......แกไม่มีลูกและไม่มีเมีย ดูเหมือนไร้ญาติ แต่แน่นอนไม่ขาดมิตร ! เพราะแกมีหมาหนึ่งตัวกับแมวอีกสองตัวเป็นเพื่อน......
ไฟลามเลียไปทั่วโลงไม้บนเชิงตะกอน ปราสาททาสีทองวาวระยับที่ตั้งคร่อมโลงไว้ล้มลงช้าๆ ทับลงบนโลงช่วยเป็นเชื้อไฟต่อไป เสียงพลุดังก้องเป็นระยะเหนือบริเวณสุสาน ชายสูงอายุนั่งอย่างสงบ ขยับย่ามที่สะพายอยู่เป็นครั้งคราว ตะแกชำเลืองไปทางซ้าย แม่ของชายที่นอนอยู่ในโลงบนเชิงตะกอนกำลังฟูมฟายด้วยความอาลัย ส่วนพ่อที่ยืนถัดออกไปตัดใจได้ แกยืนคุยกับท่านพระครูเบา ๆ....

ชายสูงอายุผมสีดอกเลาขยับย่ามอีกครั้ง แล้วชำเลืองไปทางขวา หญิงสาวในชุดดำคนหนึ่งนั่งอยู่ ใบหน้างามนั้นเศร้าลึก เธอกำลังกลั้นสะอื้น ! เมื่อไม่นานมานี้เธอเคยร่วมเรียงเคียงหมอนกับชายคนที่กำลังเป็นเชื้อไฟอยู่บนเชิงตะกอนในฐานะเมีย....

แขกเริ่มจะกลับ มีเสียงเรอดังมาจากข้างหลัง อ้ายบุญมีอดีตนักมวยเอกที่กำลังเอาดีทางกินเหล้าพึมพำมาจากที่นั่งข้างหลัง

" นี่แหละยุคคนหัวขาวเผาคนหัวดำ " ดูเหมือนอ้ายบุญมีกำลังจะบอกกับตะแกที่นั่งอยู่ข้างหน้า เขาเรอออกมาอีกครั้งดังกว่าครั้งแรก กลิ่นเหล้าขาวที่งานศพเมื่อคืนโชยออกมา แล้วอ้ายบุญมีก็ชะโงกหน้ามาคุยต่อด้วยเสียงเบา

" คนเฮาบ่ระวังตัวมันก็เป็นจะอี้ เสียดายมันเป็นเพื่อนฮักผม บ่น่าเป็นเพี้ยงต๋าย "

ไฟบนเชิงตะกอนเริ่มโทรม ชายสูงอายุผมขาวร่ำลาเจ้าภาพ แล้วแกก็เดินสะพายย่ามตามแขกคนอื่นออกไปจากบริเวณสุสาน เป็นเพี้ยงตายมันเป็นอะไรตายกันแน่ แกไม่เคยได้ยิน !

ชาวบ้านละแวกนั้นไม่แปลกใจเท่าใด เมื่อชายสูงอายุที่เคยแวะเวียนมาดูที่ดินของแกปีละสองสามครั้งเป็นเวลาสิบปีมาแล้ว บอกกับเจ้าของร้านชำในหมู่บ้านว่า ต่อแต่นี้ไปแกจะมาปลูกบ้านและอยู่ประจำเป็นลูกบ้านที่นี่ ดูเหมือนแกเคยเล่าให้ ใคร ๆ รวมทั้งพ่อหลวงบุญฟังถึงเรื่องนี้มาก่อนแล้ว แต่ก็ไม่มีใครคิดว่าจะเป็นเรื่องจริงจังอะไรจนกระทั่งปีนี้ และปีนี้....ผมแกขาวขึ้นอีกโข !

บ้านทำด้วยไม้ไผ่หลังน้อยถูกสร้างขึ้นริมสระน้ำกว้าง รอบสระเป็นต้นไม้ใหญ่ร่มรื่นที่ชายสูงอายุปลูกเอาไว้เมื่อได้ที่มาใหม่ๆ ไม่มีใครรู้จริงว่าแกเป็นใครและมาจากไหน หลายคนเดาว่าแกเป็นข้าราชการมหาดไทยที่เกษียณอายุแล้ว คนที่เชื่อความคิดนี้คนหนึ่งก็เลยเรียกแกว่า " ท่านรอง" เขาคิดว่าคงเป็น ข้าราชการระดับผู้ใหญ่คนหนึ่ง แต่จะตำแหน่งอะไรนั้นไม่รู้...เลยเรียกท่านรองไว้ก่อน

"ฮาว่าคงจะเป็นรองปลัดจังหวัด" บางคนเดาถึงตำแหน่งที่ยังไม่เคยมีในสังกัดของกระทรวงมหาดไทย....แต่ก็มีบางคนเชื่อว่าแกเป็นนายทหารที่ปลดเกษียณเลยเรียกแกว่า " เสธ. " และการที่แกผมขาว ทำให้ผู้หญิงหลายคนเรียกแกว่า " ป๋า " ยังมีอีกไม่น้อยที่เรียกชายผมขาวคนนี้ว่า " คุณลุง ".....วันหนึ่งมีคนเห็นแกยืนทำมือทำไม้อยู่กับฝรั่งแถวตลาด เลยคิดว่าแกพูดฝรั่งได้ เขาเรียกแกแต่นั้นมาว่า "อาจารย์ " มีคนอื่นเรียกชื่อนี้ตามอีกแยะ ยัง ! ยังก่อน !! ยังมีฉายาอื่นอีกมากที่คนแถวนี้เรียกชายสูงอายุผมขาวคนนี้ !

ชายผมขาวหลายฉายาทำตัวกลมกลืนกับสังคมชนบทแห่งนั้นได้ดี เว้นแต่อย่างเดียวที่แกทำไม่เหมือนคนอื่นก็คือ ชาวบ้านคนอื่นทำสวนลำไย แต่แกกลับทำสวนชมพู่ อ้อ! มีอีกอย่างที่ดูจะแปลกก็คือ แกอยู่ตัวคนเดียวในบ้านไม้ไผ่หลังน้อย โดดเดี่ยวอยู่ปลายนานอกเขตหมู่บ้าน ดังกระท่อมเจ้าเงาะ โดยไม่มีรั้วกั้นเป็นแนวเขต ไม่มีเหล็กดัดที่หน้าต่าง แกไม่มีลูกและไม่มีเมีย ดูเหมือนไร้ญาติ แต่แน่นอนไม่ขาดมิตร ! เพราะแกมีหมาหนึ่งตัวกับแมวอีกสองตัวเป็นเพื่อน...

แกบอกใครๆว่าเป็นโสด เมื่อแรกก็ไม่มีคนเชื่อ พวกสอดรู้สอดเห็นบางคนพยายามสืบจากคนงานที่แกจ้างมาทำสวนว่า จริงหรือที่ว่าตะแกอยู่ตัวคนเดียว บางคนก็แอบไปถามร้านซักอบรีดปากซอยที่แกเอาผ้าไปซักว่า มีร่องรอยของการมีเมียให้พบได้บ้างหรือไม่ แต่พวกสอดรู้สอดเห็นเหล่านั้นก็ไม่รู้อะไรมากไปกว่าที่แกบอกไว้

" ถ้าจะโสดแต๊ " อีล่า คนขายตีนไก่ปิ้งหน้าวัดบอกกับลูกค้ากลุ่มสอดรู้สอดเห็น ของเธอ

เมื่อบ้านไม้ไผ่ของชายผมขาวสร้างเสร็จไม่นาน ชาวบ้านแถวนั้นก็พบว่ามีคนต่างเพศต่างวัยขับรถเข้ามาในหมู่บ้าน ถามหาบ้านคุณลุงที่ผมขาวๆบ้าง หรือไม่ก็ถามว่าบ้านคนที่มาทำสวนชมพู่ไปทางไหน และคงเป็นเพราะไม่มีใครรู้ว่าตะแกทำอาชีพอะไรแน่ นอกจากชอบเดินสะพายย่ามพื้นเมืองเก่าๆ บางคนเลยเดาว่าแกคงเป็นหมอดู บ้างก็คิดเลยเถิดไปว่าแกรับทำเสน่ห์ ที่ปากมากไปกว่านั้นอีกก็ว่า แกรับทำคุณไสยด้วย ! เพราะคนที่มาถามหาบ้านเป็นผู้หญิงเสียก็เยอะ.....การชอบสะพายย่ามเก่าๆนี่เองทำให้ตะแกได้รับฉายาเพิ่มจากน้องไก่ คนขายส้มตำปากมากข้างตู้โทรศัพท์ว่า " อีลุงย่ามหมอผี "

ชายผมสีดอกเลาล่วงรู้ถึงทุกฉายาที่แกได้รับ ก็แกนั่งกินเหล้ากับใครๆออกบ่อยที่ร้านชำ มันเป็นสโมสรแห่งเดียวของหมู่บ้าน ตะแกหัวร่อร่ากับฉายาสุดท้าย.... "อีลุงย่ามหมอผี "

"ผมฮักจื้อนี้ขนาด" อีลุงย่ามหมอผีบอกเพื่อนรวมวง แกเริ่มเป็นที่รู้จักของคนในหมู่บ้าน

พอบ้านไม้ไผ่ริมสระกว้างสร้างเสร็จได้พักใหญ่ ชายสูงอายุผมขาวก็ได้รับคำถามพร้อมข้อเสนอจากผู้คนในหมู่บ้าน คำถามมักจะเหมือนๆกันหมด

" เมื่อใดจะขึ้นบ้านใหม่ ? " นั่นเป็นคำถามยอดฮิต ! แต่ข้อเสนอนั้นสิช่างหลากหลาย....

" เสธ. ! ขึ้นบ้านใหม่ฮื้อผมเป็นคนย่างลูกงัวเน้อ " นี่คือลุงแก้วคนเลี้ยงวัว แกกำลังหาทางขายลูกวัวตัวที่ขุนไม่ขึ้นในฝูง

" ป๋า ! จะขึ้นบ้านใหม่สั่งเหล้าฮ้านเจ้านา " ป้าไล เจ้าของร้านชำจองออร์เดอร์ไว้ล่วงหน้า

หนานเต๋อ มัคนายกวัดประจำหมู่บ้านที่มานั่งสังสรรค์ร้านป้าไลประจำ แต่แกก็ไม่เคยเสพเครื่องดองของเมาให้เสื่อมเสียสถาบัน เสนอจะช่วยหาวงสะล้อซอซึงมาให้.....คุณป้า คุณน้า คุณอา คุณยาย รับจะมาช่วยทำกับข้าวเลี้ยงแขก ส่วนคุณลุง คุณตา คุณปู่ รวมทั้งอ้ายน้องและอีนาย รับปากแข็งขันว่าจะมาเป็นแขก ไม่ให้งานเหงาได้ ! ผู้คนในหมู่บ้านรองานขึ้นบ้านใหม่ของชายสูงอายุหลายฉายา....

ถ้ามีงานขึ้นบ้านใหม่บ้านไหนก็ตาม คนในหมู่บ้านมักนี้จะหยุดงานกันสองวันเกือบหมดหมู่บ้าน เพราะว่ามันเป็นประเพณี ! ไม่ว่าเขาจะทำไร่ ทำนา หรือทำสวน แม้แต่เป็นลูกจ้างโรงงานก็เถอะ สองวันนั้นมีวันแรกเป็น " วันดา " คือวันสุกดิบ ! วันนี้เขาจะช่วยกันเตรียมข้าวของเครื่องใช้ที่จะต้องใช้ในวันรุ่งขึ้น วันต่อมาเป็น "วันงาน" หรือวันจริง งานทั้งสองวันนี้ถือเป็นวันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งจะขาดวันใดวันหนึ่งเสียมิได้

และวันศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองวันนี้ยังครอบคลุมใช้ไปถึง งานบวช งานแต่งงาน งานฉลองตำแหน่งพ่อหลวง งานฉลองตำแหน่ง อ.บ.ต. และงานวันสำคัญทางศาสนาต่างๆด้วย แต่ไม่รวมถึงงานศพที่จะต้องมีอย่างน้อยสามวัน และวันสงกรานต์ ซึ่งมีการหยุดงานที่พิสดารพันลึกกว่านี้อยู่แล้ว

ประเพณีย่อมมีการเปลี่ยนแปลง เมื่อกองทุนหมู่บ้านจัดตั้งขึ้น มันได้รับการต้อนรับจากชาวบ้านที่นี่อย่างดียิ่ง การเงินเดินสะพัด ! และมีผลทำให้วันศักดิ์สิทธิ์ประจำหมู่บ้านที่มีอยู่ เพิ่มขึ้นจากสองวันเป็นห้าวัน...

วันแรกเรียกว่าเป็นวันเตรียมของ วันที่สองกลายเป็นวันดา วันที่สามเป็นวันจริง วันที่สี่เป็นวันเก็บของ วันที่ห้าเป็นวันพักผ่อนให้สร่างเมา (เพื่อตัดสินใจว่าพรุ่งนี้จะไปทำงานไหวหรือไม่) ทั้งห้าวันอันศักดิ์สิทธิ์นี้ เฉพาะสี่วันแรก เจ้าภาพจะต้องเตรียมข้าวปลาอาหารทั้งหวานคาว รวมทั้งสุราเบียร์ไว้ต้อนรับแขกบรรดามี ได้แก่แขกที่มาเป็นเกียรติแก่งาน แขกที่จะมาช่วยงาน รวมทั้งพวกแขกตามดอยให้สมฐานานุรูป และไม่ว่ายากดีมีจนอย่างไร อย่างน้อยในงานนี้ต้องมีดนตรีขับกล่อมหนึ่งวันในวันจริง

เจ้าภาพหัวอนุรักษ์ก็จะจ้างวงสะล้อซอซึงมาบรรเลงขับกล่อมแขกตอนกลางคืน แต่พวกหัวก้าวหน้าจะจ้างวงดนตรีมาตั้งแสดงกันที่บ้านเลย ถ้าทุนน้อยจะใช้วิธีเช่าเครื่องคาราโอเกะขนาดสองพันวัตต์ มาให้แขกได้ร้องเพลงกันก็ไม่เสียหน้า นี่ว่าเฉพาะงานขึ้นบ้านใหม่หรืองานเฉลิมฉลองเท่านั้น !!

บรรดานายทุนรายย่อยหรือที่สมัยนี้เรียกกันว่านักธุรกิจ เอส.เอ็ม.อี. พากันย่อยยับปิดกิจการไปนักต่อนัก ไม่ว่าจะเป็นโรงงานทอผ้าไหม โรงงานเซรามิค อู่ซ่อมรถ ร้านอาหาร.... เมื่อมาลงทุนและต้องจ้างแรงงานในหมู่บ้านนี้ เพราะบางวันมีคนมาทำงานไม่ถึงครึ่ง พวกคนงานของเขาติดวันศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ

สถิติแรงงานที่ว่าปีนี้มีลูกจ้างตกงานถึงสองล้านคน ไม่นับรวมคนในหมู่บ้านนี้ ปัญหาแรงงานของที่นี่คือ นายจ้างต่างหากที่ตกงาน ! และพวกนายจ้างตกงานเหล่านี้ ก็พากันขนานนามหมู่บ้านที่ชายผมสีดอกเลามาอยู่เป็นลูกบ้านว่า "เมืองปราบเซียน "

ชายผมสีดอกเลาหลายฉายา คงจะสำเหนียกถึงความเป็นมาและเป็นไปของวันศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ได้ดีพอควร ดังนั้นเมื่อมีคนถามถึงวันขึ้นบ้านใหม่ของแก ตะแกก็จะผัดผ่อนไปเรื่อย ๆ แต่ก็ไม่ถึงกับจะบอกตัดรอนประเพณีอันดีงามนี้ไปเสีย

นอกจากข้อเสนอที่จะช่วยงานขึ้นบ้านใหม่ที่แกยังไม่รับปากแล้ว ยังมีข้อเสนออยู่อีกเรื่อง ก็เมื่อชายสูงอายุผมสีดอกเลาเที่ยวบอกใครๆว่าแกนั้นเป็นโสด เลยมีคนพยายามจะหา "แม่บ้าน" ให้แก

" คุณลุงเจ้า เจ้าจะหาแฟนให้คนหนึ่งเอาก่อ ? " น้องภัทร ช่างตัดเสื้อสาวใหญ่ในหมู่บ้านยื่นข้อเสนอให้แกในวันหนึ่ง ไม่ก็....

" อยู่คนเดียว อายุก็มากแล้วมันลำบาก เจ็บไข้ก็บ่มีคนดูแล หาแม่บ้านดีๆสักคนบ่ใช่ยาก ผมช่วยเซาะหื้อท่านรอง เอาเน้อ ? " พ่อหลวงบุญ สมาชิกประจำร้านชำตอนเย็นรับอาสาเป็นธุระเรื่องนี้ให้

และชักจะใกล้นรกเข้าไปทุกที ยายอ้อย เจ้าของร้านซักอบรีดปากซอยก็มีข้อเสนอให้แกเหมือนกัน

" คุณลุงค้า ! มีคนบอกว่าคุณลุงอยากได้แม่บ้าน มีคนอยากทำงานกับคุณลุง แกเป็นนักศึกษาต้องการรายได้พิเศษไปลงหน่วยกิจเทอมนี้ แกมาช่วยทำงานได้แบบมาเย็นเช้ากลับ คุณลุงสนใจไหมคะ "

ข้อเสนอแบบธุรกิจขายตรงทำนองนี้ มีอยู่เสมอสำหรับชายผมสีดอกเลา ผู้เสนอทุกคนล้วนรู้จักมักคุ้นกันดีกับแก และการปฏิเสธหมายถึงการตัดไมตรี ซึ่งนั่นมิใช่วิสัยของแกที่จะทำ ดังนั้นที่แกทำได้ตอนนี้ก็คือ ทำบ่ายเบี่ยงว่าขอไปคิดดูก่อนบ้าง บางทีก็ทำยิ้มๆ ไม่ปฏิเสธแต่ก็ยังไม่ยอมรับ ตะแกทำท่ายึกยัก อมพะนำเหมือนกับนักการเมืองที่กำลังจะย้ายพรรคแล้วมีหนังสือพิมพ์มาขอสัมภาษณ์ แกให้รู้สึกอึดอัดกับข้อเสนอของผู้หวังดีเหล่านี้

ตะแกนั่งคิดนอนคิดอยู่นานนับเดือน ว่าจะเอาตัวออกไปให้พ้นข้อเสนอเรื่องแม่บ้านได้ยังไงให้นิ่มนวลที่สุด โดยไม่ต้องใช่คำว่า "ไม่" แกชักจะเบื่อกับบรรดานักธุรกิจขายตรงในหมู่บ้านนี้ และในที่สุดแกก็ได้พบทางออก

" เราจะไม่กล่าวคำว่า 'ไม่ กับลูกค้า แต่เราจะเสนอทางเลือกให้แทน"
แกไปเห็นโฆษณาชวนเชื่อ ที่เรียกกันเป็นแฟชั่นว่า "วิสัยทัศน์" ที่ผนังโรงแรมแห่งหนึ่งในเมืองมา น่าจะเอามาดัดแปลงกับเรื่องของเราได้ ตะแกคิด !

อีกสองสามวันต่อมา ชายสูงอายุผมสีดอกเลาก็ประกาศที่ร้านชำตอนเย็นย่ำท่ามกลางมวลมิตรว่า ยินดีรับข้อเสนอของผู้หวังดีทุกคน โดยมีข้อแม้อยู่นิดหน่อยคือ "แม่บ้าน" ของแกนั้น หนึ่งต้องสวย สองต้องรวย ข้อที่สามต้องนิสัยดี ตะแกมั่นใจว่าไม่มีใครจะมีคุณสมบัติครบทั้งสามข้อนี้

บรรดาสมาชิกร้านชำของป้าไลพากันพึมพำ เมื่อแกแจ้งเงื่อนไขนี้ ต่างพากันบ่นว่าไม่มีทางเป็นไปได้ ซึ่งก็เข้าทางปืนที่ชายสูงอายุวางเอาไว้พอดี ตะแกให้นึกดีใจที่จะไม่ต้องตัดรอนใคร ไม่ต้องกล่าวคำว่า ' ไม่ ' แกรอดตัวไปได้เพราะไม่มีคนสอบผ่านเท่านั้น แล้วแกก็เปิดฟรีบาร์ สั่งเหล้าที่แพงที่สุดในร้านคือแม่โขงมาเลี้ยงดูมวลสมาชิก...

แม่โขงหมดไปหนึ่งขวดกับอีกหนึ่งแบนและอีกสามตอง สมาชิกเริ่มแย่งกันพูด และพูดกันคนละเรื่อง หาคนฟังยากขึ้น จนกระทั่งอ้ายบุญมีสั่งให้ทุกคนเงียบ

" ท่านรอง ! ถ้าผมหาแม่บ้านให้ตามแบบที่ท่านรองต้องการได้ ท่านจะว่ายังใด ? "

อ้ายบุญมีวกกลับไปเรื่องเดิมอีก มีเสียงฮือฮาออกมารอบวง

"พนันกันมั้ย ว่าถ้าผมหาแม่บ้านมาให้ได้ตามเงื่อนไขของท่านรองครบทุกข้อ ท่านรองจะต้องยอมรับไว้เป็นแม่บ้าน แล้วจัดเลี้ยงที่บ้านด้วย เอาเฉพาะหมู่เฮานี่ละ " อ้ายบุญมี อดีตนักมวยท้าแกขึ้นเวที !

ตะแกเองก็คงจะรำคาญเรื่องนี้อยู่เต็มทีเลยรับคำท้านั้น ทั้งนี้มีข้อแม้ว่าทุกเงื่อนไขที่แกตั้งไว้ต้องเป็นจริง ! และขอให้บรรดาสมาชิกทุกคนเป็นกรรมการตัดสินด้วยถ้าเกิดความ ขัดแย้ง สมาชิกทั้งหมดพากันไชโยโห่ฮิ้ว ยกมือผ่านญัตตินี้ เป็นเอกฉันท์... แม่โขงถูกสั่งมาอีกหนึ่งขวด

ชื่อผู้หญิงคนหนึ่งถูกเอ่ยขึ้น ชายผมขาวหลายฉายารู้สึกจะคุ้นๆกับชื่อนี้ อ้ายบุญมีบอกว่าเธอคนนี้มีคุณสมบัติครบทุกข้อที่ตะแกตั้งไว้ เรื่องสวยไม่ต้องพูด...

" อาจารย์ก็เคยเห็นมาแล้ว ที่งานศพไง ! เคยเป็นนางนพมาศมาแล้วด้วย" เขาเปลี่ยนจากท่านรองมาเป็นอาจารย์ เมื่อประกาศสรรพคุณหญิงคนนั้น

" แล้วเรื่องรวย สวนลำไยแปดสิบไร่พอไหมคุณลุง ? " คราวนี้เขาเปลี่ยนไปเรียกตะแกว่าคุณลุง มันเปลี่ยนได้เช่นเดียวกับกระแสน้ำของลำโขงที่เปลี่ยนทางเดินได้

"ส่วนเรื่องนิสัยดี อาจารย์ลองถามหมู่เฮาดูได้ บ่เคยด่างพร้อย น้อยเดียวก็บ่เคย ผัวตายไปปีหนึ่งแล้วเปิ้นบ่เคยไปยุ่งกับไผ ซ้ำลูกก็บ่มี เหมาะที่สุด ! เขาเห็นท่านรองเป็นคนดีมีความรู้ทางเกษตร อยากจะเป็นแม่บ้านให้ จะได้ช่วยดูสวนลำไย ด้วยกัน " อดีตนักมวยที่กำลังจะเอาดีทางธุรกิจขายตรงอีกอย่าง นอกจากการกินเหล้า ปิดการขายอย่างสง่างาม

แล้วชายสูงอายุผมขาวก็นึกออก ผู้หญิงในชุดดำที่กลั้นสะอื้นอยู่ในงานศพเมื่อปีที่แล้วนั้นเอง เรื่องสวยนั้นตะแกต้องยอมรับอย่างหมดทางโต้แย้ง เรื่องรวย สวนลำไยแปดสิบไร่ ถ้าเป็นจริงก็คงแพ้อดีตนักมวยอีก ดูเหมือนแกจะแพ้ไปแล้วสองยก ! เหลือเรื่องเดียวอันเป็นยกสุดท้ายคือเรื่องนิสัยดี ยกนี้เป็นนามธรรม ซึ่งแกมีสิทธิ์ชนะโดยตีกรรเชียงหมุนไปรอบๆ เวทีได้ ยกนี้คะแนนน่าจะเป็นของแก

"เรื่องนิสัยดีนี่ผมต้องเป็นคนตัดสินเอง ใครจะมารู้ใจผมดีกว่าตัวผมไม่ได้" ชายผมสีดอกเลาพยายามออกหมัดบ้างในยกสุดท้าย ...แต่แกก็ถูกสวนกลับด้วยหมัดชุด

"อ๊ายเสธ. ! เสธ. พูดจะอี้บ่ได้นา ถ้าผมว่านิสัยดี แต่เสธ.ว่าบ่ดีมันก็ต้องให้กรรมการตัดสิน เพราะเป็นความขัดแย้ง เสธ. อู้เรื่องนี้ขึ้นมาเอง เสธ.เป็นคนใหญ่แล้ว บ่ฮักสาคำพูดบ่ได้นา " อดีตนักมวยหัวหมอแย้งขึ้นทันที

ชายสูงอายุหลายฉายารู้สึกมึนกับหมัดชุดในยกสุดท้ายของอ้ายบุญมี ตะแกหันไปมองหน้าคนโน้นที คนนี้ที เหมือนจะขอความเห็นกรรมการให้คะแนนข้างเวที

" ก็ดีนาท่านรอง ! ผมเคยเห็นเขามาแต่ยังเป็นละอ่อน เป็นเด็กดี งานบ้านงานช่องดีทุกอย่างไม่มีที่ติได้ ใจบุญสุนทาน ไปวัดไปวาประจำทุกวันศีล ผมว่าเขานิสัยดี " ลุงช่วย อ.บ.ต. ซึ่งทุกคนนับถือให้คะแนนเป็นคนแรก และแล้วคะแนนต่อๆมาก็เทไปทางอ้ายบุญมีหมด ตะแกแพ้คะแนนอย่างเป็นเอกฉันท์ !

ชายสูงอายุผมขาวนั่งเงียบ แกอยูที่นี่มาคนเดียวจนป่านนี้แล้ว จะต้องมามีแม่บ้านสาวมันยังไงอยู่ แกยังมึนอยู่กับคำตัดสินของกรรมการ แถมยังกระดากใจ นี่มันละอ่อนคราวลูกเทียวหนอ !. ...

แล้วแกก็ปลอบใจตัวเองพยายามมองโลกในแง่ดี ช่างมัน ! มีแม่บ้านเสียทีก็ได้วะ มันไม่ตายหรอก ดีเสียอีกจะได้มีคนดูแลบ้านช่อง ทำกับข้าว มีคนพูดคุยด้วย ไม่ต้องพูดกับหมากับแมวเหมือนทุกวันนี้... ชายผมสีดอกเลาบอกกับตัวเอง แกใจชื้นขึ้น

งานเลี้ยงเลิกรา ชายสูงอายุผมขาวเพิ่งจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ แกกระซิบถามลุงช่วยเบาๆว่าเป็นเพี้ยงตายนะมันเป็นยังไง แล้วสิ่งที่ค้างคาใจก็ถูกไขขาน...

" อ้าว ! ท่านรองไม่รู้หรือ ? ก็ไอ้โรคที่คนหนุ่มคนสาวบ้านเรามันล้มตายกันเป็นใบไม้ร่วงทุกวันนี้ไง " ลุงช่วยตอบเสียงเบา

ชายสูงอายุรู้สึกวูบ ! เหมือนโดนหมัดของไมค์ ไทสัน เข้าที่ปลายคาง !!

เมื่อวันที่ : 16 มี.ค. 2548, 20.43 น.
ผู้อ่านที่รัก,
นิตยสารรายสะดวก และผู้เขียนยินดีรับฟังความคิดเห็นต่อข้อเขียนชิ้นนี้
เชิญคลิกแสดงความเห็นได้โดยอิสระ ขอขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ในการมีส่วนร่วมของท่านในครั้งนี้...