.......พ่อยื่นกุญแจรถให้เขาโดยดี หน้าพ่อเรียบเฉยแต่แววตานั้นเศร้า เขาเห็นแม่แอบยืนปาดน้ำตาอยู่ข้างหน้าต่างเมื่อรถคันแรกของครอบครัวถูกขับออกไปจากบ้าน......

งิ้วหลวงต้นใหญ่ข้างบ้านออกดอกสีแดงเข้มบานสะพรั่ง นกน้อยใหญ่ พากันมารุมอยู่บนงิ้วใหญ่ต้นนี้ตั้งแต่เช้าตรู่ บางพวกกินน้ำหวานจากเกสร แต่บางพวกคอยกินแมลงที่มาตอมเกสรนั้น ลมหนาวปลายฤดูยังพัดเย็นเยียบ มันเป็นอย่างนี้ทุกๆปีนานมาแล้วตั้งแต่บุญมายังเด็ก

งิ้วหลวงต้นนั้นสูงใหญ่ ดูสง่างามมากขึ้นเรื่อยๆตามอายุของมัน แต่สำหรับเขามันตรงกันข้ามเพราะจนบัดนี้ ถึงอายุจะย่างเข้าสู่วัยฉกรรจ์แล้ว ก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงดีขึ้น ทั้งตัวเองและครอบครัว นอกจากความขัดสนที่เพิ่มขึ้น วันนี้แม่ต้องขอดข้าวสารจากก้นถังมาหุงเป็นอาหารเช้า และถ้าไม่มีข้าวสารมาเติม มันก็จะเป็นข้าวมื้อสุดท้ายของบ้าน

เมื่อสองปีก่อนพ่อกับเขาซึ่งเป็นกำลังหลักของบ้าน ตกลงใจที่จะเลิกทำนาเพราะข้าวราคาไม่ดีติดกันหลายปีมาแล้ว บุญมายังจำคำพูดของพ่อได้ดี

"ข้าว่าลองทำอย่างอื่นบ้างเถิด นาก็ทำมาแต่เกิดแล้ว ผู้ใหญ่สมเขาว่าตอนนี้มีเถ้าแก่รับซื้อผักหลายเจ้าต้องการกะหล่ำปลีส่งลงไปใต้ไม่มีอั้น" แล้วพ่อก็บอกต่อไปอีกว่าเขาประกันราคารับซื้อด้วย ค่าปุ๋ย ค่ายา ค่าเมล็ดพันธุ์เขาก็ออกให้ก่อน คนแถวนี้เริ่มทำกันหลายรายแล้ว พ่อว่าแบ่งที่ไว้ทำนาให้พอได้ข้าวกิน นอกนั้นปลูกกะหล่ำให้หมด

"เราจะได้รวยกันเสียบ้าง" พ่อตั้งความหวังเอาไว้...

แล้วพ่อกับเขาและแม่ก็เริ่มต้นปลูกกะหล่ำปลีเป็นหลักแต่นั้นมา น้องชายคนเล็กช่วยได้เพียงนิดหน่อยเพราะยังเรียนอยู่

ปีแรกผ่านไป ทุกอย่างเป็นไปตามที่เถ้าแก่บอก พ่อขายกะหล่ำได้ในราคาประกัน และได้เงินอย่างเป็นกอบเป็นกำ ด้วยดินยังใหม่โรคยังน้อย เมื่อหักค่าของที่เบิกมาก่อนจากเถ้าแก่แล้ว ครอบครัวเขามีเงินเหลือมากกว่าทุกปีที่เคยทำนา แถมยังมีข้าวที่ปลูกเอาไว้กินเองไม่ต้องซื้อเขาอีก นอกจากนี้พ่อยังมีเงินเหลือพอไปซื้อมอเตอร์ไซค์เก่าจากกาดงัวได้คันหนึ่ง เอามาไว้ใช้สอยด้วย

พอเริ่มฤดูใหม่ พ่อบอกว่าปีที่แล้วเราปลูกกะหล่ำแค่สี่ไร่ยังได้เงินเท่านี้ ถ้าปลูกให้เต็มหมดทั้งที่เลยไม่ต้องทำนาอีก มันต้องได้เงินมากกว่านี้อีกสามสี่เท่า คนแถวนี้เขาขยายที่ปลูกกันทั้งนั้น จะได้มีเงินมากกว่าปีที่แล้ว พ่อเองก็อยากจะซ่อมหลังคาบ้านใหม่ แม่อยากต่อครัวออกไปอีกนิด และน้องชายคนเล็กก็อยากเรียนต่อชั้น ป.ว.ช.

"ปีนี้เราจะเลิกทำนา ใช้ที่ปลูกกะหล่ำให้หมด ถ้าไม่พอก็เช่านาข้างๆเขาปลูกกะหล่ำเพิ่ม" แล้วน้องชายคนเล็กที่อยากจะเรียนต่อ ป.ว.ช.ก็ต้องหยุดเรียน แค่นี้ก่อน

"มาช่วยพ่อปลูกกะหล่ำสักสักปี แล้วพ่อจะส่งเอ็งเรียนมหาลัย เอ็งอยากเรียนวิศวะไม่ใช่หรือ ! " พ่อพูดเหมือนกับสัญญากับน้องชายวัยสิบหกของบุญมา

จริงอย่างที่พ่อว่า ใครๆก็ปลูกกะหล่ำปลี ท้องทุ่งที่เคยเขียวขจีด้วยต้นข้าวในหน้าฝน และจะกลายเป็นสีทองเมื่อใกล้ฤดูเก็บเกี่ยวไม่มีให้เห็นอีกแล้ว ที่นาทุกแห่งในหมู่บ้านนี้กลายเป็นไร่กะหล่ำปลีไปหมดสิ้น...

จากริมลำเหมืองใหญ่เข้าไปจนจรดตีนดอยที่ไกลสุดตา มีแต่ไร่กะหล่ำปลี แม้แต่บนดอยพวกชาวเขาก็พากันปลูกกะหล่ำปลี ผู้ใหญ่สมประกาศกับบรรดาลูกบ้านทางหอกระจายข่าวของหมู่บ้านว่า "กะหล่ำปลีคือทางเลือกใหม่ของเกษตรกร"

การขยายเนื้อที่ปลูกกะหล่ำออกไปอีกสามเท่านั้นเกินกำลังที่จะทำกันเองได้ด้วยแรงงานในครอบครัว แต่พ่อก็หาทางออกได้ไม่ยาก

" ถ้าเราทำไม่ทันจ้างเขามาช่วยก็ได้ ลูกเอ๋ย ! แถวนี้เขาก็จ้างคนช่วยกันแล้ว คนจากที่อื่นมาหางานทำเยอะแยะ" พ่อบอกและพ่อก็บอกต่อไปอีกว่า ผู้ใหญ่สมว่าใครต้องการเงินทุนให้เอาโฉนดไปเข้าธนาคารไว้ แล้วก็เอาเงินมาได้เลย

"ข้าจะเอาที่เราเข้าธนาคารมาทำทุน" พ่อประกาศนโยบายการลงทุนใหม่ของครอบครัว

จริงอย่างพ่อว่า แรงงานจากที่อื่นหลั่งไหลเข้าไปในทุกตำบลและทุกหมู่บ้านของหลายอำเภอแถบนี้ ทั้งคนจากภาคอิสาน คนไทยใหญ่จากฝั่งพม่า รวมทั้งคนในจังหวัดใกล้เคียงที่อยากมีงานทำ แม้แต่คนม้งบนดอยก็ยังจ้างพวกกะเหรี่ยงจากชายแดนมาช่วยปลูกกะหล่ำปลี

ตั้งแต่ตีนดอยยันยอดดอย ที่ไหนมีน้ำที่นั่นจะต้องมีไร่กะหล่ำปลี บนดอยสูงดอกฝิ่นหายไป...มันถูกแทนที่ด้วยกะหล่ำปลี ! ชาวบ้านหลายคนออกรถกระบะเตรียมไว้บรรทุกกะหล่ำปลี "ทางเลือกใหม่ของเกษตรกร" เพื่อส่งตลาด.... พวกม้งลงจากดอยมาขอแคตตาล็อครถกระบะจากเอเย็นต์ขายในเมืองด้วย

เศรษฐกิจในจังหวัดเฟื่องฟู เซลส์แมนขายรถกะบะกับรถมอเตอร์ไซค์ผูกเน็คไทเดินขวักไขว่เข้าออกอยู่ทุกหมู่บ้าน ร้านขายปุ๋ยขายยาฆ่าแมลงผุดขึ้นดังดอกเห็ดในต้นฤดูฝน ซื้อสดราคาหนึ่ง ซื้อเชื่ออีกราคาหนึ่ง มันเป็นการค้าแบบเสรี !

บุญมายังจำวันนั้นได้ดี วันที่เขากับพ่อเข้าไปในเมืองเพื่อติดต่อกับธนาคาร ก็ผู้ใหญ่สมนั่นแหละเป็นคนพาไป

"เถ้าแก่เขาติดต่อกับธนาคารไว้ให้แล้ว เราแค่เอาโฉนดมายื่นแล้วเซ็นชื่อ อีกอาทิตย์เดียวก็มารับเงินได้" ผู้ใหญ่สมบอกกับพ่อและเขา

ธนาคารเป็นตึกแถวเก่าๆดูซอมซ่อ หน้าธนาคารมีธงชาติสีซีดจางปักอยู่ ดูเผินๆแทบจะไม่รู้ว่าเป็นธนาคาร ตรงประตูเข้ามียามแต่งเครื่องแบบเก่าๆนั่งไถลก้นอยู่บนเก้าอี้ สายตาของยามคนนั้นเหม่อลอย มองดูคนที่เดินเข้าเดินออกอย่างไร้ความรู้สึก ท่าทางหมอซึมเศร้าหมดอาลัยตายอยาก เขาให้นึกสมเพชยามคนนั่น...เขาไม่รู้จักทางเลือกใหม่อย่างเรา..

บุญมายังจำความคิดของเขาที่มีต่อยามคนนั้นได้ แล้วก็นึกถึงสภาพตัวเองตอนเป็นทหารเมื่อต้องเข้าเวรยืนยาม ในยามกลางคืนมันคือการถูกขังเดี่ยวโดยไม่มีลูกกรง และในยามกลางวันมันเป็นความโดดเดี่ยวท่ามกลางฝูงชน ไม่ผิดกันสักเท่าไรถ้าจะต้องเป็นยาม ไม่ว่าเป็นทหารหรือเฝ้าธนาคาร...

"ข้าว่าเราจะต้องออกรถกระบะสักคัน เพราะดูเนื้อที่ปลูกกะหล่ำปีนี้แล้ว ต้องมีรถขนผักไปส่งตลาด จะมัวมาฝากเขาไปส่งอย่างเมื่อก่อนคงไม่ได้" พ่อบอกเขาเมื่อเดินออกมาจากธนาคารในอีกเจ็ดวันต่อมา...และอีกไม่กี่วันจากนั้นครอบครัวของบุญมาก็มีรถกระบะเก่าคันหนึ่ง มันเป็นความภูมิใจของทุกคน

ไร่กะหล่ำปลีของพ่อที่ถูกขยายออกไป ทำให้พ่อต้องจ้างคนงานจากที่อื่นมาช่วยอีกสองคน ทั้งตำบลคึกคักไปทั่วเหมือนมีสายแร่ทองคำผุดขึ้นมาในนาข้างหมู่บ้าน

เย็นลงร้านเหล้าในหมู่บ้านทุกร้านก็เต็มไปด้วยชาวไร่กะหล่ำปลีที่มาผ่อนคลายความเหนื่อยล้า ทั้งลูกจ้างและนายจ้าง บ้างคุยกันถึงราคากะหล่ำที่จะตัดเป็นมีดแรกในเดือนหน้า บ้างก็ถกเถียงถึงรถกระบะที่ตัวเพิ่งจะซื้อมาว่ายี่ห้อใดจะเหนือกว่ากัน บางคนคุยโวถึงปุ๋ยสูตรใหม่ที่เขาค้นพบว่ามันเพิ่มน้ำหนักกะหล่ำได้อีกเท่าตัว แต่บางคนก็นั่งเงียบ ! เขาจะเงี่ยหูจดจำทุกสิ่งจากคนอื่นเพื่อเก็บไปใช้กับไร่กะหล่ำของเขา และถ้ามันได้ผลเขาก็จะไม่บอกใครทั้งนั้น... โลกของทุกคนกำลังเป็นสีทองผ่องอำไพ !

เมื่อกะหล่ำปลีมีดแรกของปีนี้ถูกตัด รถกระบะบรรทุกกะหล่ำปลีเต็มเพียบ คันแล้วคันเล่าก็วิ่งเข้าสู่ตลาดกลางในเมืองไม่ขาดสาย ส่วนพวกม้งที่อยู่บนดอยสูงต้องใช้โซ่พันล้อรถ ตะกายจากในหุบเขาขึ้นมาบนถนน แล้วจึงถอดโซ่ออก วิ่งลงสู่ตัวเมือง ราคารับซื้อเป็นไปตามที่รับประกันไว้ ... ไพร่ฟ้าหน้าใส !

พอกะหล่ำปลีรุ่นที่สองถูกตัดสมทบมา รถกระบะบรรทุกกะหล่ำปลีก็คลาคล่ำไปทั่วเมือง ถนนทุกสายในจังหวัดมุ่งสู่ตลาดกลางรับซื้อกะหล่ำปลี ! ราคากะหล่ำปลียังคงเป็นไปตามสัญญาของพวกเถ้าแก่ เพียงแต่การจ่ายเงินจะเลื่อนออกไปจากเจ็ดวันเป็นสิบสี่วัน แม้กระนั้นเนื้อที่ปลูกกะหล่ำก็ไม่ได้ลดลง กลับเพิ่มขึ้นเสียด้วยซ้ำ เพราะว่ามันเป็นทางเลือกใหม่ของเกษตรกร

ชาวบ้านที่นี่ไม่มีใครกินกะหล่ำปลีอีกแล้ว มันแสนจะเบื่อ ! ก็พวกเขากินมาทั้งปีเมื่อปีก่อน จะกินมันทุกมื้อทุกวันอย่างข้าวไม่ได้หรอก จนมีเรื่องตลกเล่าขานกันว่าถ้าเด็กน้อยร้องไห้โยเย หากอยากให้หยุดต้องขู่ว่าจะเอากะหล่ำปลี ให้กิน เจ้าเด็กน้อยนั้นจะหยุดร้องทันที

บุญมาจำได้ว่าระยะนี้ยาที่ฉีดพ่นกะหล่ำต้องใช้มากขึ้น หนอนเริ่มดื้อยา พ่อชักจะบ่นว่าเงินค่ากะหล่ำที่เก็บได้แต่ละงวด ถูกหักเป็นค่ายาฉีดกับปุ๋ยมากขึ้นทุกที นี่เพิ่งจะต้นฤดูเท่านั้น !

เมื่อกะหล่ำปลีรุ่นที่สามทยอยสมทบออกมา ทั้งที่รุ่นแรกกับรุ่นที่สองยังตัดไม่หมด มันมาจากทั่วทุกสารทิศ ทั้งจากบนดอยและพื้นราบ เหมือนน้ำป่าที่หลากล้นหลังฝนหนักตกสั่งสมหลายวันติดกัน ทำให้ราคารับซื้อเริ่มต่ำกว่าราคาประกัน แต่ราคาปุ๋ยกับยากลับสูงขึ้น...

อีกไม่นานราคารับซื้อก็ยิ่งต่ำลงไปอีก และต่ำลงไปเรื่อยๆ จนชาวไร่เริ่มหยุดตัดกะหล่ำของเขาแล้วเพราะไม่คุ้มค่าตัด เถ้าแก่กะหล่ำบางรายหยุดรับซื้อดื้อๆ มีบ้างที่ยังรับซื้อในราคาประกันอยู่ แต่ก็รับเพียงนิดเดียวพอให้เห็นว่ายังซื้ออยู่ ผูกใจเอาไว้สำหรับโอกาสข้างหน้า และในที่สุดชาวไร่ทั้งหมดก็หยุดตัดกะหล่ำปลี กะหล่ำในไร่สุดสายตาเหี่ยวเฉาเน่าอยู่คาไร่

พวกหัวรุนแรงที่รวมตัวกันประท้วงราคาประกัน โดยเดินขบวนเอากะหล่ำปลีไปเทกองไว้หน้าศาลากลางจังหวัดพากันเดินคอตกกลับบ้าน เหมือนทหารที่พ่ายแพ้เดินกลับจากสมรภูมิอย่างไร้เกียรติ ไม่มีใครช่วยเขาได้ !

ชาวไร่กะหล่ำหน้าดำคล้ำ นอกจากกะหล่ำที่ขายไม่ออกแล้ว หลายคนยังเก็บเงินค่ากะหล่ำที่ค้างจ่ายไม่ได้ด้วยซ้ำ ลูกจ้างต่างถิ่นหน้าเศร้าที่เบิกค่าแรงไม่ได้ พวกเขาเริ่มเก็บข้าวของและเดินทางกลับบ้านที่จากมานาน สายแร่ทองคำเหือดหายไปจากทุกหมู่บ้านพร้อมๆกับที่เถ้าแก่กะหล่ำพากันหายหน้าไปจากร้าน...โกดังปิดเงียบ

มีคนผูกเน็คไทเข้ามาเดินขวักไขว่ตามหมู่บ้านอีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่พวกเซลส์แมนขายรถ แต่เป็นพนักงานบริษัทไฟแนนซ์ พวกเขามาติดตามหนี้สินค่ารถที่ขาดส่ง

บุญมาจำบ่ายวันนั้นได้ไม่มีวันลืม วันที่มีคนผูกเน็คไทสามคนขับรถเข้ามาในบ้าน คนหนึ่งถามหาพ่อ อีกสองคนตรงรี่ไปตรวจดูที่รถของพ่อ พ่อยื่นกุญแจรถให้เขาโดยดี หน้าพ่อเรียบเฉยแต่แววตานั้นเศร้า เขาเห็นแม่แอบยืนปาดน้ำตาอยู่ข้างหน้าต่างเมื่อรถคันแรกของครอบครัวถูกขับออกไปจากบ้าน บ่ายนั้นเองที่ทำให้บุญมาตัดสินใจได้

หมอกยามเช้าเริ่มจาง บุญมานั่งอยู่บนบันไดบ้าน มองออกไปยังที่นาของพ่อซึ่งเดี๋ยวนี้ใบโฉนดอยู่ที่ธนาคาร เขานึกถึงภาพในอดีต เดือนเดียวกันนี้เมื่อสองปีที่แล้ว ตอนที่ดอกงิ้วหลวงกำลังบานเต็มที่เหมือนวันนี้ แม่จะทำขนมจีนน้ำเงี้ยวที่ทุกคนชอบ แม่จะโขลกน้ำพริกแกงเอง เอาลงต้มเคี่ยวไปกับซี่โครงหมูและมะเขือส้มลูกเล็ก แม่หั่นเลือดหมูใส่ลงไป แล้วก็เอาเกสรดอกงิ้วแห้งใส่ลงไปด้วย มันเหนียวหนุบอร่อย ! ส่วนเขากับพ่อจะช่วยกันปล่อยน้ำจากลำเหมืองเข้านา แล้วแต่งซ่อมคันนา อุดรูปู รูหนูที่พวกมันเจาะกันเอาไว้ เตรียมไถและหว่านข้าวนาปรัง

แต่ภาพจริงตอนนี้คือไร่กะหล่ำปลีที่ตัดไปแล้วบางส่วน แต่ยังเก็บเงินไม่ได้ และที่ไกลลิบๆคือกะหล่ำส่วนใหญ่ที่ถูกทิ้งให้เน่าอยู่ในไร่ คนงานสองคนกลับบ้านไปแล้วเมื่อวานซืนโดยไม่ได้ค่าแรงที่ค้าง มีเพียงเงินค่ารถที่พ่อให้ไป มันเป็นเงินก้อนสุดท้ายของบ้านด้วย น้องชายที่ต้องออกจากโรงเรียนเมื่อปีที่แล้ว ตอนนี้กำลังฝึกงานวิศวะอยู่ที่อู่เคาะพ่นสีรถยนต์ในตลาด...

พ่อนั่งอยู่ที่ลานบ้าน พยายามสับกะหล่ำโปรยให้ไก่ที่เหลือสองตัวกิน แต่มันก็ไม่ยอมกิน แม่กำลังเก็บดอกงิ้วที่ร่วงอยู่ใต้ต้น คงไม่ได้เอาเกสรไปใส่ขนมจีน น้ำเงี้ยวอย่างสมัยก่อนหรอก แม่คงจะเอาไปตากแห้งไว้ แล้วต้มให้พ่อกับเขาและน้องจิ้มน้ำพริกกินเหมือนเมื่อวาน เพราะยังไม่มีใครในบ้านยอมกินกะหล่ำปลี รวมทั้งตัวแม่เอง !

บุญมาผูกเชือกรองเท้าเสร็จเรียบร้อย เขายืนขึ้นจัดเสื้อกางเกงให้เข้าที่แล้วเดินลงบันได พ่อซึ่งปีนี้ดูแก่ลงมากเงยหน้ามองเขาอย่างแปลกใจ

"นั่นเอ็งจะไปไหนแต่เช้า ? " เสียงพ่อถาม แม่ที่กำลังนั่งเก็บดอกงิ้วอยู่ก็หันมามองเขาด้วย

"เอ็งจะไปเป็นทหารอีกหรือ ไหนว่าปลดไปนานแล้ว ? " พ่อถามต่อไปอีก บุญมาเดินตัวตรงไปยังมอเตอร์ไซค์คันเก่าซึ่งเป็นพาหนะอย่างเดียวของบ้าน ในตอนนี้

"ไม่ได้ไปเป็นทหารหรอกพ่อ ผมไปทำงานบริษัทฝรั่ง" บุญมาตอบพ่อ แล้วจัดเสื้อให้เข้าที่เป็นครั้งสุดท้าย

"บริษัทอะไรของเอ็ง ไอ้ใหญ่ ? " แม่ถามขึ้นทันทีด้วยความอยากรู้

"บริษัท ยูเนี่ยนซิเคียวริตี้การ์ดนะแม่" บุญมาตอบเสียงเรียบๆโดยไม่มองหน้าใคร เขาขึ้นขี่มอเตอร์ไซค์เก่าคร่ำที่พ่อซื้อมาจากกาดงัวคันนั้นควันโขมงออกจากบ้าน ไปสู่ทางเลือกใหม่อีกครั้ง...

เมื่อวันที่ : 11 พ.ค. 2548, 02.24 น.
ผู้อ่านที่รัก,
นิตยสารรายสะดวก และผู้เขียนยินดีรับฟังความคิดเห็นต่อข้อเขียนชิ้นนี้
เชิญคลิกแสดงความเห็นได้โดยอิสระ ขอขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ในการมีส่วนร่วมของท่านในครั้งนี้...