......คุณครูผู้หญิงคนนั้นไปหาเชือกกล้วยมาสองเส้น แล้วเอามาผูกร้อยเข้ากับหูกางเกงของเราสองคนคนละเส้น ! ผูกให้แทนเข็มขัด......


วันหนึ่งเมื่อคุณเดินเข้าไปในโรงเรียนเพื่อจะรับลูกชายวัยอนุบาลกลับบ้าน แต่กลับพบลูกน้อยของคุณโดนเด็กนักเรียนผู้ชายอีกคน เอาหินขว้างจนหัวแตก เลือดหยดลงเปื้อนเสื้อนักเรียนสีขาวเป็นดวงๆ ใกล้ๆกันนั้นเจ้าเด็กที่ทำหัวลูกคุณแตกยืนหน้าซีด ถูกครูจับตัวเอาไว้ คุณจะทำยังไงกับเจ้าเด็กผู้ชายคนนั้น เอาตัวไปส่งตำรวจ ให้โรงเรียนไล่ออก ให้เฆี่ยนสิบทีหน้าเสาธง ฟ้องร้องพ่อเด็กเรียกค่าทำขวัญ ?….. ถ้าคุณยังนึกคำตอบไม่ออก ฟังเรื่องของผมดูก่อน !

เมื่อตอนผมยังเด็กมากๆ แม่อยากให้ผมได้เรียนในโรงเรียนดีๆ (ความจริงแม่ใครๆ ก็อยากทำอย่างนี้กันทั้งนั้น) ตอนนั้นโรงเรียนที่ว่าดีและทันสมัยเฉียบจนใครๆ ก็อยากเอาลูกไปเข้าจนตัวสั่นนั้นคือ โรงเรียนที่ไม่มีการทำโทษเด็กด้วยการ "ตี" ซึ่งถือว่าป่าเถื่อนไร้อารยธรรม แล้วแม่ก็ทำสำเร็จโดยเอาผมไปฝากกับเพื่อนคนหนึ่งที่รู้จักกับครูในโรงเรียนอย่างที่ว่า

โรงเรียนที่ผมว่านี้ความจริงเป็นโรงเรียนผู้หญิง ครูโรงเรียนนี้เป็นผู้หญิงทั้งหมด เขารับเด็กผู้ชายอย่างผมเข้าไปร่วมเรียนเฉพาะชั้นอนุบาลเท่านั้น เมื่อจะขึ้นชั้นประถมก็ต้องออกไปหาที่เรียนที่อื่น โรงเรียนที่แสนน่ารักนี้เข้าเรียนแปดโมงเช้า พอสิบโมงก็หยุดพัก นักเรียนอนุบาลทุกคนต้องไปเข้าแถวรับกล้วยน้ำว้าคนละสองใบเอาไปกิน เที่ยงหยุดพักกินข้าวกลางวัน บ่ายโมงนักเรียนอนุบาลต้องเข้าห้องนอนกลางวัน บ่ายสองโมงตื่นขึ้นมาเรียนต่อ บ่ายสามโมงครึ่งเลิกเรียน นี่คือตารางเรียนของชั้นอนุบาล

เมื่อเรียนๆเล่นๆไปได้ไม่นาน ผมก็เริ่มมีประสบการณ์ในการถูกทำโทษแบบมี อารยธรรม เริ่มแรกก็คือตอนนอนกลางวัน ทางโรงเรียนมีเสื่อปูบนพื้นห้องนอนเป็นแถวเต็มไปหมด เสื่อผืนหนึ่งเด็กจะนอนกันสองคนมีหมอนกันคนละใบ

วันนั้นผมนอนไม่หลับ ก็เลยชวนเพื่อนร่วมเสื่อคุย คุยกันหลายเรื่องจนไปถึงเรื่องการเล่นว่าว แล้วจากการนอนคุยกันก็เป็นการเล่นกัน เราสองคนถอดเข็มขัดออกแล้วสมมติว่ามันเป็นว่าว หัวเข็มขัดเป็นตัวว่าว ส่วนสายเข็มขัดเป็นหางว่าว เราเอามือจับหัวเข็มขัดชูขึ้นแล้วเอาโฉบกันไปมาทั้งที่กำลังนอนอยู่ ให้เหมือนว่าวปักเป้าสองตัวกำลังคว้ากัน เล่นได้ไม่นานครูที่ดูแลห้องนอนก็เห็น เราถูกริบเข็มขัดไป และถูกกำชับว่าห้ามเล่นกันอีกในเวลานอนกลางวัน

ยังก่อน ! ขบวนการในการทำโทษยังไม่จบตรงแค่ถูกริบเข็มขัด คุณครูผู้หญิงที่น่ารักคนนั้นไปหาเชือกกล้วยมาสองเส้น แล้วเอามาร้อยเข้ากับหูกางเกงของเราทั้งสองคน คนละเส้น ! ผูกให้แทนเข็มขัดและห้ามเอาออกจนกว่าจะถึงเวลากลับบ้าน

เมื่อแม่มารับผมกลับบ้าน แม่ถามว่าเข็มขัดหายไปไหน ผมบอกไปตามตรงว่าถูกครูริบเพราะเอามาเล่นกันตอนนอนกลางวัน แม่ว่าดีแล้วทีหลังอย่าทำอีก ! ผมกับเพื่อนถูกริบเข็มขัดอยู่สองวันจึงได้คืน และในระหว่างสองวันนั้น ตอนเช้าครูจะเอาเชือกกล้วยเส้นเดิมมาผูกให้แทน ผมกับเพื่อนต้องเดินผูกเชือกกล้วยตากหน้าอยู่อีกถึง สองวัน

ไม่นานผมก็เห็นนักเรียนห้องอื่นถูกลงโทษบ้าง คุณครูเอาป้ายกระดาษแข็งผูกเชือกแขวนไว้ที่คอเด็กนักเรียน มีข้อความตัวโตเขียนไว้ว่า “ฉันเป็นคนขี้เกียจ” เด็กที่ถูกแขวนป้ายนี้จะเอาป้ายออกเองไม่ได้ จะต้องไปไหนมาไหนในโรงเรียนโดยมีป้ายเกียรติยศนี้ห้อยคอไปตลอด จนกว่าคุณครูจะเห็นสมควรให้เอาออกได้ ผมไม่รู้ว่าเด็กคนนั้นไปทำอะไรผิดจึงถูกเอาป้ายที่บอกว่าฉันเป็นคนขี้เกียจคล้องคอ ต่อมามีเด็กอีกหลายคนถูกแขวนป้ายนี้ และมีกันทุกวัน จนกระทั่งการถูกแขวนป้ายชักจะเป็นเรื่องธรรมดาไป

แล้วผมก็ได้รับประสบการณ์ที่สอง….นับตั้งแต่ผมเข้ามาเรียนที่นี่ ผมไม่เคยกินกล้วยน้ำว้าเลยเพราะผมไม่ชอบ ! แต่ก็ต้องถูกบังคับให้ไปเข้าแถวรับเอามาทุกๆวัน ทางออกที่เด็กอย่างผมคิดได้ก็คือเอาไปทิ้งถังขยะ !! ผมทำอย่างนี้เป็นเดือนๆ จนวันหนึ่งก็ถูกจับได้ คุณครูจับตัวผมไปยืนหน้าห้องเรียน บอกถึงความผิดของผมให้เพื่อนร่วมห้องฟัง แล้วป้ายกระดาษ “ฉันเป็นคนขี้เกียจ” ก็ถูกนำมาคล้องคอผมทั้งๆที่ผมทำผิดเพราะเอากล้วยไปทิ้ง

ผมมารู้ทีหลังว่าเขามีป้ายอย่างเดียวเท่านั้นสำหรับใช้ในการแขวนคอเด็ก ป้ายนี้เหมือนกับวัคซีนรวมที่ฉีดให้กับคนที่ถูกงูกัดโดยไม่รู้ว่าเป็นงูอะไร ผมต้องเดินไปไหนๆ โดยมีป้ายแขวนคออยู่หนึ่งวัน สำหรับการเอากล้วยของโรงเรียนไปทิ้ง

ยัง ! ยังมีทัณฑวิธี เอ๊ย ! การทำโทษที่รุนแรงกว่านี้ซึ่งครูโรงเรียนนี้คิดค้นขึ้นมาได้ คงเนื่องมาจากป้ายวัคซีนรวมที่ใช้อยู่ก่อนหน้านี้ดูธรรมดาๆไป จึงมีการประดิษฐ์คิดค้นวิธีทำโทษให้ทันสมัยขึ้น แต่ใช้กับเด็กนักเรียนชายเท่านั้น นั่นคือการเอากระโปรงนักเรียนผู้หญิง มานุ่งให้กับนักเรียนชายที่ทำผิดขั้นอุกฤษฏ์ เช่นเมื่อได้ถูกแขวนป้ายมาแล้วยังทำผิดอีก หรือเมื่อตอบคำถามครูไม่ได้เป็นครั้งที่สอง แต่ผมคิดว่าโทษของการจับนุ่งกระโปรงนี้ไม่ค่อยมีมาตรฐานเท่าใด ก็เหมือนกับที่เอาป้ายมาแขวนคอนั่นแหละ ดูจะเป็นแฟชั่นสำหรับคุณครูเสียมากกว่า คือพอห้องเรียนหนึ่งมีการจับนุ่งกระโปรง คุณครูห้องอื่นก็อยากทำบ้าง เพราะเบื่อการแขวนป้ายแล้ว และผมก็มีโอกาสได้เห็นปฏิบัติการการุญเทพนี้อย่างชัดเจน

วันนั้นเด็กชายร่วมห้องของผมคนหนึ่งทำผิด ถูกเรียกไปยืนหน้าห้องเรียน แล้วคุณครูก็เอากระโปรงนักเรียนหญิงมา พยายามจะสวมลงทางหัวเด็กคนนั้น เจ้านั่นไม่ยอมดิ้นสุดฤทธิ์ คุณครูไม่สามารถจะเอากระโปรงครอบหัวลงไปได้ จึงไปตามผู้คุม เอ๊ย ! คุณครูอีกห้องหนึ่งมาช่วยกัน คนหนึ่งจับตัวเด็กนั่นไว้แน่น อีกคนเอากระโปรงครอบลงไปทางหัวจนถึงเอว แล้วติดกิ๊บที่ขอบกระโปรงจนเรียบร้อย ปฏิบัติการนี้เป็นไปอย่างทุลักทุเลมาก เพราะเด็กคนนั้นสู้ยิบตา ทั้งดิ้น ทั้งเตะ ทั้งถีบแล้วยังแหกปากร้องไห้เสียดังไปแปดห้อง แต่น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ ! เด็กอนุบาลหรือจะสู้ครูถึงสองคนได้ …

ในที่สุดเจ้าเด็กคนนั้นก็หมดแรง ยืนนุ่งกระโปรงร้องไห้กระซิกอยู่ตรงมุมห้อง นักเรียนทั้งห้องระทึกขวัญไปกับเหตุการณ์ครั้งนี้มาก ! คุณครูที่มาช่วยเดินกลับไปห้องของเธออย่างภาคภูมิใจในความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ ส่วนคุณครูห้องผมก็สอนต่อไปด้วยใบหน้าอิ่มเอิบ กระแสแห่งอารยธรรมแผ่กระจายไปทั่วห้องเรียน !…เด็กที่ถูกจับนุ่งกระโปรงไม่ยอมออกจากห้องไปไหน เอาแต่ยืนร้องไห้อยู่จนเกือบโรงเรียนเลิก คุณครูจึงมาเอากระโปรงออก

แล้ววันหนึ่งผมก็ได้ประสบการณ์ที่สาม ผมจำไม่ได้ว่าทำอะไรผิดแต่ถูกคุณครูเรียกไปยืนหน้าห้อง แล้วคุณครูก็บอกกับนักเรียนในห้องว่าผมจะต้องถูกจับนุ่งกระโปรง ผมตกใจ ! นึกถึงภาพตัวเองนุ่งกระโปรงเหมือนอย่างเพื่อนคนนั้น แล้วก็รู้สึกว่าน่าทุเรศมาก ที่ผู้ชายนุ่งกระโปรง ! ครูคนไหนหนอเป็นต้นคิด ? ผมนึกถึงการต่อสู้ของเจ้าเพื่อนผมตอนถูกจับนุ่งกระโปรง แล้วก็สุดจะหวาดหวั่นถ้าผมจะต้องเป็นแบบนั้นด้วย

ตอนนั้นยังไม่มีสุภาษิตที่ว่า ลูกผู้ชายฆ่าได้-หยามไม่ได้ ผมจึงคิดในใจว่าถ้าสู้ไม่ได้ก็ยอมเสียดีกว่า ! ด้วยความคิดนี้ผมจึงยอมยืนนิ่งไม่ต่อสู้ และก็ได้ค้นพบสิ่งหนึ่งโดยบังเอิญ… ผมเห็นความผิดหวังฉายวับอยู่ในแววตาของผู้คุม เอ๊ย ! ของคุณครูประจำชั้นและครูอีกคนที่มาช่วยปฏิบัติการครั้งนี้ เมื่อผมยอมยืนนิ่งให้กระโปรงถูกสวมลงมาบนหัว โดยไม่มีปฏิกริยาใดๆ !

ผมยืนสงบอยู่หน้าชั้น เพื่อนๆในห้องต่างก็จ้องดูว่าจะมีการต่อสู้แบบเอาเป็นเอาตายอย่างเพื่อนคนก่อนหรือไม่ ตอนแรกเมื่อกระโปรงถูกครอบลงมาบนหัว ผมรู้สึกชาไปทั้งตัว พ่อกับแม่ผมจะรู้หรือเปล่าว่าผมกลายเป็นไอ้ตัวอะไรไปแล้ว ! แต่อาการนิ่งเฉยคล้าย กับทรนงของผมที่หน้าชั้นนั้น คงเหมือนนักโทษประหารบนตะแลงแกง ที่ไม่สะทกสะท้านกับเชือกซึ่งเพชรฆาตเอามาคล้องคอ การนิ่งของผมทำให้ครูไม่พอใจมาก ครูตะโกนบอกนักเรียนทั้งห้องว่าผมคือไอ้ผู้ร้ายใจแข็งที่ไม่เกรงกลัวอาญาแผ่นดิน ผมเริ่มสำนึกได้ชัดขึ้นอีกว่า ผมยิ่งนิ่งครูยิ่งผิดหวังในปฏิบัติการของเธอมากขึ้น การทำให้ครูผิดหวังได้ก็เหมือนกับผมได้แก้แค้น มันเป็นชัยชนะของผมก็ว่าได้ !….

โดยไม่รู้สึกตัว ความกล้าเริ่มเกิดขึ้นในตัวของผม มันเข้ามาแทนที่ความอับอายที่มีอยู่ตอนแรก ผมโปรยยิ้มให้เพื่อนในห้องทั้งๆ ที่กำลังนุ่งกระโปรง ! และหลังจากนั้นแทนที่ผมจะซุกตัวอยู่ในห้อง ไม่ยอมออกไปไหนอย่างเจ้าเพื่อนผู้ได้รับชะตากรรมคนก่อนทำ ผมกลับทำตัวปกติ ผมเดินไปกินข้าวกลางวันที่ห้องกินข้าว ผมเดินไปทุกแห่งที่ไปได้ ผมชนะแล้ว !! ผมสามารถทำให้คุณครูผิดหวังอย่างที่สุด

ชื่อเสียงของผมกระฉ่อนไปทั่วโรงเรียน และมันก็กระฉ่อนไปถึงบ้านด้วย ผมถูกพ่อกับแม่ถามว่าผมทำผิดอะไร แล้วทำไมไม่อาย ! ผมไม่อาจตอบให้พ่อกับแม่เข้าใจได้ว่าทำไมผมถึงไม่อาย ทำไมผมจะไม่อาย แต่มันยากเกินไปสำหรับผมที่จะอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองในวินาทีที่กระโปรงสรวมลงมาบนหัวผม พร้อมๆกับความผิดหวังที่ฉายอยู่ในแววตาของคุณครู

และก่อนปิดเทอมใหญ่ไม่นาน ผมก็ได้ก่ออาชญากรรมขึ้นอีกเรื่องหนึ่ง มันเป็นหน้าร้อนผมจำได้ เพราะต้นก้ามปูใหญ่ที่อยู่หน้าโรงเรียนมีฝักหล่นลงมาเกลื่อนพื้นไปหมด บ่ายวันนั้นขณะที่เด็กๆกำลังวิ่งเล่นกันใต้ต้นก้ามปู ใครคนหนึ่งก็เสนอการเล่นทำสงครามกันด้วยฝักก้ามปู แล้วเรา เด็กชายก็แบ่งกันออกเป็นสองข้าง เอาฝักก้ามปูขว้างเข้าใส่กันอย่าง ดุเดือด เมื่อฝักก้ามปูของฝ่ายตรงข้ามโดนตัวหรือหัวมันจะมีเสียงดัง “ปุ๊” ก็แค่เจ็บนิดๆ เสียงฝักก้ามปูกระทบตัวของแต่ละฝ่าย ดังปุ๊ๆ สนุกชะมัด !

สงครามฝักก้ามปูดำเนินไปได้พักใหญ่ กระสุนก็เริ่มขาดแคลน ฝักก้ามปูที่เคยเกลื่อนอยู่ที่เท้าค่อยๆ ร่อยหรอลงเพราะถูกขว้างกระจัดกระจายไปหมด ผมก้มลงไปที่พื้นจะหยิบฝักก้ามปูขึ้นมาทำสงครามต่อ แต่ตรงนั้นไม่มีฝักก้ามปูเหลืออยู่เลย มือผมควานไปพบหินก้อนหนึ่งขนาดเท่าหัวแม่มือ “อันนี้ก็น่าจะใช้ได้” ผมคิด ! แล้วผมก็ขว้างหินก้อนนั้นไปยังฝ่ายตรงข้ามทันที เมื่อมองตามก้อนหินไปก็เห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งยกมือขึ้นกุมหัวแล้วร้องไห้แงดังลั่น มันเหมือนกับสัญญาณหวอที่เปิดขึ้นเพื่อบอกว่าสงครามเลิกแล้ว ! เด็กทั้งสองฝ่ายหยุดขว้างปากันทันที

ครูคนหนึ่งที่คอยดูแลอยู่แถวนั้นรีบเข้าไปดูเด็กที่ถูกกระสุนจริงในขณะซ้อมรบ เพื่อนร่วมสมรภูมิพากันชี้มือมาที่ผม แล้วครูอีกคนคือคนที่จับผมนุ่งกระโปรงนั่นแหละ! ก็ปรี่เข้ามาควบคุมตัวผมไว้ทันที เพื่อนที่ถูกกระสุนจริงของผมหัวแตก มีเลือดไหลออกมาและถูกพาไปห้องพักครูเพื่อใส่ยา ส่วนผมถูกนำตัวมาห้องครูใหญ่เพื่อการสอบสวน ผมตกใจและรู้สึกเสียใจมากๆ สงสารเพื่อนคนนั้นแล้วก็กลัวสิ่งที่ผมได้ทำไปมากด้วย เรื่องเลวร้ายกว่าที่ผมคิด เพราะว่าเจ้าเพื่อนคนนั้นดันเป็นหลานชายแท้ๆ ของครูใหญ่เสียด้วย !

ผมถูกสอบสวนอย่างเคร่งเครียดต่อหน้าครูใหญ่ โดยครูที่เคยแพ้ใจผมมาแล้วเมื่อตอนจับผมนุ่งกระโปรง แม้ว่าผมจะรับสารภาพตลอดข้อหา แต่ก็ดูจะไม่มีความปรานีใดๆทั้งสิ้น และในคำบรรยายฟ้องก็คือ การที่ผมบังอาจเอาหินขว้างหัวหลานชายครูใหญ่จนแตกนั้นชั่วร้ายยิ่งนัก ถือว่าเป็นอนันตริยกรรมของเด็กอนุบาลทีเดียว !

“เธอจะต้องถูกไล่ออกจากโรงเรียนโดยไม่ได้ใบรับรอง” คุณครูผู้บรรยายฟ้องเปลี่ยนหน้าที่จากอัยการมาทำหน้าที่ผู้พิพากษาตัดสินผมทันที แล้วคุณครูก็เปลี่ยนบทจากผู้พิพากษามาเป็นหมอดูอีก !...เธอพยากรณ์ต่อไปว่าคนที่ถูกไล่ออกจากโรงเรียนนั้นเหมือนกับตายทั้งเป็น จะไปเข้าเรียนต่อที่ไหนไม่ได้ทั้งสิ้น และอนาคตที่ค่อนข้างแน่นอนของผมก็คือต้องเป็นคนขี่สามล้อ ! หรือแย่กว่านั้นก็ต้องไปเป็นโจร !!

เมื่อก่อนหน้านี้ผมไม่เคยนึกกลัวการเป็นคนขี่สามล้อเลย เพราะบางวันแดดร้อนจัด เมื่อแม่มารับผมกลับบ้านแม่จะเรียกรถสามล้อมารับ ผมชอบนั่งรถสามล้อมาก แถมยังนึกอยากเป็นคนขี่สามล้อด้วยซ้ำไป ! ส่วนการเป็นโจรเมื่อก่อนผมก็ชอบ เพราะเวลาเราเล่น “โปลิศจับขโมย” กันไม่มีใครอยากเล่นเป็นโปลิศ อยากเป็นขโมยกันทั้งนั้น ขโมยกับโจรมันก็ไอ้เหมือนกัน…..แต่มาถึงตอนนี้ผมกลับกลัวมาก ผมไม่อยากถูกไล่ออก ไม่อยากเป็นคน ขี่สามล้อ และไม่อยากเป็นโจรด้วย !

“แต่เอาเถอะ ทางโรงเรียนจะอภัยโทษไว้ก่อน” คุณครูที่เล่นบทหมอดูเมื่อตะกี้กลับ มาเล่นบทผู้พิพากษาอีกครั้ง โดยกลับใจลดโทษประหารให้ผม

"เธอจะต้องทำหนังสือรับสารภาพไว้เป็นหลักฐาน คราวนี้ถ้าทำผิดอะไรนิดเดียวต้องถูกไล่ออกแน่ " นี่คือการรอการลงอาญาของผม คุณครูไปเอากระดาษมาใบหนึ่ง แล้วเขียนบรรยายความผิดของผมลงไป โดยผมไม่รู้ว่าเขียนว่ายังไงบ้างเพราะผมก็ยังอ่านหนังสือไม่ค่อยออก เสร็จแล้วก็ให้ผมลงชื่อไว้เป็นหลักฐาน

“หนังสือสารภาพนี้จะต้องเก็บไว้ในตู้เซฟของโรงเรียนเพื่อป้องกันเธอมาขโมยไป " คุณครูบอก เกิดมาผมก็เพิ่งได้ยินคำว่า “ตู้เซฟ” วันนี้แหละ มันเป็นอย่างไรหนอ !

ผมเดินออกมาจากห้องครูใหญ่อย่างผู้แพ้ ผมกลัวมาก ! กลัวมากกว่าการถูกลงโทษที่แล้วมาทุกๆครั้งรวมกัน การถูกผูกเชือกกล้วย การถูกแขวนป้าย รวมทั้งการถูกจับนุ่งกระโปรงนั้น ถ้าทำเป็นไม่อายเสียอย่างมันก็แค่นั้น แต่การถูกไล่ออกแล้วไม่มีที่เรียนอีก น่ากลัวกว่ามาก ผมจะทำอะไรตอนกลางวันถ้าไม่ไปโรงเรียน สามล้อผมก็ยังขี่ไม่ได้เพราะตัวยังเล็กเกินไป ส่วนการ เป็นโจร อย่างที่ครูว่าจะต้องทำอย่างไรผมนึกไม่ออก คงไม่เหมือนกับเป็นขโมยในการเล่นโปลิศจับขโมยแน่ เพราะนั่นมันสนุกจะตาย

ผมไม่เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ใครฟังเลยแม้แต่พ่อกับแม่ มันน่ากลัวเกินไป เย็นวันนั้นผมเกือบไม่กินข้าวและไม่พูดคุยกับพ่ออย่างทุกวันจนแม่ถาม เพื่อไม่ให้ดูผิดปกติผมต้องคุยบ้าง แล้วผมก็นึกอะไรขึ้นมาได้ “หนังสือสารภาพนี้จะต้องถูกเก็บไว้ในตู้เซฟของโรงเรียน….” ผมรีบถามพ่อทันทีว่าตู้เซฟนั้นเป็นอย่างไร บ้านเรามีหรือไม่ ? พ่ออธิบายลักษณะตู้เซฟให้ผมฟัง แล้วว่าบ้านเราไม่มีหรอกเพราะไม่มีอะไรสำคัญพอที่จะเก็บ

รุ่งขึ้นเมื่อผมไปทัณฑสถานเด็ก เอ๊ย ! ไปโรงเรียน ผมจะใช้เวลาทุกนาทีของตอนพักไปป้วนเปี้ยนอยู่แถวๆหน้าห้องครูใหญ่ ผมไม่ยอมกินขนมของว่าง และรีบกินข้าวกลางวันเร็วที่สุด ผมไปหาตู้เซฟ ! ผมกำลังจะทำการใหญ่ ผมจะต้องหาทางเอาหนังสือสารภาพคืนมาให้ได้ โอกาสที่ผมจะทำผิดอะไรก็ได้มีทุกนาทีอยู่แล้ว แต่อีกหลายวันต่อมาแม้จะใช้ความพยายามเพียงใด ผมก็ยังไม่เคยเห็นตู้เซฟของโรงเรียนเลย ผมไม่เล่นกับใครและกินข้าวแต่ละมื้อน้อยมาก ผมคงดูซูบลงไปจนแม่เอ่ยปากกับพ่อ

บ่ายวันหนึ่ง เมื่อแม่มารับผมกลับบ้าน ผมเห็นครูใหญ่กวักมือเรียกแม่เข้าไปในห้อง แม่เดินเข้าไปในห้องครูใหญ่ ! สักครู่ก็กลับออกมา ในมือแม่มีกระดาษอยู่ใบหนึ่ง แล้วแม่ก็บอกกับผมว่า

“พรุ่งนี้ลูกไม่ต้องมาโรงเรียนอีกแล้ว” ผมใจหายวูบ ! คุณครูที่อภัยโทษให้ผมคงจะเปลี่ยนใจเสียแล้ว… ภาพเลวร้ายวิ่งเข้าสู่สมองของผมอีกครั้ง…ไม่มีที่เรียน…
ขี่สามล้อ !…เป็นโจร !!… แล้วแม่ก็พูดต่อไป

" โรงเรียนหยุดเทอมแล้ว ลูกเรียนจบชั้นอนุบาล เปิดเทอมหน้าลูกจะได้ไปอยู่โรงเรียนใหม่ ได้ขึ้นชั้นปอหนึ่ง " …..O

เมื่อวันที่ : 28 ม.ค. 2548, 07.04 น.
ผู้อ่านที่รัก,
นิตยสารรายสะดวก และผู้เขียนยินดีรับฟังความคิดเห็นต่อข้อเขียนชิ้นนี้
เชิญคลิกแสดงความเห็นได้โดยอิสระ ขอขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ในการมีส่วนร่วมของท่านในครั้งนี้...