่อ เลยสารภาพ พ่อจึงสอนฉันว่า จำไว้ ความลับไม่มีในโลก คนไม่เห็น แต่บางครั้งหมามันเห็น
"พอเอ็งกับย่าลงเรือนกันมาแล้ว เณรด้วนก็ต้องรีบลงกระไดไปปลดหมาปากดำออกจากโซ่ เพราะมันเห็นเอ็งทิ้งเศษกระดูกเศษเนื้อที่รีบกินอย่างลวก ๆ ไว้ข้างกอสับปะรด เมื่อเอ็งไม่อยู่ หมามันก็นึกอยากจะกิน มันจึงครางโหยหวน ดิ้นรนกระตุกโซ่ที่ล่ามไว้จนคอแทบขาด"
พ่อของฉันพูดยิ้ม ๆ ทว่าฉันกลับรู้สึกเสียวน่องวูบวาบ ขณะคิดถึงเหตุผลที่ว่า ทำไมท่านถึงได้ไม่ทำโทษฉัน...
วันนี้แม้จะขับรถมากับครอบครัวเลยบ้านน้าด้วนออกมาแล้ว แต่ฉันก็ยังนึกขำอยู่ไม่หาย กับน้ำเสียงของลูกชายคนเล็กที่ยังคงดังแว่วอยู่ข้างหูของฉัน
"พ่อคบไม่ได้..."
จบบทที่ ๑
เมื่อวันที่ : ๑๐ มิ.ย. ๒๕๕๓, ๐๒.๔๖ น.
ตอนใหม่มาแล้ว
ยอดเยี่ยมค่ะ
"พ่อคบไม่ได้" จริง ๆ แหละ
"พ่อ" นี่ใช่คุณนกกาหรือเปล่าคะ?
ดอกไม้ในสวนเช่นเคยค่ะ