...ชัยจากไปทั้งน้ำตาแต่ก็ไม่ยอมกลับไปบ้านที่เชียงตุง เขาเอาเงินที่ได้ไปกินเหล้าจนไม่เหลือ แล้วไปรับจ้างแบกน้ำแข็งอยู่ในเมืองกับนายจ้างเก่าคนหนึ่ง...


วันนี้แม้จะสายแล้วแต่แดดก็ยังไม่ออก ฟ้าคลุ้มฝนแต่เช้า ฝนต้นฤดูตกมาสองสามวันแล้ว ปีนี้หน้าฝนมาเร็วกว่าปีก่อนๆ พวกปลูกผักเริ่มจ้างรถมาไถแปรเตรียมยกร่อง ธรรมชาติคงจะชดเชยให้กับความแห้งแล้งในปีที่ ผ่านมา...

ชายสูงอายุผมสีดอกเลานั่งอยู่บนระเบียงบ้านไม้ไผ่หลังน้อย รอปีเตอร์กับพอล่า คนสวนรุ่นสุดท้ายที่กำลังเก็บของอยู่...

"แล้วพี่จะพบกับปัญหาแรงงาน !" นเรศ คนลำพูนที่มาทำสวนผักอยู่ใกล้ๆกัน เตือนแกไว้เมื่อกว่าสามปีมาแล้ว เมื่อตอนที่แกเริ่มทำสวนชมพู่ที่นี่ใหม่ๆ
กว่าสามปีที่ผ่านมา ตะแกจ้างคนสวนมาแล้วหลายคน จนจำแทบไม่หวาด ไม่ไหว แกกำลังลองทบทวนดู....

"เลิศ" เป็นคนสวนคนแรกที่แกจ้าง เขาเป็นคนที่ช่วยแกเอากล้าชมพู่ลงหลุมปลูกในแปลง เลิศเป็นคนสุพรรณ มาแสวงโชคอยู่ที่จังหวัดนี้ตั้งแต่หนุ่มๆ ยังไม่มีเมียเป็นทางการแต่มีลูกอยู่ที่บ้านเกิดสองคน เขาทำงานมาแล้วหลายอาชีพตั้งแต่ช่างไม้ ช่างปูน ขับรถส่งของ ขับมอเตอร์ไซค์พ่วงรับซื้อของเก่า และอื่นๆอีกหลายอย่าง เลิศร่างสูงใหญ่หน้าคมสัน มีวิทยุเล็กพกติดตัวตลอด ทั้งเวลาทำงานและไม่ทำงาน ทำให้เลิศมีความรู้รอบตัวครบทุกด้าน

สิ่งที่เป็นบุคลิกภาพพิเศษของเลิศคือ ความมีอัธยาศัย ! เพียงสองเดือนที่มาทำงานกับชายสูงอายุ เขาก็รู้จักคนเกือบทั้งหมู่บ้าน ยามเมื่อเดินจากสวนที่ชายหมู่บ้านเข้าไปซื้อของยังร้านชำ เลิศจะทักทายกับคนที่พบไปตลอดทาง

"เป็นยังใดอ้าย สบายดีก๊า ?" เขาทักอ้ายตา เป็นภาษาเมืองด้วยสำเนียงสุพรรณที่ยังเหน่อชัด และเมื่อถึงร้านชำเลิศก็จะคุยกับทุกคนที่พบ ในทุกเรื่องที่จะคุยได้

บางวันเลิศจะไปยืนแปรงฟันอยู่ที่ประตูทางเข้าสวน คอยทักทายกับชาวบ้านที่ ขี่รถจักรยานผ่านไปมา และกว่าจะอาบน้ำกินข้าวเช้าได้ก็แปดโมงครึ่ง จากนั้นเลิศก็จะแบกจอบเดินไปหาชายสูงอายุที่ทำงานรออยู่ก่อนแล้ว

เลิศจะชวนตะแกคุยเรื่องดินฟ้าอากาศ เรื่องเกษตรทฤษฎีใหม่อยู่อีกพัก จนแกต้องเตือนว่า นักมวยดีต้องไม่ไหว้ครูนานนั่นแหละ เขาจึงจะหยุดพูดแล้วเริ่มแต่งตัวให้เหมาะสมกับงาน โดยบรรจงเอาขากางเกงเหน็บซุกเข้าไปในรองเท้าบู๊ตยางทีละข้าง แก้ผ้าขาวม้าที่เคียนพุงมาออก เอามาโพกหัวพันมันไปมาอย่างประณีต จนเห็นว่าเหมาะดีแล้วจึงเหน็บให้เข้าที่ จากนั้นก็ถอดนาฬิกาข้อมือออกเก็บใส่กระเป๋ากางเกง ปรับคลื่นวิทยุเครื่องเล็กให้รับสถานีที่ชอบ แล้วเอาใส่กระเป๋าเสื้อ กลัดกระดุมด้วยเพื่อกันไม่ให้มันตก เหมือนพลายชุมพลแต่งตัว !...

เลิศทำงานกับชายผมสีดอกเลาได้แปดเดือนก็ขอลาออก เขาไปได้งานเป็นเซลส์แมนขายรถจักรยานเงินผ่อนตามหมู่บ้าน ก่อนไปเลิศพา "อ้ายจิง" ช่างไม้ชาวไทยใหญ่ตกงานจากเมืองแสนหวีมาฝากให้ทำแทน

อ้ายจิงมาอยู่ที่กระต๊อบคนงานแทนเลิศพร้อมกับเมียชื่อ "ผ่อง" คนที่ทำงานเป็นหลักคือตัวอ้ายจิง ส่วนเมียเป็นผู้ช่วย ทั้งสองคนทำงานดี ขยันและตรงเวลา ชายสูงอายุพอใจทีเดียว

แต่ไม่นานก็เริ่มมีปัญหาในครอบครัว อ้ายจิงจะซ้อมมวยกับเมียเป็นประจำในคืนที่กินเหล้าเมาเต็มที่โดยเขาหาว่าเธอมีชู้ บางคืนผ่องจะต้องวิ่งหนีมาที่บ้านตะแกเพื่อขอลี้ภัยกำปั้น ขอบตาข้างหนึ่งของเธอเขียวปั๊ดด้วยกำปั้นของอ้ายจิง และถ้าแกไม่อยู่บ้าน เธอก็ต้องวิ่งซมซานไปขอหลบบาทาอ้ายจิงอยู่ตามบ้านชาวบ้านแถวๆนั้น จนกว่าจะแน่ใจว่าอ้ายจิงเมาหลับไปแล้วจึงกลับไปกระต๊อบ บางคืนเธอจะไม่กล้ากลับบ้านจนเช้า และเป็นหน้าที่ชาวบ้านผู้อารีที่จะต้องหาที่นอนให้

ดังนั้นเมื่อเมาครั้งต่อไป อ้ายจิงก็จะเอาเรื่องที่เธอไม่กลับบ้านนี้มาอ้าง เพื่อซ้อมมวยต่อ...เมียพี่มีชู้ ! ชาวบ้านรู้กันทั่ว !... ชาวบ้านพากันร้องเพลงล้อกับเรื่องนี้ไปทั่วหมู่บ้าน

ชายสูงอายุอยู่ในบ้านหลังเล็กคนเดียว การที่มีเมียคนอื่นมาขอลี้ภัยผัวอยู่ด้วยมันดูไม่เหมาะ ! และการลุกขึ้นซ้อมมวยตอนกลางคืนของอ้ายจิง ก็พาแกขายหน้าชาวบ้านไปด้วย แกจึงต้องให้เจ้าชายแสนหวี พากระสอบทรายคู่ชีวิตของเขาออกไปตั้งค่ายมวยกันที่อื่น

มีคนในหมู่บ้านแนะนำ "อ้ายน้อย" หนุ่มคนเมืองในหมู่บ้านนี้ให้แก แล้วอ้ายน้อยอายุสามสิบหกก็หอบ "ยายออน" เมียอายุห้าสิบแปด มาอยู่ที่กระต๊อบคนงานแทนอ้ายจิงกับยายผ่อง

เล่ากันว่าอ้ายน้อยต้องยอมสละโสดเมื่อห้าปีที่แล้ว เมื่อไปเจอเสน่ห์ปลายจวักของยายออนที่เป็นแม่ครัวร้านโอเกะริมถนนวงแหวนสายใหม่ ร้านที่เขากับเพื่อนไปนั่งกินเหล้าประจำ

อ้ายน้อยจะทำงานติดต่อกันได้ไม่เกินเจ็ดวัน เพราะต้องลาไปงานศพของใครก็ตามที่รู้ข่าว แม้จะไม่รู้จักและอยู่คนละหมู่บ้าน ทุกลมหายใจของเขาจดจ่ออยู่กับข่าวงานศพเท่านั้น งานศพงานหนึ่งเขาจะต้องไปอย่างน้อยสามวัน ความจริงอ้ายน้อยไปเฉพาะกลางคืนเท่านั้น แต่เพราะต้องช่วยงานจนถึงเช้า ดังนั้นช่วงกลางวันจึงต้องนอนพักผ่อน เอาแรงไว้ไปช่วยงานคืนต่อไปจนกว่าจะถึงวันเผา และเมื่อกลับมาทำงาน อ้ายน้อยจะเบิกเงินล่วงหน้าทันที เขาเสียไฮโลไปที่งานศพหมด ....ครึ่งหนึ่งของเวลาในชีวิตของเขาหมดไปกับการไปงานศพ

หนุ่มเมียแก่คนนี้จะมีปัญหาเสมอกับเครื่องมือทำสวน ด้ามจอบจะต้องหลุดแทบทุกครั้งที่เขาใช้มัน ต้องเสียเวลาซ่อมมันให้เข้าที่วันละหลายๆครั้ง เสียงดังก๊อกๆแก๊กๆอยู่อย่างนั้น และเครื่องตัดหญ้าก็ต้องมาสตาร์ทไม่ติดบ่อยๆ เมื่อเขาจะต้องตัดหญ้า

หกเดือนต่อมาอ้ายน้อยก็ลาออกไป เพราะต้องไปเฝ้าดูแลยายออนที่ โรงพยาบาลประจำอำเภอ เธอเป็นโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง !

ชายสูงอายุเหน็ดเหนื่อยอยู่เกือบเดือน แกหาคนสวนไม่ได้ จนกระทั่งได้เจอกับอ้ายแดง หนุ่มโสดวัยเดียวกับอ้ายน้อย อ้ายแดงเป็นคนอีกหมู่บ้านหนึ่ง เวลาทำงานเขาเกือบไม่หยุดพักและจะไม่พูดคุยกับใครเลย จะพักบ้างนิดหนึ่งเมื่อทำงานติดต่อกันไปแล้วสักสองชั่วโมง โดยจะกินน้ำสี่ห้าอึกแล้วนั่งลงดูดบุหรี่ขี้โยสองสามซี๊ด....เท่านั้นเองสำหรับเวลาพักของเขา....แล้วก็เริ่มทำงานต่อ เมื่อตะแกสอนงานอะไรไปแล้ว แกไม่ต้องห่วงเลยว่าเขาจะทำผิดหรือจะอู้งาน เรื่องงานแกไว้ใจเขาได้เหมือนไว้ใจตัวเอง

แต่อ้ายแดงก็คล้ายอ้ายน้อยในบางด้าน พอทำงานได้ไม่เกินห้าหกวันก็ต้องหยุดเสียทีหนึ่ง แต่ไม่ได้ไปงานศพ เขานอนตัวแข็งเกร็งอยู่ในกระต๊อบ และบอกว่าเป็นไข้ เมื่อได้พักผ่อนสักสองวันอ้ายแดงก็ฟื้น แล้วกลับมาทำงาน "ดังฟ้าผ่า" เหมือนเดิม อ้ายแดงจะมีอาการอย่างนี้ทุกห้าหกวัน จนกระทั่งวันหนึ่ง เขาก็หายหน้าไปโดยไม่ร่ำลา ไม่มีใครรู้ว่าหายไปไหน มีคนบอกแกทีหลังว่าอ้ายแดงกำลังหนีตำรวจ เขาติดยา ! แกไม่ได้พบอ้ายแดงอีกเลยแต่นั้นมา

ตะแกเหนื่อยอยู่คนเดียวอีกเจ็ดวันก็มีเจ้าของสวนฝรั่งที่รู้จักกันเอา "เคน" พร้อมกับเมียอีก้อท้องอ่อนมาฝากไว้ชั่วคราว คนงานสวนฝรั่งของเขากำลังจะลาออกแต่ไม่ใช่ตอนนี้ จึงขอเอาเคนมาพักทัพรอไว้ที่นี่ก่อน

แกให้เคนทำงานแทนอ้ายแดง เคนอายุยี่สิบสองเป็นคนเชียงราย ทำงานแข็งขันดีทีเดียว แต่ก็ต้องหยุดงานบ่อยเพราะเมียที่แพ้ท้อง เจ้าเคนหนุ่มจะหยุดงานทันทีที่เมียบอกว่าเวียนหัว นอนอยู่ในกระต๊อบคนเดียวไม่ได้ รุ่งขึ้นเขาก็จะลางานเพื่อพาเมียท้องอ่อนคนนั้นไปหาหมอที่คลีนิค และหยุดงานเป็นเพื่อนเมียอยู่ในกระต๊อบ อีกวันสองวัน จึงจะออกมาทำงานได้.... หญ้ารกไปทั่วสวน

ชายสูงอายุอึดอัดกับเจ้าเคนและเมียท้องอ่อนได้ไม่นานเท่าไร เพื่อนคนที่เอาสองผัวเมียนี้มาฝากไว้ก็ขอตัวเคนกับเมียคืนไป ตะแกรีบหาคนสวนใหม่ด้วยความดีใจ

ชายสูงอายุคิดถึงนเรศ คนที่ทำสวนผักอยู่ใกล้ๆขึ้นมาได้ ที่นั่นใช้คนกะเหรี่ยงทั้งหมดทำสวน

อีกสามสี่วันแกก็ได้ "บีโค่" เชื้อชาติกะเหรี่ยง สัญชาติไทยมาอยู่ด้วย บีโค่ หนุ่มโสดร่างเล็กแต่แข็งแรง ทำงานได้ดีไม่แพ้ใครที่แกจ้างมาแล้ว แต่บีโค่ ทำงานอยู่ได้สองเดือนก็ลากลับไปเยี่ยมบ้านที่เมืองลี้ แล้วก็ลี้ลับไม่กลับมาอีกเลยพร้อมด้วยเงินค่าแรงครึ่งเดือนที่เบิกล่วงหน้าไป ตะแกเองเป็นคนขับรถพาบีโค่ไปส่งถึงบ้าน...

ชายสูงอายุรู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง ที่แกไม่มีวาสนาได้เป็นเจ้าของโรงงานซึ่งต้องจ้างคนงานเป็นร้อยๆ แค่คนสวนคนเดียวก็จะบ้าอยู่แล้ว ! แกคิด

ตะแกขับรถไปที่แหล่งหาคนงานไทยใหญ่ที่วัดแห่งหนึ่งในเมือง ที่นี่พวกไทยใหญ่จะมารอหางานกันเสมอ ทั้งที่มีบัตรทำงานถูกต้อง และที่เป็นคนเถื่อนรอตำรวจไล่ตะครุบตัวอยู่ วันนั้นมีคนงานมานั่งรองานใหม่หลายคน แต่บางคนก็เป็นนายหน้าไปด้วยในตัวและมีโทรศัพท์มือถือใช้ ถ้าเขาตกลงกับคนจ้างไม่ได้ เขาก็จะโทรหาคนอื่นให้

"ชัย" เป็นหนุ่มโสดชาวเมืองเชียงตุง เมืองเก่าแก่ของรัฐฉาน ชัยอายุยี่สิบหก เป็นคนเดียวที่รับข้อเสนอของแกทันที เขาไม่มีสมบัติอะไรมาด้วยเลยนอกจากเสื้อผ้าสองสามชุด ชัยร่างเล็กและเรียบร้อย พูดภาษาไทยเมืองและไทยกลางชัด กับแกเขาจะพูดคำว่า "ครับผม" ทุกคำไป

ชัยอยู่จังหวัดนี้มาแล้วสิบปี ทำงานรับจ้างซอกซอนไปจนนับที่ไม่ถ้วน เขามีบัตรทำงานคนต่างด้าวเรียบร้อย มีชื่อไทยใหญ่ว่า "อ้ายอ่อง" และชื่อตามบัตรทำงานว่า "นายสมชัย" งานสุดท้ายคืองานก่อสร้างที่ทำเป็นรายวัน ชัยไม่ได้รับค่าแรงมาเดือนหนึ่งแล้ว เถ้าแก่ของเขาทิ้งงานที่รับเหมา และก็ลอยแพคนงานทั้งหมดด้วย ชัยเพิ่งใช้เงินบาทสุดท้ายซื้อข้าวกินไปเมื่อวานเย็น

"ให้ผมทำงานกับเจ้านายนานๆนะครับผม" นี่คือประโยคแรกที่ชัยเอ่ย เมื่อแกรับเขาขึ้นรถมาบ้าน

ชัยไม่ทำให้ชายผมสีดอกเลาผิดหวัง เขาทำงานดีไม่แพ้คนอื่น เรียบร้อย พูดน้อย ดูจะขี้อาย เขารักษาห้องหับของตัวเองและบริเวณรอบๆกระต๊อบสะอาดกว่าทุกคนที่ผ่านมา ชัยคงจะมีลักษณะผู้นำอยู่ในตัวซึ่งคนไทยใหญ่ด้วยกันมองเห็น แต่ชายสูงอายุมองไม่เห็น เพราะไม่ถึงสองเดือน กระต๊อบที่ชัยอยู่ก็กลายเป็นสโมสรชาวไทยใหญ่ประจำหมู่บ้าน

ทุกคืนจะมีพวกไทยใหญ่ที่ทำงานอยู่ในหมู่บ้านนี้ มาชุมนุมสังสรรค์กันประจำที่กระต๊อบของชัย และเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขามาดูที.วี.สีเก่าๆที่ตะแกซื้อไว้เป็นสมบัติประจำกระต๊อบ มีการทำอาหารกินกันโดยชัยเป็นผู้ลงมือแสดงเองเป็นส่วนใหญ่ บางวันก็กินเหล้ากันบ้างนิดหน่อย จนสี่ทุ่มสโมสรจึงปิด ชาวบ้านพากันขนานนามชัยว่า "หัวหน้าขบวนการไทยใหญ่กู้ชาติ"...

แล้วบุคลิกของชัยก็ค่อยๆเปลี่ยนไป เขาไปย้อมผมแดงให้ทันสมัยเหมือนวัยรุ่น มีตุ้มหูห่วงหนึ่งใส่อยู่ที่ติ่งหูซ้าย เขาซื้อเสื้อผ้าใหม่และจะสวมแว่นตาดำขี่จักรยานเสือ ภูเขาที่ตะแกให้ยืม โอ่ไปทั่วหมู่บ้านเมื่อเลิกงานแล้ว

แต่ชัยก็ไม่มีอะไรที่ย่อหย่อนลงแม้แต่น้อยในเรื่องงาน และกำลังมีความสุขที่สุดในชีวิตหนุ่ม เขาบอกชายสูงอายุว่าที่นี่เป็นงานแรกที่ได้รับค่าจ้างครบและตรงเวลา ชัยบอกแกว่ากำลังจะแต่งงานกับหญิงไทยใหญ่คนหนึ่ง และขออนุญาตนำเมียในอนาคตมาอยู่ที่กระต๊อบนี้...

ชายสูงอายุเริ่มสังเกตว่าชัยดูซูบลงและมีฝีเม็ดโตๆขึ้นตามตัว แกให้เงินเขาไปหาหมอที่ปากซอย แล้วแกก็ต้องให้เงินชัยอีกก้อนหนึ่งพร้อมเงินเดือน บอกให้กลับไปบ้านเพื่อรักษาตัว สวรรค์ของชัยพังทลายลง ! เขาเป็นโรคเดียวกับที่ยาย ออนเมียอ้ายน้อยเป็น

ชัยจากไปทั้งน้ำตาแต่ก็ไม่ยอมกลับไปบ้านที่เชียงตุง เขาเอาเงินที่ได้ไปกินเหล้าจนไม่เหลือ แล้วไปรับจ้างแบกน้ำแข็งอยู่ในเมืองกับนายจ้างเก่าคนหนึ่ง

ชมพู่กำลังจะต้องห่อผล งานหนักที่เป็นจังหวะสำคัญมาถึงพอดี ชายสูงอายุวิ่งหัวหมุนหาคนสวนประจำ และคนงานชั่วคราวอีกหลายคนที่จะต้องระดมห่อชมพู่
แกได้ชาวไทยใหญ่ครอบครัวหนึ่งมา ผู้ชายชื่อ "อ้ายต้า" ผู้หญิงชื่อ "ผ่อง" ชื่อเดียวกับกระสอบทรายคู่ชีวิตของอ้ายจิง ทั้งสองคนทำงานให้แกดีพอใช้ จนหมดฤดูเก็บเกี่ยวชมพู่ ย่างเข้าหน้าฝนซึ่งเป็นช่วงตัดแต่งกิ่ง

วันหนึ่งอ้ายต้าก็บอกว่าพรุ่งนี้จะลาออกไปทำงานที่อื่น ที่นั้นให้เงินดีกว่า ขอให้จ่ายเงินเดือนด้วยและเขารอไม่ได้แม้แต่วันเดียว สองคนนี้อยู่กับแกได้สามเดือนเท่านั้น ชายสูงอายุเริ่มชินชากับการเปลี่ยนคนสวน

ที่กระต๊อบคนสวน มีหิ้งบูชาบ้าง ศาลเพียงตาบ้างเต็มไปหมด หิ้งบูชานั้นจะทำไว้ตามมุมต่างๆภายในบ้าน ทำง่ายๆใช้ไม้กระดานสั้นๆยาวศอกเดียวตอกติดกับไม้คร่าว แต่ถ้าเป็นศาลเพียงตาจะทำไว้นอกชายคาบ้าน ก็ไม้กระดานยาวศอกเดียวเหมือนกัน แต่ตอกไว้บนหัวเสาไม้ระดับตา

ใครที่มาอยู่ที่นี่ก็จะทำหิ้งบูชาหรือศาลเพียงตาของตัวเองขึ้นเพื่อเซ่นวักจ้าวที่ที่เขานับถือด้วยข้าวกระบิมือหนึ่งกับน้ำถ้วยเล็กๆ ถ้าวันสำคัญก็จะมีอาหารอื่นด้วยและมีธูปจุดบูชา เขาจะไม่ใช้ศาลเก่าของคนอื่นแต่ก็ไม่กล้าไปรื้อออก ศาลของอ้ายจิงช่างไม้ชาวแสนหวีดีกว่าเพื่อน เอาเศษสังกะสีมาพับทำหลังคาและทำบันไดเล็กๆให้จ้าวเดินขึ้นเดินลงศาลได้สะดวก หิ้งบูชาและศาลที่กระต๊อบคือประดิษฐกรรมประจำกระต๊อบ เหมือนกับของที่ระลึกของคนที่ผ่านเข้ามาอยู่ ทำทิ้งไว้ให้เจ้าของสวนดูต่างหน้า มันเกะกะไปทั่ว ....

อีกสองวันตะแกก็พบชาวไทยใหญ่สองคนผัวเมีย มาจากเมืองนาย เมืองเล็กๆในป่าใหญ่แห่งรัฐฉาน ยังเด็กอยู่ทั้งคู่ ผัวอายุสิบเก้า เมียอายุสิบแปด เมื่อถามชื่อเจ้าหนุ่มบอกว่าชื่อ "อ้ายต้า" ส่วนเมียสาวนั้นชื่อว่า "ผ่อง" แต่ตัวดำปื๋อ เธอยิ้มระรื่นเห็นฟันกระต่ายน่าเอ็นดู อะไรกัน ! คนไทยใหญ่ไม่มีชื่ออื่นเลยหรือไง ! ตะแกคิด ชื่ออ้ายต้ากับชื่อผ่องนี่ไม่มีใครอยู่ทนสักคน สองชื่อนี้มันต้องเป็นกาลกิณีกับตัวแกแน่ๆ

ยังงี้ต้องแก้เคล็ด ! แกคิด มันต้องเปลี่ยนชื่อกันเสียใหม่ ไม่ชื่อแกก็ชื่อสองคนนั่น แต่ถ้าแกเปลี่ยนชื่อตัวเองจะยุ่งยากกว่า แล้วแกก็คิดได้ อ้ายต้าเปลี่ยนเป็น "ปีเตอร์" ผ่องเปลี่ยนเป็น "พอล่า" มีคนสวนเป็นฝรั่งเข้าท่าดี !! และทั้งสองคนก็ชอบใจชื่อใหม่ด้วย

ปีเตอร์รูปหล่อท่าทางฉลาด ก่อนเข้ามาเมืองไทยมีคนชวนเขาไปเป็นทหารให้เจ้ายอดศึกแห่งขบวนการกู้ชาติไทยใหญ่ แต่ปีเตอร์ไม่ชอบเป็นทหารจึงไม่ไป เขาอ่านเขียนภาษาไทยใหญ่และภาษาพม่าได้ดี เคยไปเรียนหนังสือพม่าที่ย่างกุ้งถึงสามปี เคยบวชเณรอยู่หลายปี แต่พอล่าอ่านไม่ออกแม้แต่ตัวเลขไทยใหญ่

"ผ่อง ! ตอนนี้ชื่อพอล่าแล้วนะ จำไว้ให้ดี จำได้ใหม ?" ตะแกบอกชื่อใหม่กับเด็กสาวฟันกระต่าย

"อือ" พอล่าตอบรับเจ้านายของเธอ

"พูดอือไม่ได้ ไม่เพราะต้องพูด เจ้า เข้าใจใหม ?" ชายสูงอายุสอ

"อือเจ้า" พอล่าพอเข้าใจ

การเปลี่ยนชื่อใหม่ให้ทั้งสองคนเพื่อเอาเคล็ดดูจะได้ผลดี เขาทั้งสองคนทำงานดี ดีกว่าทุกคนที่เคยทำงานกับแกมา เรื่องงานไว้ใจได้ เรื่องหยุดงานพร่ำเพรื่อหรืออู้งานก็ไม่เคยมี วันไหนไม่มีงานสวน ทั้งปีเตอร์กับพอล่าจะมาถามว่าจะให้ทำอะไร แกจึงให้ช่วยกันเช็ดถูบ้าน ล้างครัว ซักเสื้อผ้า แล้วแกก็ออกไปเที่ยวตลาดปล่อยให้เขาทำงานกันเอง ทั้งสองคนพอใจที่แกไว้ใจให้ทำบ้านโดยไม่ต้องคุม ไม่กลัวของจะหาย เขาจะได้ขนมข้าวต้มเป็นของฝากเมื่อแกกลับจากตลาด ที่นี่ดูเป็น บ้าน อย่างที่เขาจากมาและทั้งสองคนนั่นก็คงจะมีความรู้สึกว่าแกเป็นพ่อ

บางวันปีเตอร์ก็จะมาขอกุญแจรถกระบะของชายสูงอายุ เขาจะถอยรถไปล้างให้เพราะทนเห็นความสกปรกเลอะเทอะไม่ไหว ปีเตอร์ได้วิชาขับรถแบบ "เดินหน้า-ถอยหลัง" เท่านั้นมาจากอู่ซ่อมรถที่ทำอยู่สิบห้าวันก่อนมาอยู่ที่นี่ และทันทีที่ปีเตอร์ขึ้นนั่งที่คนขับ พอล่าก็จะเปิดประตูขึ้นไปนั่งคู่ทันที เธอรู้สึกตื่นเต้นและภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้นั่งรถโดยมีปีเตอร์ขับ...นาทีเดียวก็ยังดี !

ปีเตอร์บอกว่าจะทำงานให้ครบสามปีจึงจะกลับบ้าน เอาเงินไปให้พ่อกับแม่ สามเดือนที่มาอยู่กับแก ปีเตอร์กับพอล่าเก็บเงินไว้ได้แล้วหลายพันบาท เอาซ่อนไว้ตามกระบอกไม้ไผ่ที่กระต๊อบบ้างและฝังดินบ้าง สองคนผัวเมียกินแต่ผักสวนครัวที่ปลูกไว้เองท้ายสวน และก็จะเก็บมันมาฝากตะแกเสมอ เขาใช้เงินซื้อข้าวของรวมกันเดือนละห้าหกร้อยบาทเท่านั้น....

"ปีเตอร์ เรียกเมียนายมานี่สิ !" แกสั่งเจ้าหนุ่มน้อยจากระเบียงบ้านที่กำลังนั่งอยู่

"พอล่า ! พอล่า ! เจ้านายฮ้อง" ปีเตอร์ตะโกนเรียกเมียที่ทำงานห่างออกไป เสียงลั่น

ชายสูงอายุมีความสุขที่ได้สองคนนี่มาทำงาน แกคิดว่าเขาเป็นทั้งคนงาน เพื่อนและก็ลูกแกด้วย....ความภักดีนั้นไม่อาจจะซื้อได้ด้วยเงินตรา และมันเป็นการบ้านที่ท้าทายว่า แกจะรักษาไม้ป่าจากแดนไพรสองต้นนี้ไว้กับสวนของแกให้นานถึงสามปีได้ยังไง !

เมื่อวันที่ : 28 มี.ค. 2548, 07.44 น.
ผู้อ่านที่รัก,
นิตยสารรายสะดวก และผู้เขียนยินดีรับฟังความคิดเห็นต่อข้อเขียนชิ้นนี้
เชิญคลิกแสดงความเห็นได้โดยอิสระ ขอขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ในการมีส่วนร่วมของท่านในครั้งนี้...