![]() |
![]() |
ทิดอินทร์![]() |
เครื่องยนต์ขนาดต่าง ๆ ส่งเสียงเบา ๆ ตามจังหวะการเดินรอบ พลางพ่นควันสีเทาพร้อมกลิ่นของการสันดาปออกจากท่อไอเสีย ทำให้อุณหภูมิบนท้องถนนสูงขึ้นไปอีก หลังเส้นสีขาวบนถนน ผมเห็นหญิงวัยทำงานนางหนึ่งกำลังบรรจงปัดแปรงเพื่อเติมสีชมพูอ่อนลงบนพวงแก้มอันเปล่งปลั่ง โดยอาศัยเงาสะท้อนจากกระจกบานเล็กซึ่งติดอยู่กับที่บังแดดเหนือแผงคอนโทรล อากาศภายในรถคงถูกปรับจนเย็นฉ่ำ ขณะที่ผู้ขับรถยนต์คันอื่น ๆ ต่างอาศัยช่วงเวลานี้ทำกิจกรรมส่วนตัวบ้างเช่นกัน
หันกลับขึ้นไปมองบนรถโดยสารประจำทางสีแดงขาว แม้ในเวลานี้จะไม่แน่นขนัดเหมือนช่วงเช้าและเย็น แต่กระนั้นความร้อนของอากาศกับความหนาแน่นของการจราจร ทำให้ความหงุดหงิดเริ่มก่อตัวกับผู้โดยสารทั้งที่นั่งและยืนอยู่ในนั้น ตรงริมหน้าต่างหลังคนขับ ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งโอบอุ้มเด็กชายตัวเล็กซึ่งกำลังสัปหงกขึ้นพาดบนไหล่ เด็กน้อยไร้เดียงสาทำหน้าเปี่ยมสุขไม่สนใจต่อภาวะรอบด้าน นั่นคงเป็นเพราะกำลังอิ่มเอมกับความรู้สึกอบอุ่นที่ได้รับ ขณะที่ผู้กำลังโอบอุ้ม ซึ่งผมเดาว่าน่าจะเป็นพ่อ กลับแสดงความรู้สึกหวั่นวิตกออกทางสีหน้า ผมไม่อาจรู้ว่าเขากำลังมีปัญหาอะไร และไม่เคยคิดที่จะอยากรู้ เพราะแต่ละวัน ผมเห็นใบหน้าเช่นนั้นอยู่ทั่วไปหมดตามท้องถนน หรือบางครั้งก็ยังเคยพบในกระจกเงาที่สะท้อนภาพของตัวเอง ผมจึงคร้านที่จะใส่ใจกับความทุกข์ของคนอื่น
คนขับรถโดยสารประจำทาง เหยียบคันเร่งจนมิดเพื่อผลาญน้ำมันเชื้อเพลิง ใส่เกียร์ เหยียบคันเร่งอีกครั้ง แล้วเหยียบเบรกทันที ปฏิกิริยาทั้งหมดใช้เวลารวมกันประมาณห้าวินาที มีผลให้รถเคลื่อนที่ไปข้างหน้าได้ระยะทางประมาณสามนิ้ว แต่กินน้ำมันเชื้อเพลิง และสร้างมลพิษทางเสียงทางอากาศไปเท่าไหร่ไม่รู้ ผมไม่เข้าใจ ว่าคนขับต้องการระยะทางนั้นไปเพื่ออะไร หรือเพียงเพื่อต้องการแสดงความรู้สึกอันขุ่นมัวจากปัญญาจราจร ด้วยกิริยาที่ก้าวร้าว
แต่ระยะของรถที่เคลื่อนไปนั้น กลับทำให้ตำแหน่งโดยสารของสองพ่อลูกไปอยู่ตรงจุดที่แสงแดดส่องทะลุผ่านรอยรั่วของใบไม้พอดี เด็กน้อยนั้นจึงขยับตัวด้วยรู้สึกว่ากำลังมีแสงแยงเข้าตา ผู้เป็นพ่อจึงรีบยกถุงกระดาษสีน้ำตาลขึ้นบังเงาให้ เห็นภาพนั้นแล้ว ผมพลันรู้สึกสะท้านลึก ๆ ในหัวใจ
ผมหมุนตัวหันหลังเพื่อจะได้ไม่เห็นภาพนั้นอีก แล้วขยับข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกา เมื่อเห็นว่าอีกเพียงสิบนาทีก็จะถึงเวลานัด ผมจึงถอดเสื้อกั๊กสีส้มติดเบอร์ ๙๙ ออกแขวนกับหัวตะปูที่ถูกตอกติดไว้กับโคนต้นกระถินณรงค์ เพื่อให้ความร้อนจากร่างกายระบายออกได้ง่ายกว่า
เมื่อเห็นสัญญาณไฟเขียว รถโดยสารประจำทางเข้าเกียร์ส่งเสียงดังครืดคราด ก่อนจะกระชากตัวตามจังหวะคันเร่งอย่างรุนแรง จากนั้นจึงมีเสียงเร่งเครื่องของรถคันอื่น ๆ ที่เริ่มเคลื่อนตัวตามไป ผมอดไม่ได้ที่จะแอบชำเลืองมองดูภาพของเด็กชาย ที่อยู่ในอ้อมอกของพ่ออีกครั้ง แล้วภาพนั้นก็กลับเตือนให้ผมคิดถึงพ่อขึ้นมา
"ไอ้เพชร เอ็งขึ้นไปทำอะไรอยู่บนนั้น" เสียงตะโกนดังลั่นจากเบื้องล่าง ทำให้เด็กชายวัยสิบสองขวบตกใจ จนแทบปล่อยมือจากกิ่งที่เหนี่ยวอยู่บนต้นมะขามป้อม
"เปล่าครับพ่อ ผมขึ้นมาดูลูกนกเอี้ยงเฉย ๆ " เด็กชายตอบด้วยน้ำเสียงซ่อนพิรุธ
"ไม่ดูเฉย ๆ หรอกเอ็งนะ ขึ้นไปแอบขโมยลูกนกอีกแล้วใช่ไหม"
ผู้เป็นพ่อคาดเดาจากพฤติกรรมที่ผ่านมาของลูกชาย
"เปล่าครับพ่อ คราวนี้ผมดูเฉย ๆ จริง ๆ " ลูกชายยังคงยืนกรานหนักแน่น
"งั้นเอ็งลงมาเดี๋ยวนี้" ผู้เป็นพ่อออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด พลางชี้นิ้วมืออย่างคาดโทษเป็นการข่มขู่ลูกชายคนโตของแก
"ไม่ลงให้โง่หรอก ลงไปพ่อก็ตีผมนะซิ"
ลูกชายปฏิเสธเสียงแข็งเพราะพอจะคาดเดาเหตุการณ์ได้ว่า หลังจากลงไปยังพื้นดินแล้ว หากถูกพ่อค้นตัวเจอลูกนกเอี้ยงโคลงในถุงย่าม ผลที่ออกมานั้นจะเป็นเช่นไร
"ไอ้เพชร เอ็งชักจะเอาใหญ่แล้วนะ ไอ้ลูกคนนี้ แสดงว่าเอ็งขโมยลูกนกจากแม่ของมันจริง ๆ ใช่มั้ย สอนเท่าไหร่ไม่เคยจำ เอ็งจะทำเวรทำกรรมไปถึงไหน ตัวแค่นี้จิตใจยังโหดร้ายขนาดนี้แล้ว ถ้าโตขึ้นอีกหน่อยเอ็งจะไม่กลายเป็นโจรเลยรึ"
ผู้เป็นพ่อแสดงความโกรธเกรี้ยวขึ้นมา เมื่อเห็นอาการของลูกชาย จึงรู้โดยทันทีว่า สิ่งที่ได้คาดการณ์เอาไว้นั้นเป็นความจริง
"ก็ผมอยากเลี้ยงบ้างนี่พ่อ เพื่อน ๆ ผมก็มีกันทุกคน ไม่เห็นพ่อแม่มันจะว่าเลย"
ลูกชายตะโกนเถียงอย่างไม่ลดละด้วยไม่เข้าใจว่า ทีเพื่อนคนอื่น ๆ ต่างก็ขโมยลูกนกมาเลี้ยงเช่นกัน แต่ไม่เห็นว่าพ่อแม่ของบรรดาเพื่อนเหล่านั้นจะดุด่าพวกมันเลย จึงทำให้มีเขาเพียงคนเดียวของกลุ่ม ที่ไม่มีลูกนกเอี้ยงโคลงไว้เลี้ยงเช่นเพื่อนคนอื่น ๆ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อจะต้องคอยห้ามปราม ทำไมไม่รักลูกเหมือนพ่อของเพื่อน ๆ
"แล้วเอ็งอยากจะมีบาปติดตัวเหมือนพวกมันหรือไง ถึงได้ชอบไปพรากลูกพรากเต้าเขา ข้าเห็นเอ็งขโมยมาเลี้ยงตั้งกี่ตัวแล้ว ไม่กี่วันก็ตายหมด อย่างเงี๊ยะมันบาปสองชั้นเลยนะ เวรกรรมมันตามกันทันรู้มั้ย ถ้าตายไป เอ็งก็จะต้องตกนรก ไม่กลัวรึไง" ผู้เป็นพ่อแหงนหน้าตะโกนสั่งสอนลูกชาย ด้วยความที่แกเคยอาศัยผ้าเหลืองครองกาย ในระหว่างที่เรียนหนังสือตั้งแต่ชั้นประถมจนกระทั่งจบปริญญาตรี จึงทำให้มีโอกาสซึมซับรสพระธรรมคำสอน ทั้งคาดหวังว่า ลูกชายจะเจริญรอยตามสิ่งที่แกได้ปฏิบัติตนให้เป็นตัวอย่าง
"ไม่กลัวหรอก บาปหน้าตาเป็นยังไงล่ะ พ่อเคยเห็นเปล่า แล้วถ้าจะต้องตกนรก ไอ้พวกนั้นก็ต้องตกด้วย พ่อกับแม่ก็ต้องตกนรกด้วย เพราะชอบทุบหัวปลาเอามาแกงกิน อย่างเงี้ยะ พ่อกับแม่ก็จะต้องบาปกว่าผม" ลูกชายตะโกนเถียงลงมาอย่างไม่ยอมลดราวาศอก ด้วยความอัดอั้นตันใจ ที่ตนเองถูกข่มขู่ให้เกรงกลัวบาปกรรม ทำให้อดมีสัตว์เลี้ยงเช่นเพื่อน ๆ ทั้ง ๆ ที่ เด็กชายเองก็เห็นพ่อกับแม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เพื่อทำเป็นอาหารอยู่แทบทุกวี่ทุกวัน เด็กชายจึงไม่เข้าใจว่า เหตุใดบาปจึงต้องเจาะจงมาเกิดที่เขาเพียงคนเดียว
แต่คำยอกย้อนนั้น ยิ่งทำให้ผู้เป็นพ่อโกรธจนตัวสั่น
"ไอ้...ไอ้ลูกเนรคุณ หนอย...แน่ เดี๋ยวนี้ปีกกล้าขาแข็งแล้วเรอะ เถียงคำไม่ตกฟาก ข้าน่าจะเอาขี้เถ้ายัดปากตั้งแต่เกิดแล้ว ไม่เลี้ยงไว้ให้เปลืองข้าวสุกหรอก ไอ้นอกคอก"
เสียงนั้นสั่นเครือด้วยอารมณ์เดือดดาลถึงขีดสุด ทำให้ลูกชายที่โหนอยู่บนต้นไม้ เริ่มรู้สึกกลัวจริง ๆ ขึ้นมา แต่กระนั้น ด้วยความดื้อดึงเพราะถูกตามใจมาตั้งแต่เล็ก จึงทำให้อดต่อล้อต่อเถียงอีกไม่ได้
"โน่นพ่อ พ่อเห็นมั้ยว่านั่นอะไร"
เด็กชายตะโกนลงมาพลางชี้ไม้ชี้มือไปทางทิศตะวันตก ผู้เป็นพ่อมองตามปลายนิ้วของลูกชายไป จึงได้เห็นคอกควายของทิดปลั่งซึ่งมีอาณาเขตรั้วบ้านติดกัน
"ก็คอกควายน่ะซิ เอ็งจะถามทำไม เกิดโง่ขึ้นมารึไง"
แกตะโกนตอบกลับ พลางพยายามระงับอารมณ์ให้คืนสู่ปกติ
"แล้วอะไรอยู่ในนั้นล่ะครับพ่อ" เสียงลูกชายตะโกนถามอย่างยียวนอีกครั้ง
"อ้าว มันก็ต้องเป็นวัวเป็นควายอยู่น่ะซิวะ เอ็งเกิดโง่ขึ้นมาจริง ๆ รึยังไง"
ผู้เป็นพ่อตะโกนตอบกลับไป ขณะที่อารมณ์ถูกระงับไว้จนเกือบเป็นปกติแล้ว
"ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่า พ่อ ถ้าในคอกมันมีแต่ควาย พ่อก็อยู่ของพ่อไปเหอะ ผมน่ะไม่ยอมเป็นวัวเป็นควายอยู่กับพ่อหรอก ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่า" เมื่อลูกชายพูดจบลง อารมณ์อันเดือดดาลที่แกระงับเอาไว้เมื่อสักครู่ ก็พลันพุ่งพล่านขึ้นมาอีก แกเก็บก้อนหินขนาดเท่าไข่ไก่ขึ้นมาสองก้อน แล้วขว้างใส่ลูกชายที่โหนตัวหลอกล่ออยู่บนต้นไม้ทันที
"นี่แน่ะ ไอ้เด็กเปรต นี่แน่ะ เอาเลือดหัวมึงออกซะบ้าง มึงจะได้สำนึก"
ผมเผลอยิ้มขึ้นมาเพียงลำพังเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ทะเลาะกับพ่อในวันนั้น สาเหตุที่แกเข้มงวดกับผมมากกว่าพ่อคนอื่น ๆ นั้น คงเป็นเพราะว่า แกเป็นครูสอนวิชาจริยธรรมในโรงเรียนของหมู่บ้าน และสุดท้าย ก้อนหินของพ่อก็ได้ฝากแผลเป็นเล็ก ๆ ไว้ที่หางคิ้วข้างซ้ายของผมจริง ๆ แต่มันกลับกลายเป็นรอยจารึก ที่ประทับความทรงจำของความสุขในวัยเยาว์ ซึ่งเป็นช่วงชีวิตที่ผมกับพ่อได้มีเวลาร่วมกัน
แต่สำหรับพ่อผม เมื่อมีคนในครอบครัวเอ่ยถึงเรื่องนี้เมื่อใด แกก็มักจะทำหน้าเศร้าอย่างรู้สึกผิด ซึ่งผมไม่เคยติดใจในเรื่องนี้เลย หนำซ้ำ มันยังคอยเป็นเครื่องเตือนใจให้นึกถึงวันเวลาที่ดี ๆ เหล่านั้น หากจะมีบ้าง ก็คงเป็นเพียงความรู้สึกขัดแย้งในเรื่องของบาปบุญคุณโทษ ซึ่งผมยังคงคลางแคลงใจถึงตัวตนของมันจนถึงปัจจุบัน
จริงอยู่ว่าผมนั้นนับถือศาสนาพุทธ ซึ่งเป็นเหมือนการถูกบังคับให้เลือกนับถือตามเส้นทางความเชื่อของปู่ย่าตายาย หรือหากจะว่ากันให้ชัดแล้วก็คงต้องบอกว่า ในการเลือกนับถือศาสนาของผมนั้น เริ่มจากการระบุลงในใบแจ้งเกิด ที่พ่อกับแม่ของผมได้ทำไว้กับนายทะเบียนประจำอำเภอ ซึ่งก็เป็นไปตามธรรมเนียมปฏิบัติ โดยไม่ได้สอบถามความสมัครใจของผมก่อนเลยว่า อยากเลือกศรัทธาในศาสนาใด และหากถามผมในตอนนั้น ผมก็คงตอบไม่ได้ เพราะกำลังนอนร้องอุแว้อุแว้อยู่ในเปล
แต่ก็ช่างเถอะ เมื่อเวลาล่วงเลยมาหลายปี และผมก็ได้เรียนรู้ว่าทุกศาสนาย่อมสั่งสอนให้ผู้คนเป็นคนดี คนที่ไม่ได้ใส่ใจในวิถีแห่งมรรคเช่นผม เมื่อถึงเวลาที่ต้องทำธุรกรรม จึงกรอกในช่องว่างของเอกสารโดยการระบุว่า นับถือศาสนาพุทธ โดยไม่ได้หวนมาใส่ใจ หากจะมีก็เพียงเรื่องของบาปบุญคุณโทษเท่านั้นที่ผมยังคงรู้สึกกังขา ด้วยเหตุว่า เมื่อพ่อกับแม่เห็นว่าการฆ่าเป็ดฆ่าไก่เพื่อใช้เป็นอาหารนั้นไม่ใช่เรื่องบาป ดังนั้น หากผมจะมองว่าชีวิตอื่น ๆ ก็คือเหยื่อ แล้วฆ่าฟันมันเพื่อใช้ในการเลี้ยงชีพบ้าง ผมก็คงจะไม่บาปเช่นกัน
ผมเหลือบไปมองดูนาฬิกาบนข้อมือซ้ายอีกครั้ง อีกสามนาทีก็จะถึงเวลานัดแล้ว จึงรูดซิปเปิดกระเป๋าที่สะพายอยู่บนไหล่ แล้วดึงสมุดบัญชีรายชื่อ ซึ่งมีรายละเอียดจำนวนเงินที่จะต้องเก็บส่วยตามวินมอเตอร์ไซด์ออกมากางดูเป็นการฆ่าเวลา
"มาก่อนเวลาเสมอเลยนะจ่า" เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง ทำให้ผมเงยหน้าจากสมุดบัญชีแล้วหันกลับไปมองดูยังที่มาของเสียง จึงได้เห็นชายวัยกลางคนใบหน้าเกรียมแดดเป็นมันระยับ มีร่องรอยผุ ๆ ของสิวอักเสบกระจายอยู่ทั่วไปทั้งใบหน้าและลำคอ ด้วยสาเหตุนี้กระมัง ใคร ๆ จึงชอบเรียกมันว่า "ไอ้ปลวก"
"เออ คนเราทำงานมันก็ต้องรู้จักรักษาเวลา ยังไงเอ็งก็ต้องจ่ายอยู่แล้ว จะชักช้าทำไม คราวหน้าให้มันรู้จักรักษาเวลาเหมือนอย่างงี้นะ ข้าต้องไปเก็บที่อื่นต่อ" ผมตอบกลับด้วยเสียงแข็งตามปกติ เพราะไม่อยากจะเปิดช่องให้คนอย่างพวกมันมาตีสนิท ไม่เช่นนั้น การทำงานก็จะยากขึ้นไปอีกเยอะ
"โธ่...จ่า ไอ้พวกผมน่ะก็อยากจะจ่ายกันทั้งนั้นแหละ แต่บางครั้งคนเรามันก็มีฝืดกันบ้าง ยิ่งช่วงนี้น้ำมันก็โคตรแพงเลย พวกผมจะกอดคอกันตายหมดทั้งวินอยู่แล้ว เดือนหน้าจ่าช่วยบอก "นาย" งดเก็บซักเดือนนึงเหอะ พวกผมจะได้พอมีเหลือเลี้ยงลูกเลี้ยงเมียกันบ้าง" ไอ้ปลวกทำเสียงอ่อนน้อมแกมประจบประแจง ซึ่งกิริยาของมันก็ไม่ต่างไปจากหัวหน้าวินซอยอื่น ๆ เพราะไอ้พวกนี้มันชอบทำทีเข้ามาตีสนิท เพื่อหวังจะได้อภิสิทธิ์จากผมอยู่เสมอ ซึ่งหากพวกมันได้รู้ความจริงก็คงจะไม่ทำอย่างนี้ เพราะยอดตามบัญชีที่นายแจ้งมามันก็ตรงตัวอยู่แล้ว หากผมไม่เก็บส่วยของใครไป หรือลดหย่อนให้กับบางวิน ยอดเงินในส่วนที่ขาด ผมก็ต้องควักกระเป๋าจ่ายเอง พวกมันไม่รู้หรอกว่าผมเพียงทำหน้าที่ไม่ต่างกับคนเก็บเงินค่าน้ำค่าไฟธรรมดาเท่านั้น ไม่ได้มีอำนาจตัดสินใจอะไรยิ่งใหญ่นักหรอก แต่ที่ไม่ยอมบอกพวกมัน เพราะผมเองก็ชอบเวลาเช่นนี้แหละ เวลาที่มีคนมาคอยพินอบพิเทาและก้มหัวให้ มันทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองยิ่งใหญ่และสำคัญขึ้นมา
ผมแบมือออกไปรับซองแล้วตรวจนับจำนวนเงิน เมื่อเห็นว่าครบตามที่ระบุในบัญชี จึงกากบาทรายชื่อนั้นแล้วเก็บลงกระเป๋า ความเงียบที่เกิดขึ้นระหว่างนั้นคงทำให้บรรยากาศดูขลังกว่าเดิม เพราะผมเห็นรอยยิ้มเจื่อน ๆ อยู่บนใบหน้าของไอ้ปลวก
"ใครไม่ไหวก็ออกไป ข้าจะได้เซ้งเสื้อให้คนอื่นมาขับ หรือพวกเอ็งจะเลิกกันทั้งวินเลยก็ได้นะ เพราะมีคนที่เค้าคิดว่าจ่ายไหวรอขับแทนพวกเอ็งอยู่แล้ว" ผมส่งสายตาเย็นชาสบกับมันแล้วเน้นเสียงเข้มเพื่อข่มขู่ ได้ผลทันที ไอ้ปลวกพลันหน้าซีดเผือดและทำตัวลีบ พลางเข้ามาบีบนวดผมอย่างเอาใจแล้วตอบว่า
"โธ่...จ่า ผมไม่ได้พูดอย่างงั้นสักหน่อย ก็แค่บ่น ๆ ว่าน้ำมันขึ้นราคา ยังไงก็ต้องหามาจ่ายให้จ่าจนครบอยู่แล้ว ไม่มีปัญหาหรอกครับ"
"งั้นก็อย่าพูดมาก คราวหน้าให้รักษาเวลาอย่างงี้นะ" ผมชิงตัดบท พลางหันไปปลดเสื้อกั๊กที่แขวนไว้บนหัวตะปูลงมาใส่ สวมหมวกกันน็อก แล้วขับออกมาทันที เพราะยังมีอีกสิบกว่าซอย ที่ผมต้องรีบไปเก็บค่าส่วยรายเดือนเพื่อส่งนายให้ทันภายในวันนี้ ผมขับรถย้อนศรเพื่อตัดเข้าซอยถัดไปทันที แม้ว่ายังมีเวลาเหลืออยู่อีกโข แต่ผมก็อยากจะทำงานนี้ให้จบเร็ว ๆ เพราะรู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างคอยรบกวนจิตใจอยู่ตลอดเวลา
พ่อกับแม่ของผมเป็นครูอยู่ที่ราชบุรี น้องสาวของผมทั้งสองคนก็เป็นครู ทำให้ทั้งบ้านมีผมเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้เป็นครู
"ผมเป็นตำรวจ"
ผมจำได้แม่นถึงแรงบันดาลใจที่ทำให้อยากเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ซึ่งไม่ได้มีอะไรที่ซับซ้อนเลย ก็เพราะว่าหนังกลางแปลงในสมัยนั้น พระเอกต้องเป็นตำรวจ ส่วนผู้ร้ายก็ต้องเป็นโจร ผมอยากจะเป็นพระเอก อยากจะเป็นผู้บำบัดทุกข์บำรุงสุขของประชาชน ดังนั้น จากสมการง่าย ๆ ของชีวิต ผมจึงสมัครสอบเพื่อเป็นตำรวจ
ซึ่งในความเป็นจริงนั้นมันกลับไม่ง่ายเลย เพราะระหว่างที่เรียนอยู่มัธยมปลาย ผมก็มาสมัครสอบที่โรงเรียนนายร้อยสามพรานทุกปี ตั้งแต่อยู่ชั้น ม.๔ กระทั่งจบชั้น ม.๖ ผมทุ่มเทเวลาในอ่านหนังสือและฟิตซ้อมร่างกาย แต่กลับไม่มีปีใดเลยที่ผ่านการสอบข้อเขียน
เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ก็ใช่ว่าผมจะละความพยายาม เมื่อมีเพื่อนร่วมรุ่นร่วมอุดมการณ์ที่อยากจะเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์เหมือนกัน มาชวนสอบเข้าโรงเรียนนายสิบ โดยให้เหตุผลว่า เมื่อเป็นนายสิบแล้วค่อยไปเรียนต่อนิติศาสตร์ที่รามคำแหง จากนั้นก็รอสอบบรรจุภายในอีกครั้ง ก็มีโอกาสได้เป็นนายร้อยห้อยกระบี่กับเขาเหมือนกัน ผมจึงตัดสินใจทำตามคำชวนอย่างไม่ลังเล
ที่น่าตลกก็คือ สุดท้าย ผมก็สามารถสอบเข้าโรงเรียนนายสิบได้จริง ๆ ขณะที่เพื่อนของผมกลับผิดหวัง และต้องไปเรียนต่อวิทยาลัยครูที่ตัวจังหวัดแทน ป่านนี้มันก็คงจะไปเป็นครูเหมือนกับพ่อแม่ของผม อยู่ที่โรงเรียนไหนสักแห่งแล้วล่ะ
เส้นทางชีวิตตำรวจของผมก็ดูเหมือนจะสวยงามในตอนเริ่มต้น กล่าวคือผมเรียนจบโดยได้คะแนนสูงสุดของรุ่น จึงสามารถเลือกสถานีที่บรรจุได้ และผมก็ตัดสินใจเลือกลงเขตบางกะปิ เพราะต้องการเรียนต่อคณะนิติศาสตร์ในมหาวิทยาลัยรามคำแหงนั่นเอง
ครั้งแรกที่ลงบรรจุ ผมได้อยู่ในส่วนของงานจราจรซึ่งชีวิตก็ไม่มีอะไรมากมาย แค่ยืนพกปืนสวมถุงมือเป่านกหวีดเพื่อระบายการจราจรบนท้องถนน เลิกงาน ผมก็จะท่องตำราเรียนด้วยหวังให้จบไว ๆ จะได้ห้อยกระบี่ไปอวดเพื่อน ๆ ที่บ้านสักที แต่นานวันเข้าเมื่อเริ่มสนิทกับเพื่อนร่วมอาชีพ ผมก็มักจะโดนชักชวนให้ร่วมวงสุราอยู่เป็นประจำ แรก ๆ ผมก็ปฏิเสธ แต่พอบ่อยครั้งเข้าผมก็ชักเริ่มเกรงใจ จึงเข้าร่วมวงแบบขอไปที ครั้นนาน ๆ ไป เลยกลายเป็นกิจวัตรประจำวันไปเสียแล้ว เวลาที่เคยใช้อ่านหนังสือเรียนจึงเหลือน้อยลงทุกที สุดท้าย ผมก็เผลอทิ้งตำราเรียนทิ้งความฝันไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ มารู้สึกตัวอีกที เมื่อห้าปีผ่านไปผมยังคงเป็นตำรวจชั้นประทวนอยู่เช่นเดิม แล้วภาพที่เคยฝันไว้ก็เลือนรางหายไปในที่สุด
ด้วยความเป็นตำรวจชั้นผู้น้อยที่มีรายได้ไม่กี่พันบาท กับค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้นจนอัตราเงินเดือนปรับไล่ไม่ทัน แรก ๆ ผมก็เดือดร้อนจนชักหน้าไม่ถึงหลัง กระทั่งรุ่นพี่คนอื่น ๆ เห็นว่ากรอบเจียนแย่ หรือพวกเขารอให้ผมแย่จริง ๆ เสียก่อน จึงค่อยชักชวนให้ร่วมการตั้งด่านลอย คอยดักจับผู้ที่กระทำผิดพ.ร.บ.อย่างง่าย ๆ หากใครหาว่าพวกผมรีดไถแล้วละก้อ ผมขอเถียงเลยว่าไม่จริง เพราะคนที่ถูกจับพวกนั้น ล้วนกระทำความผิดจริงอยู่แล้ว ผมไม่เคยยัดเยียดข้อหาให้ใคร เพียงแต่ว่าผมไม่ได้ส่งเงินค่าปรับเข้าหลวงเท่านั้น
เพราะถ้าส่งเงินค่าปรับเข้าหลวง พวกผมก็ไม่พอกิน แล้วจะให้เอาแรงจากที่ไหนมาเป่านกหวีดและโบกรถให้กับประชาชนกันล่ะครับ จริง ๆ แล้วการกระทำเช่นนั้น เป็นการแก้ปัญหาปากท้องของเจ้าหน้าที่ในทางตรงมากกว่า เพราะถ้าหากให้รอการปรับเงินเดือนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็คงมีหวังต้องอดตายกันทั้งสถานีแน่ ๆ
เป็นตำรวจจราจรได้หกปี จนบรรดานาย ๆ บนสถานีมองเห็นหน่วยก้านในการหารายได้เข้ากองกลางของผมแล้ว จึงย้ายให้เข้ามาอยู่ในส่วนของงานสืบสวน ซึ่งงานสบายกว่า เพราะไม่ต้องแต่งเครื่องแบบออกไปโบกรถตามเวลา หน้าที่ส่วนใหญ่ก็แค่เพียงคอยเดินสายเก็บส่วยจากโต๊ะรับพนันฟุตบอล บ่อน อาบอบนวด ผับและร้านคาราโอเกะ ในเขตพื้นที่ที่รับผิดชอบเท่านั้น แต่ก็มีเรื่องที่น่าตลกคือ ตำรวจสืบสวนส่วนใหญ่มักจะเป็นที่รู้จักกันของโจรในพื้นที่อยู่แล้ว ดังนั้น ไอ้การอยู่ในเครื่องแบบหรือนอกเครื่องแบบก็แทบไม่มีประโยชน์อะไร นอกจะมีโจรเซ่อซ่าจากนอกพื้นที่หลงเข้ามาก่อเหตุเท่านั้น
เมื่อเวลาผ่านไปสิบปี ชีวิตตำรวจของผมจึงไม่ได้ชักปืนออกมายิงต่อสู้กับโจรผู้ร้ายเลยสักครั้ง โอกาสที่จะได้ยิงปืนของผม จึงมีเพียงการซ้อมในสนามเพื่อเตรียมตัวแข่งขันยิงปืนประจำปี ระหว่างสถานีต่าง ๆ จากทั่วประเทศเท่านั้น และผมก็อดรู้สึกไม่ได้ว่า การยิงเป้ากระดาษ มันคงไม่สะใจเท่ากับการได้ลั่นไกเพื่อปล่อยกระสุนให้วิ่งสู่ร่างที่มีเลือดและเนื้อของคนจริง ๆ แต่กระนั้น ผมก็กวาดโล่และเหรียญกลับมาแทบทุกปี จนเป็นที่โปรดปรานของบรรดานาย ๆ ทั้งหลาย
กระทั่งวันหนึ่ง เมื่อนายคนที่สนิทกับผม ได้เรียกตัวให้เข้าไปรู้จักกับเสธ.โย-เพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหารของแก หลังจากแนะนำตัวกันเรียบร้อยแล้ว เสธ.โยก็พูดเข้าประเด็นเลยว่า พอได้ยินกิตติศัพท์การใช้ปืนของผม แกจึงอยากรู้จักและอยากได้ตัวไว้ไปช่วยงาน เพราะมือปืนในซุ้มของแกเริ่มร่อยหรอลง เพราะปลดระวางกันไปบ้าง หรืออยู่ระหว่างการซ่อนตัวบ้าง ทำให้ในฤดูกาลเลือกตั้งที่กำลังมาถึง อาจจะมีงานชุกมากจนมือดีไม่เพียงพอ
ได้ยินดังนั้นผมก็ตกใจจนหน้าซีด เพราะถึงแม้ว่า ชีวิตในช่วงที่ผ่านมาผมอาจไม่ใช่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ที่ดีสักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่คิดจะทำให้ปณิธานที่เคยตั้งไว้ต้องมัวหมอง ผมจึงแบ่งรับแบ่งสู้แบบขอไปที เพราะไม่ต้องการให้นายเสียหน้า แต่เสธ.โยคงจะอ่านอาการนั้นออก แกจึงให้ผมกลับมาลองคิดดูพร้อมทั้งยื่นนามบัตรหนึ่งใบแล้วสั่งว่า หากพร้อมเริ่มงานเมื่อไหร่ให้โทรหาได้ทันที ผมจึงถือโอกาสนั้นถอยออกมาแล้วใช้ชีวิตตามปกติ
ผมเกือบจะลืมนามบัตร ที่เหน็บอยู่ในซอกกระเป๋าสตางค์ไปเสียแล้ว จนกระทั่งวันหนึ่ง เมื่อต้องเผชิญกับความอัตคัดอย่างต่อเนื่อง ในช่วงการแข่งขันฟุตบอลโลกเมื่อหกปีที่แล้ว มันช่างเป็นช่วงเวลาที่ตกต่ำของชีวิตจริง ๆ เพราะไม่ว่าผมแทงทีมไหน ทีมนั้นก็จะต้องพบกับความพ่ายแพ้อย่างขาดลอยทุกที เมื่อถึงรอบสี่ทีมสุดท้าย ผมก็แทบจะต้องจำนำปืนเพื่อใช้ทำทุนในการกู้สถานการณ์ให้กลับคืนมา และนั่นเองคือสาเหตุที่ทำให้ผมนึกถึงนามบัตรใบนั้นอีกครั้ง และสุดท้าย ผมจึงกลายเป็นมือหนึ่งในซุ้มของเสธ.ไป
ผมแตะเบรกแล้วเอนตัวเอียงขวาเพื่อประคองให้รถเข้าโค้งอย่างนุ่มนวล เมื่อบิดคันเร่งเบา ๆ อีกที รถก็ค่อย ๆ ไหลเข้าใต้เพิงสังกะสี ที่สมาชิกของวินช่วยกันทำไว้คุ้มหัวอย่างตามมีตามเกิด
ทันทีที่รถจอดสนิท ผมพลันสังเกตเห็นแววตาชิงชังฉายอยู่ในกลุ่มคนเหล่านั้น เช่นเดียวกันกับที่เคยเห็นจากสมาชิกของวินอื่น ๆ แม้ว่ากิริยาต่าง ๆ ที่แสดงออกมา จะทำทีท่าเหมือนยำเกรง แต่กระนั้นก็ยังปกปิดไม่ได้ว่าพวกเขารู้สึกรังเกียจผมเพียงใด สายตาเช่นนี้นี่แหละที่ทำให้ผมรู้สึกว่า ศักดิ์ศรีและความหยิ่งผยองของ "จ่าเพชร โพธาราม" ได้ลดลงไปทุกที จนบางครั้ง ผมอยากจะมีโอกาสย้อนเวลากลับไปแก้ไขชีวิตสักครั้ง แต่ก็ยังอดสงสัยไม่ได้ว่า ควรจะกลับไปเริ่มแก้ที่ตรงจุดไหนดี
ผมกวาดสายตาดูจนทั่ว เมื่อไม่เห็นคนที่อยู่ในรายชื่อตามนัดหมาย จึงเปิดหน้ากากหมวกกันน็อกขึ้นแล้วเอ่ยถามว่า
"ไอ้ชาติไปไหน"
"กลับพิจิตรครับจ่า พ่อพี่เขาล้มหัวฟาดพื้นตายเมื่อวานนี้ อีกสามสี่วันนั่นแหละครับถึงจะกลับ แกฝากซองรายเดือนของจ่าไว้ที่ผมครับ" เด็กหนุ่มผิวเข้มหน้าตาดีคนหนึ่งตอบด้วยรอยยิ้มฝืน ๆ พร้อมทั้งส่งซองสีน้ำตาลมาให้
ผมพยักหน้าพลางพยายามรักษาอาการให้ปกติ ด้วยข่าวร้ายของพ่อไอ้ชาติทำให้รู้สึกเสียววาบในหัวใจ เพราะนานมากแล้วที่ผมไม่ได้กลับบ้าน ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่า ช่วงหลัง ๆ มานี้ พ่อของผมเองก็มีอาการป่วยด้วยโรคความดันโลหิตสูง แต่คงเป็นเพราะความรู้สึกละอายเมื่อจะต้องเผชิญหน้ากับแก จึงทำให้ผมหาข้ออ้างเพื่อหลีกเลี่ยงการกลับบ้านอยู่เสมอ และอดคิดอย่างหวาดหวั่นไม่ได้ว่า
หากผมได้กลับไปอีกครั้ง ก็คงจะเป็นวันที่ต้องทำศพแกเสียแล้ว
ผมนั่งเงียบบนเบาะรถอยู่นาน จึงค่อยเปิดซองที่บรรจุค่าส่วยออกนับ เมื่อเห็นว่าครบตามจำนวนที่ระบุไว้ในบัญชีจึงใช้ปากกากากบาทลงในรายชื่อ ผมนิ่งใช้ความคิดอย่างหนักอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่จะตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว แล้วปิดผนึกซองคืนกลับไปให้เด็กหนุ่มพร้อมกับซองของวินแรก
"เอ้า... ถ้ามีใครไปร่วมงานศพพ่อไอ้ชาติ ข้าฝากสองซองนี้ทำบุญด้วยก็แล้วกัน"
ได้ยินคำพูดนั้น ดูเหมือนว่าทุกคนที่อยู่ภายในเพิงหมาแหงนจะมีสีหน้าประหลาดใจขึ้นมาทันที ไม่เว้นแม้กระทั่งตัวผมเอง ทุกคนต่างตะลึงและจับจ้องมาเป็นจุดเดียว ผมจึงบิดคันเร่งเพื่อบังคับรถมอเตอร์ไซด์ให้ออกมาจากที่นั่นทันที
เมื่อกลับถึงบ้านเช่า ผมโยนกระเป๋าบัญชีทิ้งลงถังขยะอย่างไม่แยแส แล้วรีบเปิดโทรทัศน์ด้วยความกระวนกระวาย ด้วยวิทยุสื่อสารที่อยู่ข้างเอว กลับไม่มีข่าวที่ต้องการฟังแจ้งผ่านมาเลย ผมไล่สายตาไปตามตัวอักษรที่รายงานข่าวด่วน ค่อยพบว่าสิ่งที่กำลังหวาดหวั่นนั้นยังไม่เกิดขึ้น ผมยกนาฬิกาขึ้นมาดูอีกครั้ง ใช่แล้ว นี่ยังห่างจากเวลาที่กำหนดไว้อีกร่วมห้าชั่วโมง คงเป็นเพราะความเคร่งเครียดจึงทำให้ผมรู้สึกหวั่นใจไปเอง
สองวันก่อน เสธ.โยเรียกมือดีทั้งหมดของซุ้มที่อยู่ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ให้เข้ามาประชุมพร้อมกัน และนั่นคือครั้งแรก ที่ผมได้เห็นมือปืนคนอื่น ๆ ในสังกัด เพราะทุกครั้งที่ผ่านมา เราจะรับงานแบบเดี่ยว ๆ ทางโทรศัพท์เสมอ งานนี้จึงถือว่าเป็นชิ้นใหญ่สุดเท่าที่ผมเคยรับมา เพราะต้องระดมมือดีถึงสิบห้าคน เมื่อเสธ.โยอธิบายแผนการทั้งหมดจบลง ผมก็ต้องตะลึงอย่างไม่อยากจะเชื่อหูว่า มีแผนการที่ชั่วร้ายเช่นนั้น อยู่ในสมองของคนจริง ๆ
การขัดแย้งทางความคิดของกลุ่มการเมือง ก่อให้เกิดการชุมนุมประท้วงที่ยืดเยื้อจนสถานการณ์เริ่มทวีความรุนแรง เมื่อรัฐบาลตัดสินใจนำกำลังทหารเข้าโอบล้อมและกระชับพื้นที่การชุมนุม ข่าวการปะทะกันระหว่างผู้ชุมนุมประท้วงและทหารผู้ทำหน้าที่ ถูกรายงานผ่านจากสื่อต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ยุทธวิธีการตัดน้ำตัดไฟและเส้นทางการลำเลียงเสบียงอาหาร ทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมอ่อนเปลี้ยลงอย่างรวดเร็ว และมีแนวโน้มว่าจะพ่ายแพ้ให้แก่รัฐบาล สถานการณ์ต่าง ๆ กำลังถูกประเมินว่า ไม่เกินหนึ่งสัปดาห์ทุก ๆ อย่างน่าจะกลับคืนสู่ภาวะปกติ
เสธ.โยฉายแผนที่การชุมนุมผ่านเครื่องโปรเจคเตอร์ ทำให้ทุกคนเห็นภาพได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ที่แยกราชประสงค์ ผู้ชุมนุมได้ปิดขวางการจราจรเพื่อกดดันรัฐบาล ภาพต่อมา เป็นการแสดงรายละเอียดแผนผังของห้างสรรพสินค้าย่านนั้นในแต่ละชั้น เสธ.โยชี้ให้พวกเราดูเป้าหมาย ซึ่งก็คือร้านทองและร้านเครื่องเพชรที่อยู่ในชั้นต่าง ๆ พร้อมเส้นทางการเข้าออก เมื่ออธิบายถึงตรงนี้ เหล่ามืออาชีพทั้งหลายจึงพากันยิ้มออกมาด้วยความดีใจ เพราะประเมินจากมูลค่าหลายสิบล้านของชิ้นงานแล้ว ก็เชื่อได้เลยว่า ทุกคนสามารถวางมือได้ทันทีหลังจากรับส่วนแบ่ง
แต่แล้วเสธ.โยกลับอธิบายแผนการที่ไม่คาดฝัน นั่นคือ หากพวกเราจะปกปิดร่องรอยทั้งหมดได้ ก็จะต้องอาศัยเงื่อนไขของการจลาจลของเหล่าผู้ชุมนุมประท้วงและการปราบปรามของรัฐบาล เพื่อใช้ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นทำลายหลักฐาน ทุกคนจึงได้รับแจกอาวุธสงคราม ทั้งปืนกลเอ็ม ๑๖ และเครื่องยิงลูกระเบิดแบบเอ็ม ๗๙ แล้วจัดแบ่งออกเป็นสองทีม ทีมแรกให้แทรกซึมเข้าไปในกลุ่มผู้ประท้วงเพื่อยิงใส่ทหารที่ล้อมกรอบ ส่วนทีมที่สองให้ปีนขึ้นไปบนหลังคาตึกแล้วทำการยิงใส่กลุ่มผู้ชุมนุมประท้วง ซึ่งในขั้นตอนนี้ จะต้องวางตำแหน่งและนัดหมายเวลาของทุกคนให้ดี ไม่เช่นนั้นอาจพลาดโดนพวกเดียวกันได้
เมื่อสถานการณ์เข้าสู่การจลาจลตามที่ต้องการแล้ว เสธ.โย ได้กำหนดจุดนัดพบ ที่ชั้นหนึ่งเพื่อเข้าไปค้นหาทรัพย์สิน และคาดว่าอุปสรรคชิ้นใหญ่นั้นก็คือตู้นิรภัยแบบต่าง ๆ ที่จะต้องใช้อุปกรณ์พิเศษเข้าไปช่วย ซึ่งเสธ.โยจะส่งทีมช่วยเหลือและอุปกรณ์มาให้ ณ จุดนัดพบ ขั้นตอนสุดท้าย เมื่อได้ทุกอย่างตามต้องการแล้ว ให้ทุกคนกระจายกันออกไป เพื่อวางเพลิงทำลายหลักฐาน
ผมกวาดสายตาไปตามใบหน้าของสมาชิกคนอื่น ๆ แม้จะพบความลังเลอยู่ในนั้นบ้าง แต่กลับไม่มีใครเลยแม้แต่ผม ที่กล้าลุกขึ้นคัดค้านปฏิบัติการที่สุดจะเลวร้ายครั้งนี้ ทุกคนกำลังกระหยิ่มยินดีกับลาภก้อนโต โดยไม่คำนึงถึงความหายนะของประชาชน และความอยู่รอดของประเทศชาติ เมื่อทบทวนรายละเอียดเรื่องตำแหน่งและเวลาในการลงมืออีกครั้ง เสธ.โยจึงปล่อยให้ทุกคนกลับมาเตรียมตัว เพื่อรอเวลาลงมือในวันนี้
ขยับนาฬิกาบนข้อมือดูเวลาอีกครั้ง ก่อนจะหันกลับไปสำรวจดูกระเป๋าเสื้อผ้าที่เตรียมไว้สำหรับการเดินทาง เดิมทีผมเตรียมไว้สำหรับหลบหนีหากมีเหตุฉุกเฉิน แต่ขณะนี้ผมเปลี่ยนใจแล้ว เพราะหากให้รอเวลาจนถึงตอนนั้นมันเสี่ยงเกินไป
หลังออกจากการร่วมประชุม ผมก็นอนตัดสินใจอยู่นาน จริงอยู่ แม้ว่าช่วงเวลาที่ผ่านมา ผมอาจจะไม่ใช่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ที่ดีนัก ใช่แล้ว หากยอมรับความจริงสักหน่อย ผมแทบไม่ได้ทำหน้าที่ที่ใกล้เคียงกับคำ ๆ นั้นเลยแม้แต่น้อย ผมอาจจะเป็นโจรในเครื่องแบบ เป็นกาฝากของสังคมอย่างที่ใครเรียกขานกัน แต่ผมไม่ใช่ทรราช ไม่ใช่ผู้กระหายเลือด ไม่ใช่ผู้ที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน จนถึงขั้นสามารถกระทำสิ่งที่เลวทรามต่ำช้าได้ขนาดนั้น ใช่แล้ว ผมเป็นเพียงคนชั่วช้าธรรมดาคนหนึ่ง เป็นลูกที่พลัดหลงจากคอกศีลธรรมของพ่อ แต่ผมจะไม่ยอมเป็นเช่นนั้นเด็ดขาด ผมจะไม่ยอมเป็นปีศาจร้าย ที่ทำลายได้แม้กระทั่งแผ่นดินเกิดของตนเอง
เดิมทีผมตั้งใจจะโทรศัพท์แจ้งไปยังสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ แต่เมื่อลองใคร่ครวญดูอีกทีจึงเห็นว่าวิธีการนั้นมันเสี่ยงเกินไป เพราะสถานการณ์ในขณะนี้ แต่ละฝ่ายก็กำลังทำสงครามประสาทใส่กัน โอกาสที่เจ้าหน้าที่จะเชื่อข้อมูลของผม และลงมือจับกุมโดยไร้ข้อกังขาจึงเป็นไปได้ยาก และหากทางเจ้าหน้าที่เพียงแค่ทำการตรวจเช็คข้อมูลก่อน ก็เท่ากับเป็นการแจ้งให้เสธ.โยรู้ว่าภายในกลุ่มมีคนทรยศ แล้วชีวิตของผมจะต้องตกอยู่ในอันตรายทันที ดังนั้นเมื่อวานนี้ ผมจึงนำแผนการที่รับฟังมาทั้งหมดไปเล่าให้ผู้กำกับฟัง ใช่แล้ว ผมไม่กล้าไว้ใจนายใกล้ตัว ก็เพราะแกเป็นเพื่อนรักของเสธ.โย
ผู้กำกับทำหน้าตกใจเช่นกัน เมื่อได้รับฟังเรื่องราวทั้งหมด ทั้งยังขบเขี้ยวเคี้ยวฟันและตะโกนด่าอย่างรุนแรง ต่อแผนการอันชั่วร้ายนั้น แล้วผู้กำกับให้ผมทำตัวเป็นปกติ เพราะเกรงว่าจะมีใครคอยจับตาดูอยู่ และแกก็รับปากว่า จะจัดชุดเฉพาะกิจเพื่อตามจับกุมเสธ.โยและทีมงานทั้งหมดโดยทันที
ผมเปลี่ยนใจมาหนีในตอนนี้ ก็เพราะเพิ่งคิดได้ว่า ถ้าหากผู้กำกับจับกุมเสธ.โยได้ ผมอาจจะต้องถูกซัดทอดในข้อหาฆาตกรรมหลายคดี และหากผู้กำกับทำผิดพลาด ชีวิตของผมคงจะอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายกว่านั้นเยอะ ดังนั้นเพื่อความไม่ประมาท ผมจึงควรหลบหนีออกไปเสียแต่เนิ่น ๆ ตอนที่ยังพอมีเวลา
ความเป็นคนโสดทำให้ผมตัดสินใจอะไรได้ง่ายขึ้น เสื้อผ้าในกระเป๋านั้นเตรียมไว้เรียบร้อยหมดแล้ว ปืนสองกระบอกพร้อมกับเครื่องกระสุนอีกสองกล่อง ถูกเตรียมไว้สำหรับกรณีจำเป็นมากกว่า ผมคาดหวังว่าคงไม่ต้องใช้มัน โทรศัพท์และแบตเตอรี่สำรอง ซิมการ์ดใหม่ที่เพิ่งเปิดใช้ เพราะของเดิมนั้นอาจจะกลายเป็นเครื่องติดตามตัวไปในทันที หากเกิดความผิดพลาดตามที่คาดการณ์ไว้ แต่ยังก่อน ตอนนี้ผมยังต้องใช้มันเพื่อติดต่อกับผู้กำกับ และใช้รับโทรศัพท์จากเสธ.โยเพื่อไม่ให้เกิดพิรุธ ผมต้องตั้งสติให้ดีและดำเนินการทุกอย่างด้วยความรอบครอบ ความเป็นมืออาชีพนี่เอง ที่ทำให้ผมรักษาตำแหน่งมือหนึ่งของซุ้มมาได้จนถึงขณะนี้ ยังขาดอะไรอีก อ๋อ...นั่นไง ผมยิ้มให้กับตัวเอง เมื่อเห็นกระเป๋าหนังสีดำคร่ำคร่าวางอยู่บนหลังตู้เสื้อผ้า กระเป๋าที่บรรจุเงินสดสองล้านบาท-ผลพลอยได้จากการรับงานครั้งล่าสุด ผมวางมันไว้บนหลังตู้อย่างสะดุดตา เพราะเชื่อว่านั่นคือจุดที่ปลอดภัยที่สุด
ผมยกข้อมือขึ้นมาดูเวลาอีกครั้ง ยังพอมีเวลาอีกเกือบสี่ชั่วโมง รถไฟสายเชียงใหม่เที่ยวต่อไปจะออกเดินทางเวลา ๑๘.๐๐ น. ผมเลือกใช้เส้นทางนี้ในการหลบหนี เพื่อปะปนไปกับฝูงชนจำนวนมาก นี่คงเป็นวิธีที่ดีที่สุด แล้วค่อยหาจังหวัดสงบ ๆ หมู่บ้านเล็ก ๆ เพื่อซ่อนตัว อา...ผมรู้สึกชุ่มชื่นหัวใจขึ้นมาทันที เมื่อนึกเห็นภาพตัวเองกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ริมลำธารเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยก้อนกรวดกลม ๆ น่าจะเป็นแม่ฮ่องสอน ผมเลือกจังหวัดนี้เพราะเคยเห็นภาพทิวทัศน์สวย ๆ จากภาพยนตร์
ผมลุกขึ้นคว้าถุงใส่อาหารแมวสำเร็จรูป พลางสอดส่ายสายตาหามัน เจ้าแมวดำผู้ทระนง ไม่รู้ว่าอะไรทำให้ผมติดใจมันนักหนา ทั้งที่มันไม่เคยแยแสผมเลย ใช่แล้ว มันยังคงนอนผึ่งแดดอยู่บนหลังคากันสาดบ้านฝั่งตรงข้ามโน่น ผมไม่มีโอกาสได้ลูบหัวมันเลยสักครั้ง แต่มันกลับมีเสน่ห์บางอย่างที่ทำให้ผมต้องซื้ออาหารมาไว้ให้มัน เพียงแค่ได้เห็นมันกินจนหมดผมก็รู้สึกเป็นสุขใจ นั่นอาจเป็นเพราะว่าลึก ๆ แล้วผมแอบอิจฉาในความหยิ่งผยองของมัน มันไม่ยอมก้มหัวให้ใครลูบได้ง่าย ๆ เพียงเพื่ออาหารในจาน แต่มันก็ยังกิน มันกินจนหมดจานทุกครั้ง
ผมชั่งใจว่าจะเรียกมันให้เข้ามาเพื่อขอลูบหัวเป็นการสั่งลาดีหรือไม่ แต่ก็พลันต้องตัดใจ เพราะดูจากอิริยาบถของมันแล้ว คงอีกนานกว่ามันจะยอมลุกขึ้นจากท่าหงายท้องขาชี้ฟ้า ผมเทอาหารในถุงลงจานจนหมด แล้วปิดประตูลง คงยังมีเวลาอีกสักหน่อย สำหรับการทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำ
ทันใดนั้น กลับรู้สึกเหมือนมีเงาเคลื่อนไหวอยู่ข้างหน้า ผมจึงรีบวาดมือไปด้านหลังเพื่อคว้าด้ามปืน แต่ช้าไปเสียแล้ว เพราะเมื่อเห็นชัดตาว่ามีใครอยู่ตรงนั้น ผมก็พบว่ามีลำกล้องปืนเก็บเสียงสีดำด้าน จับที่ร่างของผมอยู่ก่อนแล้ว
"เสธ.โย... " แกยิ้มเยาะนิดหนึ่งเมื่อผมเอ่ยชื่อ แต่ยังไม่ยอมลดปืนกระบอกนั้นลง ฉับพลันนั้น ปรากฏเงาของชายอีกคนโผล่ออกมาทางด้านหลัง
"ผู้กำกับ..." ผมส่งเสียงครางในลำคออย่างตกใจสุดขีด แต่ใบหน้าของผู้กำกับกลับไร้ความรู้สึกใด ๆ เสธ.โยขยับกระบอกปืนเข้าใกล้ แล้วคำรามในลำคออย่างคลั่งแค้น
"ไอ้เพชร กูไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่ามึงจะทรยศ"
"แต่นั่นมันเลวเกินไปนะเสธ. ผมเป็นคนไม่ใช่สัตว์ ผมไม่ยอมทำเรื่องเลวชาติอย่างนั้นหรอก" ผมระเบิดอารมณ์ออกไปทันที เพราะรู้ตัวดีว่าวันนี้คงไม่รอดแล้ว
เสธ.โยขยับปืนจี้เข้ามาใกล้กว่าเดิม แล้วยิ้มเยาะผมอย่างสะใจ
"เศษสวะไร้หัวคิดอย่างมึงจะเข้าใจอะไร การที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศชาติได้นั้น มันก็ต้องใช้อะไรลงทุนกันบ้าง ตายสิบเกิดแสนน่ะมึงเคยได้ยินมั้ย บางครั้งอุดมการณ์มันก็ต้องการคนเสียสละ"
ผมเบิกตาโพลงเพราะคาดไม่ถึงว่า เรื่องราวจะซับซ้อนกว่าที่คิด
"พวกมึงมันชั่วร้ายมาก ไอ้เดนนรก ไอ้สารเลว ไอ้พวกทรราช"
ผมตะโกนด่าออกไปได้เพียงแค่นั้น เพราะนึกคำอื่นที่สาสมกว่าไม่ออก แต่ก็ได้ผล เสธ.โยหน้าสีแดงฉานด้วยความเดือดดาลทันที
"มึงน่ะแหล่ะไอ้เศษสวะ ไอ้คนทรยศ ไอ้นอกคอก"
ผมเห็นประกายไฟสว่างวาบ และรู้สึกเจ็บแปลบที่รอยแผลเป็นบนหางคิ้วนิดหนึ่ง แมวดำตัวนั้นปรากฏในคลองสายตา ก่อนที่ภาพทั้งหมด ๆ จะดับไป เหลือเพียงความมืดมน อย่างที่ผมคาดว่ามันน่าจะเป็น
ตัวหนาตัวหนา
เมื่อวันที่ : 18 ก.ย. 2554, 12.50 น.
ยินดีต้อนรับแมวดำกลับศาลานกน้อยค่ะ
แหม เจ้าแมวหง่าว หายไปเที่ยวเสียนานเลยนะคะ ไม่ได้เห็นผลงาน
มอบดอกไม้ให้ตามเคยค่ะ