![]() |
![]() |
ปักษิณ![]() |
ตอน : ความตายในคืนเดือนเสี้ยว
เดือนรูปเคียวในคืนหนาววันจันทร์แรม ๑๒ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีจอ
๘ ธันวาคม ๒๕๐๑
๒๑.๐๐ นาฬิกา
คืนเดือนเสี้ยวดวง ลมหนาวพัดซู่กระโชกค่อนข้างแรงจากอีกฟากฝั่งหนึ่งของบึงหนองใหญ่ซึ่งเป็นหนองน้ำกว้างขวางชายทุ่งโล่งข้ามมายังหมู่บ้าน เสียงกอไผ่เสียดสีตามกระแสลมดังเอี๊ยดอ๊าดเป็นระยะๆ ฟังดูวังเวงอย่างไรชอบกล
นานๆจะมีเสียงตุ๊กแกร้องก้องเป็นจังหวะออกมาจากกอไผ่สักครั้ง และบางทีก็มีเสียงของพวกมันร้องขานรับออกมาจากในโพรงของต้นมะขามใหญ่ริมทาง เสียงดังกังวานชวนให้หัวใจเย็นวาบจนขนหัวลุก สลับกับเสียงกรีดร้องของจักจั่นผสานกับเสียงของหริ่งหรีดเรไร พร้อมสำเนียงของนกกลางคืนรวมทั้งเหล่าหมู่สรรพสัตว์เลื้อยคลานที่พากันร่ำร้องระงม
ถนนดินอัดแน่นโดยธรรมชาติกว้างประมาณสามเมตร และจะยกคันดินขึ้นสูงราวหนึ่งเมตรในช่วงที่ผ่านทุ่งโล่ง คือเส้นทางสายดังกล่าวซึ่งมีกอไผ่ ดงตาล ดงสะแก ดงพุดซาป่าและดงมะขามเทศสลับกับทุ่งโล่ง อันเป็นเส้นทางที่เริ่มต้นจากจากตลาดบ้านลำกระเฉด ผ่านวัดลำกระเฉด บ้านบางปากไก่ บ้านเหนือ วัดหนองแข้ บ้านปากท่อ บ้านกลาง บ้านใต้ ผ่านศาลเจ้าโพธิ์ไทร เลี้ยวขวาไปทางบ้านสระกระทุ่ม และถึงบ้านลำน้ำเจิงซึ่งเป็นจุดหมายปลายทาง
ตลอดเส้นทางจะมีกอไผ่สีสุก ไผ่ลำมะลอก ไผ่รวกและไผ่ป่าหนาทึบปกคลุมอยู่เป็นระยะทั้งสองฟากทาง ที่ด้านหลังกอไผ่นั้นก็จะมีบ้านคนปลูกปนห่างๆกันอยู่เกือบตลอดเส้นทาง โดยเฉพาะที่หน้าวัดหนองแข้ยังมีต้นยางคู่สูงใหญ่อยู่คู่หนึ่ง มีแร้งฝูงใหญ่และอีกาเกาะกันอยู่เต็ม
ส่วนบริเวณหน้าศาลเจ้าโพธิ์ไทรนั้น ดูจะทึบทะมึนน่ากลัวกว่าที่อื่นทั้งหมดเพราะมีทั้งกอไผ่ป่าหนาทึบอยู่ปนกับต้นโพธิ์ใหญ่และต้นไทรย้อย ยามลมพัดซู่ผ่านมาแต่ละครั้ง เสียงใบไม้ร่วงกราวประกอบกับเงาไม้ไหววูบวาบน่ากลัว
นายเหลือมผู้นิยมนุ่งโสร่งเพราะมีเชื้อสายมอญอาศัยอยู่ที่บ้านลำน้ำเจิงมีธุระจำเป็นที่จะต้องเดินผ่านเส้นทางนี้เป็นประจำ แกทำงานเป็นหัวหน้าคนงานอยู่ที่โรงสีของเถ้าแก่ชุ้นริมคลองลำกระเฉดใหญ่ข้างตลาดลำกระเฉด นายเหลือมมีรอยสักลายพร้อยไปทั้งตัว ลือกันว่าแกมีคาถาอาคมอยู่ยงคงกระพันนักหนา ยิงไม่ออกฟันไม่เข้า หนังเหนียวเหมือนหนังแรด พูดจาออกสำเนียงมอญ เสียงใหญ่ก้องกังวานได้ยินไปไกล
ทุกคืนหลังเลิกงานนายเหลือมจะดื่มสุราขาวแกล้มอาหารเย็นที่ร้านของลุงดีแห่งตลาดลำกระเฉดเป็นประจำทุกวันก่อนกลับบ้าน แกจะเริ่มออกเดินทางจากตลาดลำกระเฉดประมาณสองทุ่มหรือใกล้เคียงเกือบทุกคืน ซึ่งจะหยุดเพียงวันเดียวคือวันพระซึ่งเป็นวันหยุดของโรงสีข้าวด้วย
คืนนี้ก็เช่นเดียวกันหลังจากเดินผ่านป่าช้าวัดลำกระเฉดมาไม่นานก็ล่วงเข้าเขตบ้านเหนือ ป่าไผ่สองข้างทางอยู่ในเงามืดทะมึน แสงจันทร์ที่ลอดผ่านทะลุใบไม้ลงมาแลเห็นเป็นเงาวูบวาบ นายเหลือมกระแอมไอเสียงโขลกๆดังลั่นก้องไปไกล เสียงร้องเพลงประจำตัวเริ่มดังกังวานเมื่อเดินผ่านเข้าเงาป่าไผ่แลป่าสะแกที่ขนาบอยู่สองข้างทาง
"จามมะนาโป...จามมะนาโป
อย่ามาโต...อย่ามาโต
เดี๋ยวจะโดนขวานงาม
เดี๋ยวโดนจาม...จามมะนาโป
จามมะนาโป...จามมะนาโป..."
ไม่รู้ว่าเป็นภาษามอญพม่าหรืออย่างไร ด้วยไม่มีใครเคยถามแกถึงความหมายของคำว่าจามมะนาโปนั้นมีความหมายจริงๆว่าอย่างไร แต่ทว่าชาวบ้านทุกคนในละแวกนั้นต่างรู้ดีว่านายเหลือมหรือตาเหลือมที่คุ้นเคยจะพกขวานลูกเล็กๆด้ามหนึ่งเป็นอาวุธประจำกายหรือติดตัวเพื่อการใช้งานและการเดินทางสัญจร ในขณะที่ชาวบ้านคนอื่นๆชอบพกมีดเหน็บมีฝักหรือมีดพกสำหรับปาดตาล หรือไม่ก็ถือพร้าหัวตัดขัดหลัง บางคนก็คาดทับด้วยผ้าขาวม้าบนมีดพกเปลือยฝักอีกที
เสียงเพลงจะเงียบกริบเมื่อแกเดินเลยทิวแถวป่าไผ่ที่ร่มครึ้ม เสียงของนายเหลือมจะเงียบหายไป มาเริ่มดังเอาอีกทีเมื่อเข้าสู่เงาร่มของหมู่ไม้อีกครั้ง นัยว่าเป็นเคล็ดขจัดความกลัวในหัวใจของแกเอง บ้างก็ว่าเป็นการเตือนสัตว์ร้ายประเภทงูเงี้ยวเขี้ยวขอให้รู้ตัวจะได้หลบหลีกไป เพื่อความปลอดภัยของตัวแกเองที่จะได้ไม่ไปเหยียบถูกมันเข้าซึ่งมันอาจทำอันตรายเอาได้โดยไม่ได้ตั้งใจ
มีเพลงอื่นร้องบ้างเหมือนกันในบางครั้งถ้าแกอารมณ์ดี คล้ายเสียงสวดมนต์ซึ่งไม่มีใครใส่ใจฟังเหตุเพราะฟังไม่รู้เรื่องว่าแกร้องว่าอะไร เพียงแต่รู้ว่านี่คือเสียงร้องเพลงของตาเหลือมขาประจำในยามค่ำคืน
"ไอ้เหลือมมันเมาดิบนี่หว่า มันจะแหกปากร้องเพลงก็ต่อเมื่อมันเดินผ่านป่าไผ่หรือบ้านคนเท่านั้น" ลุงสิงห์ขี้เมาประจำหมู่บ้านเอ่ยขึ้นลอยๆคล้ายรำคาญ
"อย่างนี้มันต้องเจอไม้หน้าสามหรือคมแฝกฝากไปสักแผลจึงจะสงบปากสงบคำลงได้บ้าง หรือพี่สิงห์เห็นเป็นอย่างไร?" ลุงก้อนเพื่อร่วมวงเหล้าเสนอความเห็นขณะหยิบปลาเห็ดของโปรดใส่ปาก
"ใจเย็นไอ้ก้อน เสียเวลากินเหล้า กูว่าเดี๋ยวมันก็คงเผลอไปล้มทับตีนใครเขาเข้าสักวัน ไม่เชื่อมึงคอยดูไปก็แล้วกัน" ผู้อาวุโสกว่าปรามกลายๆ
"ข้าละคันไม้คันมือมานานแล้ว ได้ยินเสียงไอ้เหลือมทีไรแล้วชวนโมโหขึ้นมาตะหงิดๆ อยากจะฟาดกบาลมันให้หัวแบะนัก"
"ไอ้ก้อนเอ็งมันเป็นอย่างนี้ทุกที ชอบรนหาที่ไม่เข้าเรื่อง วันดีคืนดีกูคงได้พามึงไปโรงหมอหรือเก็บศพมึงแน่นอนถ้ามึงยังขืนทำปากดีอยู่เรื่อยอย่างนี้" ลุงสิงห์เอ่ยพร้อมส่ายหน้าอย่างเบื่อหน่ายในท่าทางคุยโวของลุงก้อน
"พี่สิงห์ไม่เชื่อคอยดูไปก็แล้วกัน ข้าทนไม่ไหวเมื่อไหร่คงได้สวยแน่ คอยดูสักวันหนึ่งเถอะน่า"
"กูจะคอยดู ไอ้ก้อน...ไอ้หมาเห่าใบตองแห้ง"
ลุงก้อนก้มหน้างุดทำท่าทางไม่พอใจในคำพูด แต่ก็ไม่กล้าขัดใจลุงสิงห์ เนื่องด้วยเขาเองรู้ดีว่าลุงสิงห์นั้นพูดจริงทำจริง ที่สำคัญที่สุดก็คือลุงสิงห์นั้น แกขึ้นชื่อว่ามือไวตีนไวในเชิงมวยโบราณ เพราะอดีตแกเป็นครูมวยที่มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย มีบางคนได้เป็นถึงแชมเปี้ยนมวยไทยเลยทีเดียว หากแต่ว่าแกวางมือมานานแล้ว ด้วยอยากอยู่อย่างสงบในบั้นปลายของชีวิต แต่บรรดาลูกศิษย์ลูกหาเก่าๆต่างพากันแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนอยู่เป็นประจำไม่ได้ขาด
เสียงร้องเพลงของนายเหลือมเงียบหายไปเมื่อเลยป่าไผ่และบริเวณบ้านคนถึงทุ่งโล่ง เงียบไปสักครู่ก็เริ่มมีเสียงดังขึ้นมาใหม่อีกครั้งจากหน้าวัดหนองแข้ แสดงว่าเขาเดินมาถึงบริเวณต้นยางคู่หน้าวัด
"จามมะนาโป...จามมะนาโป....
อย่ามาโต อย่ามาโต
เดี๋ยวจะเจอขวานงาม
เดี๋ยวโดนจาม...จามมะนาโป
จามมะนาโป...จามมะนาโป..."
เสียงร้องที่ดังกังวานก็ค่อยๆเงียบเบาจางไปในที่สุดทันทีที่เลยบ้านปากท่อ หากจะมาดังอีกครั้งต่อเมื่อถึงบ้านกลาง
เลยบ้านกลางทางติดต่อที่จะไปบ้านใต้นั้นต้องผ่านทุ่งโล่งอีกทีอันเป็นถนนดินเช่นเดียวกัน หากแต่ตัดผ่านหนองน้ำขนาดใหญ่อีกแห่งมีชื่อเรียกว่าหนองเสือ ด้วยในอดีตสมัยบุกเบิกเข้ามาอยู่แรกๆนั้น ชาวบ้านออกมาไถนาแต่เช้ามืด สุนัขและวัวที่นำมาด้วยจะถูกเสือโคร่งแอบมากัดกินเป็นประจำ นัยว่ามีอยู่ฝูงใหญ่ประมาณสิบกว่าตัวเลยทีเดียว
หากสมัยนี้ทั้งเสือและจระเข้ไม่มีเหลือให้เห็นแม้แต่เงาแล้ว คงมีเพียงชื่อเรียกขานเท่านั้นที่ยังพอแสดงให้เห็นได้ว่ามีอยู่จริงในอดีต
จากบ้านใต้ผ่านศาลเจ้าโพธิ์ไทร เลี้ยวขวาไปทางบ้านสระกระทุ่ม เดินเรื่อยเลยบ้านสระกระทุ่มไปอีกหน่อยก็จะถึงบ้านลำน้ำเจิงอันเป็นจุดหมายปลายทางของนายเหลือม
*********
๙ ธันวาคม ๒๕๐๑
๕.๐๐ นาฬิกาของวันใหม่
พระอาจารย์เฮี้ยงรองเจ้าอาวาสวัดหนองแข้เคาะระฆังเสียงรัวดังเหง่งหง่างกังวานบอกสัญญาณทำวัตรเช้า แล้วท่านก็ปลุกเจ้าแกละลูกศิษย์วัดให้ลุกขึ้นต้มน้ำร้อนเตรียมชงชาจีนชั้นดีที่เสี่ยกิมเล้งพ่อค้าใหญ่จากในเมืองสรรหามาถวายหลวงพ่ออั้นหรือท่านพระครูอั้นเจ้าอาวาสเป็นประจำมิได้ขาด เพื่อเอาไว้ให้หลวงพ่ออั้นท่านได้ฉันเมื่อท่านทำวัตรเสร็จ
*********
๖.๐๐นาฬิกา
หลวงพี่สังเวียนพระลูกวัดหนองแข้ครองจีวรผืนใหม่ที่เพิ่งได้รับถวายจากโยมสำเนียงอดีตสาวงามในดวงใจของท่านตั้งแต่ตอนที่ท่านยังเป็นฆราวาสอยู่ด้วยหัวใจอิ่มเอม อุ้มบาตรก้าวลงจากกุฏิเพื่อออกบิณฑบาตโปรดสัตว์ โดยเดินมุ่งหน้าไปทางสะพานหน้าวัด
ท่านเดินผ่านพระอาจารย์เฮี้ยงที่กำลังกวาดดอกพิกุลร่วงอยู่ใต้ต้นพิกุลหน้ากุฏิใกล้ซุ้มกระดังงาทางลงศาลาท่าน้ำเสียงดังแกรกๆทั้งที่ฟ้ายังมืดสลัวอยู่
สบงและจีวรใหม่ชุดนี้สำเนียงพาโยมแม่และญาติพี่น้องมาถวายสังฆทานพร้อมทอดผ้าป่าเมื่อวานนี้เอง เธอตั้งใจถวายให้หลวงพี่สังเวียนโดยเฉพาะด้วยมือของเธอเอง พระสังเวียนยังจำแววตาใสซื่อที่เปี่ยมไปด้วยเสน่หาของสำเนียงได้ติดตามิรู้ลืม ความคิดคำนึงถึงสาวเจ้าของสบงและจีวรทำให้พระสังเวียนเผลอเอื้อมมือลอดจีวรออกมาลูบสีเหลืองย้อมฝาดของผ้ากาสาวพัสตร์ด้านนอกอย่างลืมตัว
พลันเมื่อควบคุมสติและสมาธิกลับคืนมาได้ท่านก็หดมือกลับไปประคองอุ้มบาตรตามเดิม ท่านเดินอย่างสำรวมข้ามสะพานไม้หน้าวัดออกมาก็ถึงต้นยางคู่ใหญ่ที่สูงลิบจนแหงนคอตั้งบ่า จึงจะพอมองเห็นยอดยางได้ถนัด กลิ่นสาบสางของขี้นกแร้งและขี้นกกาบริเวณใต้ต้นยางฉุนเข้าจมูกเป็นระยะๆยามลมหนาวพัดกระโชกผ่าน
ฟ้าเริ่มเปิดให้มองเห็นทางรำไร!
วันนี้หลวงพี่สังเวียนออกมาบิณฑบาตเพียงองค์เดียว เพราะพระลูกวัดส่วนใหญ่จำนวนเก้ารูปรับนิมนต์ไปสวดในพิธีขึ้นบ้านใหม่ที่บ้านทิดบุญมากที่หมู่บ้านหนองหญ้าไทรละแวกตำบลใกล้เคียง โดยท่านแยกมาบิณฑบาตทางสายบ้านเหนือ ส่วนพระที่เหลืออีกสององค์ก็แยกกันไปบิณฑบาตคนละทิศคนละทาง คือองค์หนึ่งไปทางหมู่บ้านปากท่อและบ้านกลาง อีกองค์หนึ่งไปทางสายหมู่บ้านใต้
เดินเลยต้นยางสูงคู่หน้าวัดมาได้ไม่ถึงสิบก้าว ฉับพลันเท้าเปลือยเปล่าของหลวงพี่สังเวียนก็สะดุดเหยียบลงไปบนร่างของใครคนหนึ่งที่นอนขวางอยู่บนทางเดินด้านซ้ายที่ท่านเดินมาพอดี พระสังเวียนสะดุ้งเสียหลักจนเกือบปล่อยบาตรให้ร่วงหลุดจากมือ
พอตั้งสติได้หลวงพี่เอื้อมมือข้างที่อยู่นอกจีวรยกขึ้นป้องหน้าเพื่อที่จะเพ่งมองฝ่าความมืดสลัวให้เห็นหน้าถนัดว่าเป็นใคร ทำไมจึงมานอนหลับอยู่กลางถนนอย่างนี้?
หรือจะเป็นคนเมา?
ใครกันแน่?
แต่แล้วท่านก็ต้องสะดุ้งอีกครั้งเมื่อเท้าซ้ายที่เปลือยเปล่าของท่านเหยียบลงไปบนพื้นที่เปียกลื่นเป็นเมือก
เลือด!
กลิ่นคาวคลุ้ง!
ท่านเหยียบไปบนกองเลือด!
คนตาย!
ร่างนั้นนอนลืมตาโพลง เลือดไหลโซมนองพื้นจนแฉะไปหมด ที่ลำคอมีรอยถูกเฉือนหรือฟันเกือบขาด โดยเฉพาะที่ศีรษะมีรอยถูกฟันแยกจนถึงหน้าผาก!
หลวงพี่สังเวียนอาเจียนพรวดออกมาจนขมปาก!
*********
เมื่อวันที่ : ๒๙ ก.พ. ๒๕๕๑, ๑๘.๕๙ น.
คุณปักษิณ เขียนได้สนุก น่าเร้าใจมากค่ะ
สำนวนการบรรยายก็ดีมากค่ะ