![]() |
![]() |
ทิดอินทร์![]() |
เหนือขึ้นไปบนภูเขาและเชิงลาด เมล็ดพันธุ์แห่งชีวิตอื่น ๆ นอกผืนเกษตรกรรม ที่พยายามจะธำรงเผ่าพันธุ์ของตนเอาไว้ ต่างก็แข่งขันกันตะเกียกตะกายแตกหน่อและช่อราก จนป่าทั้งป่าแลดูชอุ่มชุ่มชื้นระรื่นนัยน์ตา ฝูงนกกระยางบ้างเกาะคอนกิ่งไม้เพื่อสอดส่ายสายตาหาเหยื่อ บ้างก็ยืนแช่นิ่งอยู่ในแอ่งน้ำขัง เพื่อรอปลาหรือกบเขียดโชคร้ายสักตัวที่ว่ายวนผ่านมาทางนั้น เมฆน้อยก่อตัวเกาะกลุ่มก้อนแล้วลอยหายไปกับกระแสลมที่พัดพาไปทางด้านหลังของขุนเขา
หลังสิ้นฤดูกาลหว่านไถ เมื่อพอได้ผ่อนคลายจนหายเหนื่อยจากการตรากตรำงานหนักในไร่นาแล้ว ชายชราจึงมีโอกาสได้กลับมาสำรวจดูความเรียบร้อยและสภาพของคันเบ็ดไม้ไผ่ทั้งสองหลัง ที่ถูกเหน็บเอาไว้ใต้แฝกมุงหลังคาบนเรือนหลังเก่า เรือนที่บรรจุความสุขและความทรงจำของแก เก็บซ่อนเอาไว้ในแทบทุกตารางนิ้ว
ลุงชัยแกไม่ใช่คนพื้นถิ่นนี้ หากแต่เป็นคนที่ร่อนเร่พเนจรมากับวงดนตรีลูกทุ่งคณะหนึ่ง แต่เดิมบ้านเกิดของแกนั้นอยู่ที่จังหวัดเลย แต่ด้วยใจรักและความใฝ่ฝันที่อยากจะเป็นนักร้องชื่อเสียงโด่งดังเช่น "ก้าน แก้วสุพรรณ" จึงทำให้แกหนีพ่อและแม่ ทิ้งไร่ทิ้งนาแล้วแอบกระโดดขึ้นหลังรถบรรทุกเครื่องดนตรี ที่มัคนายกได้จ้างมาแสดงเพื่อฉลองโบสถ์หลังใหม่ของตำบล
เมื่อแกะผ้าชุบน้ำมันที่พันห่อหุ้มเบ็ดทั้งสองคันนั้นไว้ด้วยกันออกแล้ว จึงค่อย ๆ สำรวจดูว่าลำคันยังคงอยู่ในสภาพที่ดีหรือไม่ และเมื่อได้ตรวจอย่างละเอียดจนพบว่า วิธีการใช้ผ้าชุบน้ำมันขี้โล้พันรอบคันเบ็ดไว้ ยังคงเป็นวิธีการเก็บรักษาที่คงประสิทธิภาพเช่นเดิม เพราะปราศจากร่องรอยการรบกวนจากมอด เจ้าแมลงตัวเล็ก ๆ ที่ชอบทำลายวัสดุที่ประดิษฐ์ขึ้นจากไม้ไผ่
ลมอ่อน ๆ พากลิ่นหญ้าเน่าที่หมักอยู่ในโคลนตมพัดโชยมาเป็นระยะ แต่แกก็คร้านที่จะใส่ใจ เมื่อลูบคลำสัมผัสอีกครั้งจนพอใจชายชราจึงค่อยมวนยาเส้นด้วยใบตองแห้ง ครั้นได้สูดเอาควันอันข้นฉุนเข้าสู่ปอดอยู่สองสามครั้ง แกจึงค่อยลงมือสานงานของแกต่ออย่างช้า ๆ ไม่เร่งรีบ
เบ็ดทั้งสองคันนี้ประกอบไปด้วยคันยาวและคันสั้น คันยาวนั้นยาวเกือบสิบศอก ซึ่งแทบจะสามารถใช้เป็น "เบ็ดยก" เพื่อล่อปลากินเนื้ออย่างพวกไอ้ช่อนหรือชะโดได้เลยทีเดียว ส่วนคันสั้นนั้นยาวเพียงหกศอก ซึ่งส่วนใหญ่เหยื่อของมันนั้นมักจะเป็นปลาหมอ ปลาตะเพียน หรือพวกปลานิลหลงบ่อมาเสียมากกว่า
แกผูกสายเอ็นกับตัวคันเบ็ด แล้วจึงค่อยร้อยเข้ากับทุ่นไม้ ตะกั่วถ่วงและผูกตะขอเบ็ดอย่างบรรจง ราวกับกำลังเกรงว่างานของแกนั้นจะจบลงเสียโดยง่ายดายเกินไป แต่กระนั้นการประกอบเบ็ดคันยาวก็เสร็จสิ้นพร้อม ๆ กับการดีดก้นมวนยาลงสู่พื้นดิน แกจับมันวางลงสู่หน้าตักแล้วลูบคลำอีกครั้งอย่างแผ่วเบา ก่อนที่จะแหงนมองขึ้นไปบนท้องฟากฟ้า เพื่อหวนนึกถึงเรื่องราวในความหลัง รอยยิ้มพลันผุดขึ้นที่มุมปากอันยับย่น ก่อนที่แกผ่อนลมหายใจยาว ๆ ออกมา
ในเช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากหัวหน้าวงดนตรีได้รู้ว่ามีสมาชิกใหม่เพิ่มมาอีกหนึ่งคนโดยไม่ทันได้ตั้งตัว จึงเกิดการซักไซ้ไล่เรียงกันขึ้น ไอ้หนุ่มชัยจึงอธิบายกับหัวหน้าวงว่าได้ถูกทิดปลั่งโฆษกประจำคณะทำการชักชวนให้เข้าร่วมดนตรี ภายหลังจากที่มันร้องเพลงประกวดบนเวทีและได้ที่หนึ่งของตำบล
แต่เมื่อมันกลับไปเก็บเสื้อผ้าที่บ้าน แล้วแอบลงเรือนหนีพ่อกับแม่เพื่อจะกลับมาสมัครเป็นนักร้องร่วมวงดนตรีจริงๆ ทั้งทิดปลั่งหัวหน้าวงและนักร้องคนอื่นๆก็ได้พากันเก็บข้าวขนของออกจากลานวัดไปหมดแล้ว เหลือเพียงรถขนอุปกรณ์เวทีและฉากเป็นคันสุดท้าย มันจึงเข้าไปพูดคุยสอบถามเพื่อจะขอติดตามมาด้วย โชเฟอร์รถบรรทุกขนอุปกรณ์กลับปฏิเสธ ดังนั้นมันจึงตัดสินใจแอบกระโดดขึ้นท้ายรถเพื่อติดตามมาเอง
ทิดปลั่งได้ยินเช่นนั้นก็รีบแย้งว่า เขาเพียงชักชวนก็ด้วยทีเล่น เช่นกับที่เคยแกล้งชักชวนคนอื่น ๆ โดยไม่ได้คาดคิดเลยว่า ไอ้หนุ่มชัยจะเห็นเป็นทีจริง เห็นดังนั้นหัวหน้าวงดนตรีจึงปฏิเสธและพยายามเกลี้ยกล่อมให้มันกลับบ้าน เพราะเกรงว่าพ่อกับแม่ของมันจะเป็นห่วง พร้อมทั้งยื่นเงินค่ารถในการเดินทางให้ด้วย แต่ไอ้หนุ่มชัยกลับไม่ยินยอม ซ้ำยังเฝ้าพร่ำอ้อนวอนต่อหัวหน้าวงดนตรีเพื่อขออยู่ร่วมในคณะฯ ทั้งสัญญาว่าจะช่วยทำงานต่าง ๆ โดยไม่เกี่ยงว่าหนักหรือเบา เพื่อแลกกับอาหารและการได้ร้องเพลง ทั้งยังไม่ขอรับค่าตอบแทนใด ๆ สุดท้ายหัวหน้าวงดนตรีจึงอดใจอ่อนเพราะทนลูกดื้อของมันไม่ได้ ดังนั้นจึงได้บรรจุชายหนุ่มไว้ในตำแหน่งกรรมกรแบกหามประจำวงโดยไม่มีเงินเดือน ด้วยหวังว่าเมื่อมันเหนื่อยมาก ๆ จนทนไม่ไหว ก็คงจะขอลาออกจากวงไปเอง
แต่หัวหน้าวงตรีก็ต้องประหลาดใจ เมื่อเวลาผ่านไปหนึ่งปีแล้วยังเห็นว่า ไอ้หนุ่มชัยยังคงก้มหน้าก้มตาทำงานทั้งหนักและเบาโดยไม่ยอมปริปากบ่น ครั้นเมื่อเห็นความตั้งใจอันแน่วแน่ดังนั้น เมื่อมีสมาชิกคนหนึ่งของวงลาได้ออกเพราะต้องไปรับราชการทหารตามหมายเกณฑ์ ไอ้หนุ่มชัยจึงได้รับการบรรจุโดยปริยายพร้อมทั้งเงินเดือนอีกเดือนละยี่สิบบาท และมีโอกาสได้ร้องเพลงก่อนใครในทุกงาน เพราะมันมีหน้าที่ในการทดสอบความพร้อมของเครื่องเสียง ก่อนการแสดงจริงของนักร้องประจำวง
ผ่านไปอีกสองปี ชีวิตของชายหนุ่มยังคงดำเนินต่อไปพร้อมด้วยใจที่มุ่งมั่นในความฝัน แม้ว่าในช่วงหลัง ๆ งานของวงดนตรีจะเริ่มลดน้อยลงทุกที เพราะมีวงดนตรีใหม่ ๆ ประจำถิ่นในจังหวัดต่าง ๆ เกิดขึ้นมาจำนวนมาก จึงทำให้รายได้ของวงดนตรีเริ่มลดลง กระทั่งในบางครั้ง แม้แต่เงินจะซื้อข้าวสารมากรอกหม้อ เพื่อให้ลูกวงได้กินกับก้อนเกลือนั้นก็แทบยังจะไม่มี
เมื่อสถานการณ์เริ่มตกต่ำลงเช่นนั้น สมาชิกหลาย ๆ คนจึงได้พากันทยอยอำลาจากวงดนตรีไป ด้วยทนต่อความอดอยากไม่ไหว แต่ไม่มีวันใดเลยที่ไอ้หนุ่มชัยคิดจะละทิ้งสิ่งที่มันรัก และสิ่งที่มันใฝ่ฝันในการจะได้เป็นนักร้อง จนในที่สุดโอกาสของมันก็มาถึง
วันนั้นเป็นวันแรกที่หัวหน้าวงดนตรี ได้ปรับชายหนุ่มให้เป็นหนึ่งในนักร้องประจำวง แทนนักร้องคนเก่าที่ลาออกกลับไปช่วยแม่ทำนาที่จังหวัดสุพรรณบุรี โดยมีเงื่อนไขว่าไอ้หนุ่มชัยจะต้องเป็นนักร้อง ควบคู่ไปกับการทำหน้าที่กรรมกรประกอบเวทีในตำแหน่งเดิม เพราะขณะนั้นสมาชิกของวงได้เหลือเพียงไม่กี่คน
ในพร้อมกันนั้น หัวหน้าวงยังได้ตั้งชื่อประจำวงการให้กับไอ้หนุ่มชัยเสียเพราะพริ้งว่า "ชัย ชินกร" และเนื่องจากเป็นการแสดงจริงครั้งแรก หัวหน้าวงดนตรีจึงได้มอบหมายให้มันได้ร้องเพลงหนึ่งเพลงในตอนเปิดวง และถึงแม้ว่านั่นจะเป็นแค่เพียงเพลงเดียว แต่กลับเป็นเพลงที่เปลี่ยนชีวิตของชายหนุ่มไปตลอดกาล
ก่อนการแสดง ภายหลังจากจัดแต่งเวทีเพื่อเตรียมการตามหน้าที่เสร็จเรียบร้อยแล้ว ด้วยความครึ้มอกครึ้มใจที่ได้รับการบรรจุเป็นนักร้องในวันแรก จึงทำให้ว่าที่นักร้องวันแรกอดตื่นเต้นไม่ได้ จนต้องออกเดินเตร็ดเตร่เพื่อสำรวจดูจำนวนคนดูรอบ ๆ บริเวณงานวัด และเมื่อมาถึงลานชิงช้าสวรรค์ ครั้นเมื่อเหลียวมองเข้าไปในกรงชิงช้าบนโครงเหล็ก ชายหนุ่มจึงได้สบตากับหญิงสาวชาวบ้านนางหนึ่ง ซึ่งได้ทำให้หัวใจของมันนั้นแทบจะพลันหยุดเต้น ราวกับว่าต้องมนต์สะกด ขณะที่หญิงสาวนางนั้นก็มีอาการไม่แตกต่างกัน แม้เพียงเสี้ยววินาทีที่ได้สบสายตาแก่กัน ชายหนุ่มก็รู้สึกได้เลยว่า หญิงสาวนางนี้ คือคนๆเดียวเท่านั้นที่จะอยู่ในใจของมันไปตราบสิ้นชีวิต
เสียงเพลงแว่วหวานลอยมาจากร้านขายขนมสายไหมที่ตั้งอยู่ข้าง ๆ กระทบกับความรู้สึกในรักแรกพบของชายหนุ่มและหญิงสาว จนต่างต้องรีบเบือนหน้าหนีด้วยความขวยอาย และในขณะที่เครื่องยนต์ได้เดินรอบตามสายพาน เพื่อชักรอกชิงช้าที่หญิงสาวนางนั้นนั่งอยู่ ให้ค่อย ๆลอยสูงขึ้นไปสู่ฟากฟ้า ชายหนุ่มก็คล้ายรู้สึกว่า หัวใจของมันได้ถูกกระชากให้ลอยติดตามไปด้วย
ครั้นเมื่อถึงเวลาที่ต้องขึ้นเวที และเป็นครั้งแรกที่นักร้องหนุ่ม "ชัย ชินกร" จะได้เปิดตัวด้วยการร้องเพลงเปิดวง ซึ่งถึงแม้ว่ามันจะหากินและชินกับเวทีมานานถึงห้าปี แต่กระนั้นก็ยังอดที่จะประหม่าไม่ได้
แต่ความรู้สึกตื่นเต้นดีใจ ในการร้องเพลงต่อหน้าคนจำนวนมากเป็นครั้งแรกนั้น ก็ยังเทียบไม่ได้กับการที่ได้พบว่า หนึ่งในจำนวนของผู้ชมที่กำลังนั่งรออยู่นั้น กลับมีหญิงสาวที่มันได้ต้องตาต้องใจในลานชิงช้าสวรรค์รวมอยู่ในกลุ่มคนเหล่านั้นด้วย
แม้ว่าชายหนุ่มจะขาสั่นจนแทบที่จะต้องคลานออกมาจากหลังเวที แต่พลันเมื่อมันได้ครวญท่อนแรกของบทเพลงออกไป พร้อมด้วยความตั้งใจที่อยากจะให้หญิงสาวนางนั้นได้รับรู้ถึงความรู้สึกของมัน ครั้นเมื่อสายตาของทั้งสองคนได้มาประสานกันอีกครั้ง มันจึงสามารถสะกดความประหม่าลงได้ และค่อยเอื้อนเอ่ยบทเพลงออกไปราวกับว่า มันกำลังกล่อมเพลงเพื่อวอนฝากรักไปให้แก่หญิงสาวนางนั้น
"...น้องเป็นสุดา จากฟ้าหรือไร
เลิศล้ำกว่าใคร ที่อยู่ในผืนพิภพหล้า
รูปเรียวระหง คิ้วโก่งเหมือนดัง คันศรรามา
ดวงเนตรนั้นดำ ดุจนิลจินดา พี่สุดจะหาใดเทียมทัน
...พี่หรือจะเมินไม่มองปองรัก หากแม้นอุปสรรค
มากั้นความรัก พี่ไม่หวั่น
ต่อให้ภูเขา หรือห้วยลำเนามากางกั้น
พี่ขอผจญดิ้นรน ฝ่าฟัน ถึงชีพดับขันธ์ พี่ก็ยอม
...เพียงได้น้อง มาเชยมาชม
ยามหนาวใช้แทนผ้าห่ม เป็นลมเมื่อร้อนตรมตรอม
ถึงภุมริน ที่เฝ้าบินหมายคอยดมดอม
ถึงมดหรือไรใฝ่ใจเฝ้าตอม พี่จะไม่ยอมให้ตอมต้องกาย
...น้องจงปราณีแก่พี่สักนิด พี่รักจากจิต
จนชั่วชีวิตพี่ไม่หน่าย อย่าให้อกหัก
เสมือนต้นรักที่ยืนตาย รักของชาวดินไม่สิ้นสลาย
ตราบฟ้าจะหายกลายเป็นธุลี"
ดนตรีส่งท้ายสิ้นลงไปท่ามกลางเสียงปรบมืออย่างเกรียวกราว ราวกับว่าผู้ชมทั้งหมดได้ต้องมนต์สะกดเสน่ห์เสียงของมัน และก่อนที่จะหันกายกลับเข้าสู่หลังม่าน ชายหนุ่มก็พลันรู้สึกตัวแล้วว่า หัวใจของมันคงไม่อาจหนีจากตำบลแห่งนี้ไปได้
เมื่อการแสดงของวงดนตรีจบลงและเก็บข้าวของตามหน้าที่เรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มจึงตรงเข้าไปขอลาออกต่อหัวหน้าวงทันที ท่ามกลางเสียงห้ามปรามของเพื่อนร่วมวง ที่ทั้งเป็นห่วงและรักอาลัย แต่กระนั้นหัวหน้าวงเองก็พอจะเข้าใจความรู้สึกของนักร้องหนุ่ม ที่ถูกสายลมในความร้อนแห่งวัยพัดพามา ก็คงจะถูกสายลมแห่งความรักพัดพาไปเช่นกัน แม้ทั้งรักและเวทนาแต่หัวหน้าวงก็รู้ดีว่า คงมิอาจทัดทานความตั้งใจอันเด็ดเดี่ยวของนักร้องวันเดียวเช่น "ชัย ชินกร" ได้
เช้าวันถัดมา อดีตนักร้องหนุ่มก็เริ่มเที่ยวออกเดินตามหาหญิงสาวนางนั้น ไปทั่วทุกหมู่บ้านในเขตตำบลอยู่หลายวัน และในขณะที่มันกำลังเดินย้อนกลับมายังวัดเพื่อตั้งหลักใหม่ ด้วยความรู้สึกที่แทบจะสิ้นหวัง แต่ทันใดนั้น หัวใจของชายหนุ่มก็พลันกลับชุ่มชื่นขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อพบว่า แท้จริงแล้วหญิงสาวที่มันเที่ยวเดินตามหามาสามวันสามคืน กลับเป็นลูกสาวของผู้ใหญ่บ้านซึ่งปลูกเรือนอยู่หลังวัดนี่เอง
ครั้นได้กลับมาพบกันอีกครั้ง หลังจากการห่างหายไปด้วยความรู้สึกที่ว้าวุ่นไม่ต่างกัน พลันเมื่อตาต่อตาได้มาประสาน โดยแทบที่จะไม่ต้องเอื้อนเอ่ยวาจาใด ๆ หญิงสาวและชายหนุ่มต่างก็รู้แก่ใจดีแล้วว่า ในชีวิตนี้ของทั้งคู่ ย่อมไม่อาจยอมรับกับการพลัดพรากได้อีกแล้ว ทั้งสองคนจึงต่างส่งมอบยิ้มและเปิดหัวใจให้แก่กันและกัน
สามวันหลังจากนั้น อดีตนักร้องวันเดียวจึงหางานทำในละแวกใกล้เคียงจนได้ ซึ่งก็คืองานในไร่ของเถ้าแก่โรงสีไฟประจำถิ่น ที่เหมาค่าจ้างค่าแรงเป็นรายปี โดยมีอัตราค่าจ้างปีละสองร้อยบาท พร้อมข้าวสารอีกครึ่งกระสอบ แม้ว่าจะเป็นงานที่หนักและรายได้ต่ำทั้งห่างไกลจากความฝันในการเป็นนักร้องลูกทุ่ง แต่กระนั้นมันก็รีบคว้าไว้ด้วยความเต็มใจ เพราะนั่นคือหนทางเดียวที่จะได้อยู่ใกล้ ๆ กันกับดวงใจของมัน
ผ่านไปอีกเพียงครึ่งปี ข่าวคราวเรื่องราวของชายหนุ่ม ที่ทิ้งอาชีพนักร้องเร่ร่อนแล้วผันตัวมาเป็นคนงานในไร่ ด้วยเหตุเพราะมาติดพันลูกสาวของผู้ใหญ่บ้านก็ดังกระฉ่อนออกไปทั่วทั้งตำบล ท่ามกลางความรู้สึกที่ทั้งเห็นใจแกมสมเพชอยู่ในที ด้วยเหล่านักรักและนักเลงหัวไม้ในแถบบริเวณนี้ ต่างรู้ก็กันดีอยู่ว่า "ผู้ใหญ่แก้ว" แกหวง "อีกลอย" ลูกสาวคนเดียวมากขนาดไหน แต่กระนั้นใคร ๆ ก็อดสงสัยไม่ได้ว่า เหตุใดไอ้หนุ่ม "ชัย ชินกร" มันยังกล้าครวญเพลงรักอันอ้อยสร้อย เดินเข้านอกออกในบ้านผู้ใหญ่ได้โดยไม่รู้สึกหวาดหวั่น
ครั้นเมื่อนึกถึงตรงนี้ชายชราก็พลันต้องรู้สึกอยากขันขึ้นมา ด้วยเหตุที่แกกุมความลับในการชนะใจว่าที่พ่อตาของแกได้ อย่างแทบจะเรียกว่าโชคช่วย เพราะผู้ใหญ่แก้วนั้นเป็นนักเลงไก่ชนตัวยง และด้วยในช่วงที่ไอ้หนุ่มชัยยังอยู่ในวงดนตรีนั้น หัวหน้าวงดนตรีก็เป็นนักเลงไก่ชนเช่นกัน จึงมอบหมายหน้าที่ในการดูแลไก่ชนให้ไอ้หนุ่มชัยเป็นผู้ดูแล พร้อมทั้งยังได้สอนกลเม็ดเด็ดพรายในการเลี้ยงการฝึกสอนและการดูลักษณะไก่ให้แก่มันด้วย
ดังนั้น เมื่อลาออกจากวงดนตรีมา ไอ้หนุ่มชัยจึงมีความรู้ความเชี่ยวชาญในวิชาไก่ชน ที่ถูกสถานการณ์บังคับให้ต้องร่ำเรียนในตลอดห้าปีนั้นติดตัวมาด้วย
ในช่วงแรก ๆ ก่อนที่มันจะกล้าเดินเข้าไปในบ้านของผู้ใหญ่แก้วนั้น ไอ้หนุ่มชัยก็ได้ไปแอบสำรวจดูลาดเลาบ้านของคนรักอยู่ก่อนแล้ว และเมื่อเห็น "ว่าที่พ่อตา" ของมันมีไก่ชนอยู่ในสังกัดกว่าสามสิบตัว จึงเป็นโอกาสของไอ้หนุ่มชัยที่จะได้ทำทีเป็นตีสนิท มันจึงแสร้งเข้าไปซักถามพูดคุยเรื่องไก่ในสุ่มของผู้ใหญ่แก้ว เมื่อสนทนานานเข้าจนถูกคอ และด้วยความที่ไอ้หนุ่มแปลกหน้า มันดันมีความรู้และความเชี่ยวชาญเรื่องไก่ชนมิใช่น้อย ทั้งยังมีกลเม็ดเด็ดพรายในการบำรุงดูแลรักษาไก่ชนอีกหลายประการ ที่ผู้ใหญ่แก้วไม่เคยรู้มาก่อน ดังนั้นแกจึงถึงกับเอ่ยปากไหว้วาน ให้ไอ้หนุ่มชัยหมั่นเข้ามาช่วยดูแลไก่ชนของแก เมื่อเป็นเช่นนั้นก็เท่ากับว่า ประตูแห่งความรักของชายหนุ่มได้เปิดออกแล้ว ดังนั้นจึงเหลือเพียงแต่ว่า มันจะสามารถพัฒนาสายสัมพันธ์ต่อไปอย่างไร
และนับแต่นั้นเป็นต้นมา หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจในไร่นาตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากเถ้าแก่แล้ว ไอ้หนุ่มชัยก็มักจะวนเวียนเข้าไปทำทีดูไก่ชนของผู้ใหญ่แก้วทุกวัน ทุกวัน จนกระทั่งเริ่มสนิทชิดเชื้อกับทุกคนในครอบครัว และแม้ว่าในบางครั้ง ผู้ใหญ่แก้วจะสังเกตเห็นแววตาและรอยยิ้มคล้าย ๆ อาการกะลิ้มกะเหลี่ยของชายหนุ่ม ที่หมั่นส่งไปให้แก่ลูกสาวคนเดียว แกก็มักจะแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น เพราะแกก็รักไก่ไม่แพ้อีกลอยลูกสาวของแกเช่นกัน ครั้นเมื่อนานวันเข้า ก็กลายเป็นการรับรู้กันโดยปริยายว่า ไอ้หนุ่มชัย ชินกร กับอีกลอยลูกสาวของแกนั้น มันเป็นคู่รักกัน
นิ้วมือเหี่ยว ๆ อันเต็มไปด้วยรอยด่างของกระ และเส้นเอ็นที่ปูดโปนเพราะผ่านการทำงานหนักมาหลายสิบปี ค่อยๆม้วนใบตองแห้งเพื่อมวนพันยาสูบตัวใหม่ เมื่อบรรจงเด็ดเศษเส้นยาที่เลยส่วนของก้นยามวนออกจนแลดูเรียบร้อยดีแล้ว ชายชราจึงสะบัดนิ้วโป้ผ่านเหล็กตีถ่านหินไฟเพื่อให้เกิดสะเก็ด และเพียงแค่แวบเดียวที่ประกายสว่างขึ้น กระจุกใยฝ้ายที่ชุ่มน้ำมันรอนสันนั้นก็พรึบเพลิงโชติช่วงขึ้นมา แกจึงค่อยๆประคองต่อเข้ากับมวนยาสูบแล้วสูดลมหายใจลึกๆเข้าปอด ก่อนจะพ่นควันสีขาวขุ่นให้พวยพุ่งออกมาทางปากและจมูก ด้วยใบหน้ากึ่งยิ้มแย้มอย่างมีความสุข เมื่อภาพคืนวันอันเก่าก่อนได้ฉายชัดอยู่ในความทรงจำ
เมื่อด่านแรกในความรักของชายหนุ่มได้ผ่านพ้นไป ก็เหลือปัญหาอันหนักอึ้งในด่านที่สอง เพราะถึงแม้ว่าทั้งครอบครัวของอีกลอย จะรับรู้และมิได้รังเกียจต่อความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ แต่การจะไปสู่ขอเพื่อตบแต่งอยู่กินกันให้ถูกต้องตามประเพณีนั้น มันก็ต้องมีทั้งทรัพย์สินเงินทองและผู้ใหญ่มาสู่ขอให้สมหน้าสมตากับฝ่ายของผู้หญิง แต่ด้วยความที่เป็นคนจรหมอนหมิ่นสิ้นไร้ซึ่งฐานะ ประกอบกับการที่มีความรู้สึกผิดติดตัว ฐานที่แอบหนีออกมาจากบ้านโดยไม่ได้อำลาพ่อกับแม่ก่อนนั้น ครั้นจะมันกลับไปเพื่อขอเงินทองมาสู่ขอเมีย มันก็ละอายใจกับความผิดที่ได้เคยกระทำไว้ และถึงแม้ว่าจะกลับไปได้ มันก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่า พ่อและแม่ของมัน ซึ่งมีอาชีพทำไร่ไถนาไม่กี่สิบไร่นั้น คงไม่มีปัญญาหาเงินหาทองมาให้มันแต่งเมียได้โดยง่ายแน่ คิดดังนั้น ชายหนุ่มจึงได้แต่ก้มหน้าก้มตาทำงาน เพื่อหวังเก็บเงินเก็บทองมาสู่ขออีกลอย ดวงใจของมัน
ครั้นเมื่อว่างจากงานในไร่ มันจึงไปขออนุญาตเถ้าแก่เพื่อออกไปรับจ้างหางานพิเศษทำ และก็นับว่าเป็นทั้งความโชคดีและความดีของมัน ที่ทำให้เถ้าแก่เจ้าของไร่นายเงินนั้นอนุญาต ด้วยเห็นแก่ความขยันหมั่นเพียรและสงสารสมเพชในความรักของมัน แต่กระนั้นเมื่อสามปีผ่านไป เงินทองที่มันหามาได้กับค่าสินสอดทองหมั้นที่ผู้ใหญ่แก้วเคยเกริ่น ๆ ไว้นั้นก็ยังห่างกันอยู่อีกไกล
แต่แล้วเหตุการณ์ที่ทุกคนไม่คาดฝันก็พลันเกิดขึ้นในวันสงกรานต์ปีถัดมา เมื่อผู้ใหญ่แก้วและลูกบ้านอีกห้าหกคน ซึ่งเป็นคอนักเลงไก่ชนเช่นกัน ได้ยกขบวนนำไก่แชมป์ประจำตำบลที่ไร้ตัวใดกล้าประกบ พากันข้ามถิ่นไปท้าเดิมพันกับไก่แชมป์ประจำจังหวัด และถึงแม้ว่าอัตราต่อรองนั้นจะเป็นรองเจ้าถิ่นอยู่ค่อนข้างเยอะ แต่ทางผู้ใหญ่แก้วและคณะก็หาได้หวาดหวั่น ทั้งยังทุ่มเงินเดิมพันกันเสียจนแทบจะหมดตัว
นับว่าเป็นโชคดีของไอ้หนุ่มชัย ที่วันนั้นงานในไร่ของมันยังไม่แล้วเสร็จ จึงไม่สามารถติดตามไปช่วยดูแลไก่ชนให้แก่ว่าที่พ่อตาได้ แต่ก็กลับเป็นโชคร้ายของผู้ใหญ่แก้ว เมื่อไก่ของแกได้ชนชนะอย่างขาดลอย พร้อมกับได้หอบเงินรางวัลเดิมพันกลับมาบ้านด้วยอีกเฉียดแสนบาท แต่มีหรือที่นักเลงเจ้าถิ่นจะยอมเสียเหลี่ยมเสียทรัพย์โดยง่าย พวกนั้นจึงตามมาดักปล้นเพื่อหวังจะเอาเงินเดิมพันคืน
แต่ผู้ใหญ่แก้วแกก็ไม่ยอมด้วยสัญชาติของนักเลงรุ่นลายคราม การดวลปืนเพื่อต่อสู้กันจึงเปิดฉากขึ้น แต่พวกของผู้ใหญ่แก้วนั้นเป็นคนต่างถิ่น จึงเสียเปรียบเพราะไม่ชำนาญชัยภูมิเท่ากับไอ้พวกนักเลงโจรที่ตามมาปล้น สุดท้ายทั้งคณะจึงต้องกลายเป็นผีตายโหงเฝ้าป่าละเมาะริมทาง ทรัพย์สินทั้งหมดแม้แต่ฟันเลี่ยมทองสองซี่หน้าของแก ก็ถูกพวกโจรงัดออกไปด้วย
หลังจากรับทราบข่าวร้าย ทั่วทั้งหมู่บ้านจึงตกอยู่ภายใต้ความโศกเศร้าของโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้น ครั้นเมื่อเสร็จสิ้นเรื่องงานศพ คนในหมู่บ้านก็แทบจะปราศจากเรื่องราวของความรื่นเริง เพราะผู้ที่เสียชีวิตนั้น ส่วนใหญ่ก็ล้วนแล้วแต่เป็นเสาหลักของครอบครัว
ผ่านลมร้อนในฤดูแล้งและความเศร้าสร้อยได้ไม่นาน ลมมรสุมก็พัดพาเอาเมฆฝนให้หล่นสาย อันเป็นสัญญาณของการเริ่มต้นของชีวิตในวิถีกสิกรรม และแม้ว่าในไร่ของอีกลอยกับแม่ จะเหลือลูกจ้างแรงงานที่เป็นหลักอยู่อีกหลายคน แต่ก็ไม่มีผู้ใดที่จะสามารถทำหน้าที่เป็นหัวหน้าของครอบครัวได้
เมื่อแม่ใหญ่จันทร์เมียของสัง ผู้ใหญ่แก้วเห็นดังนั้น ครั้นสิ้นหน้านาอย่างกระท่อนกระแท่นเพราะการงานขาดผู้นำ แกจึงได้เรียกไอ้หนุ่มชัยเข้าไปปรึกษาพูดคุย ด้วยต่างคนก็ต่างรับรู้ถึงความอัตคัดของชายหนุ่มคนจร แต่เมื่อเห็นความขยันความอุตสาหะ ทั้งเรื่องความรักและการทำงาน ดังนั้นแม่ใหญ่จันทร์จึงได้ถือเอาสิ่งเหล่านั้นเป็นทรัพย์แทนสินสอด
และในเดือนยี่ปีถัดมา งานวิวาห์ของคู่บ่าวสาวที่เฝ้าฝากรักกันมาหลายปี จึงได้ถูกจัดขึ้นท่ามกลางความชื่นชมของคนทั่วทั้งหมู่บ้าน โดยมีเถ้าแก่ไร่ของไอ้หนุ่มชัย มาช่วยเป็นผู้ใหญ่ในการสู่ขอของฝ่ายชาย พร้อมทั้งได้มอบทองคำหนักหนึ่งบาทเป็นของขวัญวันแต่งงาน
หลังสิ้นวันมงคลสมรส ไอ้หนุ่มชัยจึงได้เริ่มชีวิตกับครอบครัวใหม่ ทั้งด้วยความขยันขันแข็งและความตั้งใจในการสร้างครอบครัวที่มีมากกว่าเดิม ไม่นานงานในไร่นาและฐานะจึงได้กลับมาเป็นปึกแผ่นตามความตั้งใจของแม่ยาย และคราวนี้ชื่อเสียงของไอ้หนุ่ม "ชัย ชินกร" จึงได้กลับมาโด่งดังอีกครั้ง ในฐานะของบุคลตัวอย่างของตำบล
หลังสิ้นงานไร่นาในแต่ละวัน ภาพของไอ้หนุ่มชัยที่ครวญเพลงรักเคลียคลอกับอีกลอยเพื่อเดินกลับสู่เรือน เป็นสิ่งที่คนทั้งหมู่บ้านได้เห็นกันอย่างชินตา จนทำให้ใครต่อใครเฝ้ามองดูอย่างอิจฉา
และเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างได้กลับมาเข้าที่เข้าทางดีแล้ว ความรู้สึกและความใฝ่ฝันที่อยากจะเป็นนักร้อง ก็ได้หวนกลับเข้ามาอยู่ในใจของชายหนุ่มอีกครั้ง จนร่ำๆจะบอกกับเมียรักอยู่หลายหนว่า หลังเสร็จหน้านาปีนั้น มันจะขอเข้ากรุงเพื่อกลับไปร้องเพลงอีกสักระยะ แต่แล้วมันก็คิดได้เพียงเท่านั้น ความฝันก็ต้องหยุดชะงักไป เพราะเมื่อสิ้นลมมรสุมในเดือนสิบของปีนั้น อีกลอยเมียรักพลันได้บอกกับมันว่า นางกำลังตั้งท้องลูกของมัน พร้อมกับรวงข้าวในท้องนา
ข่าวที่ได้รับ ทำให้มันลืมสิ้นเสียแทบจะทุกสิ่งทุกอย่าง ด้วยวันทั้งวัน มันก็เฝ้าแต่ทะนุถนอมเมียและทารกในครรภ์ ด้วยจิตใจอันจดจ่อที่อยากจะได้เห็นหน้าของลูกรัก ทั้งวาดฝันวางแผนชีวิตให้แก่สายเลือดในอก และความรักที่มันได้ทุ่มเทให้แก่ลูกนั้น ดูเหมือนว่าจะมีมากกว่าที่เคยมีให้แก่แม่ของเด็กน้อยเสียอีก ตลอดระยะเวลาการอุ้มท้องที่ผ่านไป ชายหนุ่มก็คอยดูแลและเตรียมความพร้อมทั้งเปลหวายสาน ผ้าอ้อม ปลาตะเพียน สิ่งใดดีที่ผู้เฒ่าผู้แก่แนะนำไว้ มันก็จัดหาเตรียมมาไว้มิได้ขาด กระทั่งถึงวันที่เจ้าลูกชายตัวน้อยได้โผล่ออกมาลืมตาดูโลก พ่อของมันก็พลันได้รับรู้ว่า สิ่งใด ๆ ที่คนอื่นเขาบอกกันว่ามีค่ามหาศาล ก็ไม่อาจเทียบได้เลยกับเด็กทารกตัวแดง ๆ ที่นอนดิ้นกระแด่ว ๆ ส่งเสียงร้องเหมือนแมวอยู่ตรงหน้า แล้วชีวิตทั้งชีวิตที่เหลืออยู่ จึงได้ยอมทุ่มเททั้งหมดเพื่อลูกชาย มันลืมสิ้นทั้งความหวังความฝัน ลืมอดีต สิ่งเดียวที่มันเพียรพยายามก็คือ ทำทุกสิ่งในปัจจุบันเพื่ออนาคตของลูกชาย
ชายชราหยิบเบ็ดคันยาวขึ้นพิงไว้กับเสาเรือน จากนั้นจึงส่งเสียงไอโคลกๆจนตัวโยน ปอยผมสีดอกเลาที่ลูบน้ำมันมะกอกไว้ก็สั่นไหวไปตามแรงเขย่า แกจึงยกมือขึ้นลูบเพื่อจัดให้มันเข้าทรงอีกครั้ง ก่อนที่จะดึงเอาเบ็ดคันเล็กที่เคยเป็นของลูกชายแกลงมาเช็ดฝุ่น
แกวัดสายเอ็นแล้วผูกเข้ากับด้านปลายของคันเบ็ด แล้วจึงร้อยทุ่นไม้ ตะกั่วถ่วงแล้วจึงมัดตะขอขนาดเล็กด้วยความชำนาญเช่นเดิม จากนั้นจึงรวบเก็บสายเข้าที่ให้เรียบร้อย แล้วจึงเดินแบกคันเบ็ดทั้งสองไปยังหนองน้ำปลายนา ฝนห่าที่ผ่านมาได้พาเอาปลาจากถิ่นอื่นไหลตามกระแสน้ำมาด้วย และเมื่อน้ำลดลงฝูงปลาทั้งหลายจึงไหลมารวมกันอยู่ในหนองน้ำแห่งนี้
หลังจากหยุดแวะใช้จอบคุ้ยเขี่ยขุดดินริมกอกล้วยอยู่พักใหญ่ แกก็จึงหาไส้เดือนตัวอ้วน ๆ ได้สามสี่ตัวเพื่อใช้เป็นเหยื่อล่อ
"แค่นี้ก็คงพอ"
แกนึกอย่างชั่งใจ ขณะที่ลองเขย่ากระป๋องดูไส้เดือนอีกครั้ง เพราะหากขุดไปมากกว่านี้ แล้วเอามาใช้ไม่หมด ไอ้ไส้เดือนที่เหลือก็คงอาจจะต้องตายอย่างเปล่าดายโดยไร้ประโยชน์ ชีวิตทุกชีวิตมีค่า สัตว์ทุกตัวย่อมรู้จักที่จะรักชีวิตของมัน ดังนั้นหากไม่จำเป็น แม้แต่มดหรือแมลง แกก็พยายามหลีกเลี่ยงที่จะทำร้ายชีวิตของพวกมัน
เมื่อเกี่ยวเหยื่อเข้ากับตะขอเบ็ดทั้งสองคันแล้ว แกก็เหวี่ยงสายออกไปกลางน้ำทีละหลัง เสียงทุ่นตะกั่วถ่วงและเหยื่อตกลงน้ำดัง "จ๋อม" เบา ๆ แล้วแรงกระเพื่อมก็ส่งระลอกน้ำเล็ก ๆ ให้ค่อย ๆ แผ่ขยายวงกลมออกไปรอบ ๆ ระรอกนั้นเขย่าให้ผักบุ้งนาที่ทอดยอดสีเขียวอ่อน โยนตัวขึ้นลงตามจังหวะอย่างแผ่วเบา แสงแดดยามบ่ายส่องเป็นลำทะลุผ่านกิ่งก้านใบของต้นก้ามปู กระทบกับผิวน้ำจนเป็นรอยด่างดวงกระจายอยู่โดยรอบ
ชายชรานั่งชันเข่าเอนหลังพิงกับต้นไม้เพื่อหลบไอแดด แล้วปล่อยสายตาจับจ้องทุ่นไม้ที่ลอยอยู่เหนือน้ำ
แมลงปอปีกบางหัวโต ๆ กระพือปีกถี่เร็วจนเกิดเสียงดังหึ่ง ๆ บินฉวัดเฉวียนไปมา ก่อนที่จะมาหยุดจับอยู่บนปลายเบ็ดคันสั้นอย่างแผ่วเบา ชายชราพลันสูดลมหายใจเข้าสู่ปอดลึก ๆ ราวกับกำลังพยายามที่จะสะกดกลั้นน้ำตาเอาไว้ แล้วให้มันไหลย้อนกลับลงไปในอก
เบ็ดคันสั้นนี้ ในอดีตมันเป็นเบ็ดคู่มือของลูกชายในวัยเยาว์ ที่เคยใช้นั่งตกปลาเคียงข้างกับแก แต่เมื่อวันเวลาได้ผ่านพ้นไป จวบจนกระทั่งลูกชายของแกเติบโตขึ้น จึงต้องออกเดินทางจากบ้านไปเพื่อร่ำเรียนศึกษาวิชาความรู้ และประกอบอาชีพตามที่เด็กชายได้ใฝ่ฝันเอาไว้ กาลเวลาและระยะทางจึงได้พรากลูกชายของแกให้ห่างไกลออกไป
หลังจากลูกชายของแกได้ลืมตาขึ้นมาดูโลก ลุงชัยก็กลับยิ่งขยันขันแข็งมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ด้วยหวังจะสร้างหลักสร้างฐานให้มั่นคงแก่ลูกชาย ยิ่งเมื่อลูกชายเติบโตขึ้นมาจนเข้าสู่วัยเรียน แกก็ยิ่งต้องเพิ่มความอุตสาหะมากกว่าเก่า ด้วยภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น กระทั่งแกเองก็เริ่มลืมเลือนความฝันในวัยหนุ่มของแกเอง เพราะถึงตอนนี้ ความฝันของแกได้ถูกหลอมรวมจนเป็นหนึ่งเดียวกับของลูกชายไปเสียแล้ว
นับว่าเป็นโชคดี เพราะลูกชายของแกก็เป็นเด็กดีที่ไม่เคยทำให้แกต้องผิดหวังเลย เจ้าเด็กน้อยสอบได้ที่หนึ่งของโรงเรียนมาตลอดจนกระทั่งจบชั้นประถม จากนั้นมันยังได้ที่สี่ ในการสอบแข่งขันเพื่อเข้าเรียนต่อในระดับชั้นมัธยมที่โรงเรียนประจำจังหวัด และนั่นก็เป็นช่วงแรก ๆ ที่แกกับลูกชายจะต้องเหินห่างกันไปไกล เพราะลูกชายของแกจะต้องไปกินไปนอนอยู่ที่บ้านญาติข้างแม่ของมันในตัวจังหวัด เมื่อถึงวันหยุดเสาร์อาทิตย์จึงจะได้มีโอกาสมาเจอหน้ากันสักครั้ง
หากจะดีหน่อยก็คงต้องรอให้เป็นช่วงปิดภาคการเรียน เพราะลูกชายจะได้กลับมาอยู่ใกล้พ่อกับแม่ได้นาน ๆ และจะเป็นช่วงเวลาที่ครอบครัวมีโอกาสได้ทำกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกันอย่างมีความสุข
แกชอบเวลาในช่วงนั้นมากที่สุด
โดยเฉพาะเวลานั่งตกปลาด้วยกัน เพราะจะเป็นเวลาที่แกมีโอกาสได้รับฟังเรื่องราวและประสบการณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของลูกชาย ทั้งเรื่องของเพื่อน ๆ คุณครู กระทั่งเรื่องราวแปลก ๆ ซึ่งได้รับจากบทเรียนในหนังสือและห้องทดลองวิทยาศาสตร์ ที่แกไม่เคยมีโอกาสได้รับรู้มาก่อน
แกนั่งสงบฟังด้วยรอยยิ้ม และลูกชายของแกก็มีเรื่องราวมาเล่าอย่างไม่รู้จักจบสิ้น
จนกระทั่งลูกชายของแกเรียนจบในระดับมัธยมปลาย มันจึงสอบแข่งขันเพื่อเข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย และก็เป็นอีกครั้งที่ความขยันขันแข็งและความสามารถในการเรียนของลูกชายไม่ได้ทำให้แกผิดหวัง เพราะลูกชายซึ่งขณะนั้นได้กลายเป็นเจ้าหนุ่มน้อย สามารถสอบติดคณะสถาปัตยกรรมในมหาวิทยาลัยของรัฐบาลได้ แม้ว่าค่าใช้จ่ายในการเรียนจะสูงขึ้น ทั้งระยะทางกับช่วงเวลาที่ต้องห่างกันจะยิ่งทอดยาวออกไปอีก แต่แกก็ยังคงสู้ทน เพราะนั่นคือความฝันของลูกชาย และนั่นคือความเป็นไปของชีวิต ที่แกต้องยอมรับและได้เตรียมใจไว้ก่อนแล้วว่า สักวันหนึ่งจะต้องเผชิญ
ห้าปีผ่านพ้นไป เจ้าหนุ่มน้อยเมื่อวันก่อนก็กลับกลายเป็นชายหนุ่มอย่างเต็มตัว ในวันที่มันมารับแกเพื่อไปร่วมงานวันรับปริญญาของมัน ทำให้แกรู้สึกปลาบปลื้มและภาคภูมิใจต่อความสำเร็จของลูกชาย ด้วยหนึ่งในนั้นคือความสำเร็จของแก ที่ได้บากบั่นพากเพียรทำงานหนักมาแรมปีโดยไม่เคยปริปากบ่น และด้วยความสำเร็จนั้น แกจึงได้รับเสียงสรรเสริญเยินยอของญาติพี่น้องรอบบ้าน ที่ต่างชี้ชวนให้บุตรหลานดูเป็นตัวอย่างของความขยันหมั่นเพียร และแบบอย่างในความสำเร็จของครอบครัว
เมื่อจบการศึกษาเป็นที่เรียบร้อย ลูกชายของแกก็สมัครเข้าทำงานในบริษัทบ้านจัดสรรแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ แม้ว่ามันจะมีเวลาว่างกลับมาเยี่ยมบ้านน้อยครั้งกว่าสมัยเรียน ด้วยภาระในหน้าที่การงานอันหนักอึ้ง แต่รายได้ต่อเดือนที่ลูกชายแกบอกให้รู้ ก็เป็นจำนวนสูงอย่างที่แกไม่อยากจะเชื่อว่า มีคนที่มีรายได้ต่อเดือนขนาดนั้นด้วย
ดังนั้น ด้วยเวลาที่มีเหลือให้แก่กันนั้นน้อยลง ความรักและความห่วงหาอาทรจึงถูกส่งผ่านมาทางโทรศัพท์ไร้สาย ที่ลูกชายแกได้ซื้อให้หลังจากได้รับเงินเดือน ในเดือนแรก
เวลาผ่านไปอีกสี่ปี แกจึงค่อยสังเกตเห็นริ้วรอยอันเหี่ยวย่นบน ใบหน้าของแกและแม่กลอย ทั้งเส้นผมที่เริ่มมีสีหงอกขาวกระจัดกระจาย ซึ่งเป็นหลักฐานแสดงถึงความชราของคนทั้งคู่ แกจึงได้เริ่มตระหนักว่าวันเวลาบนโลกนี้ ได้ลดน้อยถอยลงทุกขณะแล้ว
เมื่อเข้าสู่ปีที่ห้าของการทำงาน ลูกชายคนเดียวของแกจึงได้ปลูกเรือนหลังใหม่ให้กับพ่อและแม่ แต่เดิมนั้นมันตั้งใจจะรื้อเรือนหลังเก่าแล้วปลูกหลังใหม่แทน แต่แกกลับไม่ยอม ด้วยเกรงจะสูญเสียความทรงจำในครั้งเก่าก่อนไป สุดท้ายจึงตกลงกันได้ตรงที่เคยเป็นเล้าไก่ของผู้ใหญ่แก้ว แล้วสิ้นปีนั้น คนทั้งหมู่บ้านจึงได้มีโอกาสแวะเวียนเข้ามาเยี่ยมชมเรือนหลังใหม่ที่สวยสง่าทันสมัย ตามสไตล์สถาปัตยกรรมแบบตะวันตก และก็เป็นอีกครั้งที่ทำให้ชายชราและแม่เฒ่าได้เดินยิ้มจนแก้มแทบปริ เมื่อมีเสียงทักทายและน้ำคำที่สรรเสริญด้วยความชื่นชมต่อลูกชายของคนชราทั้งคู่
และเมื่อสิ่งที่แกเฝ้าใฝ่ฝันไว้ร่วมกันกับลูกและภรรยาได้กลายเป็นจริงขึ้นมาแล้ว แกยังจะมีความหวังความฝันอันใดเหลืออยู่อีก หากไม่เป็นการหลอกตัวเองแกก็คงอยากจะตอบว่า
"ไม่มีอีกแล้ว"
ทุ่นไม้ที่ลอยอยู่ปริ่มน้ำพลันสั่นกระตุกเบา ๆ เป็นการส่งสัญญาณว่ามีปลาเริ่มเข้ามาตอดเหยื่อแล้ว เมื่อถูกกระตุกให้จมลงอีกสองสามทีจนทุ่นไม้นั้นจมหายลงไปในน้ำ แกจึงตวัดคันเบ็ดขึ้นทันทีอย่างชำนาญ และพลันเมื่อปลายสายเอ็นนั้นโผล่พ้นน้ำแกจึงได้เห็นปลาหมอตัวเขื่องเกล็ดสีดำมะเมื่อม ลอยติดตะขอขึ้นมา รอยยิ้มจึงปรากฏขึ้นที่ริมมุมฝีปากเหี่ยว ๆ ของชายชรา
เมื่อสามวันก่อนแกพาภรรยาคู่ยากไปหาหมอที่โรงพยาบาล จึงได้พบกับ "ไอ้จ้อย" เพื่อนรักร่วมรุ่นของลูกชายแก ซึ่งพาแม่ของมันมาหาหมอด้วยเช่นกัน สมัยที่เป็นหนุ่มน้อย ไอ้จ้อยได้เข้าไปเรียนที่โรงเรียนประจำจังหวัดเช่นเดียวกันกับลูกชายของแก มันจึงได้รับอานิสงค์ในการเข้าพักอาศัยกับไอ้ชาญลูกชายของแกด้วย และเวลาหกปีที่นั่นเอง ที่ทำให้มันได้กลายเป็นคู่หูกัน
แต่ด้วยความที่เป็นเด็กหัวทื่อและชอบใช้ชีวิตกลางทุ่งมากกว่า ดังนั้นเมื่อจบชั้นมัธยมปลาย ไอ้จ้อยจึงเลือกที่จะเรียนต่อทางด้านวิชาชีพช่างอีกสองปี แล้วจึงกลับมารับจ้างทำงานเป็นลูกมือช่างใหญ่ในร้านรับซ่อมมอเตอร์ไซด์ที่ตัวอำเภอ ผ่านไปสี่ปีมันจึงพอจะเก็บทุนรอนได้บ้าง ก็เลยขอลาออกแล้วกลับมาเปิดร้านรับซ่อมมอเตอร์ไซด์อยู่ใต้ถุนบ้าน พร้อมทั้งช่วยพ่อกับแม่ของมันทำงานในไร่นา
จนถึงทุกวันนี้ เรือนของไอ้จ้อยก็ยังคงเป็นเรือนหลังเดิมครั้งแต่ตากับยายของมันได้สร้างไว้ หากจะมีพัฒนาดีขึ้นนิดหน่อยก็ตรงพื้นชั้นล่าง ที่เทปูนสำหรับใช้เป็นบริเวณทำงานรับซ่อมรถมอเตอร์ไซด์ของลูกค้า กับห้องน้ำที่มีคอห่านแทนส้วมหลุมอย่างแต่ก่อน หากเมื่อมันขับรถพาพ่อกับแม่ของมันผ่านมายังเรือนหลังใหม่ของแก แกก็มักจะได้ยินพ่อแม่ของไอ้จ้อย บ่นว่าถึงความไม่เอาไหนของลูกชายอยู่เสมอ พร้อมกับคำเอ่ยเปรียบเทียบถึงความแตกต่างระหว่างไอ้จ้อยกับไอ้ชาญลูกชายของแก กระนั้นไอ้จ้อยก็ยังคงหัวเราะแหะ ๆ อย่างอารมณ์ดีด้วยนิสัยอันเคยชิน โดยไม่เคยยึดถือเสียงบ่นว่านั้นมาเป็นอารมณ์ แต่เสียงเอ่ยเถียงแกมยั่วเย้าของมันนั้นกลับทำให้ชายชราถึงกับต้องสะเทือนจิตใจอย่างรุนแรง
"แหม แม่ ถ้าฉันเรียนเก่งอย่างไอ้ชาญแล้วได้ไปทำงานใหญ่ ๆ โต ๆ ได้เงินเดือนเยอะ ๆ อยู่ในกรุงเทพฯแล้วแม่จะไม่เหงาเหรอ แล้วนี่พ่อ ถ้าฉันไม่อยู่ให้ด่าเสียคน แม่จะไปด่าใครถ้าไม่ใช่พ่อ ช่างไม่สำนึกบุญคุณฉันกันบ้างเลยเหรอ"
สิ้นคำเถียงก็พลันมีเสียงฝ่ามือตบลงกะโหลกดังป๊าบใหญ่ แต่อย่าหวังว่าไอ้จ้อยมันจะยอมหยุดปากลงง่าย ๆ
"นี่ถ้าฉันไม่อยู่เสียคนใครจะไถนา ใครจะเลี้ยงควาย ใครจะพาแม่ไปทำบุญที่วัดทุกวันพระ แล้วใครจะพาพ่อไปส่งให้นั่งโม้เรื่องการมุ้งการเมืองในร้านกาแฟที่ตลาดทุกเช้า เก่งจังนะพ่อ เก่งจัง รู้ไปหมดทุกเรื่อง ปัญหานั้นแก้อย่างนี้ ปัญหานี้แก้อย่างนั้น ฉันล่ะอยากจะให้ได้ลองเป็นนายกฯกับเขาสักทีจัง รับรองได้เลยว่าไม่เกินสามวัน ชาวบ้านเป็นได้แห่ขบวนมาไล่ออกแน่ ๆ "
สิ้นเสียงไอ้จ้อยคราวนี้ก็มีเสียงป๊าบหนักๆดังขึ้นอีกครา คราวนี้มันจึงยอมสงบปาก แล้วส่งเสียงหัวเราะหึ ๆ ในลำคออย่างชอบใจ เมื่อยั่วเย้าพ่อกับแม่ของมันให้มีอารมณ์โมโหขึ้นมาได้
"ใครกันที่พาข้าไปหาหมอ ใครกันที่พาข้าไปนั่งร้านกาแฟ ใครกันที่พาข้าไปทำบุญที่วัด"
แกรำพึงรำพันในใจพร้อมกับน้ำใส ๆ ที่เอ่อท้นกระบอกตา
"เสร็จหน้านาปีนี้แล้ว ฉันจะบวชนะจ๊ะลุง"
เสียงข่าวบุญที่ไอ้จ้อยบอกยังคงดังกึกก้องอยู่ในหู แกก็อนุโมทนาสาธุให้พรกลับไป ทั้งในใจก็หวนนึกถึงวันบวชที่ยังไม่มีกำหนดของลูกชายแกบ้าง เพราะหลายครั้งหลายหนที่เคยเอ่ยถาม มันก็มักจะบ่ายเบี่ยงอยู่ตลอดเวลา โดยอ้างว่า "งานมันยุ่ง" จนถึงป่านนี้ อายุก็เกินบวชมาหลายขวบปี ยังไม่มีวี่แววเลยว่าลูกชายของแกจะมีเวลาว่างมาบวชได้วันไหน
เมื่อเก็บปลาหมอตัวเขื่องลงสู่ตะข้องเรียบร้อยแล้ว แกจึงเด็ดไส้เดือนร้อยติดกับตะขอเบ็ดอีกครั้ง แล้วจึงเหวี่ยงเหยื่อให้กลับลงไปสู่ในน้ำ พลันความเงียบสงบที่เคยเกิดขึ้น กลับกลายเป็นเสียงซู่ซ่าของใบไม้ ที่ถูกสายลมร้อนของยามบ่ายเคลื่อนไหวผ่าน ชายชราจึงยกชายผ้าขาวม้าขึ้นมาซับเหงื่อที่ซึมอยู่รอบหน้าผากและไรผมสีขาวโพลน
"เพียงลมพัดผ่าน"
แกพึมพำอย่างแผ่วเบาถึงเงาของช่วงชีวิต ที่ผ่านมาในภาพแห่งความทรงจำสีจางๆ
ก่อนนั้นแกก็เกือบจะลืมเบ็ดทั้งสองหลังนี้ไปแล้ว แต่เมื่อแกทนทรมานจิตใจต่อไปไม่ได้ แกจึงค่อยนึกถึงมันขึ้นมา ในวันก่อน ๆ หลังจากเสร็จสิ้นงานในไร่นา แกก็มักจะมานั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ที่แคร่ไม้ไผ่หน้าบ้าน เพื่อฟังข่าวสารบ้านเมืองจากวิทยุบ้าง คอยทักคนที่เดินทางผ่านไปมาให้ได้คลายเหงาบ้าง และคงจะมีแต่แกเท่านั้นที่รู้ว่า ความจริงแล้ว ที่แกมานั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ตรงนี้ทุก ๆ วันนั้นเพื่ออะไร
นั่นคงเป็นเพราะว่าแกเริ่มมีความหวังและความฝันครั้งใหม่ ซึ่งคงจะดูเหมือนว่าเป็นสิ่งที่ลม ๆ แล้ง ๆ มากกว่าครั้งใด ๆ เพราะทุก ๆ ครั้งที่แกเผลอมองไปที่รั้วประตูหน้าบ้าน แกก็มักจะนึกหวังอยู่เสมอว่า แกจะได้เห็นร่างลูกชายของแกเดินโผล่เข้า ทั้ง ๆ ที่แกรู้อยู่แก่ใจว่านั่นมันย่อมเป็นไปไม่ได้ แต่แกก็อดรู้สึกคาดหวังเช่นนั้นไม่ได้จริง ๆ
การที่ใครสักคนจะสามารถประสบความสำเร็จในสิ่งที่ฝันได้นั้น อาจจำเป็นต้องมีบางคนเสียสละความฝันของตน เพื่อให้ผู้อื่นได้ประสบความสำเร็จ ดังเช่นแกที่ต้องละทิ้งความฝันของตนเอง เพื่อรักษาความฝันของลูกชายเอาไว้
แต่น่าประหลาดใจที่ความฝันของลูกชายแกนั้น ได้พาให้ครอบครัวห่างไกลกันออกไปทุกขณะ และแกเองก็ชักเริ่มจะไม่แน่ใจแล้วว่า นั่นคือคำตอบที่แกต้องการอยู่จริง ๆ
เสียงถกเถียงระคนยั่วเย้าระหว่างไอ้จ้อยกับพ่อแม่ของมัน ดังขึ้นในหัวอีกครั้ง ในมุมมองของคนอื่น ๆ อาจจะรู้สึกอิจฉาในความสำเร็จของแกและครอบครัว แต่ถ้าหากมีใครมาถามถึงความรู้สึกลึก ๆ ที่ซ่อนอยู่ภายในจิตใจ เมื่อเปรียบเทียบถึงความแตกต่างในวิถีชีวิตของแกกับพ่อแม่ของไอ้จ้อยแล้ว แกก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า แกเองต่างหากที่รู้สึกอิจฉา ความอบอุ่นในชีวิตบั้นปลายของพ่อแม่ไอ้จ้อย
ในวัยใกล้ฝั่งเช่นนี้ จะมีสิ่งใดดีไปกว่าการที่มีลูกหลานคอยดูแลอยู่ใกล้ ๆ ช่วงเวลาของแกบนโลกใบนี้กำลังจะหมดลงไป หากเป็นไปได้ สิ่งที่แกคาดหวังก็คือการได้ใช้เวลาช่วงสุดท้ายของชีวิตกับคนที่แกรักให้นานที่สุด
ทันใดนั้นแกก็นั่งตะลึงอยู่กับที่ เมื่อเพิ่งจะนึกถึงเรื่องราวหนึ่งขึ้นมาได้
กี่ปีแล้วนะที่แกออกมาจากบ้าน กี่ปีแล้วนะที่พ่อแม่พี่น้องจะรอคอยการกลับไปของแก ก่อนที่แกจะเกิดมาพ่อกับแม่เคยมีความฝันใดๆอยู่บ้างหรือเปล่า และเมื่อแกได้เกิดขึ้นมา มีความฝันใดบ้างที่พ่อกับแม่ของแกต้องละทิ้งมันไปเพื่อรักษาความฝันของแกเอาไว้
ครั้นเมื่อนึกถึงตรงนี้ แกก็พลันผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยใบหน้าอันซีดเผือด พลางเอ่ยคำระร่ำระลักขึ้นมาว่า
"พ่อจ๋า แม่จ๋า อย่าเพิ่งจากฉันไปนะ ฉันกำลังกลับไปหา อย่าเพิ่งจากฉันไปไหนนะ ฉันจะรีบกลับไปหา"
ร่างนั้นก้าวเท้าเดินออกมาด้วยอาการสั่นเทาราวกับทารกที่เสียขวัญ และแต่ละเท้าที่ก้าวย่างไป กลับเปี่ยมด้วยความหวังอันเบาโหวงว่า แกคงยังไม่สายเกินไปที่จะกลับบ้าน
เมื่อวันที่ : 01 มี.ค. 2554, 10.32 น.
คุณทิดอินทร์มีความสามารถในการพรรณนาและใช้ภาษาเก่งมาก
ครับ ถ้าได้พล็อตเรื่องที่แรง ๆ ผมว่าอนาคตไกลครับ