![]() |
![]() |
เรไร![]() |
![]() ที่เชิงผาตะหง่านกลางไพรสัณฑ์ ดวงตะวันเลื่อนลับกับหุบเขา มีเพียงแสงเลือนลางจางแม้เงา ฟ้าสีเทายามค่ำยลสนธยา จั๊กจั่นจิ้งหรีดกรีดปีกร้อง ท่วงทำนองก้องกึกทั่วพฤกษา เกาะก้านกิ่งอาศัยในพนา ยินดังว่าความหนาวเข้ามาเยือน ตัวหิ่งห้อยส่องแสดงแสงกระพริบ ดูระยิบระยับวิบวับเหมือน ดวงดาราประดับฟ้าคราไร้เดือน บินว่อนเกลื่อนทั่วป่ายามราตรี เห็นแขไขข้างแรมแต่งแต้มฟ้า แสงโรยราเหมือนมืดมนหม่นราศี ทมึนดำทั่วลำเนาเขาคีรี ปัถพีน่าหวั่นเกรงวังเวงใจ ฉันแรมรอนจากผืนดินถิ่นกำเนิด ทิ้งเลอเลิศจากเคหาเคยอาศัย เมินเฉยแล้วเมืองแสงสีศิวิไลซ์ ตามฝันใฝ่คนตราหน้าว่าโง่งม จึงมาอยู่เงียบงันอย่างสันโดษ ลืมเกรี้ยวโกรธเก็บกล้ำกลืนความขื่นขม ลากสังขารฤดีแหลกแตกระทม หาสุขสมห่มชีวาแสนจาบัลย์ ค่อยเก็บก่อต่อเติมจุดเริ่มต้น แม้อับจนเกิดกล้าล่าความฝัน สร้างวิมานฉิมพลีที่ไพรวัลย์ เป็นสวรรค์เพียงพอไม่ง้อใคร พลิกแผ่นผืนพสุธาตรงป่าร้าง คอยแผ้วถางทำไร่นาได้อาศัย เก็บเกี่ยวผลพืชพันธุ์ที่หว่านไป แค่พอให้ยืนหยัดสู้พออยู่กิน ยามราตรีกล้ำกลืนฝืนเจ็บร้าว ขอบตาผ่าวหวลให้ใจถวิล คนคุ้นเคยเอ่ยปากฝากชีวิน จะโบยบินตามฝันกันสองคน รัตติกาลเงียบสงบพบความหมาย เพียงลำพังเดียวดายใต้เวหน คอยวาจาดั่งสัญญาณบันดาลดล แม้นมืดมนเหมือนสิ้นหวังก็ยังรอ คงสักวันในอ้อมแขนแสนอบอุ่น หวานละมุนใจกายเมื่อใดหนอ มิต้องเก้อเพ้อเงาพะเน้าพะนอ ได้เติมต่อความฝันให้มันเต็ม |
เมื่อวันที่ : 06 พ.ค. 2548, 11.44 น.
ผู้อ่านที่รัก,
นิตยสารรายสะดวก และผู้เขียนยินดีรับฟังความคิดเห็นต่อข้อเขียนชิ้นนี้
เชิญคลิกแสดงความเห็นได้โดยอิสระ ขอขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ในการมีส่วนร่วมของท่านในครั้งนี้...