...ถ้าคนที่มีสติสัมปชัญญะดีจะมีค่าเท่ากับหนึ่งบาท รื่นคงจะมีค่าไม่เกินห้าสิบสตางค์ ทั้งยังเป็นใบ้อีกด้วย เธอคิดว่าตัวเองเป็นนางงาม ว่ากันว่าแม่ของรื่นทิ้งเธอไว้กับยายตั้งแต่ยังแบเบาะที่กระต๊อบข้างทางรถไฟ...


“แม่ตายแล้วนะ ! เมื่อคืนนี้เอง เราจะสวดสามวันแล้วเผา .. นิมนต์หลวงพี่มางานศพแม่ด้วย” โยมน้องชายโทรศัพท์ไปบอกเมื่อวานนี้ที่วัดในกรุงเทพซึ่งพระมหาบุญรอดจำพรรษอยู่มาตั้งแต่ครั้งเป็นสามเณร

นี่คือความจำเป็นที่จะต้องกลับมาบ้านเกิด พระมหาบุญรอดตั้งใจไว้ตั้งแต่ขามาแล้วว่า การกลับบ้านครั้งนี้จะเป็นการกลับบ้านครั้งแรกและสุดท้าย ! บ้านใกล้ทางรถไฟที่เป็นบ้านเกิด นี่ถ้าไม่ใช่เพื่อมาเผาศพโยมแม่ก็คงจะไม่มา เพราะไม่อยากยึดติดกับอะไรอีกแล้ว ด้วยไม่มีพันธะใดๆที่ค้างคาอยู่ที่บ้านเกิดอีกรวมทั้งที่ไหนๆด้วย ใจจึงมุ่งมั่นแต่การปฏิบัติธรรมเพื่อการหลุดพ้นจากสงสารวัฎเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ยังมีภาพๆหนึ่งซึ่งตามหลอกหลอนอยู่บ้างเป็นครั้งคราวตลอดเวลากว่าสิบแปดปีนับแต่บรรพชาเป็นสามเณรและอุปสมบทเป็นพระต่อมา รู้สึกว่าจะเป็นมลทินใหญ่อย่างเดียวในชีวิตที่พระมหาบุญรอดมีอยู่ ! ...

คืนนั้นเมื่อสิบแปดปีที่แล้ว บริเวณสถานีรถไฟเล็กๆใกล้บ้านแห่งนี้ ที่ชานชลาด้านหน้าสถานี มีไฟนีออนเปิดสว่างอยู่เพียงดวงเดียวแต่ไม่มีผู้คนเลย รถด่วนและรถเร็วรวมทั้งรถสินค้าไม่จอดที่สถานีนี้ รั้วมะขามเทศสูงแค่อกยังถูกตัดเรียบเป็นแนวยาวจากป้ายชื่อสถานีด้านเหนือไปจนถึงป้ายชื่อสถานีทางด้านใต้ หลังรั้วมะขามเทศเป็นลานหินคลุกสีเทา มีกองไม้หมอนเก่าเรียงรายก่ายกันรอการขายเลหลังสูงท่วมหัวอยู่หลายกอง มันกองอยู่อย่างนี้มาเป็นปีๆแล้ว บรรยากาศเมื่อสิบแปดปีที่แล้วกลับเข้ามาอยู่ในความคิด พระมหาบุญรอดให้ประหวั่นใจ ! ...

...สองทุ่มกว่าคืนวันนั้น นายบุญรอด หนุ่มวัยสิบแปดนอนคว่ำอยู่ในซอกเล็กๆของกองไม้หมอนเก่าที่กองเรียงก่ายกันสูงท่วมหัวดำตะคุ่ม เป็นกำแพงอยู่รอบกายที่เปลือยเปล่า ! ใต้ร่างของเขาเป็นร่างหญิงสาวคนหนึ่ง เปลือยเปล่าเหมือนกัน นอนหงายนิ่งเฉยเหมือนไม่รู้สึกรู้สมอะไรกับหนุ่มวัยสิบแปดที่กำลังมีกามกิจเป็นครั้งแรกในชีวิตอยู่บนร่างของเธอ ! มีเสียงหวูดรถไฟดังมาแต่ไกลจากทางเหนือ แล้วขบวนรถก็วิ่งผ่านสถานี ผ่านกองไม้หมอนที่ดำตะคุ่มอยู่หลังแนวรั้วมะขามเทศ เสียงล้อรถบดกับรางดังกึงกังๆ ! เป็นสักขีพยานให้กับเมถุนครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิตของบุญรอดหนุ่มวัยสิบแปด แสงจากหน้าต่างรถไฟที่วิ่งผ่านสาดแว๊บๆลงมาตรงซอกของกองไม้หมอนที่มีชายกับหญิงคู่นั้นนอนเปลือยกายอยู่ ไม่กี่อึดใจรถไฟขบวนนั้นก็วิ่งผ่านพ้นเขตสถานีไปทางใต้ มันเป็นรถด่วนสายเหนือขาล่องที่มาจากสถานีต้นทางที่เชียงใหม่ ! ...

ถ้าผู้หญิงจะไม่มีวันลืมผู้ชายคนแรกในชีวิตของเธอ ผู้ชายคนที่ชื่อบุญรอดก็ไม่อาจจะลืมผู้หญิงคนแรกได้เช่นกัน ... แม้ว่าผู้หญิงคนนั้นจะชื่อว่า “รื่น” หรือ “อีรื่นสเตนเลส” อย่างที่ใครๆแถวนี้เรียกกัน

ที่งานสวดศพของโยมแม่ในคืนนี้ซึ่งเป็นวันแรกที่มาถึง พระมหาบุญรอด เกือบจะไม่รู้จักใครเลย ! นอกจากญาติสนิททางแม่ไม่กี่คน ญาติทางโยมพ่อไม่มีใครมาเพราะโยมพ่อเป็นคนจังหวัดอื่นและตายจากไปตั้งแต่พระมหาบุญรอดยังเล็กจึงขาดการติดต่อกันกับญาติทางพ่อตั้งแต่นั้นมา เพื่อนๆสมัยเด็กที่เคยเล่นด้วยกันมาจนกระทั่งถึงวัยหนุ่มก็ไม่เห็นมีใครมาในงาน คงจะมีลูกมีเมียและแยกย้ายกันไปอยู่ที่อื่นหมดแล้ว...

เมื่อสิบแปดปีที่แล้ว เมื่อนายบุญรอดไปอาศัยอยู่ที่กุฏิพระซึ่งเป็นญาติที่วัดในกรุงเทพ เพื่อจะเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย ได้บวชเป็นสามเณรที่วัดนี้ตามที่แม่ขอก่อนวันมอบตัวเพียงเดือนเดียว และตรงนี้เองที่เป็นจุดเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของชีวิตที่ทำให้นายบุญรอด กลายเป็นพระมหาบุญรอด ป. ๓ ...

บุญรอดไม่ได้สึกอีกเลย อธิบายให้กับตัวเองและโยมแม่ไม่ได้ว่าทำไมจึงไม่ยอมสึก รู้แต่ว่าได้พบสิ่งใหม่ที่ถูกกับจริตของตนเอง สามเณรบุญรอดไม่ได้ไปลงทะเบียนมอบตัวเข้าเป็นนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยซึ่งใครๆก็อยากจะเข้าไปเรียน และเมื่ออายุครบยี่สิบปีก็ได้อุปสมบทเป็นพระที่วัดเดิมนี้ต่อไป

พระมหาบุญรอดไม่ได้กลับมาเยี่ยมบ้านอีกเลยหลังจากบวชเป็นสามเณร มีก็แต่โยมแม่เท่านั้นที่เดินทางลงมาเยี่ยมที่วัดในกรุงเทพ แต่ก็หลายๆปีครั้งหนึ่ง ดูเหมือนได้ตัดไปหมดสิ้นแล้วซึ่งเรื่องทางโลก มุ่งศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยจนได้เปรียญธรรม ๓ ประโยคเมื่ออายุยังไม่ถึงสามสิบ และก็ยุติการเรียนปริยัติธรรมที่ต้องมีการสอบตั้งแต่นั้นมา แต่ได้มาศึกษาทางวิปัสสนาอย่างจริงจังแทน ทั้งได้ออกธุดงค์ทุกปี หวังความหลุดพ้นจากกามภพที่มีแต่ความทุกข์ ไม่ได้ยึดติดกับสิ่งใดๆอีก ... พรหมคงลิขิตชีวิตไว้เช่นนี้ !

สมัยเรียนอยู่ชั้นประถม เด็กชายบุญรอดจะเล่นซนตามประสาเด็กกันกับเพื่อนๆอยู่แถวข้างทางรถไฟใกล้ๆบ้านนี่เอง หน้าฝนในวันหยุดเรียนพวกเด็กๆจะเอาเบ็ดไปตกปลาที่สะพานรถไฟตรงที่ลำเหมืองสายใหญ่ไหลลอดใต้สะพานรถไฟออกสู่ท้องทุ่งกว้างทางตะวันออก คอยตกปลาหมอ ปลาตะเพียน บางทีก็พากันแอบไปหักฝักบัวที่ชาวบ้านปลูกไว้ในคลองข้างทางรถไฟกินกัน ครั้นสิ้นหน้าฝนน้ำงวดลง เด็กๆก็ช่วยกันวิดน้ำจับปลาที่ตกค้างตามแอ่งน้ำข้างทางรถไฟ และในหน้าแล้งก็จะทำว่าวเล่นกันแถวนี้ เพราะข้างทางรถไฟไม่มีต้นไม้เกะกะสายป่าน ความซุกซนของเด็กๆเป็นไปตามฤดูกาล เด็กๆรู้จักทุกซอกทุกมุมของสองข้างทางรถไฟในละแวกนี้ดี

พระที่มาสวดอภิธรรมกลับวัดไปหมดแล้ว แต่งานศพยังไม่เลิกรา ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินยิ้มเข้ามาในงานท่ามกลางแขกกลุ่มหนึ่งที่กำลังกินอาหารว่างรอบดึกกัน บ้างก็ร่ำสุราที่เจ้าภาพแอบเตรียมไว้และคุยกันอยู่เสียงจ๊อกแจก หนุ่มคนนั้นนุ่งกางเกงและใส่เสื้อสีกากีคล้ำอย่างตำรวจแต่ก็เก่ามาก บนบ่าข้างหนึ่งมีดาวเงินแปดแฉกอยู่สองดวง แต่อีกข้างหนึ่งกลับมีเพียงดวงเดียว และที่แขนข้างซ้ายมีบั้งนายสิบตำรวจอยู่ด้วย ที่เอวมีปืนพกเด็กเล่นพลาสติกสีชมพูสดใสเหน็บอยู่ !

ตำรวจประหลาดยิ้มกับทุกคนแล้วเข้าไปหยิบจานอาหารมาตัก ไม่มีใครแปลกใจกับเขาเลยนอกจากภิกษุบุญรอดซึ่งเป็นลูกของผู้ตาย ... มีเสียงเฮมาจากวงไฮโลใต้ถุนยุ้งข้าวข้างบ้าน ใครคนหนึ่งคงแทงถูกจนได้เงินก้อนใหญ่จากเจ้ามือ
ก่อนที่จะตักอาหารใส่จาน ตำรวจประหลาดคนนั้นหันมามองมายังภิกษุหนุ่มใหญ่ที่มาจากกรุงเทพแล้วก็ยิ้มให้ สายตาเขาช่างประหลาดเสียจริง ! พระมหาบุญรอดรู้สึกอย่างนั้น !

“ใครนะน้อง ?” พระหมาบุญรอดหันไปถามน้องชาย

“ไอ้แดง คนสึ่งตึง มันอยากเป็นตำรวจทั้งที่บ้าไบ้ “

“แล้วบ้านเขาอยู่ที่ไหน ?”

“ก็อาศัยอยู่ที่วัดมาตั้งแต่ยังเด็กนะครับหลวงพี่ ?” โยมน้องตอบแล้วก็บอกต่อไปอีกว่า

“ก็ลูกอีรื่นไงหลวงพี่ ! อีรื่นสเตนเลสนะ จำได้ใหม ? อีรื่นมีท้องหลังจากหลวงพี่ลงไปกรุงเทพได้ไม่นาน ไม่รู้ใครเป็นพ่อ พอออกลูกได้สองสามเดือนมันก็ตาย ยายของมันจึงต้องเลี้ยงเหลนทวดต่อมาจนถึงห้าขวบ พอยายทวดตายกำนันพงศ์ก็เอาไปฝากท่านพระครูที่วัดให้เลี้ยงเป็นเด็กวัดต่อ มันก็เลยอยู่ที่วัดมาจนทุกวันนี้ ”

พระมหาบุญรอดรู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว นึกถึงเหตุการณ์เมื่อสิบแปดปีที่แล้วอีกครั้ง ... เหตุการณ์ที่ข้างกองไม้หมอนเก่าหลังชานชลาสถานีรถไฟ !...
สมัยนั้นชาวบ้านละแวกนี้ไม่มีใครไม่รู้จัก “รื่น” หญิงวัยรุ่นคนหนึ่ง แม้จะไม่สวยแต่ก็ไม่ขี้เหร่ เธอเปล่งปลั่งอย่างที่สาววัยรุ่นทั่วๆจะพึงเป็น รื่นแต่งตัวด้วยเสื้อกระโปรงสีฉูดฉาด แต่งหน้าทาปากอย่างที่คิดว่าสวย รื่นจะอุ้มตุ๊กตาผ้าตัวหนึ่งเดินอยู่ตามริมถนนแถวตลาด และเมื่อผ่านร้านขายของที่มีกระจกกั้นหน้าร้าน เธอจะหยุดดูเงาสะท้อนของตัวเองแล้วยิ้ม เอามือลูบผมแล้วจัดเสื้อกระโปรงเสียทีหนึ่งก่อนที่จะอุ้มตุ๊กตาเดินยิ้มคนเดียวต่อไป

ถ้าคนที่มีสติสัมปชัญญะดีจะมีค่าเท่ากับหนึ่งบาท รื่นคงจะมีค่าไม่เกินห้าสิบสตางค์ ทั้งยังเป็นใบ้อีกด้วย เธอคิดว่าตัวเองเป็นนางงาม ว่ากันว่าแม่ของรื่นทิ้งเธอไว้กับยายตั้งแต่ยังแบเบาะที่กระต๊อบข้างทางรถไฟ ส่วนพ่อไม่ปรากฏ ! ยายของรื่นจะเดินไปรับข้าวก้นบาตรที่วัดทุกวันเอามากินกับหลานสาว ชีวิตสองยายหลานอยู่มาได้ก็ด้วยข้าวก้นบาตรจากวัดนี่แหละ

รื่นจะไปตามงานศพ งานแต่งงานและงานขึ้นบ้านใหม่ที่จัดขึ้นในละแวกนี้เสมอเพื่ออวดเสื้อผ้าที่เธอคิดว่าสวยและเพื่อกินข้าวปลาอาหารที่เขาเลี้ยงแขกในงาน และก่อนกลับเธอจะไม่ลืมห่ออาหารเอาไปฝากยายที่กระต๊อบด้วยทุกครั้ง ! ... ไม่มีบ้านไหนรังเกียจเธอ

รื่นเริ่มมีเสื้อผ้าใหม่ๆใส่เพิ่มขึ้นจนเป็นที่ผิดสังเกต และมีสร้อยคอ สร้อยข้อมือเก๊ๆใส่จนดูรุงรัง มีข่าวว่าพวกผู้ชายวัยรุ่นจะแอบชวนรื่นไปนอนด้วยเมื่อเธอกลับจากงานตอนกลางคืน พวกเขาจะเอาเสื้อผ้าสีฉูดฉาดราคาถูกๆไปล่อเธอ บางทีก็ใช้สร้อยเก๊ล่อ แล้วก็พารื่นไปนอนด้วยตามศาลาในโรงเรียนบ้าง ในห้องเรียนที่เปิดทิ้งไว้บ้าง บางทีก็ตามสุมทุมพุ่มไม้ข้างทางรถไฟ ส่วนพวกขับรถสองแถวจะใช้รถของตัวเองรับรื่นไปจอดตามที่เปลี่ยวลับตาคน เป็นที่รู้กันทั่วทั้งตำบล ! และนี่เองที่ชาวบ้านให้สมญาเธอว่า “อีรื่นสเตนเลส” ! ....

ในบรรดาเพื่อนสนิทแถวบ้านข้างทางรถไฟที่เล่นกันมาตั้งแต่เด็กจนเป็นหนุ่ม มีบุญรอดเพียงคนเดียวที่เรียนหนังสือดีและเรียนจนจบชั้น ม.ศ. 5 ยิ่งกว่านั้นยังสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงในกรุงเทพได้อีกด้วย

“ผมจะเรียนกฎหมาย ผมอยากเป็นผู้พิพากษา” บุญรอดหนุ่มน้อยบอกกับแม่ ในขณะที่เพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันในละแวกข้างทางรถไฟต่างก็ทำงานกันหมดแล้วตั้งแต่จบ ม.ศ. 3

...ชัย อยากจะเรียนต่อช่างกลแต่พ่อไม่มีเงินส่ง ถึงกระนั้นชัยก็ยังได้ทำงานช่างที่ชอบ เขาไปเป็นลูกจ้างที่อู่ซ่อมรถข้างตลาดได้สองปีแล้ว ชัยยกเครื่องรถได้แทบทุกชนิด ...นิดเรียนต่อไม่ไหว หัวไม่ดีเอามากๆ พ่อก็เลยให้ช่วยงานที่ร้านขายของชำในตลาด ... เทพหนุ่มรุ่นใหญ่กว่าทุกคนถึงสี่ปีซึ่งเป็นหัวโจกเสมอในการเล่นแผลงๆก็ขับรถสองแถวหากินอยู่แถวๆนี้มาหลายปีแล้วเช่นกัน...

“เอ้า ! ลองดูสิท่านผู้พิพากษา !” เทพส่งแก้วเหล้าให้นายบุญรอดหนุ่มน้อย

“ไม่ต้องกลัวครูตีหรอกโว้ย นายจะเป็นนักศึกษาแล้วไม่ใช้นักเรียน” เพื่อนอีกคนช่วยสนับสนุน

นี่คือเหล้าแก้วแรกของบุญรอดที่ร้านเหล้าก๊งเล็กๆ ในซอยใกล้ตลาดในคืนสุดท้ายก่อนที่บุญรอดจะลงไปกรุงเทพ เพื่อนสนิทสองสามคนชวนบุญรอดมาเลี้ยงส่ง คืนนั้นบุญรอดรู้สึกว่าเขาไม่ใช่นักเรียนอีกต่อไปแล้วจริงๆ แต่เป็นผู้ใหญ่อย่างที่เพื่อนคนนั้นบอก

แล้วเรื่องสัพเพเหระที่คุยกันของกลุ่มวัยรุ่นก็มาจบลงที่รื่น เรื่องราวของรื่น สเตนเลสถูกนำมาเล่าขานกันอย่างตื่นเต้น เป็นการยืนยันถึงข่าวที่หนุ่มน้อยบุญรอดเคยได้ยินมา

“เขาว่าอีรื่นชอบกระโปรงสีแดงมากกว่าสีอื่น ถ้าเอากระโปรงแดงไปล่อละก็ไม่ผิดหวัง รับตัวไปได้เลย” คนหนึ่งพูดขึ้น

“เฮ้ย ! เทพนายก็เคยรับอีรื่นไปนอนมาแล้วไม่ใช่หรือ ? ” อีกคนถาม มีเสียงเฮ ตามมา

“เขาว่ามันไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรหรอก ขอให้เอาเสื้อผ้าสวยๆไปล่อมันก็ยอมไปนอนด้วย” ใครคนหนึ่งเสริมเรื่องของรื่น

“มันก็คงชอบด้วยนั่นแหละ” มีคนเสริมไปอีกทางหนึ่ง

แล้วจากนั้นแต่ละคนซึ่งเป็น “คนทำงานแล้ว” ต่างก็งัดเรื่องเกี่ยวกับเมถุนที่ตัวเองมีประสบการณ์มาเล่าแลกเปลี่ยนสู่กันฟังอย่างครื้นเครง

เทพหนุ่มสองแถวหัวโจกค่อยเอียงหน้าเข้ามาใกล้บุญรอด

“นายเคยหรือยัง ? ” เทพแอบกระซิบถามบุญรอดเบาๆเป็นการส่วนตัว

“จะไปเป็นนักศึกษาที่กรุงเทพทั้งที อย่าให้เขาดูถูกเอาได้ว่าโตแล้วยังไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร ... เดี๋ยวเราจัดการให้ ไม่ต้องให้ไอ้พวกนี้รู้ !” เทพกระซิบต่อ

เหล้าเพียงสองสามแก้วซึ่งเป็นครั้งแรกในชีวิต กับเรื่องเล่าเคล้าโลกีย์ที่ได้ฟังเพียงพอแล้วที่จะปลุกสัญชาติญาณมืดของหนุ่มวัยสิบแปดขึ้นมา

และเมื่องานเลี้ยงเล็กๆตามประสาวัยรุ่นเลิกรา บุญรอดก็ไปรออยู่ที่หลังสถานีรถไฟตามที่เทพนัดด้วยใจที่เต้นระทึก... ทั้งอาย ! ...ทั้งกลัว ! แต่ก็อยากลอง !

รถสองแถวคันหนึ่งเปิดเพียงไฟหรี่เท่านั้นแล่นโขยกเขยกไปตามถนนลูกรังที่เป็นหลุมเป็นบ่อเข้ามาตรงที่นัดกัน ที่ลานไม้หมอนเก่า หลังสถานีรถไฟ ! ...

เทพจูงมือรื่นมาส่งให้บุญรอด นอกจากตุ๊กตาผ้าขะมุกขะมอมในอ้อมกอดแล้ว เธอยังหิ้วถุงอาหารที่เอามาจากงานศพมาด้วยถุงหนึ่ง เป็นครั้งแรกที่หนุ่ม บุญรอดได้ถูกเนื้อต้องตัวสาว ...ใจสั่นด้วยความตื่นเต้น เขาจูงมือรื่นไปที่ซอกเล็กๆที่มืดสลัวแห่งหนึ่งระหว่างกองไม้หมอนเก่าสูงท่วมหัวตามคำแนะของนำของเทพ ที่พื้นมีเสื่อเก่าๆปูอยู่ผืนหนึ่ง...

แล้วครั้งแรกในชีวิตของหนุ่มบุญรอด ก็ดำเนินไประหว่างกองไม้หมอนเก่า บนเสื่อเก่า มันดูประดักประเดิด ตื่นเต้น ตื่นกลัว มีความสุข ! สลับกันไปมา ... ชั่วขณะนั้นมีขบวนรถไฟวิ่งผ่านหน้าสถานีเป็นสักขีพยานให้ด้วย ใช่แล้วก่อนสองทุ่มหน่อยหนึ่ง รถด่วนนครพิงค์ขาล่องเข้ากรุงเทพ ! เสียงล้อรถบดกับรางดังกึงกังๆ กึงกังๆ ผ่านข้างกองไม้หมอนหลังรั้วมะขามเทศที่บุญรอดกำลังมีประสบการณ์อยู่กับเมถุนครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิต !

... หนุ่มบุญรอดเดินพารื่นไปส่งที่รถสองแถวของเทพซึ่งจอดรออยู่ใต้ต้นก้ามปูใหญ่หลังสถานีรถไฟอีกด้านหนึ่ง รื่นไม่ลืมหิ้วถุงใส่อาหารที่เอามาจากงานศพไปด้วย เธอไม่เคยลืมอาหารที่จะเอาไปฝากยายเลย ! ...

คืนนั้นพระมหาบุญรอดนอนลืมตาโพลงอยู่ในห้องของโยมแม่ พรุ่งนี้ก็จะเป็นวันเผาศพแล้ว พยายามจะข่มตาให้หลับ แต่ภาพของตำรวจประหลาดคนนั้นก็เข้ามาอยู่ในความคิดตลอด เสียงรถไฟดังกึงกัง ๆ แว่วมาจากทางใต้คงจะเป็นขบวนรถสินค้าขาขึ้นที่วิ่งมาจากกรุงเทพเข้าสู่สถานีปลายทางที่เชียงใหม่ มันจะผ่านบ้านนี้ตอนใกล้สองยาม...

“อีรื่นมีท้องหลังจากหลวงพี่ลงไปอยู่กรุงเทพได้ไม่นาน....” เสียงของโยมน้องประโยคนี้ดังก้องกลับไปกลับมาอยู่ในหูของพระมหาบุญรอดรู้สึกบาปหนักกับการกระทำเมื่อครั้งก่อน แล้วก็สวดกัมมะทายาทาคาถา ขออโหสิกรรม แผ่ส่วนกุศลไปให้รื่น

“เราจะทำอย่างไรดีกับเรื่องนี้ ?” พระมหาบุญรอดนึกถามตัวเอง

“เราต้องอยู่กับปัจจุบัน ไม่ใช่อดีต ...ลูกใครก็ไม่รู้ ใช่เราคนเดียวเมื่อไร ! ”...พระมหาหนุ่มใหญ่คิดตอบคำถามแรก .....

“ แต่ถ้าใช่ละ ? ” ความคิดในแง่รับผิดชอบคิดแย้งขึ้นมา พระมหาบุญรอดสับสนและเครียดจนไม่อาจจะจำวัดได้

“แต่ถ้าใช่ลูกเราแล้วจะแก้ไขอะไรได้ ? ” ...นี่เป็นความคิดที่อยากจะปลีกตัว

ความคิดที่ว่าการมาบ้านครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย ด้วยว่าไม่มีมีพันธะอะไรทางนี้อยู่อีกชักจะสับสนเสียแล้ว จิตที่เคยมุ่งมั่นเพื่อการหลุดพ้นเริ่มรวนเร ! พระมหาบุญรอดรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างยิ่ง ปริยัติธรรมบทไหนจะช่วยได้ ! เจ้าตำรวจสึ่งตึงคนนั้นเป็นลูกใครกันแน่ กรรมฐานแตกออกเป็นเสี่ยง พระมหาบุญรอดต้องการใครสักคนที่จะปรึกษา ! นี่ก็เป็นเรื่องปัจจุบัน ไม่ใช่เรื่องอดีต ! พระมหาบุญรอดเครียดจนรู้สึกแน่นหน้าอกขึ้นมา แต่ถ้าคิดแล้วมันจะได้อะไร ? ...เราวิตกจริตเกินไปหรือเปล่า ?

“ อยู่กับปัจจุบัน ๆ พรุ่งนี้พอเผาศพแม่เสร็จเราก็จะกลับแล้ว....!” พระมหาบุญรอดพยายามย้ำคิด...

“อีรื่นมีท้องหลังจากหลวงพี่ลงไปอยู่กรุงเทพได้ไม่นาน... ” เสียงโยมน้องดังก้องเข้ามาในหูอีก !

พระมหาบุญรอดผุดลุกผุดนั่งขลุกขลักๆอยู่ในมุ้ง... สับสนในความคิดของตัวเอง ไม่รู้ว่าจะตัดสินใจอย่างไรดี ! ....O

เมื่อวันที่ : 05 เม.ย. 2555, 11.13 น.
ผู้อ่านที่รัก,
นิตยสารรายสะดวก และผู้เขียนยินดีรับฟังความคิดเห็นต่อข้อเขียนชิ้นนี้
เชิญคลิกแสดงความเห็นได้โดยอิสระ ขอขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ในการมีส่วนร่วมของท่านในครั้งนี้...