![]() |
![]() |
เปิดฟ้า ก้องหล้า![]() |
...ปูอยู่บ้านคนเดียวในคืนที่น้ำท่วมบ่าเชี่ยวกรากทำลายสรรพสิ่งให้พังพินาศ ปูผจญกระแสน้ำ พอน้ำลดก็รีบไปหาแม่ที่บ้านพี่สาว แต่บ้านพี่สาวหายไป...
ปูอยู่บ้านคนเดียวในคืนที่น้ำท่วมบ่าเชี่ยวกรากทำลายสรรพสิ่งให้พังพินาศ ปูผจญกระแสน้ำ พอน้ำลดก็รีบไปหาแม่ที่บ้านพี่สาว แต่บ้านพี่สาวหายไปกับกระแสน้ำ และปูลุยน้ำหาแม่จนได้ยินเสียงแม่เรียกชื่อ หาแม่พบแต่ช่วยแม่ออกจากพงรกไม่ได้จั๊ก ๆ ๆ ๆ
ปูสะดุ้งตื่น ท่ามกลางความคึกคะนองจากภายนอก
ประดุจเสียงของคนจำนวนมากกำลังลุยน้ำ ดุจควายจำนวนมากเดินเวียนวนไปรอบ ๆ ในกะบิ้งนา ซึ่งมีน้ำเหนือพื้นประมาณ ตาตุ่ม ชาวบ้านเรียกว่า "เวียนควาย" คือการให้ควายเดินเหยียบไปในพื้นที่นาหลาย ๆ รอบทำให้ดินเละเป็นโคลนที่สามารถนำไปปักดำต้นกล้าข้าวนาได้ ภาพในอดีตผุดขึ้นมาในห้องสำนึกแวบหนึ่ง
" เอะ เรามิได้ฝันนี่ เราตื่นจริง ๆ ได้ยินเสียงจริง ๆ " ปูรำพึงกับตนเอง
ปูขยี้ตา ลืมตาขึ้น พร้อมกว้างผ้าห่มจากไป "เสียงน้ำไหลใต้ถุนบ้านนี่" ปูอุทาน
"เกิดอะไรขึ้น " ปูรีบลุกขึ้นจากที่นอน เปิดหน้าต่างออกไปดู ท่ามกลางราตรีที่มืดมิด พอลุกขึ้นก็ถึงขอบหน้าต่างแล้ว
"ขาวโพลนจากเงามืดสะท้อนเข้าตา ลักษณะการท่วมของน้ำในครั้งนี้ เหมือนเมื่อ 10 กว่าปีมาแล้ว ซึ่งมีประชาชนสูญเสียชีวิตไปเกือบร้อยคน ทรัพย์สินได้รับความเสียหายมากมาย" ปูนึกย้อนอดีต
" เสียง จัก ๆ เมื่อน้ำสัมผัสเสียดสีกับต้นไม้ เล็กใหญ่ ประดุจเสียงดนตรีโอเปร่าที่บรรเลงกล่อมโลกให้หลับใหลในยามดึกสงัด แต่โอเปร่า ครั้งนี้เป็นโอเปร่าแห่งชีวิต ที่บรรเลงด้วยความรุ่มร้อน เดือดพล่าน ยิ่งกว่าเสียงปี่อมตะของพระอภัยมณีที่สามารถบันดาลความสุข ความปวดร้าว และความตายให้แก่มวลมนุษย์ที่ผจญกับมันตามสถานการณ์ต่าง ๆ ตามสภาพของมัน
ครั้งนี้เสียงโอเปร่ารุนแรง รุ่มร้อนและสามารถบรรเลงให้สรรพสิ่ง หวาดหวั่น กลัวและประสบอันตรายได้อย่างฉับพลันทันตาเห็น
เสียงแป็ก ๆ ปัก ๆ กิ่งไม้ต้นเล็กต้นใหญ่หักโค่น และแตกสะบั้น หรือหลุดลอยไปตามกระแสน้ำ ดุจมียักษ์ตัวใหญ่เท่าฟ้ามาตลุยถอนหักด้วยอำนาจเมามัน แห่งวสันตฤดู เทพผู้ทรงอิทธพลซึ่งสามารถบันดาลความอุดมสมบูรณ์ให้สรรพชีวิตในโลกนี้ และทำลายล้างอันน่าสะพรึงกลัวแก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย
ท่ามกลางความมืด เสียงกึกก้องของกระแสน้ำ สะท้อนวับวาว เป็นครั้ง คล้ายมีต้นไม้ใหญ่หักโค่น ด้วยอำนาจแห่ง วสันตฤดู จึงโถมทับไม้เล็กไม้ใหญ่ให้ลมระเนระนาดดุจกองทัพม้า ช้าง อันเกรียงไกร บุกเข้าถล่มนคร แห่งใหม่ในพิภพให้ย่อยยับแตกสลาย ซึ่งจะเหลือไว้แต่ร่องรอยแห่งความทรงจำ ความทุกข์ระทมขมขื่นของสรรพสิ่ง แม้แต่ชีวิตมนุษย์
" โครม" เสาบ้านถูกกระแทกด้วยต้นไม้ที่ลอยตามน้ำมาอย่างแรง บ้านสะท้านสั่น ปูตกใจกลัว ต้องวิตกกังวลว่า ถ้าบ้านล้มลงในทันใด ชีวิตของเธอจะเป็นอย่างไร ใครจะช่วยเธอได้ทันท่วงที หลังจากนั้นจะมีชีวิตอยู่หรือไม่ ถ้ามีชีวิตอยู่จะเป็นอย่างไร ถ้าสิ้นชีวิตไป ใครจะได้เก็บศพ ถ้าไม่มีคนพบ ศพคงเน่าพองส่งกลิ่นเหม็นฟุ้ง ตะลบอบอวลไปทั่ว แล้วจะมีสัตว์เลื้อยคลานบางชนิด หรือนกบางชนิดมาจิกกินศพ เสื้อผ้าคงจะขาดวิ่น ใครมาเจอเข้า เราคงจะอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ขอภาวนาให้มีคนมาพบศพในสภาพที่สมบูรณ์เถอะนะ เทพเจ้าแห่งขุนเขา เจ้าป่า เจ้าดงพงพี และพระแม่คงคาที่เคารพรักอย่างยิ่ง
สิ่งที่ฉันหวั่นคือความตายที่จะเกิดขึ้นในระยะใดระยะหนึ่งก็ได้ในอนาคต ในขณะที่เป้าหมายแห่งชีวิตของเรายังไม่ได้บรรลุตามเป้าหมายที่ตนปรารถนา
เทพแห่งวสันตฤดูได้เป็นสหายกับพระยายมราชพร้อมกันออกอาละวาดทำร้ายผู้คนทรัพย์สินด้วยความคึกคะนอง
" ขอเดชะข้าแต่พระพิรุณ กรุณาอย่าได้ชักนำพระยายมราชออกเล่นแร่แปรธาตุในยามวสันตฤดูนี้ ขอกรุณาเถอะนะ ปูขออธิษฐานอ้างเอาผลบุญและความดีทั้งหลายในสากลพิภพนี้และผลจากที่ปูได้ทำบุญ ขอภาวนาอุทิศผลบุญไปสู่ท่านทั้งสอง จงได้เห็นดูสงสาร และเมตตาแก่มวลมนุษย์ชาติถ้วนหน้า " ปูวิงวอน
" แม้ว่ามวลมนุษย์จะขาดการเคารพบูชาในอำนาจอันศักดิสิทธิ์ของท่าน โดยการโค่นล้มป่าไม้ อันเป็นพื้นฐานของสรรพสิ่งในการดำรงชีวิตอยู่ด้วยความเห็นแก่ตัว อยากได้ อยากร่ำรวยของมนุษย์ส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็นเพียงเศษเสี้ยวของสังคมเท่านั้น"
" บุคคลเหล่านี้ เขาร่ำรวยด้วยอำนาจแห่งการบริหาร การปกครองมวลมนุษย์และอำนาจแห่งเงินตราที่สามารถบันดาลอะไรได้ตามใจปรารถนา เพื่อสนองกิเลศตัณหาตนเอง จนสภาพแวดล้อมธรรมชาติต้องหดหาย ขาดหวิ่น และไม่สามารถดำรงความสมบูรณ์อยู่ได้ จึงทำให้เกิดสภาพแปรปรวนของบรรยากาศ แวดล้อมต่าง ๆ ทั่วโลก เช่น ฝนตกไม่ถูกต้องตามฤดูกาล ฤดูฝนมีอากาศแล้ง ถ้ามีฝนตกจนท้วมนองทำร้ายผู้คน พายุรุนแรง ชักนำฝนและอันตรายต่าง ๆ มาสู่มวลมนุษย์ " ปูรำพึงกับตนเอง
" มนุษย์พยายามคิดเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อเอาชนะธรรมขาติ เช่น เครื่องจักรกลต่าง ๆเครื่องมือสื่อสาร เครื่องผ่อนแรง ตลอดถึงการอำนวยความสะดวกต่าง ๆ แต่สำรับธรรมชาติแล้วมีความเก็บกด และปวดร้าวต่อการกระทำของมวลมนุษย์ อย่างทรมานมานานนับศัตวรรตแล้ว " ปูรำพึง
" มนุษย์ไม่เคยนึกถึงความเจ็บปวดของธรรมชาติทั้งหลาย มนุษย์ยังทำร้ายธรรมชาติด้วยความโหดเหี้ยมทารุณตลอดมา เช่น การถางป่า การระเบิดหิน การทำสิ่งสกปรกลงท้องน้ำ " ปูคิดไปเรื่อย ๆ
"นานแสนนานที่ป่าหมดสิ้นไป ความชุ่มชื่นถูกกวาดไปจากพื้นที่ไปนานแล้ว จากไม่มากน้อยจนมีมากมหาศาล ทำให้พื้นที่แห้งแล้ง อากาศก็ร้อน อากาศเย็นเข้าแทนที่อากาศแล้วเกิดเป็นพายุหมุน การเปลี่ยนแปลงของอากาศ บรรยากาศ ฤดูกาล ต่าง ๆ ก็เปลี่ยนไป " ปูกล่าวต่อ
" ขณะนี้น้ำแข็งขั้วโลกกำลังละลาย น้ำจากขั้วโลกก็จะไหลลงมาท้วมโลก มิวันใดวันหนึ่งการที่มนุษย์ดูดน้ำจากภายในโลกมาใช้นั้นก็จะสร้างความปวดร้าว บาดเจ็บสุดทรมานให้แก่มวลมนุษย์ เช่นเดียวกับการดื่มน้ำแข็งจากแก้ว โดยใช้หลอดดูดจากพื้นล้างสุดของแก้ว ทำให้น้ำในแก้วลดระดับต่ำลงมา น้ำก็จะแห้งขอด เช่นเดียวกัน ถ้าดูดน้ำบาดาลออกหมด พื้นหน้าดินก็จะแห้ง ถ้ามีฝนตกทดแทนก็จะเป็นความร่มเย็นของธรรมชาติ " ปูรำพัน
" เมื่อไม่มีน้ำมาทดแทน ทำให้น้ำในแอ่งใต้ดินแห้งเป็นโพลง ถ้าพื้นดินด้านบนทนน้ำหนักไม่ไหว ก็จะเกิดการเลื่อนของเปลือกโลกเข้ามาทดแทนที่ จะทำให้มีการเคลื่อนไหวของพื้นดินเกิดเป็นแผ่นดินไหว เกิดการเลื่อนของผิวดินและอาการอื่น ๆ ช่างน่าเป็นห่วงมนุษย์ยิ่งนัก " ปู
"เมื่อป่าหมด ฝนไม่ตก ถ้าฝนตกลงมา ไม่มีสิ่งขวางกั้น น้ำมันก็ไหลลงมาอย่างเร็ว รุนแรง ทำให้สิ่งต่าง ๆ ที่กีดขวางหักโค่นล้ม ได้รับอันตราย" ปู
" แม่ แม่ " ปูเรียกเสียงสั่น
" นึกได้ว่าเย็นวานนี้ แม่ได้ไปเยี่ยมหลาน ซึ่งเป็นลูกพี่สาวอยู่ท้ายบ้านไม่ห่างกันมากนักและตั้งใจค้างคืนที่โน้นด้วย จึงให้ฉันอยู่เฝ้าบ้าน " ปูรำพัน
" เราเป็นห่วงแม่เหลือเกิน เห็นสภาพระดับน้ำแล้ว คงจะเดินไม่ไหว แม่ แม่จ๋า ปูรักแม่ และเป็นห่วงแม่มาก" ปูรำพึง
ปูระลึกจากสำนึกภายในชั่วครู่นั้นจึงรีบวิ่งลงไปชั้นล่าง มีน้ำเข้ามาเต็ม ข้าวของจมหมด มีหม้อข้าวหมุนวนไปมา กระแทกกันดุจการแข่งขัน ประเภทการแข่งม้ามีเสียงกระทบพื้นตลอดเวลา ดุจเสียงเครื่องใช้กระทบกันและกระทบพื้น ข้าวของต่าง ๆ ก็ลอยไปกับน้ำและหายไปในความมืด มองเห็นว่ามันลอยไปไกล ๆ หรือจมไปกับกระแสน้ำ
ทันใดนั้นบ้านมีอาการโครงเครงและฝาบ้านก็หลุดไป ข้าวของต่าง ๆ ก็ลอยไปกับน้ำ และหายไปในความมืด มองเห็นว่ามันลอยไปไกล หรือจมไปกับกระแสน้ำ
ปูกระโดดลงไปในน้ำ ไม่สามารถทานแรงน้ำได้ น้ำเพียงแค่อกหรือคอ ก็ลอยไปตามกระแสน้ำ ดุจมีคนมากระชากไปสู่ตะแลงแกง ใจสุดสั่นด้วยความหวาดกลัว ด้วยสัญชาติญาณ ขอช่วยใครก็ไม่มีใครอยู่ช่วย ความเหน็บหนาว ต้องลอยไปตามกระแสน้ำระยะสั้น ๆ มือเกาะเสาต้นไม้ต้นหนึ่งได้ จึงเกาะกำแน่นและเวลาต่อมาถึงหาโอกาสปีนขึ้นจากน้ำ
" ความแรงของกระแสน้ำ ไม่สามารถจะยกตัวขึ้นจากน้ำได้ ความเหน็บหนาวก็มีมากจนเหลือประมาณ ทำให้มือเท้าชา กายสั่น งก แข็งใจสู้ต่อดุจพระมหาชนก ความหนาวสั่นยังจู่โจม ฉันเรื่อยมา ใจว้าวุ่นคิดว่าคงจะตายในครั้งนี้แน่ " ปูอุทานในใจ
ฝาของอาคารส่วนล่างถูกกระแสน้ำกระชากลากดึงไปหมด ปูเห็นบันไดขึ้นชั้นบนยังมีอยู่ จึ่งปล่อยตัวจากเสาลอยไปกระแทกบันไดอย่างแรงแต่ก็สามารถคว้าไว้ได้ ใช้ความพยายามออกแรงฉุด จึงสามารถดึงร่างขึ้นเหนือน้ำได้ ก็โล่งอกไปที ปูกลับขึ้นไปบนบ้านาได้อีก
ปูเปลี่ยนเสื้อผ้าซึ่งอยู่ในตู้สร้างความอบอุ่นให้แก่ร่างกาย ความอบอุ่นได้ทยอยเข้าสู่ผิวหนัง แต่ก็ไม่สามารถขับไล่ความหนาวที่กระโจนเข้าใส่อย่างเมามันและรุนแรงให้ออกไปได้หมด
แต่ก็อบอุ่นขึ้นมาก
" เราอยู่เพียงลำพัง พี่ชายก็ไม่อยู่ ไม่รู้ว่าพี่ท่านอยู่ที่ไหน และเป็นอย่างไรบ้าง ต้องประสบกับอุทกภัยจากวสันตฤดูหรือไม่ แต่ก็อดที่จะห่วงใยไม่ได้" ปูบ่นกับตนเอง
" แม่ละ ท่านไปอยู่กับพี่สาวอีกคน จะเป็นอย่างไรบ้าง ถ้ามีเรือสักลำหนึ่งก็แล่นไปเยี่ยมหาแม่ และให้การคุ้มครองแม่ให้ปลอดภัยและไม่เป็นอันตรายใด ๆ" ปู
ฝนกระหน่ำลงมาอย่างแรง ลมกรรโชคอาคารโยกไปโยกมา เสียงคร่ำครวญคราง อย่างน่าสงสาร น่าเวทนา เสียงลม เสียงฟ้า ดังสั่นไหว ใจฉันก็สนั่นหวั่นไหวสยิวด้วยความทุกข์ทรมาน ในขณะคิดถึงแม่ผู้บังเกิดเกล้า
" แม่จ๋า แม่อย่าเป็นอันตรายนะ แม่จ๋าลูกขออภัยด้วย ที่ในยามคับขัน ลูกไม่สามารถดูแลและคุ้มครองแม่ได้ แม่จ๋า ชีวิตของลูกจะเป็นอย่างไรก็ช่าง ขอให้แม่มีชีวิตอยู่รอดเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของลูก ๆ หลาน ๆ ต่อไปตราบนานเท่านาน" ปูรำพึง
เสียงฟ้าร้องฟ้าแลบแปลบเพรี้ยงสว่างเป็นทางยาว ผสมกันระหว่างเสียงคำรามและแสงแวบวาบดั่งสนั่นก้องป้าพงไพร ต้นไม้โยก เอนไปเอนมา ด้วยอำนาจแห่งความพิโรธของพระพายเจ้า บางต้นโอนตัวไปมาบางครั้งโน้มเกือบถึงดิน บางต้นต้านไม่ไหวก็ล้มครืนถูกสายน้ำกระชากลากถูอย่างไร้ความเมตตาปราณี กระทบโน้นกระทบนี้ ต่างร้องโอดครวญครางด้วยความเจ็บปวดแขนขาขาดหักสะบั้น เป็นที่น่าเวทนายิ่งนัก
" พรึม " ทันใดนั้นต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งถูกสายลมกระแทกอย่างแรง จนสุดจะต้านทานได้ก็เสียหลักล้มครืนลงมา ทำให้ต้นไม้ในบริเวณนั้นที่พยายามต่อต้านและโยนตัวโอนอ่อนผ่อนตามกระแสลมมาเป็นเวลานาน เมื่อถูกล้มทับก็จำเป็นต้องเสียหลักล้มลงระเนระนาดเช่นกัน เสียงโอดครวญเหล่านั้นดังเซ่งแซ่ไปถึงชั้นสวรรค์ เทพองค์ใดจะมาช่วยหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับบุญบารมีของมวลพฤกษชาติเหล่านั้น
ด้วยแรงกระแทกของน้ำหนักต้นไม้ที่โค่นลงมา ทำให้น้ำกระเพื่อมเป็นคลื่นลูกใหญ่ทะยอยเข้าปะทะกับบ้านจนฝาชั้นบนพัง ทำให้เสื้อผ้าของปูเปียกน้ำหมด ตู้ผ้าล้มระเนระนาด ความหนาวคงจะทำให้หนาวตายกระมัง ปูเองล้มลงสามารถจับเสาไว้ได้ จึงมีชีวิตอยู่รอดอีกครั้ง
ความกลัวนั้นมันมีขีดจำกัด ที่สุดทำให้ผวาตื่นจนซมซาน เวลาผ่านไปเสียงดังกึกก้อง อาคารสั่นไหวสะท้านสะเทือนเหมือนกับสิ่งต่าง ๆ ไหลผ่านมาตามกระแสน้ำ เห็นเหมือนสัตว์ต่าง ๆ ลอยน้ำมา พวกมันประสบกับความทุกข์ลำบาก เสียงกระทบกระทั่งกันของกระแสน้ำทำให้พรั่นพรึงจนผวาและหวาดกลัวเป็นที่สุด
หากต้นไม้ไม่ล้มทับเราคงไม่ตาย ถ้าบ้านล้มหรือพังไปกับกระแสน้ำเราจะทำอย่างไร เราจะเป็นเช่นพระมหาชนก
หรือไม่ เราจะเกาะอะไร นางเมฆลาจะมาช่วยเราหรือไม่ ความคิดสาละวนด้วยความหนักอึ้งในสมอง
ท้องฟ้ากระจายฝนเริ่มหยุด แสงจันทร์สอดแทรกลงมาระหว่างเมฆ เป็นสื่อให้มองเห็นภาพลาง ๆ
งูตัวหนึ่งกำลังเลื่อยเข้ามาใกล้ปู เธอไม่เคยคิดที่จะทำร้ายมัน อยากจะช่วยมันในยามทุกข์ยากจะได้มีชีวิตรอดด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น แต่ปูก็เกิดความกลัวกระหน่ำคลอบคลุมทั่วเรือนร่างและหัวใจของเธอ ชีวิตใครก็ชีวิตมัน ปูกลัวงูจะฉกกัดเอา กลัวว่าจะเป็นดั่งเรื่องชาวนากับงูเห่า ถ้างูมันระแวงและกัดฉันความเป็นคนของฉันก็คงจบสิ้น มันก็หนีตายซมซานมาเพื่อการอยู่รอด ชีวิตเราเอาก็ยังไม่แน่นอน
" ช่างเขาเถอะปล่อยให้เขาอยู่ของเขาไปอย่างนี้ก็ดีแล้ว "
งูก็เลื้อยเข้ามาใกล้ปูเรื่อย ๆ ตาของมันวาวเป็นประกายเมื่อกระทบกับแสงจันทร์ กระแสลมก็คลายความรุนแรงลงอาคารและยอดไม้ชะลออาการไหวโยก ปูเห็นไม้กวาดวางอยู่ใกล้ ๆ จึงหยิบขึ้นมาถือและชี้ปลายไปทางงูเพื่อให้มันเบนหัวไปทางอื่น จะไม่เป็นอันตรายกับเธอเอง งูก็ยกหัวขึ้นมาส่งเสียงฟูคำรามทันที ปูตกใจใช้ไม้แกว่งที่งูและหลุดมือไปนอกอาคารทางหน้าต่างทั้งงูและไม้กวาด พร้อมกัน ตกลงในน้ำ ๆ ก็นำทั้งสองอย่างจากไป แต่หัวใจของปูนึกถึงความเหน็บหนาวของงูและชีวิตของงูด้วยความเสียใจ แทนที่จะได้ช่วยเหลือเขากลับเป็นการฆ่าเขาโดยมิได้ตั้งใจ ช่างเป็นบาปกรรมของเราจริง ๆ กรุณาอโหสิกรรมให้แก่เราด้วย เรามิได้มีเจตนาที่จะทำร้ายมัน แต่เป็นไปด้วยสัญชาติญาณแห่งการป้องกันตัว
ความกลัวจนลืมสติทำให้ชีวิตต้องจากไป เป็นตายร้ายดีคงจะเท่า ๆ กัน ถ้าเขาโชคดีคงจะมีชีวิตอยู่ ขออำนาจแห่งสิ่งศักดิ์สิทธ์จงดลบันดาลให้งูน้อยเจ้าปราศจากภัยและมีชีวิตอยู่ยงตลอดไป ถ้าเจ้าเสียชีวิตเราจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้
" ไม่ ไม่ เจ้าคงจะไม่ตายนะ ขอให้เจ้าปลอดภัยนะ"
ปูพยายามหลับตาลงเพื่อพักผ่อน แต่เสียงกึกก้องของกระแสน้ำไม่สามารถจะหลับตาลงได้ ร่วมทั้งความห่วงใยที่มีต่อคุณแม่และชีวิตเจ้างูเห่าตัวใหญ่นั้นด้วย มันร้อนรุ่มอยู่ในความคิดห่วงกังวลตลอดเวลา
คืนนี้ไม่มีเสียงขันของเหล่านกกาเหว่า และนก อื่น ๆ ซึ่งจะส่งเสียงทักทายเจื้อยแจ้วยามใกล้รุ่งของวันใหม่ ไม่มีแม้เสียงไก่ขัน มันคงจะกลัวสุดชีวิตเช่นกัน จนถึงกับลืมทำหน้าที่ปลุกปวงชนให้ออกไปประกอบอาชีพ
ใกล้รุ่งปูงีบหลับไปนิดหนึ่งด้วยความอ่อนเพลีย และหนาวเหน็บ เพราะบ้านของเธอมีเสาปูนที่แข็งแรง เธอจึงอยู่ได้แม้กระเบื้องจะถูกลมพัดกระจายไปคนละทิศคนละทางด้วยอาการเต้นระบำพลิ้วเริงระรื่นกับกระแสลม มีแต่เพดานบางส่วนเท่านั้นที่ช่วยเหลือคอยปกป้องให้เธออบอุ่นได้พอสมควร
ตื่นขึ้นมาน้ำเริ่มลด สามารถมองเห็นพื้นดินได้ ผักผลไม้ สลายหมด เป็ด ไก่ตายสิ้น
ด้วยความห่วงใยต่อแม่ ปูรีบลงจากบ้านไปบ้านพี่สาวแต่เช้า อยากจะรู้ว่าแม่อยู่ดีอย่างไร เมื่อไปถึงบ้านพี่สาว ไม่มีแม้แต่เสาบ้าน ทุกอย่างพังพิณและหายไปหมด แล้วแม่ละท่านอยู่อย่างไร พี่สาวไปไหน มันประดังเข้ามาด้วยปัญหาหลากหลายเกี่ยวกับแม่พี่สาว พี่เขยและหลาน ๆ ด้วยความห่วงใย บริเวณที่อยู่มีแต่พื้นดินเรียบ ต้นไม้ก็หายหมด แล้วจะเหลืออะไรละ
ปูเข่าอ่อน นั่งลงบนต่อไม้ที่โค่นแล้ว น้ำไม่สามารถพามันไปได้
"แม่ "
" แม่ แม่จากลูกไปแล้ว คงไม่มีใครช่วยแม่ได้" ปูร้องโฮออกมา ปากก็รำพันถึงแม่
" ลูกขออภัยแม่ด้วย ที่ไม่สามารถดูแลแม่ได้ แม่มีพระคุณต่อลูกมาก แม่ยิ่งใหญ่มาก ลูกรักแม่ บูชาแม่ ศรัทธาในความดีและพระคุณของแม่ แม่ทำทุกอย่างเพื่อลูก แม่ให้ชีวิตลูก แม่สละทุกอย่าง แรงกาย แรงทรัพย์ และแรงใจ เพื่อลูก แต่ ลูกช่วยเหลือแม่ไม่ได้ "
" ถ้าพี่สาวไม่ไปรับแม่มา แม่คงจะปลอดภัยอยู่กับฉัน "
" แม่ช่างโชคร้ายจริง ๆ "
" ศพของแม่อยู่ที่ไหนหนอ จะลอยไปถึงไหน จะพบศพแม่เมื่อไร ลูกสุดปวดร้าว ทุกข์ทรมานยิ่งนัก"
" แม่จ๋า ความดีของแม่ลูกจะจำไว้และทำทุกอย่างเพื่อแม่ ลูกจะพลีชีวิตเพื่อช่วยชาวบ้าน ทำงานเพื่อประชาชน ตามความประสงค์ของแม่ "
" ขอให้ดวงวิญญาณของแม่มีแต่ความสุข " ปูรำพันด้วยความทุกข์และอาลัยถึงแม่
เวลาผ่านไปเป็นนาที เป็นชั่วโมง จนใกล้สว่าง
" ปู ลูกแม่"
ปูหันไปมองรอบ ๆ "เราหูฝาดไปหรือเปล่า"
เสียงนี้สร้างความแปลกประหลาดใจให้ปูยิ่งนัก ปูมองไปรอบ ๆ มองทุกที่ที่สงสัยว่าเป็นต้นเสียง ดูหมดทุกหนทุกแห่งไม่เจอแม่ ไม่มีวี่แววแม้แต่น้อย จนอ่อนใจ
" หรือวิญญาณของแม่มาแสดงให้เรารู้ ให้เราเห็น ว่าท่านเป็นอย่างไร"
" ปู แม่อยู่นี่"เสียงแม่แว่วมา
เสียงแว่วมาอีกด้วยอาการสั่นเครือ ปูก็ไม่แน่ใจนักว่าเป็นเสียงของแม่ ปูพอจะจับทิศทางของเสียงที่แว่วมาได้ ก็วิ่งผ่านน้ำไปทิศทางนั้น เท้าตกลงไปในที่ลุ่ม ล้มลงจมน้ำสำลักและเปียกปอน ปูตะเกียกตะกายลุกได้ วิ่งไปตามแม่ต่อไปตามทางที่เสียงแว่วมา
" แม่ แม่จ๋า แม่อยู่ไหน"
เธอมุ่งตรงไปยังที่มาของเสียง ในทิศทางกระแสน้ำเชียวกราก ซึ่งเป็นที่อยู่ของจอมปลวกสองลูก มีพุ่มไม้กิ่งก้านปกคลุมหนาทึบ และมีต้นไม้ใหญ่อยู่ใกล้ ๆ ยืนเด่นเป็นสง่าสามารถต่อต้านแรงลมและน้ำได้
ทันใดนั้น
" ปู " เป็นเสียงครวญครางของแม่
"แม่ แม่อยู่ไหน " ปูดีใจมากเรียกชื่อแม่ด้วยความตื่นเต้น
" บนยอดไม้นี่ ลูก" แม่บอกด้วยเสียงแหบ ๆ สั่นเครือ
" แม่ขึ้นไปอยู่ได้อย่างไร"
" แม่ก็ไม่รู้"
" มันรกกิ่ง ใบหนามีหนามด้วย แม่ไปอยู่ได้อย่างไร"
" อย่าถามเลยลูก ช่วยแม่ก่อนเถอะ"
" แม่จ๋า ปูจะนำแม่ลงมาได้อย่างไรนี่"
ปูร่ำไห้โฮ และสะอื้นดัง ๆ ด้วยความว้าวุ่นในยามราตรีที่น้ำหลากเช่นนี้
...................................
เมื่อวันที่ : 03 พ.ค. 2558, 19.20 น.
ผู้อ่านที่รัก,
นิตยสารรายสะดวก และผู้เขียนยินดีรับฟังความคิดเห็นต่อข้อเขียนชิ้นนี้
เชิญคลิกแสดงความเห็นได้โดยอิสระ ขอขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ในการมีส่วนร่วมของท่านในครั้งนี้...