![]() |
![]() |
เม็ดทรายใต้ฝ่าเท้า![]() |
...หนูกะปิ หนูกะปิเป็นเด็กหญิงเล็กๆ ธรรมดาๆ ตอนนี้เป็นลูกคนโต และคนล่าสุดของพ่อกับแม่ เพราะแม่คลอดหนูกะปิออกมาเป็นคนแรก และยังไม่มีทีท่าว่าจะคลอดคนต่อ...
ตอน : โลกของกะปิ
หนูกะปิหนูกะปิเป็นเด็กหญิงเล็กๆ ธรรมดาๆ ตอนนี้เป็นลูกคนโต และคนล่าสุดของพ่อกับแม่ เพราะแม่คลอดหนูกะปิออกมาเป็นคนแรก และยังไม่มีทีท่าว่าจะคลอดคนต่อไปออกมาอีกเมื่อไหร่
ตอนนี้หนูกะปิอายุเกือบห้าขวบแล้ว ใครที่รู้จักต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า หนูกะปิเป็นเด็กช่างพูด และขี้สงสัย จนหนูกะปิชักจะเชื่อแล้วว่าตัวเองคงจะช่างพูดและขี้สงสัยจริงๆ
วันนี้หนูกะปิสงสัยว่า ทำไมตัวเองถึงชื่อว่าหนูกะปิ ด้วยความที่เป็นเด็กขี้สงสัย และช่างพูด หนูกะปิเลยไปถามแม่ที่กำลังเตรียมอาหารเช้าอยู่ในครัว
“แม่ขา ใครตั้งชื่อให้หนูคะ ?”
“ก็พ่อกับแม่ไงจ๊ะ” แม่พูดหน้ายิ้มๆ ส่วนมือกำลังหั่นผัก วิธีการตอบคำถามของหนูกะปิที่แม่ชอบทำก็คือ ตอบคำถามและยิ้มๆ ไปด้วย
“แล้วทำไมหนูกะปิถึงชื่อว่าหนูกะปิล่ะคะ?” หนูกะปิทำตาแป๋ว
“ก็ตอนที่หนูอยู่ในนี้” แม่ชี้นิ้วไปที่พุงของตัวเอง “ตอนนั้นแม่ชอบกินมะม่วงจิ้มกะปิน่ะสิจ๊ะ”
“อ๋อ..อย่างนี้นี่เอง” หนูกะปิพยักหน้าหงึกหงึก
“เอ..แล้วทำไมแม่กับพ่อไม่ตั้งชื่อหนูกะปิว่ามะม่วงล่ะ?”
แม่วางมีดหั่นผัก แล้วทำท่าคิดนิดหน่อย
“เอ..นั่นสินะ งั้นทีหลังแม่เรียกหนูกะปิว่าหนูมะม่วงจะดีมั๊ยนะ?”
คราวนี้หนูกะปิทำท่าคิดนิดหน่อยบ้าง แล้วหนูกะปิก็ส่ายหัวจนเปียสั้นๆทั้งสองข้างสะบัดแข่งกันดุ๊กดิ๊ก
“ไม่เอา ชื่อหนูกะปิก็ดีอยู่แล้ว หนูชอบชื่อของหนู”
แม่หัวเราะเบาๆ แล้วลงมือทำงานต่อ แต่พักเดียว หนูกะปิก็ขยับเข้าไปใกล้แม่มากขึ้น แล้วชี้ไปที่พุงของแม่
“แม่ขา แล้วหนูเข้าไปอยู่ในนั้นได้ยังไงเหรอคะ?” คราวนี้แม่หยุดหั่นผัก วางมีด และทำท่าคิด แต่ดูเหมือนว่าแม่จะคิดมากกว่านิดหน่อยไปอีกนิดหน่อยแล้ว
“อืม..ก็..หลังจากผู้ชายกับผู้หญิงที่เป็นผู้ใหญ่แต่งงานกัน แล้วรักกันมากๆ ก็จะมีนางฟ้าตัวเล็กๆ ที่เล็กกว่าหนูกะปิอีก แอบเข้ามาอยู่ข้างในนี้ แล้วก็จะตัวโตขึ้นๆ จนกลายเป็นเด็กผู้หญิงอย่างหนูกะปินี่ยังล่ะจ๊ะ” แม่ก้มตัวแล้วชี้ไปที่พุงอีก แต่คราวนี้เป็นพุงของหนูกะปิ
“โอ้โห.. งั้นหนูกะปิก็เป็นนางฟ้าน่ะสิคะ?” หนูกะปิทำตาโต “ใช่จ้ะ”
“นางฟ้ามีปีก มีไม้กายสิทธิ์ที่เอาไว้เสกรถม้าฟักทองได้เหมือนในนิทานซินเดอเรลล่านะคะ?” “ใช่แล้วจ้ะ”
“แล้วตอนนี้ปีกของหนูกะปิหายไปไหนคะ? ไม้กายสิทธิ์ก็ไม่มีแล้วด้วย?”
“อืม..ก็..ก่อนที่จะแอบเข้ามาอยู่ข้างในนี้ นางฟ้าจะต้องถอดปีก และไม้กายสิทธิ์เก็บเอาไว้ก่อนไง”
“เก็บเอาไว้ที่ไหนคะ หนูกะปิไปเอาคืนมาได้มั๊ย?”
“ไม่ได้หรอกจ้ะ เพราะนางฟ้าจะเอาปีกและไม้กายสิทธิ์ไปเก็บไว้ในป่าลึกที่ไกลมากๆ”
“ว้า ถ้างั้นหนูกะปิก็เป็นนางฟ้าที่ไม่มีปีก ไม่มีไม้กายสิทธิ์ แล้วก็เสกอะไรไม่ได้น่ะสิคะ?”หนูกะปิทำหน้าม่อยเสียงอ่อยจนน่าสงสาร
“แต่ถึงหนูกะปิจะไม่มีปีก ไม่มีไม้กายสิทธิ์ แต่หนูกะปิก็ทำอย่างอื่นได้อีกนะ อยากช่วยแม่ทำกับข้าวอร่อยๆมั๊ยล่ะ?”แล้วแม่ก็พูดยิ้มๆตามแบบฉบับของแม่อีกครั้ง
“เอาสิคะ เอาสิ ให้หนูช่วยแม่นะคะ” หน้าม่อยและเสียงอ่อย ตอนนี้เปลี่ยนเป็นความกระตือรือล้นขึ้นมาได้อย่างน่าประหลาด
แม่ถอนหายใจแล้วแอบคิดเบาๆว่าบางทีประโยชน์ของนิทานก็มีเอาไว้สำหรับหลอกเด็ก โดยเฉพาะเด็กที่ช่างพูดและขี้สงสัย ได้จริงๆ
เมื่อวันที่ : ๐๒ พ.ย. ๒๕๕๑, ๑๗.๐๑ น.
น่ารักจังค่ะ
จะติดตามอ่านตอนต่อไปนะคะ