![]() |
![]() |
เปิดฟ้า ก้องหล้า![]() |
...ศาลออกนั่งบัลลังก์พร้อมด้วยลูกขุน มีฝ่ายโจทก์และฝ่ายจำเลยพร้อมด้วยทนาย อัยการและเจ้าหน้าที่ตำรวจ เมื่อถึงเวลากำหนดการพิพากษาตัด...
ศาลออกนั่งบัลลังก์พร้อมด้วยลูกขุน มีฝ่ายโจทก์และฝ่ายจำเลยพร้อมด้วยทนาย อัยการและเจ้าหน้าที่ตำรวจ เมื่อถึงเวลากำหนดการพิพากษาตัดสินคดี ผู้พิพากษา ผู้ช่วยพิพากษาได้ออกนั่งบัลลังก์ และได้อ่านคำพิพากษาให้จำเลยต้องถูกจำคุกในฐานะที่ปล้นขโมย เป็นเวลา 10 ปี ทุกคนน้อมรับด้วยความยินดี คือยืนขึ้นทำความเคารพต่อศาลทองถึงกับเข่าอ่อนด้วยความรู้สึกเสียใจเพราะความผิดครั้งนี้มันเกิดขึ้นจากที่บิดา -- มารดาขัดแย้งกัน และพ่อตามใจลูกจนเกินเลย เหมือนกับคำที่กล่าวว่า "พ่อแม่รังแกฉัน"
พ่อเข้ามาเดินมองอยู่ใกล้พร้อมจับไหล่ ส่วนแม่นั้นกอดลูกชายจนแทบจะขาดใจพร้อมด้วยร่ำไห้เป็นวรรคเป็นเวร
"พ่อเสียใจนะลูกที่เป็นอย่างนี้"
"พ่อไม่ควรเสียใจ กับลูกหรอก พ่อควรเสียใจให้กับตัวของพ่อเองต่างหากที่ปล่อยให้ลูกเป็นอย่างนี้มาจนโตแล้ว ยากที่จะแก้ไขได้ ถ้าหากว่าพ่อได้ตักเตือนแก้ไขลูก ดั่งที่ว่า ตัดไฟต้นลมเสียแต่ตนยังเล็ก ๆ แล้วเรื่องอย่างนี้คงจะไม่เกิดขึ้น
"ทำไมหรือ จึงไปโทษพ่อโทษแม่ละเธอ" สามัญสำนึกของทองเองทัดทานขึ้นในใจของตนเอง
"ใช่ ถ้าพ่อแม่ห้ามฉันในขณะนั้น คงจะไม่มีเหตุการณ์อย่างนี้"
"แล้วพ่อแม่ท่านผิดอย่างไรหรือเธอ"
" พ่อเป็นข้าราชการ เป็นผู้นำของสังคมในขณะนั้นท่านทำงานราชการสัปดาห์ละ 5 วัน คือวันจันทร์ถึงศุกร์ ท่านเริ่มงานตั้งแต่เวลา 07.00 น. เป็นประจำ
ตอนเย็นพ่อท่านต้องไปสนุกสมาคมกับเพื่อน ๆ ข้าราชการที่ทำงานด้วยกันและลูกน้องบางคน โดยการดื่มเหล้าเมายาสนุกกับกีฬาบางอย่าง เช่น เปตอง เตะตะกร้อ
พ่อกลับบ้าน 3 ทุ่ม 4 ทุ่ม ซึ่งเป็นเวลาใกล้ดึกเกินไปสำหรับเด็กนักเรียนเล็ก ๆ บางอาทิตย์ไม่ได้พบพ่อ ไม่ได้พูดคุยกับพ่อเลยสักครั้ง เป็นธรรมดาของผู้ที่กลับบ้านดึก ๆ ต้องนอนตื่นสาย โดยเฉพาะงานเอกชนเป็นธุรกิจส่วนตัว เช่น ทำนา ปลูกผัก ทำไร่ คุณพ่อก็เช่นกันกำลังเพลิดเพลินอยู่กับเพื่อน ๆ จนลืมนึกถึงลูก และยังนอนตื่นสายด้วย
บางวันทองอุตส่าห์คอยเพื่อจะได้พบพ่อบ้าง แต่คอยจนใกล้จะถึงเวลาเข้าแถวเคารพธงชาติ ทองจึงต้องไปเข้าแถวเคารพธงชาติหน้าเสาธงก่อน โอกาสที่จะได้พบพ่อก็หมดไป
ส่วนแม่นั้นมีอาชีพเป็นครู เมื่อกลับมาถึงบ้านก็ทำงาน ซักเสื้อผ้า นำงานนักเรียนมาอ่านตรวจแก้
" แม่มีนิสัยอย่างหนึ่งที่ลูกไม่ชอบเลย คือ แม่เป็นคนขี้บ่น เห็นอะไรพบอะไร ท่านจะพูดทุกอย่าง ทุกอย่างเป็นเรื่องของท่าน ท่านจะเข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ แต่เรื่องการอาบน้ำแปรงฟัน จิปาฐะ ซึ่งทองเองมีความรำคาญไม่อยากเข้าใกล้ ไม่อยากฟังท่านพูดเลย ซึ่งบางครั้งท่านพูดวกไปเวียนมา คือพูดแล้วหาจุดจบหรือทางลงไม่ได้
ครั้งแรกทองพบปากกาอย่างดีสีสันเรียบดีมาเล่มหนึ่ง ผมตั้งไม้ทับหนังสือเพื่อจะนำไปมอบครูในวันรุ่งขึ้น เพื่อจะได้เป็นแบบอย่างที่ดีของผู้อื่น ครูและเพื่อนจะได้ชมชอบและปฏิบัติตามเป็นตัวอย่างกัน
แต่แม่ไม่ยอมให้เอาไปมอบ เพราะเป็นของราคาแพง ลูกไม่รับไว้ แม่จะเก็บไว้ใช้เอง เขียนลื่นดีเขียนได้ เยี่ยมและสวย
"แม่จะไม่คืนเจ้าของหรือ"
"ไม่ต้องคืน คนที่ซื้อปากกานี้ จะต้องเป็นคนร่ำรวยมีเงินทองมาก ๆ ของเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ คงจะไม่เป็นอะไรหรอก เล็กน้อยนิดเดียว เขาคงจะไม่เสียดายหรอกนะ"
"แต่... แม่ครับ ครูบอกว่า ของ ๆ ใครเขาก็รักก็ห่วง กว่าเขาได้ซื้อ แม้เป็นสมบัติของตนเอง คงจะต้องใช้เงินจำนวนมาก และใช้พลังส่วนตัวให้ทรัพย์เหล่านั้นกลายมาเป็นทรัพย์ส่วนตัวไม่ได้"
"ลูกเอ่ยอย่าโง่เลย เงินจำนวนนั้นกว่าจะหาได้ ยากเย็นแสนลำบากอย่างนั้นก็ได้ เอาให้แม่ก็แล้วกัน ปากกาพบมา 1 ด้าม ส่วนผมไม่รับเอาของเหล่านั้นมาใช้หรอก"
"ลูกเริ่มคล้อยตามความเห็นของพ่อแม่ บางครั้งเมื่อพบของทองไม่มอบให้ครู ถ้าของนั้นราคามาก ๆ รู้สึกว่ามันได้มาอย่างไม่น่าภาคภูมิยิ่ง เป็นเรื่องปกติ"
"ทองมีเพื่อนเป็นลูกของข้าราชการ เป็นลูกของนางพยาบาลบ้าง เป็นครูของครูบ้าง เป็นลูกของตำรวจบ้าง จึงรวมกันเป็นกลุ่ม เป็นกลุ่มที่ชอบรังแกผู้อื่น
"มึงอย่าไปกลัวมัน พ่อมันเป็นชาวบ้าน เราพ่อเป็นตำรวจ เป็นผู้ดี มีความรู้ มีความเจริญ เรายอมใครไม่ได้"
"พ่อเราเป็นนายอำเภอ ปกครองพ่อแม่ของมันอยู่แล้ว เราก็ต้องปกครองพวกมัน พวกมันจะต้องอยู่ภายใต้อำนาจของพวกเรา เราจะต้องบังคับมัน"
"ใช่เราจะให้พวกมันกลัวเรา"
แต่ เราอย่าไปคิดร้ายกับพวกนั้นเลย พ่อบอกว่าทุกคนมีอิสรเสรีภาพตามที่รัฐธรรมนูญ กำหนดไว้ มันเป็นสิ่งที่เราจะต้องปฏิบัติตาม ทุกคนจะได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข
กลุ่มนี้ได้ร่วมกันวางแผนไว้ล่วงหน้า
"คืนพรุ่งนี้ เราจะงัดตู้โทรศัพท์เอาเงินไปเที่ยวสนุก วันสงกรานต์กัน"
"เราจะเอาไขควงมา"
"เราจะ เอาค้อนมาเอง"
"น้ำกรดกัดเหล็กก็มี"
"กุญแจผีก็มี"
ต่างคนต่างเสนอแนะกันต่าง ๆ นานา สรุปแล้วเพื่อให้ตนได้มีส่วนร่วมในผลประโยชน์ด้วย เมื่อเข้าทำการโจรกรรมได้แล้ว เอาไปแบ่งปันคนละ 5,000 บาท
คืนนั้นทั้งสามสหายได้เที่ยวเตร่ร้องรำทำเพลงและร่วมสนุกกับสาว ๆ กลับบ้านเกือบสว่าง และนอนต่อยืดยาว เพราะเป็นวันปิด ทองตื่นขึ้นมาพ่อยังไม่ตื่น แม่ก็อยู่ในครัว
"เมื่อคืนไปไหนมา กลับเกือบสว่างแล้วลูก"
"ไปบ้านเพื่อนจะแม่ พ่อแม่เขาดีมากเลี้ยงดูอย่างดีมีคาราโอเกะส่วนตัวดิ้นกันสนุกสนาน ดิ้นกันสุดๆ ๆ มันไปเลยจ้าแม่"
"อย่าออกนอกลู่นอกทางนะ ทำแต่สิ่งที่ดีนะลูก"
"ครับ แม่ ผมจะทำในสิ่งที่ดีที่งาม เช่นเดียวกับแม่"
สามหนุ่มต่างมีเงินจ่ายดีขึ้น มีการเที่ยวเตร่มากขึ้น มีการเสพยาเสพติดกับสาว ๆ ที่ร่วมหลับนอน จนบางครั้งสาว ๆ เหล่านั้นก็ขอเงินเจ้าหนุ่มจ่าย เมื่อมีเจ้าหนุ่มทั้งสามขอให้ หนึ่งเดือนต่อมา เงินที่ได้มาก็เริ่มสึกหรอ เพื่อนๆ ก็หายไป ผู้หญิงก็ไม่ค่อยจะชอบพอ แกล้งทำเป็นเมิน บางครั้งก็พูดแบบขัดไม่ได้
ทั้งสามจึงวางแผนกันงัดตู้เอ.ที.เอ็ม.
ผลการทำงานลุล่วงไปได้ด้วยดี ทั้งสามีเงินมากมาย จึงนำเงินซ่อนไว้ ของใครก็ของมัน ให้จ่ายได้วันละไม่เกิน 100 บาท ถ้าไปเที่ยวสนุกก็ไม่เกินคนละ 5,000 บาท
เหตุการณ์เริ่มเปลี่ยนไป เมื่อมีเงินสาว ๆก็ภักดี จะใช้อะไรก็ได้ไม่ขัดขืน จะกอดจูบลูบคลำหรือทำอะไรก็ได้หมด เงินตัวเดียวมันมีอำนาจล้นฟ้า จะเรียนก็จ้างเพื่อนทำงานการบ้าน จ้างเพื่อนเขียนรายงาน จ้างให้ลอกข้อสอบให้ ผลการสอบของสามคนก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ครูยกย่องสรรเสริญยิ่ง
กล้องวงจรปิดที่ติดไว้ไม่สามารถจับได้ว่า ผู้ที่เข้าโจรกรรมของในตู้ เอ.ที. เอ็ม. เป็นใคร เพราะเขาสวมหมวกคลุมหน้าแบบอ้ายโม่ง ตำรวจก็พยายามสืบหาค้นหาจนสุดความสามารถ ก็ยังไม่สามารถจับคนร้ายได้
จากการลงพื้นที่ของตำรวจและหน่วยข่าวกรองสามารถทราบได้ว่าเป็นใครบ้าง แต่ยังไม่สามารถจับกุมได้เพราะยังไม่มีหลักฐานเพียงพอ ที่จะเอาผิดเขาได้
เด็กกลุ่มนี้จะไปเที่ยวเดือนละครั้ง หนังสือก็เรียน จึงไม่เป็นที่ผิดสังเกตของบุคคลทั่วไปมากนัก
จากบทภาพยนตร์เกี่ยวกับสายลับและการสืบสวนประเภทต่าง ๆ จึงทำให้พวกเขาคัดลอกดัดแปลงวิธีการเหล่านั้นมาใช้ บางครั้งตำรวจก็นึกไม่ถึงว่าเด็กไทยจะมีความสามารถถึงเพียงนี้
เวลาว่าง ๆ ทั้งสามได้มีการฝึกแผ่นการโจรกรรม โดยการจำลองสถานการณ์ขึ้นให้เหมือนหรือคล้ายคลึงกับสถานการณ์จริงให้มาก กลยุทธต่าง ๆ ก็สามารถนำมาปฏิรูปทดลอง และแก้ไขข้อผิดพลาดให้เติมเต็ม เพื่อความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
สามเดือนต่อมา เขาได้ปล้นร้านทองในตอนเช้าตรู่ ซึ่งผู้คนกำลังสาละวนอยู่กับการไปโรงเรียนของลูก และการไปทำงานของตน เพื่อแข่งขันกับเวลาและความเสี่ยงภัยต่าง ๆ นานา
เมื่อเจ้าของร้านเปิดประตู เขาก็ทำทีเข้าไปถามถึงบ้านของญาติที่อยู่ในบริเวณนั้น ถือโอกาสใช้ปืนจี้เจ้าทรัพย์กลับเข้าไปในร้าน เพื่อนอีกคนก็ตามเข้าไปช่วยกวาดทรัพย์เก็บแก้วแหวนเงินทองไปมากมาย ส่วนมากเป็นทองแท่ง
เจ้าของร้านแกล้งลื่นล้มเซถลาไปจะเปิดสวิทช์สัญญาณเตือนภัย แต่ทองรู้ทันจึงผลักให้ล้มไปทางอื่น สถานการณ์จึงปลอดภัย ขณะนั้นสายตรวจได้ผ่านมาพอดีเห็นเหตุการณ์ผิดสังเกตจึงได้เข้าตรวจ เพื่อนของทองจึงใช้ปืนยิงใส่ตำรวจ ตำรวจจึงยิงสวนไปหาผู้ชายคนนั้น เขาโดนกระสุนอย่างจังล้มลง สำหรับทองนั้นได้ยกมือชูขึ้นเหนือศีรษะ ตั้งแต่ตำรวจเข้าไปในร้านแล้ว จึงปลอดภัยไม่โดนวิสามัญฆาตกรรมในสถานที่เกิดเหตุ แต่ถูกจับได้ใส่กุญแจมือ ตำรวจนำไปฝากศาลขังและห้ามประกันตัว และทางอัยการก็ตรวจสอบร่วมกับตำรวจ เพื่อนอีกคนเห็นเพื่อนถูกทำวิสามัญฆาตกรรมแล้วจึงรีบหนีเอาตัวรอด
ตำรวจสามารถจับเพื่อนอีกคนที่หนีไปได้ จากคำให้การของทอง ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อคดีมากและสามารถขยายผลและจับยกเก่งได้อีกมากมาย
เมื่อศาลพิพากษาแล้วจึงทำให้ทองและเพื่อนถูกจำคุกคนละ 2 ปี
จากเหตุการณ์วันนั้นทำให้ทองคิดว่า การกระทำของตนใน ครั้งนี้สร้างความเสียหายแก่ตนและพ่อแม่เป็นอย่างยิ่ง ตลอดถึงสถาบันการเรียนและวงศ์ตระกูล และประเทศชาติ
"นี่เราได้กลายเป็นคนเนรคุณต่อประเทศชาติไปแล้วหรือ"ทองรำพันกับตนเอง
เมื่อวันที่ : 20 ต.ค. 2558, 08.50 น.
ผู้อ่านที่รัก,
นิตยสารรายสะดวก และผู้เขียนยินดีรับฟังความคิดเห็นต่อข้อเขียนชิ้นนี้
เชิญคลิกแสดงความเห็นได้โดยอิสระ ขอขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ในการมีส่วนร่วมของท่านในครั้งนี้...