......ยายใส่บาตรให้ลูกชายทุกวันเป็นประจำไม่เคยขาด แกไปวัดและถือศีลแปดอย่างเคร่งทุกวันศีล ยายจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ลูกชายทุกโอกาสที่มี.......

ยายนอนมองดูเพดานห้องสีขาวนิ่งอยู่ จิ้งจกสองหางตัวหนึ่งเกาะอยู่ใกล้โคมไฟเพดาน ถาดอาหารที่ว่างอยู่บนโต๊ะใกล้ๆเตียงแกพร่องลงไปนิดเดียว เขาเอาแกมาส่งโรงพยาบาลสวนดอกเมื่อวาน แกปฏิเสธน้ำเกลือและออกซิเจนที่หมอจะให้แก มิไยที่ญาติๆจะข้อร้องเพียงใดก็ตาม ยายจึงเกือบจะเป็นคนไข้คนเดียวในห้องนี้ที่ไม่มี โซ่ตรวนแห่งเทคโนโลยีมาพันธนาการชีวิตของแกไว้

นี่เป็นครั้งแรกที่ยายต้องเข้าโรงพยาบาล แม้ตอนที่แกคลอดลูกทั้งสองคน แกก็คลอดที่บ้านโดยหมอตำแย ข้างเตียงยายเด็กชายวัยหกขวบหน้าตาน่ารักคนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้สำหรับเยี่ยมคนไข้ เด็กน้อยจะชวนยายคุยอยู่ตลอดเวลา

"ยาย ทำไมยายกินข้าวน้อย ?...ยายเมื่อไรยายจะกลับบ้าน ? ....ยาย ทำไมจิ้งจกตัวนั้นจึงมีสองหาง ?...ยาย เคยจับจิ๊กกุ่งใหม.... ยาย ผีมีจริงใหมยาย ? "....และอะไรต่อมิอะไรอีกมาก คนไข้เตียงข้างๆพากันยิ้มด้วยความเอ็นดูเจ้าเด็กน้อย

"เอ็งอย่าพูดดัง เดี๋ยวคนอื่นเขาจะรำคาญเอา " ยายปรามหลานชายตัวน้อย

"แล้วเมื่อไรแม่เอ็งจะมา ? " ยายย้อนถามหลานตัวน้อย เสียงของแกเบาลง

"ไม่รู้ซิยาย แต่ป้าบอกว่าโทรศัพท์ไปแล้ว" เด็กน้อยตอบ

ยายนิ่งไป แกอยากพบลูกคนเล็กที่ไปทำงานกรุงเทพพร้อมกับสามี ก็แม่ไอ้ตัวเล็กช่างพูดนี่แหละ เมื่อห้าปีก่อนตอนที่ลูกสาวคนนี้ของแกจะต้องย้ายเข้ากรุง ยายได้ขอลูกชายคนเล็กของหล่อนเอาไว้เลี้ยงเป็นลูก ด้วยหน้าไอ้นี่มันช่างเหมือนกับลุงของมันเสียเหลือเกิน...ลุงของมัน ! ลูกชายคนโตของแกที่ตายไปนานแล้วนั่นเอง เด็กน้อยจึงเป็นตัวแทนของเขา ยายจะเรียกมันว่า "ลูก" ทุกคำไป แกทำทุกอย่างให้เด็กน้อยตั้งแต่อาบน้ำ ประแป้ง ป้อนข้าว ป้อนน้ำ รวมทั้งเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวให้มัน เหมือนกับที่แกทำกับลุงของมันเมื่อตอนเด็ก

คนเฒ่าคนแก่รุ่นยายในหมู่บ้านที่ยังอยู่ตอนนี้ จะเห็นแกเลี้ยงดูเด็กน้อยอย่างที่แกเคยเลี้ยงลูกชายคนโตเมื่อหลายสิบปีก่อน แกสอนมันอ่านหนังสือ กอไก่ ขอไข่ ได้ก่อนมันจะเข้าโรงเรียนเสียอีก

มันต้องมาตักบาตรที่หน้าบ้านด้วยกันกับแกในตอนเช้าทุกวัน และแกจะจูงมันไปวัดด้วยในวันศีล เมื่อมันโตหน่อยก็จะใช้ให้มันช่วยถือของเดินตามหลังไปวัด ยายจะดุเมื่อมันพูดคำหยาบและเอาไม้เรียวอันเล็กๆตีสั่งสอนเมื่อมันพูดโกหก และจะเล่านิทานพื้นบ้านให้มันฟังก่อนนอน หลังจากตรวจว่ามันได้สีฟันแล้ว

นานๆแม่ของมันจะขึ้นมาเชียงใหม่ มาเยี่ยมแกกับลูกคนเล็กของหล่อนเสียทีหนึ่ง หล่อนไม่ห่วงอะไร เพราะเห็นว่าแกเลี้ยงลูกคนเล็กของหล่อนเหมือนกับที่เคยเลี้ยงพี่ชายหล่อนและตัวหล่อนมา ไม่ผิดเพี้ยนแม้แต่น้อย ก็ดีแล้วหล่อนจะได้เลี้ยงดูลูกสองคนแรกได้เต็มที่

วันที่สองในโรงพยาบาล ญาติพี่น้องบ้านใกล้ผลัดกันมาเยี่ยมยายแล้วก็กลับไป แต่เจ้าเด็กน้อยนั้นจะนั่งอยู่ข้างเตียงเกือบทั้งวัน เฝ้าป้อนข้าวป้อนน้ำยายเก้ๆกังๆ ตามประสาเด็ก เมื่อพยาบาลป้อนข้าวยายจะกินนิดเดียว แต่ถ้าเจ้าหลานชายป้อนแกจะกินได้มาก แต่รวมแล้วยายก็กินข้าวได้นิดเดียวอยู่นั่นเอง แล้ววันนี้ยายก็ถามหลานของแกอีก

"เมื่อไรแม่เอ็งจะมา ?" ยายถามแล้วก็ถอนใจ ดูแกกระสับกระส่าย

"ผมไม่รู้ยาย แต่ป้าว่าเพื่อนเขาไปตามให้ถึงบ้านแล้ว เพราะที่บริษัทเขาไม่ให้คนงานรับโทรศัพท์" หลานตัวน้อยตอบ

ในชีวิตนี้ ยายมีความเสียใจมากอยู่เพียงสี่ครั้ง สองครั้งแรกเมื่อพ่อกับแม่แกตาย แต่มันก็เป็นไปตามอายุขัย แกยอมรับความสูญเสียได้ในเวลาไม่นาน

ความเสียใจครั้งที่สามเมื่อสามีของแกเก็บเสื้อผ้า ทิ้งแกไปอยู่กับหญิงอื่น ทั้งๆที่ลูกคนเล็กเพิ่งจะอายุได้ไม่กี่ขวบ แกเสียน้ำตาไปเพียงวันหนึ่งเท่านั้น แล้วก็ก้มหน้าเลี้ยงลูกชายกับลูกสาวมาคนเดียว ภาพของสามีไม่เคยกลับมาอยู่ในความคิดของแกอีกเลย และดูจะลืมเสียแล้วด้วยซ้ำว่าเขาหน้าตาเป็นอย่างไร

และสำหรับครั้งสุดท้าย วันนั้นเย็นแล้ว มีรถจี๊ปคันหนึ่งแล่นเข้ามาในบ้าน ตอนแรกแกคิดว่าเขามาส่งลูกชายคนโตที่ไปอยู่ชายแดน แต่กลับไม่ใช่กลายเป็นนายทหารสองคน เขาลงจากรถเดินเข้ามาหาแกแล้วทำความเคารพ ยายงงไม่รู้ว่าเขามีธุระอะไร จนกระทั่งนายทหารคนหนึ่งบอกว่า ทางค่ายให้มาแจ้งว่าลูกชายของแกตายเสียแล้วระหว่างการลาดตระเวนในป่าที่ชายแดน เขาเหยียบกับระเบิด !

ยายรู้สึกเหมือนกับถูกควักดวงใจ ! แกได้เสียลูกชายคนโตไปแล้วอย่างไม่มีวันกลับ พุทโธ่เอ๋ย ! เขายังหนุ่มแน่นอยู่แท้ ๆ

ยายจำอะไรไม่ได้อยู่หลายวัน แม้กระทั่งในงานศพลูกชายที่ทางค่ายทหารจัดให้ แกก็ไปนั่งเหม่อลอย ยังไม่เชื่อเสียทีเดียวว่าลูกชายคนนี้ได้ตายไปแล้ว....หรือว่าทางค่ายทหารเขาจะบอกผิด ! แกไม่แน่ใจนักว่าหีบศพคลุมด้วยธงชาติที่ตั้งอยู่นั้น มีลูกชายแกนอนอยู่ข้างใน อาจจะเป็นคนอื่นก็ได้ แต่ก็ไม่กล้าขอดู กลัวว่ามันจะเป็นจริง !.. ไม่มีน้ำตาสักหยดเดียวจากแก ไม่รู้ว่ามันเหือดหายไปไหน...

จนงานพระราชทานเพลิงศพผ่านไปแล้วหลายวัน แกจึงเริ่มยอมรับความจริงที่ทยอยเข้ามา...หนังสือแสดงความเสียใจจากผู้บัญชาการค่าย คำสั่งกองทัพบก เลื่อนยศลูกชายแกจากสิบเอกเป็นนายร้อยเอก...แม้นอนอยู่บนเตียงคนไข้ในวันนี้ยายก็ยังเห็นภาพคำสั่งเลื่อนยศลูกชายแกได้ดีและจำได้ทุกถ้อยคำ แกเอาคำสั่งนั้นใส่กรอบติดข้างฝาไว้คู่กับรูปทหารหนุ่มท่าทางองอาจในเครื่องแบบยศสิบเอก...ลูกเอ๋ย ทำไมจึงอาภัพอย่างนี้ ! ได้เลื่อนยศเป็นถึงนายร้อยเอก แต่ลูกก็ไม่อาจจะถ่ายรูปในเครื่องแบบยศใหม่ของลูกได้

ยายใส่บาตรให้ลูกชายทุกวันเป็นประจำไม่เคยขาด แกไปวัดและถือศีลแปดอย่างเคร่งทุกวันศีล ยายจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ลูกชายทุกโอกาสที่มี....

พอถึงวันที่สามในโรงพยาบาล ยายก็ไม่กินอะไรเสียแล้ว แม้ว่าเจ้าเด็กน้อยจะคะยั้นคะยอจะให้แกกินข้าวต้มเพียงใดก็ตาม แต่ยายก็ยังรู้สึกตัวดีทุกอย่าง แกยังพูดได้ชัดแม้จะช้าและเบาลงมากก็ตาม ยายยังมีสติดีพอที่จะดึงเข็มน้ำเกลือที่หมอแอบเข้ามาใส่ที่แขนให้ออกไป แกหลับตลอดเช้าวันนี้ ยายขึ้นตื่นในตอนบ่าย เด็กน้อยนั่งเก้าอี้ตัวเดิมรออยู่แล้ว

"ยาย เป็นไงบ้าง ยายหลับตั้งนานวันนี้" และเจ้าเด็กน้อยก็จัดแจงเอาน้ำให้ยายดื่ม

ยายใช้ความพยายามอย่างมาก แกเอื้อมมืออันผอมบางไปจับหัวเด็กน้อยไว้ เผยอยิ้มน้อยๆแล้วบอกกับมันด้วยเสียงเบาว่า

"วันนี้ข้าฝันเห็นลุงเอ็ง เขาแต่งเครื่องแบบนายร้อยเอก" ยายยิ้มอย่างมีความสุข เด็กน้อยไม่อาจเข้าใจเรื่องที่แกบอกได้ แต่แกก็ฝันอย่างนั้นจริงๆ ในฝันแกเห็นลูกชายในเครื่องแบบนายร้อยเอกเต็มยศ ดาวสีทองบนบ่าส่องประกายวาววับ ที่หน้าอกมีเหรียญกล้าหาญติดอยู่เต็ม เขายิ้มให้แกด้วย

"ยาย ป้าบอกว่าแม่โทรศัพท์มาแล้วว่าจะมาถึงนี่พรุ่งนี้เช้า มารถทัวร์" เจ้าเด็กน้อยรายงานยาย

"พรุ่งนี้เทียวหรือ ? มันจะช้าไปนะ" ยายพึมพำ

"ช้าอะไรยาย พรุ่งนี้แม่ก็จะมาแล้ว แม่คงซื้อขนมมาฝากยายด้วย" เด็กน้อยฉอเลาะกับยายของมัน

"ช้าสิ ! ก็ข้าจะต้องส่งเอ็งคืนกับแม่เอ็ง" ยายบอก แต่เจ้าหนูน้อยก็ไม่เข้าใจอะไรมากนัก

"ทำไม ? ยายจะไปไหน ? ผมไม่อยากไปอยู่กับแม่ ผมอยากอยู่กับยาย ก็ยายบอกว่าผมเป็นลูกไม่ใช่หรือ ? " เด็กน้อยถามด้วยความสงสัย

ไม่มีคำตอบจากยาย แกนิ่งเฉยเสีย แกคิดว่าแล้วเมื่อถึงเวลามันก็จะเข้าใจเอง

เย็นแล้วเด็กน้อยกลับไปบ้าน พรุ่งนี้มันจะมาเยี่ยมยายใหม่พร้อมกับแม่ แม่คงจะซื้อของมาฝากยายกับมันมากมายอย่างเคย

พยาบาลมาเก็บถาดอาหารเย็นที่ไม่มีรอยแตะต้องแม้แต่นิด อีกคนมาวัดความดัน วัดปรอท แล้วป้อนยาหลังอาหารให้ยาย ความจริงมันไม่ใช่ทั้งยาก่อนอาหารและหลังอาหาร เพราะวันนี้แกไม่กินอาหารแล้ว เธอห่มผ้าให้ยายแล้วก็ไปนั่งประจำที่โต๊ะของเธอ

ยายคิดถึงภาพนายร้อยเอกหนุ่มที่มีเหรียญกล้าหาญเต็มหน้าอกอีกครั้ง..แกยิ้มอย่างภูมิใจแล้วก็หลับไป

แกตื่นขึ้นมาอีกครั้งตอนเช้าตรู่ ที่เก้าอี้ข้างเตียงมีคนนั่งอยู่แล้ว แกมองเห็นรางๆ และคิดว่าคงเป็นเจ้าหลานชาย แต่ทำไมมันจึงมาเช้านัก แกพยายามมองจากตาที่ฝ้าฟางเต็มที....ไม่ใช่เจ้าเด็กน้อยหลานแกดอก แต่เป็นภิกษุรูปหนึ่งนั่งอยู่ ! ท่านยิ้มให้ยาย แกเพ่งมองไปที่ภิกษุรูปนั้นและคิดว่าแกคงฝันไป พระที่ไหนจะมาเยี่ยมแก ?

ยายเอามือลูบแขนอีกข้างหนึ่งของตัวเอง แล้วก็ลูบหน้า ยายรู้สึกถึงสัมผัสนั้นได้ แกไม่ได้ฝันดอก ภาพที่เห็นเป็นภาพจริง ! ยายพยายามเพ่งมองอีกครั้ง ภิกษุที่แกเห็นนั้นคือคนคนเดียวกับที่แต่งเครื่องแบบนายร้อยเอกที่แกเห็นในฝันเมื่อวานนี้นั่นเอง ! ปีติซาบซ่านไปทั่วสายเลือดในตัวยายที่ไหลเอื่อยล้าเต็มที ยายพยายามยกมือทั้งสองขึ้นประนมที่หน้าอก แกพึมพำคำว่า "สาธุ " เบาแสนเบา และยิ้มอย่างมีความสุข...

พยาบาลเวรเช้าเดินดูคนไข้ไปเรื่อยๆ เธอหยุดชะงักเมื่อถึงเตียงยาย เธอเอามือแตะที่ข้อมือยายแล้วก็รีบเดินไปตามหมอ

หมอคนหนึ่งมาถึงเตียงยาย เขาค่อยๆยกมือของแกที่ประนมอยู่ที่หน้าอกออก เอาหูฟังกดลงไป ครู่เดียวก็ยกหูฟังขึ้นแล้วจับมือทั้งสองข้างของยายขึ้นประสานไว้บนหน้าอกอย่างเดิม ตาของยายปิดสนิทริมฝีปากยังมีรอยยิ้มละไม หมอคนนั้นคลี่ผ้าห่มที่คลุมอยู่ครึ่งตัวยายขึ้นไปคลุมหน้าของยาย !

ประตูห้องคนไข้รวมถูกเปิดออก คนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา วิ่งนำหน้าโดยเจ้าเด็กน้อย ตามมาด้วยแม่ของมันกับญาติคนอื่นๆ... แต่พวกเขามาช้าไปนิดหนึ่ง ไม่ทันที่ยายจะส่งมอบหลานชายคืนให้กับแม่ของมัน... O

เมื่อวันที่ : 02 ก.พ. 2548, 03.48 น.
ผู้อ่านที่รัก,
นิตยสารรายสะดวก และผู้เขียนยินดีรับฟังความคิดเห็นต่อข้อเขียนชิ้นนี้
เชิญคลิกแสดงความเห็นได้โดยอิสระ ขอขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ในการมีส่วนร่วมของท่านในครั้งนี้...