![]() |
![]() |
ทิดอินทร์![]() |
สรรพชีวิต ต่างเคารพในคุณค่าแห่งชีวิต ของแต่ละชีวิต...
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
เสียงอึกทึกของรถราที่ขวักไขว่ในยามเช้าของเมืองหลวง ค่อยเบาบางลงไปบ้างแล้ว เมื่อเลยชั่วโมงเร่งด่วน แม้จะเป็นวันอาทิตย์ แต่เหมือนชีวิตของมนุษย์ในทุกวันนี้ จะไม่มีเส้นแบ่งเขตของความวุ่นวาย
ป่านนี้บนชายหลังคากันสาด คงมีแดดอุ่น ๆ รออยู่ ข้าจึงลุกขึ้นยืดตัว เพื่อขับไล่ความเมื่อขบที่เกาะกินอยู่ตามกล้ามเนื้อ แล้วค่อย ๆ ก้าวเท้าเดินอย่างแช่มช้าด้วยความเคยชินในสัญชาติญาณเดิม ที่ต้องการรักษาความเคร่งขรึมสำรวม มากกว่าจะหวาดระแวงต่อการจู่โจมของศัตรู
เดินทอดน่องมาถึงริมหน้าต่างชั้นสอง ที่เปิดบานไว้คอยรับลม ให้อากาศภายในบ้านถ่ายเทอยู่เสมอ ข้ากระโจนแผล็วขึ้นไปยืนอยู่บนริมขอบ แล้วจึงค่อยส่งสายตาออกไปสอดส่องดูลาดเลาอยู่ชั่วครู่ จึงค่อยระโดดลงสู่หลังคาอย่างแผ่วเบา
สายลมที่โชยผ่านระหว่างซอกตึก ได้พัดพาเอากลิ่นขยะ และกลิ่นเน่าของเศษซากอาจม ที่ลอยอยู่ในคลองระบายน้ำขนาดเล็ก ข้าแหงนหน้าเพื่อใช้ฆานประสาทแยกแยะสิ่งต่าง ๆ ที่ปะปนกันอยู่ในนั้น แต่กลับไม่มีกลิ่นของสิ่งที่ข้าต้องการ รวมอยู่ด้วยเลย แม้ว่ามันจะทำให้ข้าต้องรู้สึกผิดหวัง และมันมักจะเป็นเช่นนั้น แต่ก็ไม่ได้ทำให้ข้าประหลาดใจ เพราะในเวลาเช่นนี้ เหยื่อของข้า มันมักจะมุดหัวกลับลงไปในรูหมดแล้ว
แสงแดดอันอบอุ่น ส่องกระทบกับแผ่นกระเบื้องมุงหลังคา ยังคงมีเวลาอีกชั่วครู่ ก่อนที่มันจะเปลี่ยนเป็นความร้อน แล้วแผดเผาทุกสิ่งทุกอย่างที่สัมผัส ดังนั้น ข้าจึงนอนแผ่ราบลงกับแผ่นกระเบื้อง เพื่อรับกับความสบายนั้น พลางสงบนิ่งดูสิ่งรอบกาย ที่กำลังดำเนินไปในเวลาของวันนี้
ฝั่งตรงข้ามของถิ่นข้า คือคอนโดมิเนียมโทรม ๆ ปลูกเป็นตึกรูปเกือกม้า ซึ่งอัดแน่นไปด้วยสิ่งมีชีวิตที่น่ารังเกียจ พวกมันมักจะดำรงชีวิตอย่างอึกทึก และไม่เคารพในความเท่าเทียมของสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ที่อยู่บนโลกใบเดียวกัน ช่างน่าประหลาดใจ ที่พวกมันกล้าเรียกตนเองว่า สัตว์ประเสริฐ
ช่างโง่เขลาแท้ ๆ เจ้าสัตว์ชนิดนี้
พวกมันมักแข่งขันกันทำลายโลก โดยอ้างเหตุผลว่าเพื่อความอยู่รอด เพื่อการดำรงชีพ พวกมันเคยสังเกตเห็นไหมว่า สิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ต่างก็ดิ้นรน เพื่อที่จะมีชีวิตรอดด้วยเช่นกัน แต่มีสัตว์โลกเผ่าพันธุ์ใดนอกจากพวกมันบ้าง ที่ขยันสะสมขยะอันไร้ค่า ไว้เป็นกรรมสิทธิ์ครอบครองได้เท่ากับพวกมัน พวกมันไม่รู้เลยหรือว่า ทุกชีวิตนั้นล้วนแต่มีช่วงเวลาของตนเอง เมื่อเกิดมาแล้ว ย่อมดับสูญไปตามกาลเวลา มันเป็นดังนั้นเอง เป็นเช่นนั้นเอง แล้วพวกมันยังจะสะสมสิ่งเหล่านั้นไว้เพื่ออะไร
ช่างน่าประหลาดใจจริง ๆ
บรรพบุรุษของเผ่าพันธุ์ข้า ได้เล่าขานสืบต่อกันมาว่า ก่อนหน้านั้นโลกใบนี้เคยเป็นโลกที่สมบูรณ์แบบ มีสายน้ำสะอาด มีผืนป่าไม้ที่เขียวขจี อากาศก็แสนจะบริสุทธิ์ สิ่งมีชีวิตทุกเผ่าพันธุ์ ล้วนพูดจาสื่อสารด้วยภาษาเดียวกันโดยไม่มีการแบ่งแยก ต่างดำเนินชีวิตไปตามครรลอง ทั้งเกิด แก่ เจ็บ และตาย เพราะมันคือกฎแห่งธรรมชาติ คือสิ่งที่เป็นธรรมดาของชีวิต เป็นวัฏจักรที่ไม่มีสิ่งใดหนีพ้น ชีวิตคือการส่งผ่าน คือการรวมตัวของอณูธาตุและสะสารจากธรรมชาติ เมื่อสิ้นขัย ทุกสิ่งย่อมหวนคืนสู่ที่เดิม ดังนั้น สิ่งมีชีวิตต่าง ๆ จึงมีความต้องการขั้นพื้นฐานเพียงแค่ ที่อยู่อาศัย อาหาร เครื่องนุ่งห่มและยารักษาโรค
ทว่า โลกกลับมีเผ่าพันธุ์หนึ่ง ซึ่งมีพัฒนาการทางสมองใหญ่ผิดปกติ ได้ปฏิเสธที่จะพัฒนาเครื่องนุ่งห่มด้วยร่างกายของตนเอง เหมือนเช่นสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ที่ใช้ขนของตนเองปกคลุมร่างกาย
เจ้าสิ่งมีชีวิตนั้นไม่พอใจในสิ่งที่พวกมันมีอยู่ จึงเริ่มไล่ล่าเผ่าพันธุ์อื่น เพื่อถลกเอาหนังและขน มาใช้ปกคลุมร่างกายของตนเอง ซึ่งนอกเหนือจากความจำเป็นที่ต้องใช้เพื่อรักษาความอบอุ่นแล้ว พวกมันยังคิดว่านั่นคือสิ่งที่สวยงาม และใช้เป็นเครื่องประกาศศักดาความเข้มแข็งอย่างโง่เขลา และนั่นเอง คือจุดเริ่มต้นของการสะสมเศษซากของชีวิตอื่น แล้วกลายเป็นกิเลสเริ่มแรกที่เผาผลาญโลก เมื่อพวกมันได้รู้จักกับคำว่า "ความโลภ"
ณ จุดนั้นนั่นเอง ที่เผ่าพันธุ์อื่น ๆ ได้เริ่มปฏิเสธที่จะสื่อสาร กับสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์นั้น เผ่าพันธุ์ผู้เรียกตัวเองว่า "มนุษย์"
หลังจากได้เริ่มสะสมเศษซากของสิ่งมีชีวิตอื่น เพื่อใช้เป็นทั้งอาหารและเครื่องนุ่งห่มแล้ว พวกมันยังเริ่มสร้างอาณาเขตของตน และกวาดต้อนชีวิตอื่น ๆ ให้เป็นกรรมสิทธิ์ แล้วเปลี่ยนแปลงวิถีของโลก ด้วยการหักล้างถางป่า ซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนรวมของเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ ตามธรรมชาติ เพื่อใช้เพาะปลูกเฉพาะสิ่งที่พวกมันต้องการ สมดุลโดยธรรมชาติจึงเริ่มถูกแตะต้อง และถูกบิดเบือนจากการเลือกที่เห็นแก่ตัว
ท่ามกลางการขยายจำนวนของเผ่าพันธุ์มนุษย์ พื้นที่ส่วนรวมของสรรพสิ่งจึงถูกแย่งชิงไปจับจองมากขึ้น ทั้งบนผืนดินและในน้ำ เป็นผลให้สิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ต้องถูกสังเวย แต่ถึงกระนั้น พวกมันก็ยังไม่รู้จักเพียงพอ เจ้าพวกมนุษย์ยังคิดประดิษฐ์เครื่องมือ เพื่อใช้ในการทำลายทุกอย่างในโลก ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิม ด้วยการสร้างโลหะเพื่อใช้แทนหินลับคม และนั่นเอง คือสัญญาณที่บ่งบอกว่าความหายนะที่แท้จริงกำลังเริ่มต้น
เมื่อมนุษย์ได้สะสมสิ่งไร้ค่าต่าง ๆ ไว้ในครอบครองแล้ว ค่านิยมแบบใหม่จึงพัฒนาไปสู่ความโลภที่ไม่มีวันสิ้นสุด แล้วได้ชักนำพวกมันไปสู่สงคราม ซึ่งแต่เดิมนั้นก็เพียงเพื่อแย่งชิงและครอบครองกรรมสิทธิ์ในสิ่งของระหว่างกันและกัน กระทั่งถึงวันหนึ่ง เมื่อพวกมันได้เรียนรู้ และสร้างกฎเกณฑ์ใหม่ซึ่งเรียกกันว่า "อำนาจ" ที่สามารถเรียกรับและบันดาลวัตถุให้แก่ผู้ที่ครอบครองได้ การทำสงครามครั้งใหม่ของพวกมัน จึงถูกเปลี่ยนไปเพื่อให้ได้สิ่งนี้ ด้วยความลุ่มหลงมัวเมา โดยหลงลืมไปว่า ไม่มีผู้ใดที่สามารถครอบครองสิ่งใด ๆ ไว้ได้ตลอดกาล ด้วยไม่มีผู้ใดหลีกพ้นจาก "ความตาย" เงื่อนไขที่เป็นไปตามกฎแห่งธรรมชาติได้
แต่กระนั้น การทำลายล้างโลกโดยพวกมนุษย์ ในช่วงแสนปีที่ผ่านมา ก็ถือว่ายังค่อยเป็นค่อยไป ระยะสองสามพันปีก่อนหน้านั้น ก็เป็นเพียงแค่สงครามเพื่อรวบรวมอาณาจักร จนกระทั่งสองร้อยห้าสิบปีที่ผ่านมานี่เอง เมื่อเผ่าหนึ่งของพวกมันได้เริ่มทำสงครามแย่งชิงดินแดน เพื่อสะสมความมั่งคั่งครั้งใหม่ ที่พวกมันเรียกกันว่า การล่าอาณานิคม เป็นเหตุให้มนุษย์เผ่าอื่น ๆ เริ่มทำตามกันบ้าง
ดังนั้น เผ่าที่มีศักยภาพแข็งแกร่งจึงค่อย ๆ เข้าครอบครองเผ่าที่อ่อนแอกว่า และเผ่าที่อ่อนแอกว่า จึงได้เริ่มหันมาสนใจสร้างอาวุธให้ทัดเทียมกัน หนึ่งร้อยปีถัดมา การแข่งขันของเหล่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ จึงมุ่งสนใจไปที่การพัฒนาเพื่อสร้างอาวุธที่มีอานุภาพมากกว่าเดิม ทำให้ชีวิตอื่น ๆ ที่อาศัยร่วมในดินแดน ซึ่งถูกพวกมันถือสิทธิครอบครองและเรียกรวมกันว่า "ทรัพยากร" ทั้งแร่ธาตุ พืชและสัตว์ จึงถูกนำไปใช้แลกเปลี่ยนกับความมั่งคั่ง และศักยภาพในการครอบครองอาวุธ ที่จะสามารถฆ่าชีวิตของอีกฝ่ายได้คราวละมาก ๆ จนในที่สุด พวกมันก็สามารถค้นพบความโง่ที่สมบูรณ์แบบ เมื่อพวกมันสามารถสร้างสิ่งประดิษฐ์ ที่เรียกว่า "ระเบิดนิวเคลียร์" ได้
นั่นเองคือความหายนะครั้งใหม่ของโลกใบนี้ เมื่อมีผู้ใช้เจ้าสิ่งนั้นคร่าชีวิตผู้อื่นได้คราวละล้าน ๆ ชีวิต พวกมันเคยสำนึกกันบ้างหรือไม่ว่า นอกจากฝ่ายตรงข้ามที่พวกมันต้องการจะฆ่าแล้ว ยังมีชีวิตในเผ่าพันธุ์อื่น ๆ ต้องถูกสังเวยไปกับความโง่เขลาของพวกมันด้วย หรือทั้งที่รู้ว่ากำลังเดินอยู่ในเส้นทางที่ผิด แต่พวกมันยังคงตั้งใจที่จะทำเช่นนั้น
สกุณาตัวจ้อย เผ่าพันธุ์ที่มีปีกโบยบินขึ้นสู่ท้องฟ้า ส่งเสียงร้องดัง "จิ๊บ จิ๊บ" อยู่บนเสาไฟฟ้า กระตุ้นสัญชาติญาณของข้าให้หันกลับไปจ้องมอง แต่มันยังอยู่ไกลไป และข้าก็ยังรู้สึกคร้านที่จะไล่ล่าในเวลาเช่นนี้ ท้องข้ายังไม่หิวมากพอที่จะสร้างแรงขับเพื่อล่าเหยื่อได้ ข้าจึงพลิกหงายท้องมองดูมันด้วยความอิจฉา พลางคิดไปว่า หากข้าบินได้เช่นมัน ข้าจะท่องเที่ยวไปที่แห่งใดดี
ทันใดนั้น มีรถตู้สีขาวเคลื่อนที่เข้ามาหน้าคอนโดมิเนียม เมื่อจอดสนิทดีแล้ว คนขับรถจึงรีบวิ่งอ้อมมาเลื่อนประตู เพื่อเปิดให้ผู้โดยสารที่อยู่ในนั้นลงมา ข้าจึงเห็นมนุษย์ชายและหญิง นุ่งขาวห่มขาวหลากวัยลงมาจากรถ คนสุดท้ายคือชายสูงอายุผู้หนึ่ง ตัดผมสั้นเกรียนแทบจะติดหนังหัว คนผู้นี้เอง ที่ใคร ๆ ในแถบนี้ยกย่องและเรียกกันว่า "ลุงมหาฯ" แกคงเป็นหัวหน้ากลุ่มของเจ้าพวกนี้เหมือนเช่นเคย แม้จะไม่ได้ยินบทสนทนา แต่ข้าก็พอจะเดาได้ไว้ เจ้ามนุษย์เหล่านั้น เพิ่งกลับจากการไปหาสถานที่เพื่อบำเพ็ญศีลภาวนา
ทันทีที่รถตู้ถอยออกไปจากลานจอดรถ ประตูห้องพักอีกด้านหนึ่งของปีกคอนโดฯก็พลันเปิดออกมา แล้วจึงปรากฏชายสูงวัยอีกผู้หนึ่ง ปล่อยผมสีดอกเลายาวประบ่า สวมแว่นตากรอบดำหนาเตอะโผล่หน้าออกมา พลางส่งสายตาและรอยยิ้มเหยียด ๆ ให้แก่ลุงมหาฯ ที่สบสายตาและส่งรอยยิ้มเหยียด ๆ ตอบกลับไปเช่นกัน
ชายแว่นหนาผู้คงแก่เรียนนี้ เป็นอาจารย์สอนวิชาปรัชญาตะวันออก อยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง แต่เดิมนั้น ทั้งชายหัวเกรียนและชายแว่นหนา ต่างก็เป็นสหายสนิทกันดี เพราะทั้งคู่มีห้องพักอยู่ตรงข้ามกันที่ชั้นล่างสุด และทั้งสองคนก็เป็นที่นับถือ ของผู้คนที่อาศัยอยู่ในชุมชนแถบนี้ กระทั่งมีผู้ศรัทธาของแต่ละฝ่าย เริ่มตั้งข้อสงสัยกันระหว่างสองคนนี้ว่า ใครคือผู้ที่ควรถูกยกย่องให้เป็นปราชญ์ และน่าเคารพมากกว่ากัน
ด้วยเหตุเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้เอง ที่ค่อย ๆ ขยายวงออกไป จนกระทั่งเรื่องราวไปถึงหูของผู้นำในแต่ละฝ่าย จึงกลายเป็นเรื่องใหญ่โต สุดท้ายมิตรภาพของชายทั้งสองคนนั้น จึงขาดสะบั้นไป เมื่อชายหัวเกรียนได้เขียนข้อความติดไว้บนประตูหน้าห้องพักว่า
"นักปรัชญา คือ คนตาบอดที่มุ่งค้นหาแมวดำภายในห้องอันมืดมิด"
เมื่อเป็นเช่นนั้น ชายแว่นหนาจึงได้เขียนข้อความ ติดไว้บนประตูหน้าห้องของตนบ้าง เพื่อเป็นการตอบโต้กลับไปว่า "นักศาสนา คือ คนตาบอดที่มุ่งค้นหาแมวดำภายในห้องอันมืดมิดเช่นกัน หากแต่อ้างว่า ตนเองได้พบแล้ว"
เห็นเช่นนั้น ข้าจึงรู้สึกหดหู่แกมเวทนา ในความเขลาของมนุษย์ทั้งสองจำพวกนี้
หลังสงครามการทำลายล้างเผ่าพันธุ์ ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดเมื่อเจ็ดสิบปีก่อน มนุษย์ได้บทเรียนจากความเขลาของตนเองบ้างแล้ว จึงหันกลับไปแข่งขันกันสร้างอำนาจ จากการสะสมความมั่งคั่งอีกครั้ง แม้คราวนี้จะมีสงครามเล็ก ๆ ระหว่างชนเผ่าของพวกมันเกิดขึ้นบ้าง แต่ก็ยังเทียบไม่ได้เลย กับการกดขี่และแย่งชิงภายในชนเผ่าของพวกมันกันเอง และที่แย่ลงไปกว่านั้นคือ การสู้รบกับสงครามภายในจิตใจของมนุษย์เอง
การมุ่งมั่นเพื่อทำลายสิ่งแวดล้อมในธรรมชาติ ที่พวกมันเรียกกันว่า การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของมนุษย์ จึงเกิดเป็นแบบแผนหลักสูตร เพื่อการเรียนรู้อย่างเป็นระบบ จากรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่ง จากผู้เป็นบรรพบุรุษ ต่อผู้สืบสันดานของตน
มนุษย์ครอบงำและบ่มเพาะลูกหลานตนเอง ให้หมกมุ่นอยู่กับการแสวงหา และสะสมขยะอันไร้ค่า เมื่อนานวันเข้า สิ่งจอมปลอมเหล่านั้น จึงค่อย ๆ เข้าเกาะกุมและกัดกร่อนจิตใจ ทีละน้อยทีละน้อย แต่กระนั้น ก็ยังมีผู้คนในเผ่าพันธุ์ของพวกมันบางกลุ่ม เกิดความสับสนจนต้องการปฏิเสธ กฎเกณฑ์ที่เคยถูกสั่งสอนมา และเที่ยวค้นหาสิ่งที่ใช้ยึดเหนี่ยวจิตใจ กระทั่งพยายามแยกตัวออกจากวิถีชีวิตในสังคม
จากความเปราะบางของภาวะจิตใจนั้นเอง เมื่อพวกมันรู้ว่า มีผู้ใดเลือกใช้วิถีชีวิตแบบสมถะ มนุษย์ก็จะพากันยกย่องและนับถือว่าเป็นผู้ทรงศีลหรือผู้วิเศษ ข้าจึงประหลาดใจกับเจ้าสิ่งมีชีวิต ที่มักคิดว่าตนเองปราดเปรื่องกว่าสัตว์โลกเผ่าพันธุ์อื่น ๆ แต่กลับจนปัญญากับเรื่องง่าย ๆ เพียงเท่านี้ เพราะหากพวกมันเฉลียวใจกันสักหน่อย แล้วลองก้มหน้ามองดูเผ่าพันธุ์อื่น ๆ อย่างใช้สติปัญญาบ้าง มนุษย์ก็จะได้พบกับคำตอบที่ต้องการ นั่นคือหนทางกลับไปสู่ ณ จุดเดิมก่อนการแปลกแยกของเผ่าพันธุ์บนพื้นพิภพ
หากได้พิจารณาดูอย่างจริงจัง พวกมันย่อมพบว่า นอกจากมนุษย์แล้ว กลับไม่มีเผ่าพันธุ์ใดเลยที่ล่าเหยื่อเป็นอาหาร เกินกว่าที่กระเพาะตนเองต้องการ หรือหากจะมากกว่านั้น ก็เพียงแค่สะสมไว้สำหรับฤดูจำศีล
ขณะที่เผ่าพันธุ์อื่น ๆ ต้องการเพียงแค่ความอิ่ม และพยายามใช้ประโยชน์จากซากของชีวิตอื่นให้คุ้มค่าที่สุด แต่พวกมนุษย์ กลับต้องการลิ้มรสความอร่อย และความแปลกใหม่ในรสชาติ มันจึงเลือกกินเพียงบางส่วนที่ตนเองต้องการ มันเคยสังเกตเห็นไหมว่า มีเผ่าพันธุ์ใดบ้าง สร้างที่อยู่อาศัยเกินกว่าความจำเป็นเช่นพวกมนุษย์ เพราะมันไม่เคารพสิทธิ์ในการใช้โลกร่วมกันกับสิ่งมีชีวิตอื่น มันจึงสร้างทุกอย่างตามที่ใจปรารถนา
ขณะที่สิ่งมีชีวิตอื่น ๆ สมสู่กันตามฤดูกาลที่เหมาะสม ด้วยความรักและความจำเป็นในการรักษาเผ่าพันธุ์ แต่พวกมนุษย์ กลับเสพสังวาสโดยไม่เลือกฤดูและเวลา มันสมสู่กันเพื่อเป็นความบันเทิง เช่นนั้นแล้ว มันยังมีหน้ามาดูหมิ่นเผ่าพันธุ์อื่น ว่าโหดร้ายและป่าเถื่อน แต่ข้ากลับไม่เคยเห็นสัตว์ป่าตัวใดเลย ที่ทอดทิ้ง หรือฆ่าได้แม้กระทั่งลูกของตนเอง
หากมนุษย์ได้พิจารณาเผ่าพันธุ์อื่นอย่างจริงจัง ย่อมจะพบว่า ผู้ทรงศีลนั้นไม่ได้อยู่ไกลเลย เพราะไม่เคยมีหมา แมว จิ้งจก ตุ๊กแกตัวใด ที่เคยโกหกแม้แต่คำเดียว และสัตว์โลกทั้งหลายเหล่านั้น ไม่มีความโลภอยู่เลยแม้แต่น้อย แต่ก็นั่นแหละ คงเป็นเพราะพวกมันไม่รู้จักกับคำว่า "พอ" ไม่รู้จักพอเพียง ไม่รู้จักเพียงพอ ไม่รู้จักกับคำว่าพอดี และคำว่าดีพอ ทั้ง ๆ ที่มันควรจะรู้นะว่า คำนี้เพียงคำเดียว อาจทำให้โลกนี้ เปลี่ยนไปได้ทั้งใบ
ดวงอาทิตย์เริ่มแผดความร้อนแรง ข้าจึงค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า เมื่อเหยียดกายเพื่อยืดตัวไล่ความเกียจคร้าน ออกจากขาหน้าและหลังแล้ว ข้าจึงนั่งชันขาอยู่บนก้นเช่นเดิม พลางใช้ลิ้นเลียเพื่อทำความสะอาดร่างกาย โดยเริ่มจากอุ้งเท้าหน้าภายใต้กรงเล็บทั้งสองข้างก่อน แล้วจึงค่อยไล่ตามขนบนลำตัว บางเส้นที่หมดอายุก็หลุดล่วงหล่นลง บ้างก็ปลิวหายไปกับสายลมร้อนที่พัดผ่านมา ข้านั่งผิงแดดอีกชั่วครู่ เพื่อให้ความร้อนช่วยไล่ความชื้นของน้ำลายที่แทรกอยู่ในนั้นให้หายไป
ผ่านไปชั่วครู่ แสงแดดก็ร้อนแรงเกินกว่าจะทนได้ ข้าจึงกระโจนกลับมายืนอยู่บนขอบหน้าต่างอีกครั้ง พลางชั่งใจว่า จะไปหาที่ใดนอนต่อดี
"มาทำอะไรอยู่ตรงนี้อีเหมียว"
เสียงหนึ่งดังขึ้นด้านหลัง ทำให้ตกใจจนสะดุ้ง เมื่อตั้งสติได้ ข้าจึงเบิกตาโพลงแล้วหันไปมองดูยังที่มาของเสียง จึงเห็นชายหนุ่มร่างสูงโปร่งแต่งกายสะอาดสะอ้าน มันเป็นเจ้าของบ้านเช่าสองชั้นหลังนี้
"ไง มาทำอะไร ทำไมไม่ตอบวะอีเหมียว หิวหรือเปล่า" ชายหนุ่มผู้นั้นยังคงส่งเสียงพูดคุยกับข้าอย่างอารมณ์ดี ทั้งยังส่งยิ้มอย่างคาดหวังว่า ข้าจะตอบคำใดกลับไป
"อ้าว ไม่ตอบอย่างงี้แสดงว่าหิวแน่ ๆ ใช่มั้ย"
ชายหนุ่มนั่นยังคงเซ้าซี้ เพื่อที่จะเอาคำตอบจากข้าให้ได้ ทั้ง ๆ ที่รู้สึกรำคาญในกิริยาของมัน แต่ข้าก็อดนึกขันขึ้นมาไม่ได้ ว่าหากข้าตอบมันกลับไปด้วยภาษาของพวกมนุษย์แล้วล่ะก็ ไอ้หนุ่มนั่น มันจะทำหน้าอย่างไร
แต่ไม่เอาดีกว่า หากว่าความสนุกเพียงชั่วครู่ของข้า จะต้องแลกด้วยความวุ่นวายไปตลอดชีวิต ข้าพอจะนึกภาพออกว่า หากไอ้หนุ่มนั่น นำเรื่องที่ข้าพูดกับมันด้วยภาษามนุษย์ ไปเล่าให้คนอื่น ๆ ฟังแล้วละก็ ชีวิตของข้าจะต้องเปลี่ยนแปลงไปมากเพียงใด ก็คงต้องได้ร่อนเร่ไปตามงานวัดแน่ ๆ ข้าจึงตัดสินใจร้องตอบกลับไปสั้น ๆ ว่า
"เหมียว"
ไอ้หนุ่มนั่น คงจะพอใจกับคำตอบที่ได้รับ มันจึงหัวเราะออกมาเบา ๆ แล้วพูดว่า
"นั่นไงว่าแล้ว ฉลาดจริง ๆ นะเอ็งอีเหมียว ฟังภาษาคนรู้เรื่องด้วยเหรอวะ รออยู่ตรงนี้แหละ เดียวข้าเอาหัวปลาทูมาให้" พูดจบมันก็หันหลังกลับลงไปยังห้องครัว
ได้ยินเช่นนั้นแล้ว ข้าก็อยากจะบอกให้มันได้รู้เหลือเกินว่า สัตว์ทุกตัวบนโลกใบนี้ ต่างเข้าใจในภาษาของมนุษย์ทั้งสิ้น แต่พวกข้าไม่ปรารถนาจะเสวนากับเผ่าพันธุ์ที่โหดร้ายเช่นพวกมันต่างหาก
"คุยอยู่กับใครเหรอค่ะพี่ชาญ"
เสียงหญิงสาวอ่อนวัยกว่า เอ่ยถามไอ้หนุ่มนั่นทันทีที่มันเดินลงบันไดไป
"แมวจ๊ะแต๋ว แมวดำน่ะ" เสียงไอ้หนุ่มนั่นตอบแฟนสาวของมัน
เมื่อวันที่ : 17 มี.ค. 2554, 21.47 น.
ผู้อ่านที่รัก,
นิตยสารรายสะดวก และผู้เขียนยินดีรับฟังความคิดเห็นต่อข้อเขียนชิ้นนี้
เชิญคลิกแสดงความเห็นได้โดยอิสระ ขอขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ในการมีส่วนร่วมของท่านในครั้งนี้...