นิตยสารรายสะดวก  Regular Articles  ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๔๘
จำได้เพราะจำไว้ (คำเทศน์ โดย ชยสาโรภิกขุ)
รจนา ณ เจนีวา
...สติหรือ​​ความระลึก​​ได้ สติมีหน้า​​ที่ระลึก มีหน้า​​ที่จำ ​​แต่เราจำ​​ได้ เฉพาะเรื่อง​​​​ที่เราเคยจำไว้ การจำไว้​​จะไม่เรียกว่าสติ จำไว้อย่างหนึ่ง​​ จำ​​ได้อย่างหนึ่ง​​...
จำ​ได้​เพราะจำไว้
ถอดเทปจากคำเทศน์ ของ ชยสาโรภิกขุ

(หากข้อ​ความเบื้องล่างขาดตกบกพร่องประการใด ผู้ถอดเทปขอน้อมรับผิดไว้​แต่เพียงผู้เดียว - รจนา เจนีวา)

ในการมีสติ มี​ความระลึก​ได้ ​พระพุทธองค์ว่า​เป็นทาง​ไปสู่​ความไม่ตาย ​ไปสู่อมตธรรม สติ​เป็นสังขารอย่างหนึ่ง​ คำว่าสังขารใน​ที่นี้หมายถึงสิ่งปรุง​แต่ง หมายถึงสิ่ง​ที่เกิดจากเหตุจากปัจจัย ​จะเกิดขึ้น​ก็ด้วยเหตุปัจจัย ​จะเจริญด้วยเหตุปัจจัย ​จะเสื่อมก็ด้วยเหตุปัจจัย

สิ่ง​ทั้งปวง​ทั้งหลาย​ที่เรารู้​ได้ด้วยตาหูจมูกลิ้นกายใจ ล้วน​แต่​เป็นสังขาร​ทั้งนั้น​ มีอะไร​ไหม​ที่ไม่ใช่สังขาร ก็มี สิ่ง​ที่ท่านเรียกว่า วิสังขาร ​ซึ่ง​เป็นชื่อของ​พระนิพพาน โยมอาจ​จะสังเกตในการทำวัตรสวดมนต์ มีสัพเพสังขารา อนิจจา สัพเพสังขารา ทุกขา สัพเพธรรมา อนัตตาติ ทำไมข้อ​ที่สามมีคำว่าธรรมะ ทำไมมีคำว่าสังขาระ ​เพราะว่า คำว่าสังขาร ไม่​ได้รวมถึงนิพพานด้วย หมายถึงทุกสิ่งทุกอย่าง เว้น​แต่​พระนิพพาน ​แต่​ที่ท่าน​ใช้คำว่า สัพเพธรรมาอนัตถา ​เพราะรวมถึง​พระนิพพานด้วย​เพราะไม่มีเจ้าของ

สติก็สังขารอย่างหนึ่ง​ ​เมื่อเรายอมรับว่า สติ​เป็นคุณธรรม​ที่สำคัญ​ที่เรา​ต้องการ ​เป็น​ส่วนประกอบของชีวิต​ที่สมบูรณ์ เรา​ต้องสนใจใน​ความ​เป็นสังขารของสติด้วย หมายถึงว่า สนใจในเหตุปัจจัยของการเกิดขึ้น​ของสติ เหตุปัจจัยของ​ความตั้งอยู่​ เหตุปัจจัยของการเสื่อม​ไป​และดับ​ไปของสติ

สติหรือ​ความระลึก​ได้ หมายถึงว่า สติมีหน้า​ที่ระลึก มีหน้า​ที่จำ ​แต่ก็​เป็นเรื่อง​ธรรมดาว่า เราจำ​ได้ เฉพาะเรื่อง​​ที่เราเคยจำไว้ ​ที่นี้เราแยก​ระหว่างจำไว้ ​กับ จำ​ได้ การจำไว้​จะไม่เรียกว่าสติ ​เป็น​ส่วนหนึ่ง​ของคำสำคัญอีกคำหนึ่ง​​คือ สัญญา ​แต่นี่เราไม่​ต้อง​ไปวิเคราะห์เรื่อง​สัญญามาก ​ที่อยาก​จะพูดวันนี้ก็เพียงว่า จำไว้อย่างหนึ่ง​ จำ​ได้อย่างหนึ่ง​

​เมื่อเราลืมบางสิ่งบางอย่างหรือนึกไม่ออก เรามักโทษตัวจำ​ได้ เรา​จะโทษจำไม่​ได้ สติเราแย่ ​ที่จริงไม่ค่อยยุติธรรม​กับตัวสติเท่าไร ​เพราะสติมีหน้า​ที่จำสิ่ง​ที่เราเคยจำไว้ แล้ว​​ถ้าเราไม่เคยจำไว้ เรา​จะจำ​ได้อย่างไร มันอาจ​จะไม่ใช่การบกพร่องของตัวจำ​ได้ ​แต่​เป็น​ความบกพร่องของตัวจำไว้ ดังนั้น​การตั้งใจ จำไว้ สิ่ง​ที่ควรจำไว้ ​เป็นการสร้างเหตุปัจจัยของการจำ​ได้สิ่ง​ที่ควรจำ​ได้

การจำไว้เกิดจาก​ความ​เอาใจใส่ ​ความตั้งใจอย่างหนึ่ง​ เกิดจากการท่อง การท่อง​คืออะไร​ ​คือตั้งใจจำไว้ ดูบ่อย ๆ​ ดูจนขึ้น​ใจ คำนี้ก็​เป็นคำ​ที่น่าสนใจ "ขึ้น​ใจ" ​ต้องท่องจนกว่ามันขึ้น​ใจ ขึ้น​ใจมันอยู่​แล้ว​ไม่ลืม จำ​ได้ง่ายก็ขึ้น​ใจแล้ว​ ​เมื่อเกิด​ความสงสัยว่า วางแว่นไว้ตรงไหน นึกไม่ออก อยู่​ข้างหลัง หรืออยู่​ในรถ จำไม่​ได้ ปัญหามันอยู่​ตรงไหน มันอยู่​​ที่ว่า ในขณะ​ที่วางแว่น เราไม่​ได้ใส่ใจ ​กำลังพูดคุย​กับคนอื่น ​กำลังคิดเรื่อง​นั้น​เรื่อง​นี้ ​กำลังฟังวิทยุอะไร​ ไม่​ได้อยู่​​กับการวางแว่น มันก็ไม่​ได้ฝากข้อมูลไว้ ​เมื่อไม่​ได้จำว่าแว่นอยู่​ตรงไหน ตอนหลังอยาก​จะหาแว่น ก็จำไม่​ได้

การมีชีวิตอย่าง​เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน​ต้องมี​ความตั้งใจในการจำไว้ด้วย ไม่ใช่ว่า​ต้องจำ​ได้อย่างเดียว จำ​ได้​กับจำไว้อยู่​ด้วยกัน นี่ข้อมูล​ที่เราจำ​ได้ ​ซึ่งเราเกิดจำไว้ มีผลต่อชีวิตเรามาก ประสบการณ์​ที่เราเคยจำไว้ ก็มีผลต่อปัจจุบัน มีผลต่อ​ความรู้สึกมาก ​ทั้งในทาง​ที่ดี ​ซึ่งเรียกว่า สัมมา ​เป็นสัมมาสติ หรืออาจ​เป็นในทาง​ที่ไม่ดี

ญาติโยมคงทราบว่า ตอนอาตมาอายุน้อยก็หาประสบการณ์ด้วยการเดินทางต่างประเทศ ก็เดินทาง​ไปถึงประเทศอินเดีย แล้ว​มีประสบการณ์หลายอย่าง​ที่ประทับใจ นี่ก็​เป็นคำหนึ่ง​ ประทับใจ ขึ้น​ใจ เราจำไว้ เราจำ​ได้ วันหนึ่ง​​เป็นวันแรก​ที่​ไปถึงเมืองมัทราส​ซึ่งอยู่​ปักษ์ใต้ของอินเดียว หลังจากอยู่​ทางเหนือมานานหลายวัน ก็​ไปทานอาหาร​ที่ภัตตาคารหรือ​ที่ร้านอาหาร ​ซึ่งทางใต้ของอินเดีย อาหาร​จะไม่เหมือนทางเหนือ ​จะไม่ค่อย​ได้ทานพวกจาปาตี ​จะทานข้าว ​จะมีอาหารเฉพาะของปักษ์ใต้​เขาเหมือนปักษ์ใต้ของไทยก็มีทาน​เป็นเอกลักษณ์

ในร้านอาหาร​เขา​จะแจกใบกล้วย แจกข้าวเจ้า ​กับพวกน้ำแกงน้ำอะไร​ปน ๆ​ บนใบกล้วย พอเสร็จแล้ว​ก็ไม่​ต้องล้างจาน ก็เก็บใบกล้วยแล้ว​ก็ทิ้งหลังร้านอาหาร วันนั้น​ ออกจากร้านอาหารแล้ว​ ก็เดิน​ไปข้างหลัง ก็เห็นมีชาวบ้านหลายคน ​กับวัว ​กับหมา ​กำลังแย่งกันเก็บใบกล้วย​ซึ่งยังมีข้าวติดอยู่​ ไม่เคยเห็นในชีวิต คนแย่งอาหาร​กับหมา แล้ว​ก็แย่ง​กับคนอื่น แล้ว​ก็เลียใบกล้วยด้วย​ความหิว

​เป็นภาพ​ที่น่าสลดสังเวช เราจำไว้ ​เป็นภาพ​ซึ่งมี​ความหมายสำหรับอาตมามาก ตอนหลัง​เมื่อเราทานข้าวไม่อิ่ม เรา​จะนึกถึงภาพนั้น​ นึกถึงประสบการณ์นั้น​อยู่​เสมอ หรือว่าบวช​พระแล้ว​ เดินธุดงค์บิณฑบาต​ได้​แต่ข้าวไม่มี​กับ เราก็ยังรู้สึกว่า​ มีข้าวก็ยังดี นึกถึงคน​ที่เมืองมัทราช​ที่​ต้องแย่งกันเลียใบกล้วยหลังร้านอาหาร รู้สึก เรายังมีโชคดี​ที่ยัง​ได้ขนาดนั้น​

นั่นก็​คือสติ เหมือนเราให้​ความสำคัญ​กับสติ แล้ว​มันถูก​กับ​ความรู้สึกของเราอย่างหนึ่ง​ มัน​จะจำ​ได้ ระลึก​ได้ง่าย ​คือจิตใจของเราไม่ใช่ว่า​จะ​เป็นในลักษณะเครื่องอัดเทป ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งทุกอย่าง​ที่เราเห็น​ได้ยิน เราอัดไว้หมดเลย​ เรา​จะอัดไว้เฉพาะเรื่อง​​ที่สำคัญ​กับเรา เรื่อง​​ที่เราสนใจ เรื่อง​​ที่เราประทับใจ เรื่อง​​ที่กระทบกระเทือน​ความรู้สึกอย่างใดอย่างหนึ่ง​

เรา​ต้องพยายามจำไว้​ซึ่งสิ่ง​ที่​เป็นประโยชน์ ​เป็นคติธรรม ​ความจำของเราก็​จะ​เป็นประโยชน์ ​และ​เมื่อเราเจอประสบการณ์ใหม่ สิ่ง​ที่ชวนให้โลภ เรา​จะไม่โลภ สิ่ง​ที่ชวนให้โกรธ เราก็ไม่โกรธ สิ่ง​ที่ชวนให้หลง เราก็ไม่หลง

แล้ว​ก็ย้ำอยู่​ด้วยว่า เรามัก​จะให้​ความสำคัญ​กับสิ่งนอกตัวเรามากเกิน​ไป บางทีเรามี​ความทุกข์น้อยใจเสียใจ รู้สึกว่า​คน​เขาทำร้ายจิตใจของเรา นี่​เป็นคำ​ที่​ได้ฟังบ่อยว่า​เขาทำร้ายจิตใจเรา ​ที่จริงไม่มี​ใครทำร้ายจิตใจ​ใคร​ได้ ทำร้ายร่างกาย​ได้แน่นอน เรื่อง​ทำร้ายจิตใจนี่ไม่มีในโลก นอกจากเราปล่อยให้​เขาทำ

ในวิชาป้องกันตัวของญี่ปุ่น ตำราของนักดาบญี่ปุ่น ​เขาถือว่า ไม่มี​ใครฆ่า​ใคร ​เขาสอนว่า ​ถ้านักดาบสองคนมีสติอย่างสมบูรณ์ พบกันกี่ชั่วโมงกี่ชั่วโมง ไม่มี​ใครตาย ​ถ้ามีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง​แพ้หรือตาย ​เพราะ​เขาเผลอในขณะนั้น​ ถือว่า​เป็น​ความผิดของคนตาย ไม่ใช่​ความผิดของคนฆ่า อันนี้เราไม่​ต้อง​ไปวิเคราะห์ตามหลักพุทธศาสนา ​แต่วิเคราะห์ตามหลักวิชาป้องกันตัว

​แต่เทียบ​ได้ว่า ​ถ้าจิตใจเรา​เป็นทุกข์​เพราะการกระทำหรือคำพูดของคนอื่น เรามี​ส่วนด้วย พิสูจน์​ได้จากการถามตัวเองว่า ​ถ้าเรื่อง​นี้เกิดขึ้น​​กับหลวงปู่มั่น หรือ หลวงปู่ชา หลวงปู่มั่น​จะถูกอย่างนี้ไหม หลวงปู่ชา​จะถูกอย่างนี้ไหม

ญาติของหลวงพ่อชาไม่ค่อยศรัทธาท่านเท่าไร โยมแม่ท่านศรัทธามาก ท่านสร้างวัดป่าพงแล้ว​ โยมแม่ก็ขอบวช​เป็นชี​และอยู่​ด้วย ​และก็มีพี่ชายคนโต​ที่มีศรัทธา ​แต่พี่น้องอีกหลายคนไม่ศรัทธา มีสองสามคน​ที่ไม่เชื่อ แล้ว​​เขาคงมีการพูดกัน อากัปกิริยาบางอย่าง​ที่อาจ​จะไม่ดี​กับท่าน ​แต่ท่านก็คงไม่ทุกข์​กับเรา ​แม้​ใคร​จะด่า​จะว่าเรา ​เขาไม่​ได้ทำร้ายจิตใจเรา

​ถ้าจิตใจเรามีสติ สิ่ง​ที่​จะเกิดขึ้น​ก็มีแค่การชวน ชวนให้โกรธ ​ถ้าเรา​จะพูดถูกก็บอกว่า วันนี้ สิ่ง​ที่​เขาทำวันนี้ ชวนให้เราน้อยใจ ชวนให้เราโกรธ ชวนให้เราเสียใจ นี่เราพูดอย่างนี้แล้ว​ ก็ช่วยให้เราเกิดสัมมาทิษฐิ ​ความรู้สึกเปลี่ยนทันที จากว่าวันนี้​เขาทำร้ายจิตใจ ​เขาทำให้เราโกรธมาก ​เขาทำให้เราน้อยใจมาก เสียใจ อย่างนี้เรียกว่าคิดผิดแล้ว​ วันนี้สิ่ง​ที่​เขาทำ มันชวนให้เราโกรธมาก ชวนให้เราเสียใจมาก อย่างนี้เรียกว่า ยังรับผิดชอบตัวเอง

​คือ เราไม่จำ​เป็น​ต้อง​เป็นเหยื่อของสิ่งนอกตัวเรา ไม่​ต้อง​เป็นเหยื่อของการกระทำ​และคำพูดของคนอื่น เรา​เป็น​ที่พึ่งของตนเอง​ได้ จิตใจของเราไม่หวั่นไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของสังขาร อะไร​​จะเกิดขึ้น​ ก็เกิดขึ้น​ตามเหตุ ตามปัจจัย มัน​เป็นสังขาร ​ใครพูดอะไร​ ทำไม​เขาพูดอย่างนั้น​ คำพูดเกิดจาก​ความคิด เกิดจาก​ความห็น เกิดจากมุมมอง เกิดจากค่านิยม​เขา ​เขาคิดอย่างนั้น​จึงพูดอย่างนั้น​ ทำอย่างนั้น​ ถูก​ต้องตามหลักเหตุปัจจัย

​ที่นี้เราพยายามระลึกในสิ่ง​ที่ควรระลึก การอ่านหนังสือธรรมะ การฟังเทศน์ การพูดคุยเรื่อง​ธรรมะ ​เป็นการสร้างสัญญา​ที่ดี ทำให้เราจำสิ่ง​ที่ดีไว้ ​เพื่อต่อ​ไปเราก็จำ​ได้ พอเกิด​ความทุกข์ ญาติโยมอาจ​จะเคย​เป็นผู้​ที่ทำวัตรเช้า​ทำวัตรเย็น ว่าไม่สบายใจเรื่อง​ใดเรื่อง​หนึ่ง​ แล้ว​ก็บทสวดมนต์ก็​จะผุดขึ้น​มาในใจ โอ้ ใช่ เหมือน​ที่เราสวดมนต์ทุกวันจริง ๆ​ หรือว่าอาจ​จะฟังเสียงครูบาอาจารย์ในหัว อ้อ ท่านอาจารย์เคยพูดอย่างนี้ โอ้ มันตรงตาม​ที่ท่านพูดจริง ๆ​ นี่เรียกว่า เรา​ได้ประโยชน์จากการทำวัตร สวดมนต์ ​ได้ประโยชน์จากการอ่าน ​ได้ประโยชน์จากการฟัง ​เพราะจำไว้​ได้ เราจำไว้แล้ว​ ​และก็จำ​ได้ มันก็​เป็น​ที่พึ่งของเรา ดับทุกข์​ได้

อย่างเช่นหลวงพ่อชาท่านสอนพวกเรา อาตมายังจำ​ได้ แก้วนี้แตกแล้ว​ จำไว้นะ แก้วนี้มันแตกแล้ว​ ​ถ้าคนไม่เข้าวัดก็คงไม่รู้เรื่อง​ ท่านหมายถึงว่า ธรรมชาติของแก้วนี้​เป็นสิ่ง​ที่แตก​ได้ ​และต่อ​ไป​จะ​ต้องแตก ไม่รู้ว่า​จะแตกวันนี้ พรุ่งนี้ เดือนหน้า ปีหน้า ​แต่เรามั่นใจ​ได้ว่า วันใดวันหนึ่ง​แก้วนี้​ต้องแตก สำนวนของท่านมันแตกแล้ว​ ​คือ มีธรรมชาติ​ที่​จะแตก​ได้ตลอดเวลา

​ถ้าเราจำคำพูดนี้ไว้ ​เอา​ไป​ใช้​กับทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต ​ความรู้สึกต่าง ๆ​ ก็เปลี่ยน​ไป มองทรัพย์สมบัติของเรา บ้านของเรา รถของเรา อะไร​ ๆ​ ​ที่ถือว่า ​เป็นของเรา ถือว่าตรงนี้มันแตกแล้ว​ เราก็​ใช้ชั่วคราวจนกว่า​จะแตก เรามีหน้า​ที่เหมือนกัน​ที่​จะป้องกัน รักษาไว้ให้ดี ไม่ให้แตก ​แต่ไม่ถึงขั้น​ที่เรา​ไปหลงว่า เรามีสิทธิ​ที่​จะไม่​ต้องเจอ​ความแตกสลายของสิ่ง​ที่เรารักเราชอบ

การศึกษาเรื่อง​ชีวิต การศึกษาเรื่อง​ธรรมชาติ​เป็นสิ่งสำคัญ ​และ​เมื่อเรารู้จักวางอารมณ์ต่าง ๆ​ ไว้มันก็ถอนตัวออกจากอารมณ์​ที่​เป็นปฏิกิริยาต่อเหตุการณ์​ที่​เป็นปัจจุบัน เรา​สามารถชั่งน้ำหนักของเรื่อง​นั้น​​ได้ดี จิตใจเรา​จะ​เป็นกลาง

เราอยู่​ในสังคม ก็อยู่​​กับสิ่งแวดล้อม​ซึ่งมีหลายสิ่งหลายอย่าง​ที่มุ่ง​จะกระตุ้นอารมณ์ กระตุ้น​ความรู้สึก ​โดยเฉพาะอย่างยิ่งการโฆษณา การโฆษณาทุกวันนี้มีเพิ่มมากขึ้น​ตลอดเวลา โยมอยู่​​กับการโฆษณา​จะไม่รู้สึกตัว สำหรับอาตมาอยู่​ในวัด ​จะรู้สึกเหมือน​กับถูกเบียดเบียน ​เพราะเข้า​ไปในกรุงเทพฯ ป้ายโฆษณาก็ดี เสียงโฆษณาก็ดี การโฆษณาให้เราซื้อ ให้เราบริโภคก็มีมากทีเดียว การโฆษณาก็มุ่ง​ที่​จะกระตุ้นอารมณ์ ​ถ้าเรา​เป็นผู้เชื่ออารมณ์​และลอยตามอารมณ์เสมอ เราก็​จะตก​เป็นเหยื่อของพวกโฆษณา​ได้ง่าย

​แม้กระทั่งการบริโภคข่าว เดี๋ยวนี้ข่าวก็​คือสินค้า การฟังข่าวก็​คือการบริโภคสินค้าอย่างหนึ่ง​ ​ซึ่งเราก็​ต้องมีสติให้มาก ​ต้องระมัดระวังให้มาก อย่างเช่นดูรูปถ่ายในหนังสือพิมพ์ เราเคยคิดไหมว่า ทำไม​เขาเลือกรูปนี้ ​คือไม่เหมือนพวกเรา​จะทำหนังสือธรรมะ เอ ​จะมีรูป​ที่ดี ๆ​ ไหม หารูปหลวงพ่อชา หลวงปู่มั่นก็มีให้เลือกไม่กี่รูป มันไม่ใช่อย่างนั้น​ นักถ่ายภาพ​เขาถ่าย​เป็นร้อย ๆ​ ภาพ ​เขามีหลักอะไร​ในการเลือกภาพลงหนังสือพิมพ์ ก็​ต้องเลือกให้ตรง​กับ​ความ​ต้องการของ​เขา ​คือมันผ่าน​ความคิดเห็น ผ่าน​ความ​ต้องการของบุคคลอยู่​แล้ว​ ไม่ใช่เพียงแค่สะท้อนภาพของเหตุการณ์​ที่เกิดขึ้น​

อย่างเช่น ​ที่อังกฤษทุกวันนี้มีหนังสือพิมพ์หลายฉบับ​​ที่อยู่​ในกระแสต่อต้านสถาบันกษัตริย์ ฉะนั้น​​จะสังเกตว่า ​ถ้ามีรูปสมเด็จ​พระราชินีเอลิซาเบธก็ดี ปริ้นส์ชาร์ลสก็ดี หนังสือพิมพ์​จะเลือกภาพ​ที่ท่าน​จะดูไม่น่าเคารพ ​ซึ่งไม่​ได้ว่าท่าน ​แต่การเลือกภาพ​เป็นการว่าท่านอยู่​ในตัว ฉะนั้น​ การเลือกภาพ ​เขามีเจตนาให้เกิด​ความรู้สึกในผู้อ่านหรือผู้ดู

เราอยู่​ในโลก​ซึ่งเต็ม​ไปด้วยผู้​ที่​ต้องการสร้าง​ความรู้สึกในจิตใจของเรา ​ซึ่ง​เป็นประโยชน์แก่​เขา เราจึง​ต้องระมัดระวัง รู้เท่าทัน รู้เท่าทันว่า​ความรู้สึกอะไร​มันเกิดขึ้น​ มันเกิด​เพราะอะไร​ รู้จักหยุด รู้จักดูให้ดี มีสติ สิ่ง​ที่เรา​ต้องระลึกอยู่​เสมอก็​คือ ข่าวมีเจ้าของ ข่าว​คือสินค้า ไม่ใช่ข้อมูลล้วน ไม่มีหรอกข้อมูลล้วน

การให้ชื่อก็​เป็นอีกวิธีหนึ่ง​ เช่นทุกวันนี้มีหลายกลุ่ม​ที่ไม่เห็นด้วย​กับลักษณะของกระบวนการโลกาภิวัติ ก็มีการเดินขบวน มีการต่อต้านด้วยวิธีการต่าง ๆ​ ทีนี้ทางหนังสือพิมพ์ตั้งชื่อ องค์การต่าง ๆ​ องค์กรต่าง ๆ​ ว่า​เป็นพวกแอนตี้โกลบัลไลเซชั่น พอตั้งชื่ออย่างนี้ ก็เลย​ถูกว่า​ไปว่า ​เป็นคนเห็นอะไร​ในแง่ร้าย ​เพราะ​เป็นพวกแอนตี้ ไม่มีอะไร​ในทางฝ่ายบวกเลย​ ​เพราะ​เป็นพวกแอนตี้ ​เป็นพวกต่อต้าน

พวกนี้​จะมีปัญหาอย่างหนึ่ง​​คือ ​ถ้าเดินขบวนหรือมีกิจกรรม​ที่​เป็นสันติ หนังสือพิมพ์​จะไม่ลงข่าว​เพราะไม่มีอะไร​น่าตื่นเต้น ​แต่​ถ้ามีการสู้​กับตำรวจ ​เขาถึง​จะ​เป็นข่าว นี่ก็​เป็นปัญหาเหมือนกัน​เพราะข่าวก็​คือสินค้า เดี๋ยวนี้พวกนี้ก็มีการเสนอตั้งชื่อตัวเองใหม่ว่า ​เป็นกระบวนการ​เพื่อ Social justice ​เขาบอกว่า ​เขาไม่ใช่แอนตี้โลกาภิวัติทุกอย่าง ​เขาแอนตี้โลภาภิวัติ​ที่​เป็น​ไป​เพื่อประโยชน์ของบรรษัทข้ามชาติ ​แต่​เขาไม่ใช่ว่าต่อต้านการค้าขาย​ระหว่างประเทศทุกอย่าง ​แต่​เขา​ต้องการให้​เป็นประโยชน์​กับคนทุกคน

ดังนั้น​ ภาพก็มีผลต่อจิตใจ ชื่อก็มีผลต่อจิตใจ ​เพราะตั้งชื่อคนพวกนี้ว่า​เป็นพวกแอนตี้ เราก็รู้สึกว่า​ ​เป็นพวกมองในแง่ร้าย ​ถ้าว่า​เป็นพวกสนับสนุน​ความยุติธรรมในระบบการค้า ก็มี​ความรู้สึกอีกอย่างหนึ่ง​ ​จะเรียกพวกนี้ว่า​เป็นผู้ก่อการร้ายก็มี​ความรู้สึกอย่างหนึ่ง​ ​จะเรียกว่า​เป็นพวกสู้​เพื่อเอกราชก็มี​ความรู้สึกอย่างหนึ่ง​ ​ใคร​เป็นผู้เลือกชื่อ ​ใครมีสิทธิ​ที่​จะเรียกพวกนี้ว่า ​เป็นผู้ก่อการร้าย ​คือ ​เขาไม่​ได้รับการเลือกตั้งใช่ไหม เจ้าของหนังสือพิมพ์ เจ้าของอะไร​​เขาไม่​ได้รับการเลือกตั้ง

นี่ก็​เป็นเรื่อง​ของการ​ใช้สติในชีวิตประจำวัน ใน​เมื่อเราอยู่​ในโลก​ที่เต็ม​ไปด้วยข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ​ เราก็​ต้องรู้เท่าทัน พยายามระลึกในข้อธรรมะให้มาก ​เพราะข้อธรรมะต่าง ๆ​ ​จะ​เป็นดาบ​ที่ตัด​ความยุ่งเหยิง​ได้ทุกอย่าง ทำให้สิ่ง​ที่สลับซับซ้อน ดูง่าย เช่น เรื่อง​กุศลธรรม​กับอกุศลธรรม ​เป็นต้น

​พระพุทธองค์ตรัสว่า ก่อน​จะเกี่ยวข้อง​กับสิ่งใด ​ต้องถามตัวเองดูให้ดีว่า การเกี่ยวข้อง​กับสิ่งนี้ทำให้กุศลธรรมเพิ่มขึ้น​ไหม หรือเสื่อมลง ทำให้อกุศลธรรมเพิ่มขึ้น​หรือเสื่อมลง ง่ายมาก ​แต่​เอาหลักการนี้​ใช้​กับกิจกรรมในชีวิตประจำวันอาจ​จะทำให้เกิด​ความเปลี่ยนแปลงในหลาย ๆ​ ด้านเหมือนกัน มีผลต่อคุณภาพชีวิตเราอย่างไร ทำให้จิตใจเราแข็งกระด้างมากขึ้น​ไหม ทำให้เห็นแก่ตัวมากขึ้น​ไหม ทำให้เมตตากรุณาเพิ่มมากขึ้น​ไหม แล้ว​ก็ดูผลต่อชีวิต ในแง่ว่า​เป็นกุศลหรือ​เป็นอกุศล ก็ทำ ทำให้มีหนทาง

ฉะนั้น​ เรา​ต้องมีการระลึกในสิ่งเหล่านี้ ​ต้องมีคอนเซ็ป หรือมีหมวดธรรม​ซึ่งเราจำไว้ เหมือน​กับ​เป็นวิธีช่วยแปล​ความหมายของสิ่ง​ที่เกิดขึ้น​ในชีวิต ​จะ​เป็นเรื่อง​การชั่งน้ำหนักก็ดี ​จะ​เป็นเรื่อง​การเลือกหนทางก็ดี ก็ช่วยเรา​ได้

สมัยพุทธกาลมี​พระสาวกชื่อ ​พระรัฐบาล พวกเราคง​จะเคย​ได้ยินชื่อท่าน พ่อแม่ไม่ให้บวช ท่านก็นอนไม่ยอมทานข้าวหลายวัน เกือบตาย พ่อแม่ก็ยอม ​แต่ก็บอกว่า บวชแล้ว​ก็ขอมาเยี่ยมมั่ง ท่านบรรลุอรหันต์แล้ว​ ท่านกลับ​ไปเยี่ยม ​แต่เวลาผ่าน​ไปสองสามปี ​และก็ทางบ้านไม่เคยเห็นท่านห่มผ้าเหลืองมาก่อน ท่านเดินบิณฑบาต พ่อ​กำลังนั่งหน้าบ้าน เห็น​พระก็โกรธ พวกนี้ พวกสมณะหัวโล้น​ที่​เอาลูกชาย​ไป ห้าม​ใครใส่บาตร

ท่านก็เดินผ่านบ้าน ​แต่ทาสทาสี​กำลัง​จะเทขนมบูดแล้ว​ ​จะทิ้ง ท่านรัฐบาลบอกว่า ​ถ้า​จะทิ้ง เทใส่บาตรอาตมา​ได้ไหม ​เขาเทใส่บาตร ทาสีพอใส่บาตรแล้ว​สังเกตลักษณะมือลักษณะเท้าจำ​ได้ ตื่นเต้น วิ่งเข้า​ไปบอกในบ้านว่า ท่านลูกชายกลับมาแล้ว​ ​พระท่าน​ไปแล้ว​ ท่าน​ไปในอุทยาน ​ไปฉัน พ่อวิ่งตาม นิมนต์​ไปฉันในบ้าน ฉัน​ได้อย่างไร อาหารบูด ​พระบอกว่า เรา​เป็นผู้ไม่มีบ้านแล้ว​ อาหารเราก็รับแล้ว​ ​เมื่อกี้นี้​ไป​ที่บ้าน โยมก็ห้ามไม่ให้​ใครใส่บาตร เราก็​ได้ของบูดก็ดีแล้ว​ วันนี้เราก็ไม่​ได้ฉันอีกแล้ว​ พ่อท่านก็เลย​บอก ​ถ้างั้น​จะขอนิมนต์ฉันในบ้านพรุ่งนี้เช้า​ ท่านก็รับ

เศรษฐีนี่ก็กลับบ้าน ก็สั่งให้​เขา​เอาสมบัติ​ทั้งหมดกองไว้อยู่​ในห้องรับแขก กองทองกองหนึ่ง​ กองเงินกองหนึ่ง​ สูงมาก ใหญ่มาก แล้ว​ก็ปิดบัง​เอาไว้ แล้ว​ก็ให้ภรรยาเก่าของท่าน​แต่งตัวให้สวยงาม​ที่สุด ตอนเช้า​ เข้า​ไปในบ้านก็เปิดทรัพย์สมบัติให้เห็น นี่​คือมรดก ก็ขอลาสิกขาเถอะ ​จะ​ได้เสวยทรัพย์สมบัติ ​จะ​ได้ทำบุญ ท่านก็นั่งนิ่ง ภรรยาเก่าก็เข้า​ไป ท่านก็เรียกว่า น้องหญิง ​เขาเลย​ล้มสลบ​ไป

ท่านบอกว่า ​ถ้า​จะทำตามคำของอาตมา ก็ขอขนเงิน​และทองนั้น​​ไป​ที่แม่น้ำ แล้ว​ก็ทิ้งไว้ในแม่น้ำเสีย ​จะ​ได้ไม่​เป็นทุกข์​กับมัน ​ถ้ามีอะไร​​จะถวายก็นำมาถวายเถอะ ก็เลย​นำอาหารมาถวาย ฉันเสร็จ ท่านก็ให้โอวาทสั้น ๆ​ ให้เห็น​ความทุกข์ของทรัพย์สมบัติ ให้เห็น​ความ​ที่ร่างกายคนนี้ก็มี​แต่กระดูก มี​แต่อาการสามสิบสอง ถึง​จะ​แต่งตัวสวยงาม ​จะทาปากทานั่นทานี่ ผู้เห็นธรรมแล้ว​ไม่หลง

แล้ว​ก็ออก​ไป ก็​ไปปักกลดอยู่​ในอุทยาน ทีนี้ กษัตริย์ของแคว้นนั้น​ ชื่อ คุระวยะ เข้า​ไปในอุทยาน ก็​ไปเจอท่าน แล้ว​จำท่าน​ได้ ก็เลย​สงสัย ถามว่าท่านบวชทำไม ​ส่วนมากคน​จะบวช ​จะ​ต้องเจอ​ความทุกข์หรือ​ความเสื่อมอย่างใดอย่าง ​คือหนึ่ง​ แก่แล้ว​ คิดว่าแก่แล้ว​ ทำอะไร​ไม่​ได้แล้ว​ ทรัพย์สมบัติคงไม่เพิ่มมากกว่านี้ คง​จะไม่มี​ความเจริญทางโลกมากกว่านี้ พอแล้ว​ ออกบวช ​แต่ท่านยังหนุ่มอยู่​ ก็คงไม่​ได้เสื่อมอย่างนี้

หรือ บางคนเจ็บไข้​ได้ป่วย สุขภาพไม่ดี ​จะเจริญทางโลกต่อ​ไปก็คงไม่เจริญแล้ว​ ไม่มี​กำลัง ออกบวชดีกว่า ​แต่​ความเสื่อมอย่างนี้ท่านก็ไม่มีเหมือนกัน ดูแข็งแรงดี เลย​สงสัย บางคนบวช​เพราะมี​ความเสื่อม ​คือ พลัดพรากจากทรัพย์สมบัติ เคยร่ำรวย เคยเจริญ ต่อ​ไปเศรษฐกิจตก มีปัญหาต่าง ๆ​ เงินหมดแล้ว​ ทรัพย์สมบัติหมดแล้ว​ ไม่รู้​จะทำอย่างไร สร้างตัวอีกครั้งหนึ่ง​ก็ไม่มี​กำลัง ออกบวชดีกว่า ​แต่ว่าท่านก็คงไม่​เป็นอย่างนั้น​ ก็รู้ว่าบ้านท่านก็ร่ำรวยมาก มรดกก็มีมาก ก็คงไม่มีปัญหาอย่างนี้

แล้ว​ก็มีอีกข้อหนึ่ง​ ​คือเสื่อมจากญาติ สามีภรรยา ภรรยาตาย ลูกตาย​ไป เสียใจอาลัย ก็คิดออกบวช เสื่อมอย่างนี้ท่านก็ไม่มี ​เพราะท่านไม่เคย​แต่งงาน ไม่เคยมีครอบครัว ก็​เมื่อ​ความเสื่อม ​คือ ​ความแก่ ​ความเสื่อม​คือ​ความเจ็บไข้ ​ความเสื่อม​คือพลัดพรากจากทรัพย์สมบัติ ​ความเสื่อม​คือพลัดพรากจากคนรักไม่มี เราจึงงงว่า ทำไมจึงบวช

นี้ท่านรัฐบาล ท่านบอกว่าท่านฟังธรรมะ ท่านก็เกิด​ความประทับ ท่านฟังแล้ว​จำไว้ จำไว้แล้ว​ลืมไม่​ได้ จำ​ได้ตลอดเวลา จึงทำให้เบื่อในชีวิตฆราวาส จึงออกบวช ​พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า "ชีวิตนี้​ความแก่พัด พัด​ไปเรื่อย ๆ​ ​คือเหมือน​กับน้ำ" น้ำมัน​เป็นกระแส​ที่พัด​ไปเรื่อย ๆ​ หมายถึงว่า ชีวิตของเรามันหมด​ไปทุกวัน ๆ​ มันแก่ลงทุกวัน ๆ​ ๆ​ ​เมื่อเราเห็นว่า​ความแก่​เป็นเรื่อง​​ที่เกิดขึ้น​ทุกวัน ไม่ใช่ว่าอีกกี่ปีข้างหน้าเรา​จะแก่ เรา​จะว่า การ​ที่คนแก่มัน​เป็นธรรมชาติ ​ความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย​ที่​เป็น​ไปทุกวันตั้งแต่วันเกิด แล้ว​ก็ดูจากคนรอบข้าง

ถามว่า มหาบพิตร สมัยก่อน ตอนอายุยี่สิบสามสิบปีแข็งแรงไหม โอ้ แข็งแรงมาก เล่นกีฬาก็ชอบ ​จะ​ไปรบในศึกสงครามเราก็​เป็นคนแข็งแรง​ที่สุด ทุกวันนี้​เป็นอย่างไร ไม่ไหวแล้ว​ อายุแปดสิบแล้ว​ กษัตริย์องค์นี้ก็เข้าใจ

​คือ ธรรมะ ​พระพุทธเจ้า มีคำหนึ่ง​​ที่เราสวดทุกวันเหมือนกัน​คือ โอปะณะยิโก คำนี้สำคัญเหมือนกัน ​คือ น้อมเข้ามา ไม่ใช่เห็นคนอื่นแก่ก็เรื่อง​ของ​เขา ​แต่เราน้อมเข้ามาว่า เรา​กำลัง​จะ​เป็นอย่างนั้น​เหมือนกัน ​พระพุทธองค์ให้​พระ​ไปปฏิบัติในป่าช้า ให้ดูซากศพ ให้ดูซากศพแล้ว​​เพื่ออะไร​ ​เพื่อน้อมเข้ามาว่า วันใดวันหนึ่ง​ เราก็​จะ​เป็นอย่างนั้น​ ธรรมะ​จะเกิดขึ้น​​เมื่อเรา​เอาข้อมูลต่าง ๆ​ น้อมเข้ามาสู่จิตใจ ​ถ้ารู้แล้ว​ก็แล้ว​​ไป มันก็ยังไม่เกิด​เป็นธรรมอยู่​ในใจของเรา

นี่​พระรัฐบาลก็บอกว่า ข้อ​ที่สอง​ที่จำตั้งแต่วันนั้น​ ​และก็จำ​ได้ตลอด​คือ "ชีวิตไม่มี​ที่พึ่ง ไม่มีผู้ป้องกันอันตราย​ได้" ใน​ที่นี้ไม่​ได้หมายถึงว่า ไม่มีสิ่งเหนือโลก​เป็น​ที่พึ่ง อย่าง​พระพุทธ ​พระธรรม ​พระสงฆ์ หมายถึงในกระแส​ความเปลี่ยนแปลง ในกระแสสังขาร ในโลกธรรมดา ไม่มีสิ่งใด​ที่เรา​จะยึดเหนี่ยว ​ที่​จะ​เป็น​ที่พึ่งของเรา​ได้ตลอด ​เมื่ออาตมาภาพฟังอย่างนี้ก็รู้สึกว่า​ ​จะ​ไปแสวงหา​ความยั่งยืนในสิ่ง​ที่ไม่ยั่งยืน มันก็ไม่เกิดประโยชน์ คำถาม​พระราชาองค์นั้น​ว่า

ทุกวันนี้มหาบพิตรสุขภาพดีไหม ท่านบอกว่าก็ไม่ค่อยดีแล้ว​ อายุมากแล้ว​ มีโรคประจำตัว ทรมานเหมือนกัน บางครั้ง​เมื่อมีอาการกำเริบ เหมือน​กับ​จะไม่รอดเหมือนกัน เจ็บปวดทรมานพอสมควร ท่านรัฐบาลเลย​ถามว่า เวลาไม่สบายนั้น​ แล้ว​ก็มีภรรยา มีลูกมีหลาน มีคน​ใช้ มีอำมาตย์รอบตัว มี​ใครไหม​ที่​สามารถรับทุกขเวทนาของมหาบพิตร​ไปบ้างไหม แบ่งให้ภรรยา​ได้บ้างไหม แบ่งให้ลูกให้หลาน​ได้บ้างไหม แบ่งให้อำมาตย์​ได้บ้างไหม บอกว่า ไม่​ได้ ​ต้องเจ็บแล้ว​​ต้องทนคนเดียว ​จะแบ่งให้คนอื่นไม่​ได้หรอก

นั่นแหละ​ ท่านรัฐบาลจึงบอกว่า ชีวิตนี้ไม่มี​ที่พึ่ง ไม่มี​ใครป้องกันอันตราย ไม่มี​ใครป้องกันทุกขเวทนา​ได้ ไม่มี​ใคร​จะป้องกันไม่ให้เจ็บไข้​ได้ สุดท้าย ​จะ​ต้อง​เป็นทุกคน ​จะ​ต้องอดทนคนเดียว ​พระราชาก็ยอมรับ

อย่างหนึ่ง​​คือ ไม่มีอะไร​​ที่​เป็นของเราจริง ๆ​ แล้ว​ สิ่ง​ที่​เป็นของเราจริง ๆ​ ก็​เป็นของเรายืม​เขามา​ใช้แล้ว​ชั่วคราว ตายแล้ว​​ต้องทิ้งหมด ​พระราชาก็บอกว่า ในคลังใน​พระราชวังมีเงินมีทองมหาศาล นั่น​จะไม่ใช่ของเราหรือ ​พระรัฐบาลก็บอกว่า ​ถ้าสวรรคตแล้ว​ ตั้งใจ​ได้ไหมว่าชาติหน้าขอให้เรา​ได้เสวยต่อ​ไป ก็ไม่​ได้ ​เพราะว่าไม่ใช่ของเราแท้ ๆ​

ยิ่งในสมัยปัจจุบันก็เห็น​ได้ชัดเห็นไหม หุ้นต่าง ๆ​ ก็เกิดมีปัญหา หุ้น​ที่เคยมีราคาอย่างหนึ่ง​ ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง หรือไม่กี่นาที ราคาก็ตกฮวบ​ได้ ราคาอันแท้ของหุ้นก็ไม่มีใช่ไหม เรา​เป็นเจ้าของของสิ่ง​ทั้งหลายก็​เป็น​โดยสมมติ ​แต่เราจำไว้ เราจำ​ได้ว่า​เป็นของเรา​โดยสมมติเท่านั้น​ ​เป็นของ​ใช้ชั่วคราว

สุดท้าย ข้อสุดท้าย​ที่​พระรัตทะบาลจำไว้ตั้งแต่วันนั้น​ จำ​ได้ตลอด ก็​คือ "ชีวิตมี​แต่พร่อง ไม่มี​ที่อิ่ม ชีวิตของปุถุชน​เป็นทาสของตัณหา" ตราบใด​ที่เรามีตัณหาอยู่​ในใจ ไม่มีวันสงบ​ได้ ไม่มีวัน​จะมี​ความสุข​ที่แท้จริง ​เพราะมีเท่าไรก็ไม่พอ

อย่างเช่น มหาบพิตรตอนนี้มีราชอาณาจักร​ที่กว้างใหญ่ ​แต่​ถ้าสมมติว่า มีอำมาตย์หรือคนเชื่อถือมาบอกว่า ภาคเหนือมีอีกประเทศหนึ่ง​ ร่ำรวยมาก ทรัพยากรธรรมชาติมีมาก แล้ว​ก็กองทัพ​เขาก็ไม่ค่อยดี ​ถ้า​จะรบก็คงยึด​ได้ง่าย ​จะ​เอาไหม ​พระราชาก็บอก คง​จะ​เอาเหมือนกัน ​ถ้ามีตะวันออกแบบเดียวกัน​เอาไหม ​เอาเหมือนกัน ตะวันตก​เอาไหม ​เอา ทางใต้​เอาไหม ​เอา ทางทะเล​เอาไหม ​เอา นี่ขนาดนี้ ​เป็น​พระราชา​เป็นกษัตริย์แล้ว​ก็ยังไม่พอ

มีเท่าไร ​ถ้าตัณหายัง​เป็นเชื้อโรคอยู่​ในใจก็ไม่พอ เรียกว่าชีวิตของปุถุชนพร่อง​เป็นนิตย์ เราจึงเกิด​ความรู้สึกว่า​ ​ถ้าดำเนินชีวิตตามการบัญชาของตัณหา ไม่มีวันสงบสุข​ได้ จำ​ได้ตลอด เห็นโทษในตัณหาจึงออกบวช

นี่ก็​เป็นตัวอย่างของ​พระอริยะเจ้า ตัวอย่างของ​พระสาวก​ที่ฟังธรรมะ​ได้ข้อคิด ​ซึ่งไม่ใช่ทฤษฎี ปรัชญา อภิปรัชญา ​เป็นข้อสังเกตเรื่อง​ธรรมชาติของชีวิตมนุษย์ ธรรมชาติของ​ความ​ที่คนเราเกิดแล้ว​ ​ต้องแก่ ​ต้องเจ็บ ​ต้องตาย ธรรมชาติว่าชีวิต​ที่มีกิเลส​เป็นชีวิต​ที่ไม่มีวัน​จะรู้​ความสุข​ที่แท้จริง

การมีสติในชีวิตประจำวัน ให้เราจำไว้เรื่อง​นี้ คิดบ่อย ๆ​ ให้มันขึ้น​ใจ เรื่อง​​ความเกิด ​ความแก่ ​ความเจ็บ ​ความตาย เรื่อง​ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทางดับทุกข์ หนทาง​ไปสู่​ความดับทุกข์ เหมือน​กับ​เอาจิตใจเรามาแช่อยู่​ใน​ความจริง ​จะมีผลต่อ​ความรู้สึกชีวิต ​จะช่วยให้เราทำสิ่ง​ที่ถูก​ต้อง พูดสิ่ง​ที่ถูก​ต้อง คิดสิ่ง​ที่ถูก​ต้อง​ได้​เป็นประจำ

 

F a c t   C a r d
Article ID A-973 Article's Rate 4 votes
ชื่อเรื่อง จำได้เพราะจำไว้ (คำเทศน์ โดย ชยสาโรภิกขุ)
ผู้แต่ง รจนา ณ เจนีวา
ตีพิมพ์เมื่อ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๔๘
ตีพิมพ์ในคอลัมน์ ประกายธรรมนำทาง
จำนวนผู้เปิดอ่าน ๘๕๓ ครั้ง
จำนวนความเห็น ๓ ความเห็น
จำนวนดอกไม้รวม ๒๐
| | | |
เชิญโหวตให้เรตติ้งดอกไม้แก่ข้อเขียนนี้  
R e a d e r ' s   C o m m e n t
ความเห็นที่ ๑ : ศาลานกน้อย [C-4536 ], [000.000.000.000]
เมื่อวันที่ : 10 พ.ค. 2548, 21.44 น.

ผู้อ่าน​ที่รัก,

นิตยสารรายสะดวก​ ​และผู้เขียนยินดีรับฟัง​ความคิดเห็นต่อข้อเขียนชิ้นนี้
เชิญคลิกแสดง​ความเห็น​ได้​โดยอิสระ ขอขอบคุณ​และรู้สึก​เป็นเกียรติอย่างยิ่ง ในการมี​ส่วนร่วมของท่านในครั้งนี้...​

แจ้งลบข้อความ


ความเห็นที่ ๒ : พญาไฟ [C-4550 ], [202.47.247.146]
เมื่อวันที่ : 11 พ.ค. 2548, 16.13 น.

"...​ ชีวิตไม่มี​ที่พึ่ง ไม่มีผู้ป้องกันอันตราย​ได้ ...​ เวลาไม่สบายนั้น​ แล้ว​ก็มีภรรยา มีลูกมีหลาน มีคน​ใช้ มีอำมาตย์รอบตัว มี​ใครไหม​ที่​สามารถรับทุกขเวทนาของมหาบพิตร​ไปบ้างไหม แบ่งให้ภรรยา​ได้บ้างไหม แบ่งให้ลูกให้หลาน​ได้บ้างไหม ...​ บอกว่า ไม่​ได้ ​ต้องเจ็บแล้ว​​ต้องทนคนเดียว ​จะแบ่งให้คนอื่นไม่​ได้หรอก ...​ "

แ่ม่ชอบถามพญาไฟว่า ​เมื่อไหร่​จะ​แต่งงาน มีลูก ​จะ​ได้มีคนดูแลเวลาแก่ตัว​ไป เนี่ย พญาไฟก็ไม่รู้​จะบอกยังไงแล้ว​ ว่า ไม่​เอาค่ะ​ สงสัย​ต้อง​เอาตัวอย่างนี้​ไปอธิบายแม่ซะแล้ว​ซิ

แจ้งลบข้อความ


ความเห็นที่ ๓ : pilgrim [C-4586 ], [131.231.24.34]
เมื่อวันที่ : 12 พ.ค. 2548, 18.24 น.

ขอบคุณนะคะ​ สำหรับสาระอันมีค่าต่อชีวิต ขอบคุณใน​ความพยายามของคุณรจ​ที่พยายามถ่ายทอดสิ่งดีๆ​ให้ทุกคนค่ะ​

แจ้งลบข้อความ


สั่งให้ระบบส่งเมลแจ้งการเพิ่มเติมความเห็น
 ศาลานกน้อย พร้อมบริการเสมอ และยินดีรับฟังข้อเสนอแนะจากทุกท่าน  ติดต่อเว็บมาสเตอร์ได้ทางคอลัมน์ คุยกับลุงเปี๊ยก หรือทางอีเมลได้ที่ uncle-piak@noknoi.com  พัฒนาระบบ : ธีรพงษ์ สุทธิวราภิรักษ์  โลโกนกน้อย : สุชา สนิทวงศ์  ภาพดอกไม้ในนกแชท : ณัฐพร บุญประภา  ลิขสิทธิ์งานเขียนในนิตยสารรายสะดวก เป็นของผู้เขียนเรื่องนั้น  ข้อความที่โพสบนเว็บไซต์แห่งนี้ เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้โพสทั้งสิ้น