![]() |
![]() |
ลิขิตมา![]() |
เสียงไอแค่ก!...ๆ ของคนที่นั่งม้วนยาสูบอยู่บริเวณชานเรือนทำให้ฉันหันไปมองอีกฝ่ายอย่างเสียไม่ได้ ภาพชายชราศีรษะขาวโพลนผมเกรียนสั้น ผอมโกร่ง สวมเพียงกางเกงขาก๊วยเก่าเก็บโดยปล่อยให้ร่างกายท่อนบนเปล่าเปลื่อยตรงหน้าทำให้ความคิดของฉันหวนกลับไปยังภาพในอดีตอีกครั้งทั้งที่พยายามอย่างที่สุดที่จะลืมมันไปซะ!...
ฉันยังก้มหน้าก้มตาจัดการเย็บเสื้อทำงานมอซอสีตุ่นซึ่งถูกเย็บซ้ำรอยเดิมมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนท่าม กลางแสงไฟที่ริบหรี่ของค่ำคืนขณะที่สมองก็คิดไปเรื่อย...
ฉันยังจำแววตาที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสมหวัง และความสุขล้นคู่นั้นของพ่อได้เป็นอย่างดี แววตาสุกใสคู่นั้นอีกทั้งใบหน้ากร้านแดดที่เต็มไปด้วยความปลื้มปิติในตัวฉัน และพี่ชายมันช่างดูราวกับโลกทั้งโลกได้มาอยู่ในมือของพ่อแล้วขณะนั้นโดยไม่ได้นึกถึงวิถีชีวิตของมนุษย์ในปัจจุบัน และกระแสแห่งความเปลี่ยนแปลงซึ่งเกิดขึ้นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนั้นเลยแม้แต่น้อยนิด...!
"ไม่อยากเรียนแล้วล่ะสงสารพ่อ..." ฉันเคยเอ่ยปากบอกกับพี่ชายด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์ของเด็กหญิงคนหนึ่งซึ่งมีความคิดอยากจะช่วยผู้เป็นพ่อแบ่งเบาภาระ และคำตอบจากปากเขาก็ทำให้ฉันได้คิด... คิดว่าคำพูดที่ใครต่อใครเฝ้าพร่ำบอกอยู่เสมอว่า
"ถ้าขยันเรียนจนจบจะมีงานทำพ่อก็จะสบาย..." สักวันมันคงจะเป็นจริงขึ้นมาได้...
ด้วยสติปัญญาอันน้อยนิด และการมองโลกในแง่ดีของฉันมันทำให้ฉันวาดหวังไว้เช่นนั้นเสมอมา ตั้งใจเรียน นั่นคือสิ่งที่ฉันพอจะทำได้ ฉันไม่เคยเกเรหนีเที่ยว หรือแม้แต่โดดเรียนเพราะนึกถึงแต่ใบหน้าคล้ำที่เต็มไปด้วยหยาดเหงื่อท่ามกลางกระไอแดดที่แผดเผาของพ่อเท่านั้นซึ่งพี่ชายของฉันก็ไม่ได้คิดต่างไปจากฉันเลย...
ฉัน และพี่ชายละทิ้งกิจกรรม และความสนุกสนานต่าง ๆ แม้เพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่วัยรุ่นต่างฝักใฝ่ และชื่นชอบเพียงเพื่อคำว่า ประหยัด ด้วยความที่มันเป็นสิ่งเดียวที่เราทั้งสองจะทำได้เพื่อผ่อนภาระอันหนักอึ้งให้กรรมกรหาเช้ากินค่ำผู้อยากส่งเสียให้ลูกได้ร่ำเรียนจนจบระดับปริญญาอย่างพ่อฉัน และแม้ฉันในวันนี้จะนึกถึงชีวิตในช่วงเวลานั้นอย่างเสียดายที่ได้ใช้มันไปอย่างเปล่าประโยชน์ไม่สมกับวัยของตนแต่หากย้อนเวลากลับมาได้ฉันก็ไม่อาจจะเลือกเดินทางอื่นใดได้อีกนอกจากที่ได้เลือกเอาไว้นั้นเป็นแน่...
และแล้ว...วันที่พ่อยิ้มได้อย่างภาคภูมิก็มาถึง ชุดครุยที่งามสง่าถูกสวมใส่อยู่บนตัวของฉัน และพี่ชายในวันรับพระราชทานปริญญาบัตร ฉันบอกพ่อแล้วว่าเราไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองไปกับการเดินทางไปรับพระราชทานปริญญาบัตรครั้งนี้ก็ได้แต่พ่อก็ยืนยันพร้อมกับให้เหตุผลว่า
"ทุกคนเรียนมาก็เพื่อวันนี้ทั้งนั้น!..." แต่พ่อไม่รู้เลยว่านั่นไม่ใช่จุดหมายที่แท้จริง พ่อไม่รู้เลยว่านั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของชีวิตเท่านั้น และฉันซึ่งมีดีกรีเป็นถึงบัณฑิตก็ไม่มีสติปัญญามากพอที่จะมองเห็นได้ว่านั่นเป็นเพียงฉากแรกของการต่อสู้บนถนนชีวิตซึ่งไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบที่ทอดยาวรอฉันอยู่เบื้องหน้าแล้วขณะนี้...
ฉัน และพี่ชายเที่ยวหางานให้ควักแต่ก็ไร้ผล...ในขณะที่พ่อยังคงทำงานเป็นกรรมกรหาเลี้ยงลูกซึ่งจบปริญญาตรีถึงสองคนอยู่เช่นเดิมไม่แตกต่างจากก่อนหน้านี้เลยแม้แต่น้อย... ไม่แตกต่างเลยจริง ๆ แต่นี่ยังไม่ใช่บทสรุปของความพยายามอันเปล่าประโยชน์ของพ่อเพราะมันเจ็บลึก!... และร้ายกาจยิ่งกว่านี้อีกหลายเท่านัก
ปีต่อมา ฉัน และพี่ชายได้งานเป็นลูกจ้างชั่วคราวซึ่งมันก็สมกับชื่อว่าชั่วคราวจริง ๆ เพราะปีถัดมาเรากลับมาตกงานอีกครั้ง ครั้งนี้เราทั้งสองหันมาจับงานจับกังเหมือนที่พ่อทำ
ใช่!...งานกรรมกรแบกหาม ก็จะมีอะไรให้ทำที่ดีไปกว่านี้อีกล่ะในสภาพสังคมยุคนี้ ในระหว่างนี้ฉันได้พบกับเพื่อนคนหนึ่งซึ่งฉันจำได้ว่าเขาเป็นลูกผู้กว้างขวางคนหนึ่งของอำเภอน่าแปลกที่เขาได้งานที่ดีในสถานที่ราชการแห่งหนึ่งทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาทั้งเกเร และสอบตกหลายวิชากว่าจะจบออกมาได้ก็เรียนซ้ำชั้นอยู่เกือบปี น่าสมเพช!... เปล่าเลยฉันไม่ได้สมเพชใครอื่น หรือเขาผู้ซึ่งเป็นเพื่อนฉันคนนั้น หรือแม้แต่หน่วยงานที่รับเขาเข้าทำงานแม้แต่นิดเดียวเพียงแต่ว่าฉันสมเพชตัวเองต่างหากเล่า...
ขณะที่เราคือฉัน และพี่ชายกำลังเริ่มชินกับงานแบกหามหนัก ๆ เหล่านั้นจู่ ๆ ก็มีข่าวเกี่ยวกับการสอบบรรจุข้าราชการพลเรือนแว่วมาซึ่งวุฒิการศึกษาของฉัน และพี่ชายสามารถเข้าสมัครสอบได้ และนี่เองจึงทำให้เราตัดสินใจไปสมัครสอบซึ่งพ่อก็เห็นดีด้วยอย่างยิ่งพร้อมกับรับอาสาทำงานทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นงานทำความสะอาดบ้านหุงหาอาหารทั้งที่ตัวเองก็ตรากตร่ำงานหนักมาทั้งวันโดยให้เราตั้งใจอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบด้วยความหวังอันเรืองรองที่กำลังทอแสงรอเราทั้งสามอยู่เบื้องหน้า แต่อนิจจา!... ทุกอย่างมักไม่ได้เป็นไปตามที่เราคิดหรือคาดหวังเสมอไป...
เพราะความแก่ชรา และต้องทำงานหนักทำให้พ่อทรุดป่วยจนถึงขั้นล้มหมอนนอนเสื่อ งานบ้านทุกอย่างก็ขาดคนทำแต่นั่นไม่เท่ากับการที่พ่อขาดงานกรรมกรมาแล้วหลายวันเพราะนั่นมันหมายถึงค่ากับข้าว และค่าอะไรต่อมิอะไรอีกมากมายที่ต้องใช้จ่ายในบ้านนั่นเอง...
ฉันมองเห็นปัญหา และทางแก้ พี่ชายฉันเองก็เช่นกันเขารู้ว่าทางออกคืออะไร... เรา!...คนใดคนหนึ่งจะต้องออกไปทำงาน ฉันโกรธเกลียดชิงชังชะตาชีวิต และคับแค้นใจเป็นที่สุด ทำไม... ทำไมมันต้องเป็นอย่างนี้ด้วย... ฉันเฝ้าแต่ก่นด่าโชควาสนาที่วิ่งมาปะทะกับเรือชีวิตอันทรุดโทรมของตัวเอง ความนิ่งเงียบของพี่ชายที่ดูเหมือนจะไม่ยอมรับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ฉันเหลือจะทน ฉันไม่อาจเมินเฉยต่อบทสรุปที่รอท่าอยู่เบื้องหน้าได้อีกต่อไปแล้วแม้ว่าฉันอยากจะหลบหลี้หนีหายไปสักเพียงใดก็ตาม!... ต้องมีใครสักคนออกไปทำงาน!... ในที่สุดฉันตัดสินใจเลือกที่จะยุติความอึดอัดนี้ด้วยตัวฉันเอง...
"ฉันจะเป็นคนไปทำงานแทนพ่อเอง..."
คำพูดของฉันวันนั้นทำให้ทุกอย่างลงตัว ฉันออกไปทำงาน และดูแลพ่อรวมทั้งจัดการเรื่องงานบ้านทั้งหมด ส่วนพี่ชายก็ตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือต่อไป ความรู้สึกของฉันนานวันเริ่มปรับเปลี่ยน และสงบลงพร้อม ๆ กับยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นได้บ้างแล้วหันไปตั้งความหวังกับพี่ชาย ใช่... อย่างน้อยถ้าเขาสอบได้ชีวิตเราคงจะดีขึ้น...
และแล้ววันประกาศผลก็มาถึง ฉันสอบติดในลำดับของผู้ที่รอเรียกบรรจุรอบถัดไปซึ่งมันดูเลือนลางเต็มทน แต่นั่นไม่เป็นไรในเมื่อเรามีคนที่เป็นตัวแทนความหวังของเราอยู่แล้วทั้งคน ใช่!... เขาสอบติดได้บรรจุเข้ารับราชการทันทีโดยไม่ต้องใช้เส้นสายใด ๆ เลยสักนิดเดียว พ่อผู้ชราภาพของฉันถึงกับน้ำตาเอ่อซึมด้วยความยินดีที่พี่ชายของฉันสอบติด แต่สำหรับฉันนั้นกลับรู้สึกต่างกันโดยสิ้นเชิงกับแกด้วยเจ้าความน้อยเนื้อต่ำใจที่มันเพิ่งหายไปได้ไม่นานนั้นมันได้หวนกลับคืนมาอีกแล้วขณะนี้... ร้าวลึกสุดหยั่งทีเดียวเชียวล่ะ... แต่ก็เป็นเพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้นแล้วเวลาก็ได้ทำลายความรู้สึกนั้นไปจากฉันจนสิ้นเหมือนที่มันได้ทำลายความตั้งใจของคน ๆ หนึ่งไปอย่างง่ายดายไม่มีเหลือแม้แต่สายใยแต่หนหลัง...
แล้วบทสุดท้ายก็มาถึง... พี่ชายฉันบรรจุเข้ารับราชการ และได้ทดลองงานอยู่ 1 ปีเงินเดือนของเขาถึงตกเบิกมาซึ่งในระหว่างนั้น ฉัน และพ่อต้องทำงานหาเงินมาให้เขาใช้จ่ายทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นค่าเสื้อผ้าค่าอาหาร พี่ชายส่งเงินมาให้เราใช้จ่ายเดือนละหนึ่ง 1,000 บาท ทั้งที่เงินเดือนขั้นต่ำของเขาตกราว 6,000 บาท จู่ ๆ คำพูดของเขาในวันแรกที่รู้ข่าวการเรียกบรรจุก็ผุดขึ้นมาในความคิดคำนึงของฉันอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเมื่อนึกมาถึงจุดนี้
"ผมจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในบ้านเอง จะไม่ให้พ่อ และน้องต้องลำบากอีกแล้ว!..."
เขาพูดใบหน้าเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นท่ามกลางความตื้นตันใจของพ่อในวันนั้น แต่อนิจจาใครเลยจะรู้ว่าเวลานี้กระแสแห่งสังคม และกาลเวลาได้ทำลายความมุ่งมั่นอันนั้นของเขาไปเสียสิ้นแล้ว เขาได้ย้ายไปอยู่บ้านพักที่หน่วยงานจัดให้ทิ้งพ่อ และน้องเอาไว้เบื้องหลังมีเพียงเงิน 1,000 บาทเท่านั้นที่ส่งมาให้ใช้จ่ายแต่ละเดือนซึ่งมันไม่พอแม้แต่ค่าเช่าบ้านที่ใช้ซุกหัวนอนอยู่ขณะนี้เลย...
ฉันจัดการพับเสื้อสีหม่นฝุ่นเขรอะในมือเก็บไว้ก่อนจะหันไปมองที่พ่อซึ่งยังนั่งอยู่ที่เดิมสายตาเหม่อมองออกไปไกลอย่างไร้จุดหมาย ฉันอดที่จะถามอย่างตัดพ้อกับแกอย่างเช่นที่ทำอยู่เป็นประจำแทบทุกวันไม่ได้ว่า
"ทำไมเขาถึงได้เปลี่ยนไปมากมายขนาดนี้?"
พ่อละสายตาจากภาพตึกสูงระฟ้าตรงหน้าหันมามองตอบฉันด้วยใบหน้าเรียบสนิทจนฉันอ่านไม่ออกว่าแกคิดอะไรอยู่แต่แววตาฝ้าฟางคู่นั้นกลับวาววาม และเต็มไปด้วยหยาดน้ำตาแห่งความสิ้นหวังจนฉันใจหาย พ่อคงจะรู้ว่าฉันหมายถึงใครแกจึงบอกออกมาว่า
"คนเรามีสิทธิ์เลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง สงสารก็แต่เอ็งนั่นแหละไอ้น้อยที่ต้องมาจมปลักอยู่กับข้า.."
พ่อถอนใจยาวเหยียดน้ำเสียงที่เอ่ยออกมาแปร่งปร่าก่อนจะลุกเดินไปยังเตียงไม้ผุ ๆ และมุดหายเข้าไปในมุ้งเก่าเก็บสีกาแฟนั้นทิ้งฉันเอาไว้กับความน้อยเนื้อต่ำใจพร้อมด้วยก้อนสะอื้นที่กำลังวิ่งแล่นขึ้นมาจุกอยู่ที่ลำคอจนแทบหายใจหายคอไม่ออกพร้อมด้วยภาพในอดีตที่เป็นความพยายามอันไร้ค่าหาประโยชน์ตอบแทนทางใจเพียงน้อยนิดไม่ได้นั้นเพียงลำพัง...!!!
เมื่อวันที่ : 22 ธ.ค. 2547, 16.59 น.
ผู้อ่านที่รัก,
นิตยสารรายสะดวก และผู้เขียนยินดีรับฟังความคิดเห็นต่อข้อเขียนชิ้นนี้
เชิญคลิกแสดงความเห็นได้โดยอิสระ ขอขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ในการมีส่วนร่วมของท่านในครั้งนี้...