![]() |
![]() |
เปิดฟ้า ก้องหล้า![]() |
..." ระหว่างวันปิดเรียน ขณะรอประกาศผลการสอบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 วันนั้นฉันได้ไปในสวนหลังบ้าน ซึ่งมีไม้นานาพันธ์ เช่น ทุเรียน มังคุด เงาะ ลางสาด...
" ระหว่างวันปิดเรียน ขณะรอประกาศผลการสอบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 วันนั้นฉันได้ไปในสวนหลังบ้าน ซึ่งมีไม้นานาพันธ์ เช่น ทุเรียน มังคุด เงาะ ลางสาด ฯลฯ มีพืชอีกหลายชนิดที่กินได้ และมีไม้ประเภทเนื้อแข็งสำหรับสร้างบ้านปลูกอาคารในสวนมีลำธารไหลผ่าน น้ำใสเย็นสบาย ฝั่งคลอดตื้นไม่ลาดหรือขันมาก ขณะฉันเดินบนต้นมะพร้าวล้มทอดข้ามคลองเป็นสะพานไปได้ครึ่งทาง ทันใดนั้นมีผึ้งฝูงหนึ่งบินผ่านมา เสียงแรงกระพือปีกดังแว่วมา จากเสียงเบา เป็นเสียงที่ดังยิ่งขึ้นผ่านไปเหนือศีรษะของฉันเพียงนิดเดียว มีหลายตัวบินมาชนบริเวณศีรษะ คอ แขน ทำให้ฉันตกใจ มือตะเกียกตะกายลืมตัว สะพานมะพร้าวทอดยาว ไม่มีราวเกาะจับ ทำให้ฉันโงนเงนและล้มตกลงไปในคลองจมน้ำแค่สะเอว ทำให้แว่นตกลงในน้ำ ฉันจึงต้องงมหาแว่นอยู่นานแสนนานจนรู้สึกหนาวสั่น หาไม่เจอจึงได้งมลงไปตามลำคลอง คิดว่าแว่นคงจะไปติดอยู่สักแห่งหนึ่ง ตะปบไปควานไปตามลำน้ำจนถึงที่โค้งแห่งหนึ่ง มือก็ตะปบไปพบแว่นเข้า ฉันดีใจมากจนเกือบกระโดดโลดเต้น แต่ยังยั้งไว้ได้ นี่เป็นในน้ำ ไม่อยากให้ผู้ใดทราบ จะอายเขา
" แม้โชคดีมาก เจอแว่นแล้ว ฉันคงจะไม่ต้องมืดบอดต่อไปอีก" เธอรำพึง
ฉันนำแว่นโผล่น้ำขึ้นมา รู้สึกว่ามันหนักกว่าอันเดิม จึงกางขาแว่นออก
" เอ๊ะ ขาและกรอบมันโตกว่าก่อนนี้เป็นได้อย่างไร" เธอรำพันพลาง" หรือว่าเราหนาวเย็นจนตัวสั่นงันงกจึงทำให้มีความรู้สึกว่า มันโตขึ้น "
ฉันสวมแว่นตาทันใด รู้สึกว่ามันสว่างสดใส มองเห็นไปหมด เห็นตามความเป็นจริงทุกอย่าง แต่มันมิใช่แว่นของฉันก่อนตกลงน้ำ ฉันแปลกใจมาก ฉันก็เดินกลับบ้านทั้งเสื้อเปียกปอน แต่พอนึกเป็นห่วงพ่ออยู่ทางบ้าน ก็ปรากฏภาพของพ่อกำลังทำงาน จากนั้นมีเด็กหนุ่ม 3 คนมาแกล้งรังแกคุณพ่อ ได้ยินเสียงสนทนาชัดเจนเหมือนอยู่ในเหตุการณ์นั้นจริง ๆ ฉันจึงไปบอกญาติผู้ชาย กลุ่มหนึ่งให้ทราบ และเขารีบไปช่วยคุณพ่อทันที และสามารถกำจัดคนร้ายและจับคนร้ายได้ พ่อก็ไม่ได้เป็นอันตรายมากนัก
ญาติทุกคนต่างสงสัยว่า ฉันรู้ได้อย่างไรว่าพ่อของตนกำลังตกอยู่ในอันตราย เขาถามฉันเท่าไรฉันก็ไม่กล้าบอกความจริง เพียงแต่บอกว่า "ช่วยไปดูพ่อให้หน่อย" เท่านั้นเอง
เมื่อคิดถึงน้าวิไล ภาพก็ปรากฏบนแว่น
ฉันได้บอกพวกเขาไปว่า "ใต้ต้นมะขามเหนือจอมปลวกบนคันนากลางทุ่ง น้าวิไลกำลังต้องการความช่วยเหลือ รีบไปเถอะพวกเรา " ฉันก็จะตามไปช่วยน้าวิไลด้วย
สิงห์ หมายและปอง ต่างสงสัยว่า " จะไปทำไม ถ้าเธอหลอกให้ไปก็เหนื่อยเปล่า แต่ถ้าไม่ไป ถ้ามีเหตุการณ์จริง ๆ เกิดขึ้น ก็จะได้รับการตำหนิจากใครต่อใครได้" สิงห์แสดงความคิดเห็น"
" ไปเถอะ เราไปพิสูจน์คำพูดของเธอ ว่าจะเป็นจริงอย่างที่พูดหรือไม่" ปอง
" ฉันก็จะไปธุระที่หมู่บ้านข้างหน้านั้นด้วย มีธุระกับน้าวิไลเกี่ยวกับเรื่องพันธ์ผักคะน้าที่จะปลูก"หมายบอกเพื่อน ๆ
" เรารีบไปกันเถอะ อย่าช้านัก เราจะได้พิสูจน์และรีบไปรีบมา" หมายเร่งพร้อมหยิบไม้แผ่นเล็ก ยาวประมาณ 1 ฟุต กว้าง 2 นิ้ว หนา 1 เซนติเมตร ติดมือไปด้าย
" มิควรจะไป คงจะไม่มีความจริงใด ๆ เธอคงหลอกให้เราเก้อแหละนะ" ปอง
"เราอยากกลับบ้านจริง ๆ เราสังหรณ์ใจและชักจะเป็นห่วงน้าวิไลละ รีบ ๆ เข้าเถอะ" สิงห์
ทั้งสามรีบออกจากบ้าน เดินตรงไปยังทุ่งนา เป้าหมายต้นมะขามงามเด่นอยู่บนจอมปลวกกลางคันนา และกลางทุ่งกว้างเป็นพุ่มเงาใหญ่ ร่มเย็น
"ไม่มีใครอยู่เลยนี่" ปองสงสัย
" วิ่งไปเร็วเข้าเถอะ ลองไล่ฉันดูซิว่า ทันไหม " สิงห์เริ่มออกวิ่งไปก่อนพร้อมเย้ายั่วให้เพื่อนวิ่งไล่ตาม
หมาย ปอง ตั้งสติมั่นทันที เมื่อสิงห์วิ่งไปได้ระยะพอควร จึงวิ่งตามไปพร้อม ๆ กัน "รอด้วย"
เพียงไม่กี่นาทีก็มาเกือบถึงใต้ต้นมะขาม
" ไม่มีใครอยู่นี่ หยุดเถอะ กลับดีกว่า เสียเวลาเปล่า ๆ " หมายแนะนำ
" ไหน ๆ ก็มาแล้ว ไปให้ถึงใต้ต้นมะขาม หยุดพักสักนิด ให้หายเหนื่อยก่อน แดดจ้าอย่างนี้ ร้อนเหลือเกิน" ปอง
" ดี เหมือนกัน เราจะได้รับโอโซนให้เต็มปอดจากต้นมะขาม ที่มันถ่ายออกซิเจนออกมาให้มวลมนุษย์ได้แย่งกันสูดดมในยามกลางวัน ตรงกันข้าม ในเมืองรถยนต์มี รถจักรยานยนต์ เครื่องจักรต่าง ๆ ต่างค่ายพ้นคาร์บอนมอนนอกไซด์ให้มวลมนุษย์สูดดม ทั้งยามกลางวันและกลางคืน" สิงห์
เมื่อทั้งสามตกลงกันได้แล้ว ก็หยุดวิ่ง เปลี่ยนเป็นเดินตามปกติไปตามคันนาที่เริ่มชันขึ้นประมาณ 5 องศา จนถึงใต้ต้นมะขาม
" อือ ๆ อุย "
" ใครครางนะ สิงห์เธอครางหรือเปล่า หรือว่า หมายคราง" ปองถามด้วยความสงสัย
" ไม่ เราไม่ได้คราง" หมายกับสิงตอบพร้อม ๆ กัน
" ใครละ" ปองซักขึ้นลอย ๆ
" ใครจะรู้ละ " หมาย
" ลองดูรอบ ๆ ปลวกซิ ว่ามีใครอยู่บ้าง" สิงห์
ทั้งสามจึงแยกย้ายออกไปดูรอบทิศ เดินดูรอบจอมปลวก ซึ่งเจ้าของพังทลายให้ต่ำลงมาจากยอดจอมปลวกสูงจากท้องนาประมาณ 50 - 80 เซนติเมตร
" อยู่นี่ น้าวิไลอยู่นี้ มาเร็ว ๆ " ปองตะโกนขึ้นอย่างลิงโลดด้วยความตื่นเต้นระคนตกใจกลัว ทั่งหมดมารวมกันที่ปองยืนดูอยู่ทันที
" น้าวิไล " หมาย ปอง สิงห์ตะโกนขึ้นพร้อม กัน
"อุ่ย ช่วยน้าด้วย" น้าวิไลครางออกมา
" น้ายังไม่เสียชีวิต รีบไปช่วยเร็วเข้า "สิงห์ " น้าเจ็บตรงไหนบ้างน้า
" ที่ข้อเท้า "น้าวิไลตอบ
สามหนุ่มจึงเพ่งมองไปที่ปลายเท้าพร้อม ๆ กัน
" อย่าจับนะ ดูให้แน่ใจก่อนว่าจะหักหรือไม่ " สิงห์ทักท้วง
เมื่อสามหนุ่มพิสูจน์และสรุปว่าแข้งด้านขวาเหนือข้อเท้าหัก จึงได้นำไม้ท่อนบางที่ถือมานาบส่วนหักและพันด้วยผ้าขาวม้าหลายรอบจนรู้สึกว่าปลอดภัยดีแล้ว
" พวกเราคอยอยู่นี่ก่อนนะ ผมจะไปเอาเปลมาห้ามน้าวิไล" พูดเสร็จปองก็ออกวิ่งกลับไปบ้าน เพียงไม่นานปองก็นำเก้าอี้ออกมา 1 ตัวพร้อมชาวบ้านอีก 5 คน บางคนก็มีไม้คานติดมาด้วย บางคนได้เชือกสำหรับผูกล่ามวัวมาด้วย เมื่อมาถึงใต้ตนมะขาม จึงผูกเก้าอี้ให้แขวนกับคานที่วางบนบ่า ได้ขนาดและจังหวะนั่งและหามได้มีความถ่วงสมดุลพอดี จึงช่วยกันยกน้าวิไลนั่งบนเก้าอี้แล้วช่วยกันหามกลับบ้านทันที ที่เหลือเดินมาใกล้ ๆ เพื่อคอยระวัง และคอยเปลี่ยนคนหามเมื่อรู้สึกเหนื่อย
เมื่อมาถึงบริเวณบ้าน รถกะบะของเพื่อนบ้านได้รออยู่แล้ว จึงนำน้าวิไลขึ้นไปบนรถให้นั่งบนเก้าอี้ ในกะบะหลังพร้อมด้วยญาติพี่น้องหลายคนติดตามไปโรงพยาบาลด้วย ญาติคนหนึ่งนำร่มมาให้ไว้สำหรับกางให้น้าวิไล เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย รถออกจากที่ขึ้นถนนใหญ่มุ่งหน้าไปสู่โรงพยาบาลในตัวเมือง เป็นระยะทาง ประมาณ 9 กิโลเมตร เปิดไฟกระพริบขอทาง
สร้างความประหลาดใจให้แก่ สิงห์ ปอง และหมาย อย่างยิ่งกับการทราบข่าวล่วงหน้าหรือตาทิพย์ของฉัน (บุปผา) ทั้งสามคน จึงได้ซักถามฉันด้วยความสงสัย อยากรู้อยากเห็นและอยากทราบความจริงว่าบุปผารู้ได้อย่างไร
" บุปผา ช่วยบอกหน่อยเถอะ ว่าเธอได้รู้เรื่องอย่างนี้ได้อย่างไร จึงสามารถบอกเหตุการณ์ล่วงหน้าได้ หรือเหตุการณ์ที่อยู่ห่างไกลออกไปเกินกว่าตาเนื้อจะมองเห็นได้ บอกให้เรารู้ด้วยนะ เราอยากรู้จริง ๆ ถ้าไม่รู้คงออกแตกตายแน่ ๆ " สามสหายยืนยันด้วยความพยายามและอ้อนวอนด้วยความตั้งใจจริง
" เป็นเรื่องธรรมดา พวกเธออย่าเรียกร้องอะไรมากว่านี้เลย ขอร้องเถอะ ไม่ต้องถามอะไรทั้งสิ้น ขอร้องเพื่อให้ความเป็นเพื่อนและมิตรภาพของเรายั่งยืนนานตลอดไป" ฉันขอร้องเชิงวิงวอน
" นี่บุปผา เธอบอกเราได้ไหมว่าจะมีเหตุการณ์อะไรที่แปลกไปกว่าเหตุการณ์ปกติเกิดขึ้นที่ใดบ้าง กรุณาบอกเราด้วย เราจะได้ไปดู ไปพิสูจน์ ขณะนี้เราเชื่อเธอแล้ว บุปผาเอ่ย"
" พวกเธอเชื่อจริงหรือ ถ้านั้นให้เธอไปพิสูจน์อีกครั้ง ให้พวกเธอไปที่ถนนสายเพชรเกษม เลยไปทางทิศตะวันตกประมาณ 6 -- 7 กิโลเมตร บ้านสะพานหมวย ก่อนเที่ยงวัน วันนี้ เธอจะได้พบกับเรื่องระทึกใจสะเทือนขวัญ แต่ฉันขอร้องเธอทุกตนไม่ให้เล่าเรื่องราวใด ๆ เกี่ยวกับฉันอีก" บุปผาขอร้อง
" ได้ ฉันจะไม่เล่าให้ใครฟังว่าเธอบอกให้พวกเราไปดูสิ่งที่ได้พบเห็นในเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกรณีใด ๆ ทั้งสิ้น" ปอง
ทั่งสามคนได้ไปนั่งอยู่บ้านเพื่อนบริเวณบ้านสะพาน หมวย ตั้งแต่เวลา 9.30 น เพื่อสังเกตดูทุกพฤติกรรมและการเคลื่อนไหวที่จะเกิดขึ้นตามที่บุปผากล่าวแนะนำไว้ จนกระทั้ง 10.30 นาฬิกากว่า ๆ ยังไม่เหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น
" น่าเบื่อจัง ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้น หรือว่า บุปผา มันหลอกเราให้มาเก้อ " สิงห์
"อย่าน่า อดทนนิด ไหน ๆ ก็มาแล้ว ขอให้ผ่านเที่ยงวันของวันนี้ เรากินข้าวกันคนละจานก่อน แล้วจึงกลับบ้าน เรื่องกินหน้าที่ฉัน " หมายแนะนำพร้อมรับเป็นเจ้ามือเลี้ยงอาหารมื้อกลางวัน
" ตกลง" เกือบจะพร้อมกัน คำสัญญาดังชัดเจนและก้องกังวานในดวงใจ อย่างมีความหมาย และมีค่าสำคัญยิ่ง คือทุกคนจะรักษาคำพูดของตนและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดตลอดมา
เกือบ สิบเอ็ดโมง มีรถกะบะคนหนึ่งมาจอดข้างถนนเลยสะพานไปประมาณ 100 เมตร เพียงอึดใจต่อมา มีรถจักรยานยนต์คนหนึ่ง มีเด็กผู้หญิงสามคนอาศัยขี่กันมา พร้อมส่งเสียงดังลั่นอย่างสนุกสนาน คนขับกำลังพูดโทรศัพท์อยู่
" โธ่ อันตราย ไม่น่าทำอย่างนั้นเลยนะน้องนะ เจ้ามีจิตใจที่ที่กร้าวและโหดกับตัวเองเหลือกเกิน" หมายอุทานตามหลังเบา สายตาจับมองรถคนนั้นไป
ใกล้กันนั้น มีรถตามหลังมาเป็นแถวยาวเหยียดด้วยความเร็วสูง มี่ทั้งรถเล็ก รถใหญ่ รถประจำทาง บางก็แซงขึ้นมาเหมือนกับว่าเต็มถนนไปหมด และใกล้จะถึงหรือทันรถจักรยานยนต์ที่สามสาวกำลังขี่ไปใกล้รถกะบะที่จอดอยู่ข้างหน้า ซีกซ้ายในทางเท้าหรือทางรถจักรยานยนต์
คนขับจักรยานยนต์กำลังสาละวนอยู่กับการพูดโทรศัพท์ สังเกตคล้ายกับจะมีอารมณ์ ทำให้รถเซถลาเล็กน้อยพุ่งไปปะทะกับท้ายรถกะบะซีกขวาที่จอดอยู่ เธอหลบไม่ทัน ทำให้รถและคนล้มออกมากลางถนน มันสุดวิสัยที่โซเฟอร์ที่วิ่งตามมาจะทำอะไรได้ทันเพราะระยะกระชั้นชิด รถก็วิ่งผ่านไปตามปกติเป็นเวลานานพอสมควรกว่าจะผ่านไปหมด ประมาณ ไม่ถึงนาที เมื่อรถผ่านไปหมดแล้วถนนก็ว่าง เห็นซากรถและคนอยู่กลางถนนใกล้กับที่รถกะบะจอดอยู่ ชาวบ้านใกล้เรือนเคียงในละแวกนั้นก็ตะโกนขึ้น " รถชนเด็ก ช่วยเร็ว " หญิงชราคนหนึ่งพร้อมเพื่อนบ้านวิ่งมาที่รถกะบะจอดอยู่ " ช่วยไม่ทันลูก มันใกล้เกินไป และรถก็เร็วเกินไป เห็น ๆ ก็วิญญาณจากเจ้าไปแล้ว "
เราสามคนก็ขี่รถไปที่เกิดเหตุ ยืนสงบด้วยความอาลัยเป็นเวลา 1 นาทีพร้อมกัน "ขอให้วิญญาณของน้อง ๆ ไปสู่สุขติ และอย่าได้จองเวรซึ่งกันและกันเลย การให้อภัยเป็นทานที่ประเสริฐสุดในพุทธศาสนา
ปรากฏว่าคนใกล้เคียงในละแวกนั้นออกมาพร้อม ๆ กัน เป้าหมายที่ศพกลางถนน ทั้งหญิงและชายเด็กชรา ทุกคงจังงังด้วยความสังเวช ทั้งสามเสียชีวิต ร่างบางส่วนเหลวแหลก ส่วนมากยังดีอยู่ คงเพราะรถอาจจะเห็นและหลีกไปเพราะล้มลงใกล้รถกะบะ แต่ทำให้ทั้งสามเสียชีวิตทันที
จาก การสันนิษฐานสาวคนแรก อายุประมาณ 16 ปี คนที่สองอายุประมาณ 14 ปีและคนที่สามอายุประมาณ 12 ปี พวกเธอคงจะอยู่ในวัยเรียน อนิจจา ทุกอย่างไม่แน่นอน ไม่เที่ยงแท้ เป็นอนิจจัง และอนัตตา คือมันไม่ใช่ของเรา มันเป็นส่วนของความทุกข์ทั้งหมด
" เธอแน่มาก บุปผา ที่สามารถบอกเหตุการณ์ได้ล่วงหน้า และเป็นจริง เธอรู้ได้อย่างไร" สมหมาย
" อย่าเพิ่งรู้ตอนนี้เลย วันใดอยากจะบอกก็จะบอกให้พี่ได้ทราบ ไม่ต้องห่วง จะบอกให้รู้ก่อนใครทั้งหมด" บุปผา
" แต่พี่อยากรู้เดียวนี้นะ " สิงห์
" ใจเย็น ๆ พี่ ขอร้องอย่าถามอะไรเลย " บุปผา
ข่าวการบอกเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ล่วงหน้า เหตุการณ์ที่เกิดจะเป็นระยะใกล้ไกล หรือระยะห่างนานหลายวันก็ตาม เธอรู้ได้แจ้งชัดดังตาเห็น สร้างความประหลาดใจให้แก่ทุกคนที่ทราบข่าว มีการวิพากษ์วิจารณ์ กันกว้างขวางในทุกกลุ่มสังคม ตั้งแต่เด็ก ถึงผู้ใหญ่ ในประเทศและต่างประเทศ เพราะข่าวสารสนเทศก้าวไกลฉับไวมาก
มีหลายคนมาติดต่อสอบถาม บางคนให้พยากรณ์เกี่ยวกับของหาย การปล้นขโมย และการสืบหาความจริงอื่น ๆ เช่นภรรยา หาย สามีหาย ลูกหาย ทรัพย์สมบัติหาย แต่ฉัน ก็ปฏิเสธอย่างนุ่มนวล
" บุปผา ช่วยดูหน่อยซิ รถจักรยานยนต์เพิ่งซื้อมาได้ไม่กี่วันถูกขโมยไป ช่วยดูให้หน่อยมันอยู่ที่ไหน ใครเอาไป จะได้ตามกลับคืนมาได้ ขอความกรุณาดูให้และบอกให้รู้ด้วย" หนุ่มบ้านใกล้ขอร้อง
"หนูบอกไม่ได้หรอก หนูไม่ได้เป็นหมอดู หนูไม่รู้อะไรหรอก มันเป็นบังเอิญ อย่างนี้ดูไม่ได้หรอกนะ" บุปผาปฏิเสธ
" ขอร้องเถอะ ช่วยหน่อยนะ หลานจะเอาเงินเท่าไรก็ได้ น้าจะให้ขอให้เพียงได้รถกลับคืนมา " หนุ่มใหญ่วอนขอ
" เรากำลังจะเดือดร้อน ถ้าเราใจอ่อนและบอกเขาไป เหล่าผู้ร้ายต้องโกรธ และคิดแก้แค้น จะเป็นบาปเปล่า ๆ ถ้าบอกไปก็ไม่ดีแน่ ๆ และคนอื่น ๆ ก็จะมาสอบถามเรื่องราวต่าง ๆ อีกมาก บางเรื่องก็ดีมีประโยชน์ต่อตน ได้ช่วยเหลือชาติประชาชน แต่บางเรื่องเป็นอันตราย เพราะนายทุนบ้านเรามีอิทธิพล มีมือปืนรับจ้างและเหี้ยมโหดมาก หากกิจใดมีคนขัดขวางผลประโยชน์ของเขา เขาใช้ชีวิตสังเวย ด้วยความโหดเหี้ยมทารุน ที่น่ากลัวไม่แพ้ถิ่นอื่นใดในโลก" บุปผา
" เราบอกเขาไม่ได้แน่ เขาอาจจะรบเร้าบ้าง อาจจะเสียอารมณ์บ้าง แต่ไม่ได้มีความเดือดร้อนต่อทางครอบครัวและญาติ " บุปผา
แต่ละวันจะมีคนมาปรึกษาให้บอกเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ มิได้ขาดระยะ แต่ก็ต้องผิดหวังกลับไป สร้างความเสียใจ เสียความรู้สึกเป็นอย่างยิ่ง บางคนถึงด่าว่า และโกรธขึ้งกันไป
"ทำไมเธอไม่บอกเขาไปละ ไม่ต้องรำคาญ จะเอาเงินเท่าไรเขาก็ให้ จะได้ร่ำรวยเร็ว ๆ ไม่ดีกว่าหรือ" หมาย
" ไม่หรอก เมื่อคนทราบแล้วมันจะดังออกไป จะมีตนมาหามาก อาจจะไม่มีเวลาทำมาหากิน" บุปผา
" ทำมาหากินด้วยเรื่องนี้แหละ ยึดเป็นอาชีพเสียเถอะนะ" ปอง
" ไม่ได้หรอกพี่ " บุปผา คัดค้าน" มันจะทำให้สังคมวุ่นวายยิ่งขึ้นไปอีก เป็นการฝืนมติสวรรค์ หรือพรหมลิขิต หรือฝืนธรรมชาติของสรรพสัตว์ ขอให้เขาได้สืบได้รู้เองโดยวิธีธรรมชาติทางระเบียบสอบสวนจะดีกว่า ซึ่งการที่บุปผาจะบอกให้เขารู้ มันเป็นการฝืนธรรมชาติและกฎหมายเขาต้องการหลักฐาน เป็นวัสดุหรือภาพถ่าย แต่บุปผาไม่ได้มีสิ่งเหล่านี้ให้เขาได้ เมื่อพูดไปแล้วอาจจะเป็นการหมิ่นประมาทต่อสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลได้ จะสร้างความโกลาหลวุ่นวายเป็นอย่างยิ่ง " บุปผา
จากคำเล่าลือทำให้คนมากมายเดินทางมาจากทุกทิศด้วยความหวัง แต่ความร่ำรวย คือ ขอเลขเด็ด แต่ต้องผิดหวังไปทุกราย
ดังนั้น บุปผา จึงได้หลบหน้าผู้คนไปอ่านหนังสือ ทำงานฝีมืออยู่ที่ขนำในสวนท้ายบ้าน การเดินทางต้องผ่านคลองซึ่งมีน้ำลึกและเชี่ยวพอประมาณ แต่ก็มีคนเดินไปจนถึงขนำในสวนท้ายบ้านจนได้ ทุกคนต่างมุ่งหวังประโยชน์และความต้องการเหมือนเด็กที่ดื้อรั้น ต้องใช้เวลาอธิบายกันพอสมควร บุปผา ยังยืนกรานกระต่ายขาเดียวที่จะไม่บอกให้ใครทราบในสิ่งที่เขาต้องการบอกให้ใครทราบในสิ่งที่เขาต้องการทราบ เพื่อความร่ำรวย และความโลภในสันดาน
ทุกคนกลับกับหมดแล้ว เมื่อยามโพล้เพล้ ความมืดกำลังปกคลุม บุปผาจึงเดินทางกลับบ้าน ขณะกำลังข้ามสะพานซึ่งทำด้วยไม้ด้นเดียวมีราวจับ(คนละที่กับที่ต้นมะพร้าวล้มข้ามคลอง) กลางคลองมีเสาค้ำปักในน้ำด้วยไม้ไผ่ให้ปลายทแยงและมัดด้วยเชือกเป็นรูปกากบาท ใช้ไม้สะพานวางบนส่วนที่ปลายมันตัดกัน ทำให้สะพานแข็งแรง ราวจับทำด้วยไม้ใฝ่ซึ่งส่วนหนึ่งมีไม้ไผ่ที่เชื่อมระหว่างสะพานกับราวโดยใช้เชือกมัด สำหรับที่ฝั่งทั้งสองข้าง หรือปลายสะพานทั้งสองข้าง ใช้ไม้ฝังเป็นหลักยึดสะพานและราวสะพานจึงแข็งแรงและมั่นคง การเดินผ่านสะพานครั้งละไม่เกิน 5 -- 6 คน และเดินห่าง ๆ กันพอสมควร
บุปผา ถือถุงหนังสือเดินมาข้ามสะพาน เดินผ่านมาได้ครึ่งหนึ่ง มีงูเหลือมตัวหนึ่งใหญ่ขนาดลำแขนของเธอกำลังเลื้อยข้ามสะพานมา งูตกใจกลัวชูศีรษะขึ้น บุปผาเห็นงูในระยะใกล้ก็ตกใจเช่นกัน เพราะความมืดกำลังคลอบคลุมไปทั่วบริเวณ บุปผาตกใจสุดขีด เสียการทรงตัว ตกลงไปในคลอง
" ตูม" น้ำแตกกระจายฟุ้งออกดุจดอกไม้เพลิงงานศพ เต็มทั้งบริเวณ
"ช่วยด้วย" บุปผาอุทานด้วยความตกใจ เธอจมลงในน้ำเชี่ยวเมื่อเท้าถึงพื้นดิน เธอใช้แรงดันพื้นให้โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ
"คงจะลอยไกลไปจากสะพานมากโขแล้ว เจ้างูมันคงไม่หล่นมาด้วย" บุปผานึกในใจ
ถุงหนังสือหลุดมือจมไปกับกระแสน้ำ กระแสน้ำเชี่ยวมากและลึก บุปผาตะเกียกตะกายจนใกล้ฝั่ง เธอสามารถจับรากไม้ ซึ่งชอนไชออกมาในลำน้ำ ดึงตัวเองขึ้นมาจากน้ำด้วยความยากลำบากและกำลังจะปีนขึ้นสู่ฝั่งได้
บุปผาได้ยินเสียงใบไม้ดังแกร็กไปอีกทางหนึ่งแสดงว่างูได้เลื้อยไปทางนั้น แต่เธอดูไม่คอยเห็นจึงเอามือไปจับแว่นแต่ไม่พบแว่น
"แว่นหายเสียแล้ว" บุปผาอุทานอย่างลืมตัวและตกใจกลัว
"จะกลับบ้านได้อย่างไร "
"ยามราตรีนี้โลกของเรามืดยิ่งนัก "
"งูจะมาเล่นงานเราหรือไม่ น่ากลัวจัง ตาก็มองไม่ค่อยเห็น คืนนี้มืดเหลือเกิน"จะนึกและมองอะไรก็ไม่เห็นเช่นวันก่อน ๆ
"เหมือนเดิมอีกแล้ว"
เมื่อวันที่ : 08 พ.ค. 2558, 10.30 น.
ผู้อ่านที่รัก,
นิตยสารรายสะดวก และผู้เขียนยินดีรับฟังความคิดเห็นต่อข้อเขียนชิ้นนี้
เชิญคลิกแสดงความเห็นได้โดยอิสระ ขอขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ในการมีส่วนร่วมของท่านในครั้งนี้...