![]() |
![]() |
เปิดฟ้า ก้องหล้า![]() |
...ณ ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ใกล้เชิงเขา มีขนำอยู่ใกล้ ๆ ทันใดนั้น วัวฝูงใหญ่วิ่งไล่ตามกันมาฝุ่นตลบ ฟุ้งไปทั่ว จะเดินไปทางไหนฝุ่นก็ฟุ้งอยู่ตรงนั้น โทงยืนอยู่ตรงนั้น...
ณ ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ใกล้เชิงเขา มีขนำอยู่ใกล้ ๆ ทันใดนั้นวัวฝูงใหญ่วิ่งไล่ตามกันมาฝุ่นตลบ ฟุ้งไปทั่ว จะเดินไปทางไหนฝุ่นก็ฟุ้งอยู่ตรงนั้น โทงยืนอยู่ตรงนั้น เมื่อพายุสงบเงียบ ฝุ่นกระจายฟุ้งก็จางลง วัวตัวอื่น ๆ ก็หายไปหมด เหลืออยู่เพียงตัวเดียว วิ่งตรงมาหาโทง มุ่งเป้าหมายที่ตัวโทง วิ่งตะลุยสุดฝีเท้าพร้อมด้วยเสียงหายใจ ซู่ ๆ แรง ๆ ดัง ๆ อย่างน่ากลัว
มันมีเป้าหมายที่จะทำร้ายโทงให้ได้ เมื่อโทงหลบไปบังต้นไม้ได้ มันก็วิ่งแฉลบออกไป มิให้ตัวมันโดนกับไม้2.ต้นนั้น มันวิ่งผ่านเลยไป แล้วกลับตัวได้ เมื่อชะลอความเร็วแล้ว ก็ตั้งหลักได้ คะเนตรงโทงพอดี มันก็ใช้เท้าหน้าให้กีบเท้าตะกายดินฟุ้งออกไปพร้อมออกวิ่งสุดฝีเท้า เป้าหมายยังเหมือนเดิม คือชนร่างของโทงให้ล้มพินาศขาดเป็นเสี่ยงในทันที
เมื่อวัวถลาวิ่งเข้ามาใกล้จะถึง โทงก็ลื่นล้มลง วัวก็กระโดดหมายแทงให้ตายคาที่ โทงรีบกลิ้งหลบทันที วัววิ่งเลยไปประมาณ 3 ช่วงตัวก็สามารถหยุดได้และ กลับตัวออกวิ่งมาทันใด ขณะนั้นโทงพลิกกายจากหายท้องเป็นคว่ำใช้มือดันกายให้ลุกขึ้นจะนั่ง วัวก็วิ่งมาถึงทันที โทงชำเลืองเห็นวัวจะแทงตนแล้ว ก็นอนลงพร้อมใช้มือขวาดันให้กายพลิกในทันที เพียงเสี้ยววินาที เจ้าวัวก็ถึงที่เป้าหมาย แต่เป้าหมายได้หลบไปเสียแล้ว
ครั้งนี้เจ้าวัววิ่งไปตั้งหลักใหม่ได้ มันเดินเข้ามาหาโทง ทำเป็นไม่สนใจอะไรเลย เดินเข้ามาเรื่อย ๆ แต่จมูกยังหายใจ ฟิด ๆ ฟูด ๆ เหมือนกำลังโกรธอยู่เช่นเดิม เมื่อเข้าใกล้โทงแค่ช่วงตัวของมัน มันก็ย่อเข่าหน้าลงนิดหนึ่งใช้เท้าคู่หลังดันร่างพร้อมกระโจนเข้าใส่โทง
โทงระวังตัวอยู่แล้ว เพียงล้มร่างไปข้าง พร้อมสปริงปลายเท้าถีบดันพื้นให้ร่าง กระดอนขึ้นและตีลังกาไป 1 รอบ โทงสามารถยืนได้ วัวก็หมุนตัวกลับมาอีก
ขณะนั้นมีวัวอีกหลายตัว โทงไม่แน่ใจว่ามันมาจากไหน เหมือนมันมีนัดหมายกันไว้ ทุกตัวต่างมุ่งสู่เป้าหมายเดียวกัน คือ โทง โทงคิดว่าตนต้องตายแน่ ๆ คราวนี้ คงจะไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้
"อย่า" โทงตะโกนขึ้นดังลั่น
โทงรู้สึกว่าตนกลัววัวชุดนี้จริง ๆ เหลื่อไหลซิก เม็ดเหงื่อโปนไปทั้งตัว เหนื่อยหอบ เพราะกลัวว่าวัวเหล่านั้นจะฆ่าตนในขณะนั้น
โทงมองไปอีกครั้งหนึ่ง รอบ ๆ กลายเป็นห้องแคบ มีมุ้งขนาด กว้าง 4 ฟุต ยาว 5 ฟุตเป็นเกราะป้องกันมิให้ภัยร้ายใด ๆ ทำร้ายตนเองได้
"เรานอนอยู่คนเดียว ผ้าห่มก็ยังวางอยู่บนท้อง ไม่ใช่สนามวัว หรือลานวัว แต่เป็นห้องแคบ ๆ " โทงคิดในใจ
" เราฝันไปหรือนี่" โทงทบทวนตนเอง
"เราไม่ได้ต่อสู้กับวัวจริง ๆ เราฝันไปหรือนี่"
โทงลุกขึ้นเหงื่อโซมกายคล้ายกับอาการเหนื่อย
" วัวบ้า มันบ้าจริง ๆ มาไล่เราอยู่ได้"
"ทำไมหนอเราจึงฝันว่า มีวัวมาไล่ฆ่า เช่นนี้หนอ"
โทงก็นึกภาพย้อนหลังไปเมื่อ 20 ปีที่แล้วมา ขณะ นั้นโทงเป็นหนุ่มวัยรุ่น มีรูปร่างสูงใหญ่ ชอบกีฬาประเภทวัวชน ชนไก่ และกีฬาฟุตบอล วอลเล่ห์บอล วันหนึ่งญาติของโทงได้มาเยี่ยมเยียนน้องสาวที่บ้าน
โทงคิดว่าเรานี้คงจะมีเคราะห์กรรมที่ไม่ดี จึงได้ฝันเห็นวัวเหล่านั้นมาทำร้าย เพราะครั้งหนึ่งในสมัยหนุ่ม โทงได้ไปเที่ยวงานบ้านของญาติ ซึ่งอยู่ห่างกันคนละตำบล พร้อมด้วยพ่อและน้องสาว เพื่อไปช่วยเหลืองานแต่งงานของญาติผู้พี่ ซึ่งฝ่ายชายได้มาสู่ขอไว้แล้ว ฝ่ายเจ้าสาวและญาติผู้ใหญ่ทุกคน ก็ยินยอมให้เจ้าสาวแต่งงานกับหนุ่มคนนั้น
โทงกับพ่อและน้องสาวไปถึงบ้านญาติ ก่อนมีงานแต่งหนึ่งสัปดาห์ เพราะในสมัยนั้นในท้องถิ่นมี 2 ฤดู คือฤดูฝนกับฤดูร้อน เมื่อสิ้นหน้าฝน เป็นฤดูร้อนในช่วงเดือนหก ซึ่งตรงกับเดือนเมษายนตอนปลาย และต้น ๆ ของเดือนพฤษภาคม
วันแรกที่ไปถึง ที่ลานหน้าบ้านของเจ้าสาว มีคนร่วมกิจกรรมมากมาย เต็มลานบ้านทั้งหญิงและชาย มีครกตำข้าววางเรียงรายห่างกัน 2 -- 3 วา พอประมาณ มีประมาณ 20 ครก ซึ่งแต่ละครกจะมีคนซ้อมสารประจำ 3 คน คือซ้อมข้าวสารครกเดียวกัน 2 คน อีกคนหนึ่งทำหน้าที่ฝัดข้าวแกลบและรำ หรือสับเปลี่ยนกับคนที่ซ้อมคนใดคนหนึ่งเหนื่อยให้หยุดพักผ่อน จะได้ทำการซ้อมข้าวแทน
สำรับคนที่ถือกระด้งคอยดูว่า ข้าวในครกนั้นแหลกแล้หรือยัง ถ้าแหลกแล้ว คือแกลบ รำละเอียด ก็จะได้นำข้าวในครกไปฝัด โดยเอาขอบกระด้งด้านนอกว่างบนปากครกพอประมาณ
กระด้ง คือภาชนะทรงกลมคล้ายถาดขอบหนาทำด้วยไม้ไผ่ กลมรีด้านหนึ่ง กลมมนด้านหนึ่งโตกว่าถาดประมาณ 2 -- 3 เท่า ทำด้วยซี่ไม้ไผ่สานกันเป็นลายบองหยอง คือมีตรงกลางกระด้างด้านล่างให้รอยข้อของปล้องไม้ไผ่เรียงกันเป็นสองแถวห่างเท่ากัน ยาวขนานกันไปเป็นรูปหยักฟันปลา (กลับไปกลับมา) ส่วนอื่นๆ ก็สานซี่ไม้ไผ่ด้ายลายสองลายสาม การที่สานไม้ไผ่ให้เป็นหยักฟันปลาทำให้เมล็ดข้าวสารสามารถเคลื่อนตัวไปร่วมกันได้เวลาทกและฝัดข้าว หรือร่อน ซึ่งกระด้งทีมีลักษณะพิเศษที่เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นของชาวชนบทในสมัยโบราณ สรรสร้างไว้ ซึ่งขณะนี้มีน้อยลงไป ไม่มีผู้สืบทอดเจตนารมณ์อันนี้ กำลังจะหมดไป เยาวชนรุ่นหลังอาจจะไม่รู้จักกระด้งต่อไปก็ได้
เมื่อวางขอบกระด้งด้านหนึ่งบนปากครกตำข้าวแล้ว ใช้มือข้างทีไม่ถนัดจับขอบกระด้งไว้ และใช้มือที่มีความถนัดตักข้าวที่ซ้อมแล้วขึ้นจากครกใส่กระด้งจนหมดหลุม จึงนำไปฝัด ให้รำและแกลบออกไป เหลือแต่ข้าวสารสีขาวเอาไว้หุงเป็นอาหารประจำวัน
วิธีการฝัดนั้นส่วนมากผู้ฝัดข้าวเป็นผู้หญิง ผู้ชายก็มีบ้างเหมือนกัน แต่น้อยมาก จะเห็นว่าผู้หญิงมีความละเอียดอ่อนมากกว่าผู้ชาย ผู้ชายทำงานที่ต้องใช้กำลังมากกว่า
ผู้ฝัดนั้นจะเลือกทิศทางหันหน้าไปทางทิศที่ลมพัดไป คือยืนหันหลังโต้ลม เมื่อฝัดแล้วลมจะได้พัดเอาฝุ่น แกลบ รำไปตามกระแสลม ไม่ต้องให้ผงคายของมันถูกตัวของผู้ฝัด ซึ่งผงแกลบหรือรำนี้มีความระคายต่อผิวหนังมาก แต่เพื่อการดำรงชีพอยู่ได้ก็ต้องจำยอมคลุกอยู่กับผงคายเหล่านั้น
หาทิศทางลมได้แล้ว ก็ยืนต่างขาให้เท่ากับสองข้างไหล่ทั้งสองข้าง หรือกว้างกว่าเพื่อความสะดวกในการทรงตัว ปลายเท้าหันเฉียงออกพอประมาณครึ่งทิศหรือเฉียงทิศ
ใช้มือจับขอบกระด้งทั้งสองข้าง แล้วก้มตัวลงเล็กน้อย บางคนก็ยืนตรงให้มือเหยียดลงตรงทั้งสองข้าง ใช้แรงข้อมือทั้งสองข้างที่กำขอบกระด้ง กระดกให้ส่วนขอบด้านหน้ามนรี(ตรงข้ามกับคน) ยกขึ้นประมาณ 1 คืบหรือกว่า ส่วนขอบของกระด้งด้านกลมมนใกล้คนก็ห้อยต่ำลงมา
แรงกระตุกทำให้ข้าวสาร แกลบและรำกระดอนสูงขึ้นนั้นไปกลางอากาศสูงประมาณ 1 -- 2 คืบ แล้วตกลงมา ก็ใช้พื้นที่ในขอบกระด้งรับไว้ ในขณะที่แกลบรำและข้าวลอยสูงขึ้นและตกลงมากระทบกระด้ง ทำให้ลมที่พัดผ่านมาได้นำเอาแกลบ รำลอยไปด้วยอีกแรงหนึ่ง
จากแรงกระพือของกระด้งที่ทำให้ข้าวสาร แกลบรำกระดอนสูงขึ้นนั้น ทำให้แกลบ รำ พุ่งตัวไปตามแรงกระพืออีกส่วนหนึ่งด้วย สำหรับเมล็ดข้าวซึ่งมีน้ำหนักก็ไม่หลุดลอยไปตามแรงเหวี่ยง ของการกระพือและแรงลมได้
เมื่อฝัดสะอาดแล้ว ถ้ามีกาก คือ เมล็ดข้าวที่เป็นเปลือกเหลืออยู่ เปลือกของมันยังไม่แตกออก มีอยู่บ้างบางเม็ดเท่านั้น ที่มีขนาดเล็กกว่า ผู้ฝัดก็จะทำการร่อนต่อ
การร่อนนั้น กระทำเพื่อให้กากข้าวรวมตัวกันเป็นกระจุก ตรงกลางกระด้ง ในส่วนกลางของพื้นที่มีข้าวทั้งหมดในกระด้ง เมื่อกากรวมตัวเป็นกระจุกแล้ว วางกระด้งลงกับปากครกและใช้หน้าขาหรือเข่า ยันไว้ หรือวางบนปากครกทั้งกระด้ง ใช้มือสองข้างให้ส่วนล่าง(นิ้วก้อย) รวบกากรวมกันและไหลเลื่อนเข้าไปอยู่ในอุ้งมือ จึงยกมือพร้อมกันทั้งสองข้างให้อุ้งมืออยู่ในท่าปกติ ที่มีข้าวกากอยู่นำไปวางกากลงในภาชนะทีเตรียมไว้ หรือใส่ในครก ถ้าใช้ปากครกกับหน้าขาวางกระด้ง
วิธีร่อน ผู้ร่อนจะยืนต่างขาออกกว้างกว่าฝัดข้าว ก้มตัวลงประมาณ 45 องศา ใช้มือทั้งสองห้อยต่ำจับขอบกระด้งยกขึ้น ใช้แรงเหวี่ยงจากแขนทั้งสองข้างให้กระด้งเหวี่ยงเป็นวงกลมทำให้เมล็ดข้าวไหลเวียนรอบกระด้ง อาศัยการยกกระด้งข้างขวาและซ้ายสลับกันบ้าง ทำให้กากข้าวหมุนเป็นวงกลมเข้ารวมตัวกัน จากวงกว้างจนวงแคบเข้ามาเท่ากับล้อมไว้เรียบร้อยแล้ว จึงกอบไปใส่ที่ ถือว่ากากเป็นส่วนเกินในกิจกรรมนี้
ฝัดแล้วร่อนแล้ว ถ้ามีกากเพียงเล็กน้อยแล้ว ซึ่งไม่สามารถจะร่อนให้มันรวมกระจุกได้อีกแต่ก็ยังอยู่ในส่วนกลางกระด้งบ้าง ส่วนอื่น ๆ บ้าง ยังไม่เข้ากลุ่ม ผู้ฝัดก็วางกระด้งลงแล้วใช้นิ้วชี้กับหัวแม่มือหยิบกากที่มองเห็นซึ่งลอยอยู่ส่วนบนออก จนมองไม่เห็นแล้ว จึงใช้นิ้วชี้หรือนิ้วที่ถนัดแยกเมล็ดข้าวแล้วใช้แรงเขี่ยอย่างแรงให้เมล็ดข้าวกระจายออกจะได้เห็นเมล็ดข้าวที่เหลืออยู่ ถ้าไม่มีเมล็ดกากข้าวอยู่ก็เขี่ยในพื้นที่ถัดไปให้เมล็ดข้าวแตกกระจายต่อไป พบเมล็ดกากข้าวก็หยิบออกเสีย ทำอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จนหมดบริเวณพื้นที่ในกระด้ง แล้วจึงฝัดอีกครั้งหนึ่งเผื่อมีเศษอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ เหลืออยู่ แน่ใจว่าสะอาดแล้ว จึงนำข้าวสารไปใส่ภาชนะที่เตรียมไว้
หวนกลับมาดูครก ครกนั้นทำด้วยไม้ทั้งดุ้น ขนาดเท่าต้นตาลยาวหรือสูงประมาณ 2 ฟุต โดยการตัดซุงออกให้ได้ขนาด จึงบอกเปลือกแต่งด้านนอกให้เรียบเสมอกันโดยรอบ วางทรงขึ้นแล้วจึงกำหนดขอบปาก ให้ห่างจากวงนอกประมาณ 2 นิ้ว แล้วขีดเส้นด้วยตอกตะปูที่จุดศูนย์กลางแล้วเอาเชือกผูกดินสอหรือปากกาในระยะทางที่พอเหมาะกับความต้องการแล้ว จึงดึงปลายปากกาหรือดินสอที่ผูกติดกับเชือกจากแกนของไม้ให้มีเส้นรอยดินสอเป็นวงกลมโดยรอบจะมีความห่างเท่ากันจากจุดศูนย์กลาง จึงเจาะตามแนวรอบด้านในให้ลึกประมาณ 1 นิ้วให้เป็นขอบกันข้าวสารกระเด็นหกเวลาตำ จากนั้น จึงเจาะให้ลาดเข้าหาจุดสูญกลางที่มีความลึกประมาณ 2 นิ้ว แล้วเจาะให้ลึก 4 -- 6 นิ้ว ตามความเหมาะสม จากที่ลาดก็เจาะตรงไปที่ก้นแคบเข้าไปเล็กน้อยเส้นผ่าศูนย์กลางเหลือประมาณ 3 - 4 นิ้ว
การตำ หรือทิ่ม มีการนำข้าวเปลือกมาใส่จากก้นครกให้สูงมาเกือบถึงที่ลาดลงไปจากปากครก สากตำข้าวนี้ทิ่ม ลงไปบนเมล็ดข้าว เกิดการกระแทกทำให้เปลือกข้าวซ้ำและแตกออก ส่วนที่แตกก็จะกระทบกันบ้าง กระทบกับสากบ้าง ทำให้แตกเป็นฝอยเล็กละเอียดยิ่งไปอีก เมื่อซ้อมได้พอประมาณ กะว่าจะมีเมล็ดแตกเกือบเท่า ๆ กับข้าวเปลือกในครกแล้ว ก็นำมาฝัดเพื่อให้แกลบได้ออกไป นำไปตำอีก เมื่อได้ข้าวสารมากกว่าข้าวเปลือกประมาณ เศษ 3 ส่วน 1จึงนำไปฝัดและเก็บไว้เพื่อซ้อมให้ขาวและนำไปหุงได้ (ก่อนตำควรทำความสะอาดครกเสียก่อน)
การซ้อมข้าวสาร คือการนำข้าวกล้องที่ตำหรือทิ่มไว้แล้วมาซ้อมให้ขาวสะอาด ฝัดเสร็จเลือกกากออกนำไปกรอกใส่หมอ ล้างน้ำ รินออก น้ำนี้มีวิตามินมากนำไปรดต้นไม้ดีนัก โดยเฉพาะกล้วยไม้ทุกชนิด ตั้งไฟจนเดือดดูเมล็ดข้าวสารว่าสุกหรือยัง ถ้าสุกแล้วจึงเช็ดน้ำให้แห้ง นำนึ่งบนไฟให้น้ำเสด็จ หรืออุ่น เมื่อสุกแล้วนำไปรับประทานได้
การซ้อมข้าวสารนั้นจะต้องมีสากใช้ในการตำ ทิ่มหรือซ้อม มีขนาดพอเหมาะ ยาวประมาณ 1 วา ทำตรงกลางให้ขอดเล็กสามารถจับได้รอบวงนิ้วมือ สองจับรอบ เพื่อความสะดวกในการยกสากทำข้าวให้แตกเป็นข้าวสาร
วันนั้นสนุกมาก มีทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ทั้งหนุ่มและสาว มีทั้งโสด และหม้าย ได้มาร่วมกันช่วยกัน เจ้าของบ้านและญาติบางส่วนก็จัดหุงอาหาร ทำแกง ทำของหวาน เมื่อถึงมื้อก็ทานกันอย่างสนุกสนาน มีการซ้อมข้าวสารอยู่สองวัน เมื่อได้ข้าวสารเป็นที่เพียงพอแล้ว จึงเปลี่ยนเป็นการหาไม้ฟืนจากในป่า โค่นไม้ที่ตายนึ่ง มีการขึ้นมะพร้าว ขนมะพร้าว ปอกมะพร้าวอย่างสนุก แต่ไม่มีการขูดมะพร้าวเพราะยังไม่ถึงวันงาน ถ้าขูดไว้เกินวันก็จะบูดและเปรี้ยว
ก่อนจะถึงวันงาน 1 วัน ซึ่งจะมีการชำแหละวัว ทางเจ้าภาพได้หาผู้ที่ชำแหละไว้แล้ว แต่ผู้ชำแหละป่วยกะทันหัน เจ้าภาพจะต้องหาผู้ชำแหละแทน จะขอร้องก็แล้ว จะจ้างก็แล้ว จะไหว้วานก็แล้ว ไม่มีคนทำสิ่งเหล่านี้
โทงจึงอาสาชำแหละวัวให้ญาติของเขาในวันนี้ ประการแรกโทงจะต้องฆ่าวัวก่อน อันนี้คือปัญหาใหญ่ในครั้งนี้ เมื่อตัดสินใจแล้ว โทงจึงต้องไปจูงวัวออกจากฝูง เมื่อโทงกับญาติไปไล่จับวัว มันก็พยายามหลีกห่างและวิ่งหนีพัลวันไม่ยอมให้จับ แต่โทงและญาติหลายคนกว่า จึงช่วยกันไล่ต้อนมันไปจนมุม เข้าในที่อับระหว่างคอกกับบ้าน และเขาใช้เชือกหัว (เชือกเส้นโต) ผูกคอมัน มันร้องและดิ้นเพื่อจะหนี จึงต้องใช้เชือกพันกับต้นไม้ คนจึงสามารถชนะวัวได้ เมื่อมันดิ้นไม่หลุด ก็ต้องจำใจเดินตามไปสู่ตะแลงแกง
วัวตัวนี้ มันคงรู้อะไรตามสัญชาตญาณของมันว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น มันยืนตาละห้อย น้ำตาไหลซึมและย้อยตลอดเวลา จนตาแฉะ มันยืนไม่เคี้ยวเอื้อง มีคนนำหญ้าและน้ำมาให้มัน มันก็ไม่กินไม่ดื่ม แต่ความจำเป็นของงานมันกำหนดดวงชะตาของเจ้าวัวตัวนี้ไว้แล้ว เพราะเจ้าภาพได้ซื้อวัวตัวนี้จากเพื่อนไว้สำหรับงานนี้โดยเฉพาะ
โทงอดสงสารมันไม่ได้ แต่ถ้าไม่ฆ่ามันก็ไม่มีอะไรแกงต้อนรับแขกและญาติฝ่ายเจ้าบ่าว
ญาติของโทงได้ผูกวัวเข้ากับหลักระหว่างคอกกับบ้าน โทงก็นำหวานขนาดย่อมแขวงหลังไว้เดินไปหาเจ้าวัวด้านหน้า วัวก็มองด้วยสายตาที่วิงวอนและ ขอร้องน้ำตาหยดไหล ทำตาปริบ ๆ ดิ้นจะหนีแต่ก็ไม่สามารถดิ้นให้หลุดได้
โทงอดสงสารเอ็นดูมันไม่ได้ แต่จำใจเมื่อรับปากเจ้าภาพแล้ว และจะต้องรับหน้าที่เพชฌฆาตครั้งนี้ด้วยความจำใจ ซึ่งโทงเองก็เคยเห็นเขาทำเช่นนี้มาหลายครั้งแล้ว ชนบทเราทำอย่างนี้ โทงยังรีๆรอๆ ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ไม่อยากจะฝืนใจตนเอง แต่ญาติก็เร้าให้โทงได้ลงมืออยู่ตลอดเวลา ทุกคนก็เชียร์ เชียร์ให้โทงทำชั่ว โทงก็จำยอม
โทงเดินเข้าใกล้วัว และอธิษฐานในใจว่า วัวที่รัก วันนี้ชีพของท่านมาแค่นี้แล้ว ไม่มีอันจะยืดต่อไปได้อีกแล้ว ซึ่งสวรรค์ลิขิตไว้ เราขออภัยด้วย และจงยกโทษให้แก่เราด้วย โปรดอโหสิกรรมให้แก่เรา เราขอขอบใจท่านล่วงหน้า
วัวคงจะทราบเจตนาของโทง ยืนนิ่งสงบไม่ดิ้นอีกต่อไป น้ำตาไหลพรากผ่านแก้มทั้งสองข้างหยดลงดิน หยดแล้วหยดอีก
"วันนี้คงเป็นวันอวสานของเราแล้วจริง ๆ" วัวรำพึง " ช่างมันเถอะ ขอให้มันเป็นไปตามเวรตามกรรมที่สร้างมา แต่เราจะไม่ให้อภัยแก่เจ้า ผู้ที่ฆ่าเรา ในฐานะที่เราไม่มีความผิด" วัวบ่นพึมพำในใจตนเอง
โทงจึงเดินเข้าไปลูบศีรษะของมันเบา ๆ ใจของโทงเต้นตึก ตึก น้ำตากำลังคลั่งออกมาจากตาของโทงทั้งคู่ มันเอ่อท้นออกมา แต่โทงต้องแข็งใจ จะต้องเข้มแข็งไว้ จะต้องทำงานนี้ให้สำเร็จ
"เราขออภัยท่านด้วย บุญของท่านแค่นี้" โทงรำพึง
"เร็วปานฟ้าฟาด โทงก็ยกขวานขึ้นเหนือศีรษะอย่างเร็ว เปลี่ยนขวานจากคมเป็นสันขวานทุบลงตรงกลางแสกหน้าของมัน ซึ่งต่ำกว่าโคนเขาสองข้างลงมา 2 -- 3 นิ้ว ซึ่งบางครั้งก็มีขวัญของมันอยู่ เป็นขนสีขาว ๆ ผู้คนจึงเรียกตำแหน่งนี้ว่า หน้าโพ"
ครั้งแรก ครั้งเดียววัวก็คุกเข่าลง เงียบสงบ ครู่หนึ่ง มันส่งเสียงร้องดังลั่น พร้อมยกหัวขึ้นมาพร้อมเสียงดัง อ้อ ๆๆๆ ขึ้นสุดเสียงดังของมัน พร้อมกับล้มลงนอนปลายเท้ากระตุกอย่างแรงหลาย ๆ ครั้ง ช้า ๆ ลง และนิ่งสงบไป ขณะที่จมูกของมันมีสวิงผูกเชือกติดอยู่
"ขอให้วิญญาณของท่านไปสู่สุขคติเถิด"โทง
โทงจึงเชือดคอให้ ญาติ ๆ เอากะละมังมารับเลือดของมันไว้ และปล่อยให้เลือดออกจนหมดร่าง โทงจึงไปเอาน้ำมาขันหนึ่งพร้อมด้วยหมากพลู ธูปเทียน โทงนั่งลงใต้ต้นไม้ใหญ่จุดธูปเทียนบูชา แล้วกล่าวคำอาราธนาพระรัตนตรัย ไตรสรณะคมน์ ตั้งนะโมสามจบ จึงกรวดน้ำเพื่ออุทิศบุญกุศลที่ตนมีให้ดวงวิญญาณของวัวไป กรวดน้ำเสร็จแล้ว สวดแผ่เมตตาให้แก่วิญญาณของเขาด้วย
"ทำไม วันนี้ เราจึงเห็นเจ้าวัวตัวนั้น มันกำลังไล่ทำร้ายเรา" โทงคิด
"หรือเจ้าวัวนั้น มันไม่ให้อภัยแก่เรา"
"อย่างไรก็ตาม เราก็เสียใจอย่างยิ่ง ในการทำร้ายชีวิตของท่านในครั้งนั้น เราไม่คิดว่าวิญญาณของท่าน จะอาฆาตแค้นเราถึงอย่างนี้ และเราก็ไม่เชื่อสนิทตอนนั้นว่า มีวิญญาณ มีนรก มีสวรรค์" โทง
"เมื่อมีเหตุการณ์อันนี้ ทำให้อารมณ์ของโทงหวั่นไหว ระแวงและหวาดกลัว ต่าง ๆ นานา ไม่มีความสุข ขาดความสบายใจ ไม่อยากหลับตาลง เพราะหลับตาลงครั้งใด เจ้าวัวตัวนั้นจะพาบริวารทำร้ายเราทุกครั้ง บางครั้งวิ่งกันจนเหนื่อยหอบ บางครั้งถูกมันทำร้ายได้รับความเจ็บปวดทรมานยิ่งนัก ตื่นขึ้นมาหวาดกลัว หวั่นผวา ระแวงว่าจะมีวัวคอยทำร้ายอยู่ มันเป็นความทุกข์ ทรมานเหลือเกิน วัวจ๋า โปรด อภัยให้เราด้วย เรากลัวท่านเหลือเกิน"
"ตอนแรกที่เราทำร้ายท่าน เราก็หวาดกลัวเช่นกัน แต่จำใจทำ เพราะศักดิ์ศรีของความเป็นชาย ที่รับปากญาติ ๆ ไว้แล้ว ถ้าทำไม่ได้จะเสียชื่อเสียง แต่ผลที่ได้รับมันไม่คุ้มค่าเลย เกียรติศักดิ์ศรี ความเป็นลูกผู้ชายไม่สามารถช่วยเหลือเราได้ในขณะนี้ นอกจากความดี หรือบุญเท่านั้น ที่จะช่วยเราได้ โอ้ย ๆ อย่าคิดฆ่าเราเลย ท่านวัวจ๋า กรุณาเถอะ อย่าหลอกหลอนเราเลย เจ้าวัวที่รัก"
"เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร กรุณาเถอะ ท่านวัวที่รัก อย่าคิดหลอกหลอนและทำร้ายเราอีกต่อไปเลย เราจะทำบุญอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลไปให้ท่านให้มาก ๆ"
.....................
เมื่อวันที่ : 10 พ.ค. 2558, 18.04 น.
ผู้อ่านที่รัก,
นิตยสารรายสะดวก และผู้เขียนยินดีรับฟังความคิดเห็นต่อข้อเขียนชิ้นนี้
เชิญคลิกแสดงความเห็นได้โดยอิสระ ขอขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ในการมีส่วนร่วมของท่านในครั้งนี้...