![]() |
![]() |
ทิดอินทร์![]() |
ควันไฟโขมงลอยปะปนกับกลิ่นของเนื้อไก่ย่าง ที่สุกแล้วก็ถูกนำมาเรียงไว้บนถาดที่รองด้วยใบตอง ที่รอการย่างก็ยังคงถูกแช่ทั้งไม้เสียบอยู่ในกะละมังหมัก กลิ่นกระเทียม พริกไทยและเครื่องหมักเครื่องปรุง คละคลุ้งอยู่ในบรรยากาศอันสดชื่นของยามเช้า
ครั้นมีเสียงลูกค้าร้องสั่ง แม่ค้าไก่ย่างจึงรีบกุรีกุจอห่อไก่ลงใบตองซึ่งถูกฉีกเตรียมไว้สำหรับห่อไก่ย่างและข้าวเหนียวอยู่ข้างใต้รถเข็น เมื่อความร้อนของไก่และข้าวเหนียวกระทบถูกใบตองก็จะเกิดกลิ่นอีกอย่าง ที่ช่วยกล่อมเกลาให้รสชาติรู้สึกหอมหวนชวนกิน
ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้ผมนึกถึงความทรงจำของมื้อเช้าในวัยเด็ก จนน้ำลายเริ่มสอขึ้นมาทันที แต่ยังก่อน เช้า ๆ อย่างนี้ผมยังไม่อยากจะกินอะไรลงไป
ผมเดินทอดน่องไปเรื่อย ๆ ก็พบกับพ่อค้าแม่ขาย ซึ่งต่างพากันมาตั้งรถเข็นและโต๊ะพับอยู่ริมทางสองข้างถนน ที่ถูกเข้าใจและตกลงตรงกันว่านี่คือตลาดเช้า โดยปราศจากโครงสร้างใด ๆ ในลักษณะที่เป็นตลาดสดเช่นในตัวเมืองใหญ่ ๆ และแม้อาจจะดูยุ่งยากอยู่บ้างในยามฤดูฝน แต่ด้วยความเคยชินตามวิถีของผู้คนในพื้นที่ จึงทำให้ไม่รู้สึกว่า สิ่งนั้นมันคือปัญหา
แม้จะห่างจากกรุงเทพฯไม่ถึงหนึ่งร้อยกิโลเมตร แต่วิถีชีวิตของคนที่นี่กลับดูไม่เร่งรีบ ผิดกับผู้คนในเมืองหลวง ที่ต่างต้องแย่งชิงกันแทบทุกอย่าง ตั้งแต่เรื่องการทำมาหากิน เรื่องที่หลับที่นอน เรื่องขับถ่าย แม้กระทั่งการเสพสังวาส ทุกชีวิตดูจะเร่งรีบไปเสียหมดราวกับคนเสียสติ
ต่างกันกับที่นี่ ผมจึงได้เห็นภาพของแม่บ้านที่ออกมาเดินจ่ายตลาดแล้วยังมีเวลาถามไถ่สาระทุกข์สุขดิบระหว่างกัน บ้างก็ตะโกนถามหาเลขเด็ดประจำงวดหน้า บ้างก็ถามหาข่าวคราวลูกสาวลูกชายของเพื่อนบ้าน ที่ไปทำงานหรือเรียนต่อในเมืองหลวง ด้วยน้ำเสียงอันแสดงถึงความห่วงหาอาทรกันอย่างจริงใจ กลับทำให้ผมยิ่งรู้สึกคิดถึงบ้านในต่างจังหวัดมากขึ้นทุกที
นานมากแล้วที่ผมไม่ได้กลับไป ไม่รู้ว่าทำไม ทั้งที่เคยตั้งใจหลายครั้งแล้วว่า ผมอยากจะกลับไปเยี่ยมบ้านเกิด แต่เมื่อถึงเวลา ผมก็มักมีเหตุขัดข้องไปเสียทุกคราว หรือเหตุผลเหล่านั้นเกิดจากความรู้สึกหวาดหวั่นและละอายแก่ใจ จนกลายเป็นข้ออ้าง เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับผู้คนในครอบครัว โดยเฉพาะครูสอนวิชาจริยธรรมเช่นพ่อ
บ้านเดิมของผมอยู่ที่อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี ซึ่งไม่ถือว่าไกลมากนักหากดูจากระยะทาง จากเขตบางกะปิไปก็ประมาณเก้าสิบสามกิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางเพียงหนึ่งชั่วโมงครึ่งก็ถึงแล้ว ซึ่งสภาพแวดล้อมของคนที่นั่น ก็แทบไม่ต่างจากคนที่นี่ หากจะมีก็แค่เพียงสำเนียงคำพูดเท่านั้นที่แปลกออกไป เพราะที่โพธาราม คนมักพูดคุยกันด้วยด้วยสำเนียงที่เหน่อ ๆ ซึ่งผมเองก็ยังแอบคิดว่า ออกจะเหน่อกว่าคนสุพรรณบุรีเสียด้วยซ้ำ แต่นั่นก็เป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ที่ทำให้ผมภาคภูมิใจในถิ่นเกิด
ผมเดินทอดน่องเพื่อซึมซับบรรยากาศชีวิตยามเช้าในชนบท เพื่อทดแทนความรู้สึกที่โหยหามานาน เพราะนาน ๆ จึงจะมีโอกาสได้ออกมาสัมผัสกับความรู้สึกเช่นนี้สักครั้ง และก็นับว่าเป็นโชคดี เมื่องานรับจ้างแบบชั่วครั้งในคราวนี้ นายของผมได้จัดสรรให้มาลงในชุมชนเล็ก ๆ เช่นที่นี่พอดี
ครั้นชมตลาดและพื้นที่อย่างถ้วนทั่ว กระทั่งฟ้าสางเริ่มพอมองเห็นลายมือแล้ว ผมจึงมาหยุดอยู่ตรงร้านกาแฟแบบดั้งเดิมตามที่หมายตาเอาไว้ เมื่อเหลือบลงไปมองดูนาฬิกาบนข้อมือ ก็พบว่าขณะนี้เพิ่งหกโมงครึ่ง ยังมีเวลาอีกมากโข ผมจึงถือโอกาสนั่งผ่อนคลายก่อนที่จะรับกับความตึงเครียด เมื่อต้องถึงเวลาลงมือทำงาน ด้วยการเติมคาเฟอีนและนิโคตินลงสู่กระแสเลือดอีกสักหน่อย
"เฮียครับ ผมขอกาแฟร้อนกับไข่ลวกสองฟองครับ"
เจ้าของร้านรูปร่างอ้วนใหญ่ศีรษะล้านเลี่ยน ซึ่งมีลักษณะหน้าตาเชื้อสายแบบคนไทยมากกว่าคนจีนที่ข้ามน้ำข้ามทะเลมา แต่ก็อย่างว่าแหละครับ เพราะงานนี้แต่เดิมนั้นเป็นอาชีพส่วนใหญ่ของคนไทยเชื้อสายจีน ดังนั้นคำเรียกหากันระหว่างลูกค้ากับผู้ขายจึงมักจะใช้คำว่า "เฮีย" ไปทั่วทุกหัวระแหง จนแทบจะเรียกได้ว่า นั่นคือชื่อประจำตำแหน่งของคนขายกาแฟแบบดั้งเดิมไปเสียแล้ว
"เฮีย" ขยับแว่นเลนส์หนานิดหนึ่ง เพื่อหวังจะมองดูผมให้ชัดเจนขึ้น คงเป็นด้วยเหตุที่แกไม่คุ้นหน้า และเมื่อเห็นอย่างถนัดตาแล้วว่าผมไม่ใช่คนถิ่นนี้ แกจึงหันกลับไปใช้นิ้วมืออันหยาบกร้าน ซึ่งมีซอกเล็บแทบจะเป็นสีดำสนิทด้วยคราบกาแฟเกาะสะสม ลงมือทำงานตามหน้าที่ของแกอย่างคล่องแคล่ว ทั้งลีลาการแกะกระป๋อง แล้วใช้ช้อนดีดผงสีดำลงแก้วตูดแคบอย่างแผ่วพลิ้ว จึงค่อยใช้กระบวยตักน้ำร้อนเทตามลงไป จากนั้นจึงถึงขั้นตอนการเติมนมข้นหวาน ซึ่งแม้ว่าการตักตวงจะไม่มีอะไรมาก แต่การตวัดช้อนเพื่อปาดรอยยืดอันเหนียวข้นนั้นเหมาะเหม็งจนผมแทบจะปรบมือให้เลยทีเดียว
"เอาปลาหรือเปล่า"
แกถามห้วน ๆ เมื่อวางแก้วกาแฟและไข่ลวกลง พลางเขม่นสายตามองใบหน้าผมอีกครั้ง
ในคำถามของแกคงจะหมายถึง "ปาท่องโก๋" ผมจึงเลือกที่จะพยักหน้าแทนคำตอบ
"มีหนังสือพิมพ์มั้ยครับ เฮีย"
ผมร้องถาม เมื่อรู้สึกว่าเช้านี้ยังขาดอะไรไปสักอย่าง แกจึงเดินกลับไปที่ตู้เครื่องกาแฟ เพื่อหยิบหนังสือพิมพ์ประจำเช้าวันนี้มาโยนลงที่โต๊ะ แล้วหันกลับไปทำหน้าที่ให้ลูกค้ารายต่อไป
หนังสือพิมพ์ฉบับนี้คงเพิ่งจะเดินทางมาถึงร้านได้ไม่นาน เพราะฉบับของส่วนข่าวสารและส่วนบันเทิงยังคงพับรวมอยู่ด้วยกัน ผมจึงดึงส่วนบันเทิงซึ่งไม่ค่อยมีเนื้อหาที่ผมสนใจนักวางไว้บนโต๊ะ แล้วจึงคลี่กางฉบับส่วนที่เป็นหน้ารายงานข่าวสารประจำวันในบ้านเมืองออก
เมื่อกางเสร็จ และไล่สายตาอ่านข่าวพาดหัวเรียบร้อยแล้ว ผมก็แทบจะเลยผ่านข่าวในกรอบรูปเล็ก ๆ สี่ห้าข่าว ซึ่งกินพื้นที่ครึ่งหนึ่งของหน้าหนังสือพิมพ์ ด้วยเหตุที่ผมเอือมระอากับข่าวรุนแรง ประเภทฆ่า ๆ แกง ๆ กันอย่างไม่เว้นแต่ละวัน ผมรู้ว่านั่นคือจุดขายของหนังสือพิมพ์ แต่ผมก็อดเกิดคำถามไม่ได้ว่า มันมากเกินไปหรือเปล่า ที่หนังสือพิมพ์ต้องลงภาพอุบัติเหตุสยองขวัญ ภาพยิงกันหัวแบะตายจนแทบจะได้กลิ่นคาวเลือดโชยออกมาจากหน้ากระดาษ ผมเบื่อเต็มที โดยเฉพาะไอ้กลิ่นคาวเลือดนั่น ยิ่งในเช้าของวันที่อากาศบริสุทธิ์เช่นนี้ ผมเลือกที่จะผ่านไปยังหน้าบรรณาธิการเลยดีกว่า
ในหน้าที่สาม ตรงกรอบล่างด้านขวาสุดของ "กิเลนประลองเชิง" ถือว่าเป็นบทความที่สำคัญสำหรับผมเพียงกรอบเดียวของหนังสือพิมพ์ทั้งฉบับ เพราะหากในวันที่มีงานยุ่งจนเวลาเหลือน้อยสำหรับการอ่านหนังสือพิมพ์ ผมก็จะเลือกอ่านบทความในกรอบนี้เพียงบทความเดียว
ผมจำไม่ได้ว่าเริ่มชอบบทความนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่และทำไม แต่เมื่อลองถามจากความรู้สึกในตอนนี้แล้ว ก็คงต้องตอบได้ว่า ผมชอบในความลื่นไหลของสำนวนภาษา ทั้งคำอุปมาอุปมัย การกระทบกระเทียบเปรียบเปรยอย่างมีชั้นเชิง และนัยยะบางประการอันแสดงถึงความเป็นพหูสูตของผู้เขียน จนกลายเป็นแรงบันดาลใจให้ผมคิดอยากจะเป็นนักเขียนนักข่าวเช่นเดียวกันกับเขาเลยทีเดียว
และบทความในวันนี้ ก็ทำให้ผมได้รับรู้ถึงความกว้างไกลของพระธรรมไตรปิฎก เมื่อ "กิเลนประลองเชิง" ได้เล่าเรื่องพุทธประวัติของพระพุทธรูปปางห้ามสมุทรหรือปางห้ามญาติ อันมีสาเหตุเกิดจาก กาลครั้งหนึ่ง แม่น้ำโรหิณีเกิดเหือดแห้งด้วยภาวะฝนแล้งมิตกต้องตามฤดูกาล เป็นเหตุให้ชาวนาในเมืองกบิลพัสดุ์ของฝ่ายพุทธบิดา กับชาวนาในเมืองเทวทหะของฝ่ายพุทธมารดา ที่เคยใช้น้ำทำนาร่วมกันมาโดยตลอด เกิดทะเลาะเบาะแว้งกันเพื่อแย่งน้ำในการทำนา เริ่มแรกก็เป็นเพียงการวิวาทระหว่างบุคลแล้วจึงค่อยลุกลามใหญ่โต จนกระทั่งในที่สุด ทั้งสองเมืองเกิดการยกทัพมาประชิดชายแดนเพื่อทำสงครามชิงน้ำกัน
เห็นดังนั้น พระพุทธองค์จึงเสด็จมาเพื่อห้ามทัพพระญาติทั้งสองฝ่าย และได้แสดงธรรมจนทำให้กองทัพทั้งสองหันกลับมาคืนดีและสมานสามัคคีกันเช่นกาลก่อน ด้วยเหตุนี้พุทธศาสนิกชนจึงได้เล็งเห็นคุณอัศจรรย์แห่งอนุสัสนีปาฏิหาริย์ เป็นเหตุให้สร้างพระพุทธรูปปางห้ามสมุทรหรือปางห้ามญาติขึ้นมา
เมื่อจบนิทานในพุทธชาดก "กิเลนประลองเชิง"จึงนำมาสรุปเปรียบเทียบกับกรณีการแย่งชิงผลประโยชน์ และความขัดแย้งในเชิงความคิด ซึ่งกำลังเกิดขึ้นในสถานการณ์บ้านเมือง จนเป็นเหตุให้เกิดการรบราฆ่าฟันกันในหมู่พี่น้องร่วมชาติ แล้วทิ้งท้ายให้ข้อคิดไว้อย่างแยบยลจนผมอดใคร่ครวญตามไม่ได้
หลังอ่านบทความนั้นจบลง คนห่างไกลพระพุทธศาสนาอย่างผม ที่รู้จักกับพระธรรมไตรปิฎกแค่เพียงชื่อและปก จึงมีความศรัทธามากยิ่งขึ้น ในความกว้างและลึกของพระคัมภีร์ประจำศาสนา ที่ผมถูกบังคับให้เลือกนับถือตามเส้นทางความเชื่อของปู่ย่าตายาย หรือหากจะว่ากันให้ชัดก็คงต้องบอกว่า ในการเลือกนับถือศาสนาพุทธของผมนั้น คงเริ่มจากการระบุลงในใบแจ้งเกิดที่พ่อกับแม่ของผมได้ทำไว้กับนายทะเบียนประจำอำเภอ ซึ่งเป็นไปตามธรรมเนียมปฏิบัติ โดยไม่ได้สอบถามความสมัครใจของผมก่อน ว่าอยากเลือกศรัทธาในศาสนาใด และหากถึงถามผมในตอนนั้น ผมก็คงตอบไม่ได้ เพราะกำลังนอนร้องอุแว้อุแว้อยู่ในเปล
แต่ก็ช่างเถอะเมื่อเวลาล่วงเลยมาหลายปี และผมก็ได้เรียนรู้ว่าทุกศาสนาย่อมสั่งสอนให้ผู้คนเป็นคนดี คนที่ไม่ได้ใส่ใจในวิถีแห่งมรรคเช่นผม เมื่อถึงเวลาที่ต้องทำธุรกรรม จึงกรอกในช่องว่างของเอกสารโดยการระบุว่า นับถือศาสนาพุทธ ไม่ได้หวนมาใส่ใจ
ผมขยับสายตาขึ้นไปที่หน้าข่าวในบทบรรณาธิการ แต่วันนี้ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าหัวข้อการปรับสูตรทางการเมือง ซึ่งเป็นการประลองกำลังกันระหว่างฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน และการคุมอำนาจต่อรองระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเอง การแบ่งโควต้าเก้าอี้รัฐมนตรี ซึ่งยิ่งอ่านผมก็ยิ่งงงถึงความคิดของผู้คนเหล่านี้ ด้วยแม้ว่าบ้านเมืองจะเดือดร้อนด้วยปัญหาที่รุมเร้ามากเพียงใด แต่ทำไมพวกเขาเหล่านั้นยังห่วงใยผลประโยชน์ส่วนตน และแสดงท่าทีราวกับว่าประชาชนนั้นกำลังกินหญ้า จึงมองไม่ออกว่า พวกเขากำลังทำอะไรกัน หรือว่าประชาชนอย่างเรา ๆ ก็กินหญ้ากันจริง ๆ จึงได้เลือกผู้แทนเช่นนั้นไปนั่งอยู่ในสภาฯ แต่ก็ช่างมันเถอะ เพราะการเลือกตั้งคราวที่แล้วผมก็ไม่ได้ไปใช้สิทธิ เพราะไม่เคยคิดว่า เสียงเดียวของผมนั้นจะแก้ปัญหาของชาติได้จริง ๆ
ขณะที่จะหันกลับไปอ่านในกรอบของ โจ๊ก โอเปร่า ซึ่งมักจะนำข่าวแบบกวน ๆ ขำ ๆ จากทั่วทุกมุมโลกมาลงไว้ให้รู้ว่า โลกใบนี้มีเรื่องราวอะไรแปลก ๆ พลันผมก็เกิดเปลี่ยนใจด้วยอยากจะอ่านรายงานข่าวผลฟุตบอล คู่ที่ผมควักกระเป๋าแทงไปเมื่อวานนี้ ถึงแม้ผมจะทราบผลการแข่งขันซึ่งรายงานมาในระบบส่งข้อความของโทรศัพท์มือถือตั้งแต่เมื่อตอนตีสามกว่า ๆ แล้วว่า ผมถูกกินเรียบจนแทบสิ้นเนื้อประดาตัวไปกับทีมที่ผมรัก แต่กระนั้นก็ยังอยากรู้ความเป็นไปในตารางคะแนนของทีมที่ผมเชียร์อยู่
แต่เดิมนั้นผมก็ไม่ได้คิดที่จะเล่นการพนันเช่นคนอื่น ๆ เขาหรอก เพียงเริ่มจากการติดตามผลคะแนน เพื่อเชียร์ทีมรักของผมในการชิงแชมป์ถ้วยพรีเมียร์ลีกทางเว็บไซด์เท่านั้น แต่เมื่อในวงสังคม ทั้งเพื่อนฝูงที่อยู่ร่วมกันในสายอาชีพการงาน ต่างก็พูดคุยถึงเรื่องราวบวกลบและผลกำไรที่แทงไปในแต่ละวัน กระทั่งผมเองเริ่มชาชินและเห็นเป็นเรื่องปกติ นานวันเข้าเมื่อพรรคพวกมีโพยที่เอามาจากโต๊ะรับพนันเหลืออยู่ ผมจึงถือโอกาสนั้นกาเล่น ๆ กับเขาบ้าง กระทั่งกลายเป็นกิจวัตรประจำวันกับเพื่อนร่วมงานไปเสียแล้ว
ยิ่งทุกวันนี้โต๊ะรับพนันแทงบอลนั้นพัฒนาไปมากกว่าเดิม เพราะเพียงแค่พิมพ์คำว่า "ผลฟุตบอล" เข้าไปในเว็บไซด์กลูเกิ้ล ก็จะปรากฏรายชื่อเว็บไซด์ที่รายงานผลการแข่งขันฟุตบอลและคำเชิญชวนให้ร่วมเดิมพันผ่านระบบออนไลน์กันให้พรึบ เมื่อเป็นเช่นนั้น ไอ้ที่รัฐบาลเขาคุยกันนักคุยกันหนาว่ากำลังปราบปราม ผมก็เห็นไล่ไม่ทันไอ้พวกนี้สักที มีแต่จะเพิ่มมากขึ้นทุกวัน นี่ขนาดผมยังรู้เลยแล้วตำรวจซึ่งมีหน้าที่กำกับดูแลเขาเอาหูเอาตาไปไว้ไหนกัน จึงไม่สามารถจัดการได้สักที หรือว่ากำลังหาหญ้ากินกันอยู่
"นี่ไอ้หนุ่มเอ็งเห็นข่าวนี้หรือเปล่า"
เสียงชายสูงอายุดังขึ้นพร้อมกับยื่นมือเหี่ยว ๆ มาเขย่าข้อศอก เพื่อให้ผมลดแผ่นหนังสือพิมพ์ที่กางเสียเกือบเต็มพื้นที่นั้นลงเพราะหวังจะสนทนาด้วย ทำให้ผมเพิ่งรู้สึกตัวว่ามีสมาชิกใหม่เข้ามานั่งร่วมโต๊ะกาแฟ แกคงเป็นสมาชิกขาประจำในสภากาแฟแห่งนี้ จึงทำให้กล้าพูดคุยกับคนแปลกหน้าเช่นผมอย่างไม่รู้สึกเคอะเขิน และเมื่อผมได้มองเห็นแกอย่างเต็มตา ผมก็แทบจะเผลอปล่อยเสียงหัวเราะออกมาดัง ๆ ด้วยรู้สึกว่าคนแถวนี้ช่างนิยมไว้ผมทรงหัวล้านกันเสียเหลือเกิน ดีหน่อยที่ลุงคนนี้แกยังมีผมสีดอกเลาดกหนาปกคลุมอยู่เหนือใบหูทั้งสองข้าง อย่างที่เขาเรียกกันว่า "ดงช้างข้าม" ขณะที่เฮียเจ้าของร้านกาแฟนั้น ไว้ผมทรงหัวล้านแบบ "ทุ่งหมาหลง"
"ข่าวอะไรหรือลุง" ผมถามกลับไปเพื่อรักษามารยาท มากกว่าจะสนใจใคร่รู้เนื้อหาของกรอบภาพในหน้าหนึ่ง ที่ชายชรากำลังใช้นิ้วชี้เหี่ยว ๆ นั้นจิ้มลงไป
"ข่าวนี่ไง "ดับเซียนพนันฟุตบอลขาใหญ่เพื่อล้างหนี้" โอ้โหยมันยิงซะหมดแมกซ์ จะแค้นอะไรกันนักกันหนาหนอ" ลุงแกตอบกลับมาพร้อมลมหายใจที่ค่อย ๆ ระบายออกอย่างรู้สึกสังเวช
"คงไปเบี้ยวหนี้เขาล่ะมั้งลุง เขาถึงได้มายิงเอา"
ผมตอบกลับไปอย่างไม่ค่อยเต็มเสียงนัก เพราะอย่างที่บอกนะแหละครับ ว่าผมไม่ค่อยชอบข่าวที่แฝงกลิ่นคาวเลือดเช่นนี้เลย แค่นึกถึงผมก็เอียนจนแทบจะอาเจียนเสียแล้ว
"อืม มันคงจะจ้างมืออาชีพมาเก็บเลยนะเนี่ย ดูสิยิงซะหมดแมกซ์ คงคิดจะไม่ให้รอดเลยแหละ"
แกกล่าวต่อแถมพยายามชี้ที่กรอบข่าวในหน้านั้นให้ผมดู
เมื่อผมเห็นแล้วว่าบทสนทนาคงจะไม่จบลงง่าย ๆ แน่ ผมจึงพับเก็บหนังสือพิมพ์ส่วนที่อ่านค้างไว้ลง แล้วขยับแขนยกขึ้นมาดูนาฬิกาที่ผูกไว้บนข้อมือ
"เอาน่ายังเช้าอยู่ ยังมีเวลาก่อนจะเริ่มงานอีกถมถืด นั่งคุยเป็นเพื่อนแก้เหงาให้แกไปก่อนดีกว่า"
ผมนึกในใจก่อนจะหันไปยิ้มและสบตากับแก
"ลุงรู้ได้ยังไงหรือครับ ว่าเป็นมืออาชีพยิง" ผมกลับมาต่อบทสนทนาด้วยประโยคคำถาม
"อ้าว...เอ็งก็ดูในข่าวนี่สิวะ คนธรรมดาใครเขาจะมีปืนกล็อกใช้ เนี่ยหนังสือพิมพ์บอกว่า "พบปลอกกระสุนปืนกล็อกเกลื่อนบริเวณที่เกิดเหตุซึ่งคาดว่าน่าจะมาจากปืนกระบอกเดียวกัน" แสดงว่ามันต้องเป็นมืออาชีพแน่ ๆ" แกตอบกลับมาพลางชี้นิ้วไล่อ่านตามตัวอักษรในภาพข่าว เพื่อเป็นหลักฐานยืนยัน
"แต่ผมว่า ถ้ามือปืนเป็นมืออาชีพจริงอย่างลุงว่า มันก็น่าจะยิงเข้าที่สำคัญแค่นัดสองนัดก็พอละมั้งครับ ไม่น่าจะยิงจนหมดแมกซ์ให้เปลืองกระสุน ราคาก็ไม่ใช่ถูก ๆ นะครับกระสุนแบบนี้" ผมแกล้งแย้งแกกลับไปเพื่อต่อบทสนทนาให้ยืดยาว มากกว่าจะสนใจกับเหตุและผลที่เป็นจริงเป็นจัง
"ก็นั่นนะแหละ ก็เพราะว่ามันเป็นมืออาชีพไง ถึงไม่เสียดายค่ากระสุนเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างโบราณเขาว่า ฆ่าควายต้องไม่เสียดายเกลือไง" แกพยายามหาเหตุผลมาสนับสนุน ขอสันนิษฐานของแกต่อ จนผมชักเริ่มสงสัยว่า ตกลงแกกำลังนึกสังเวชเหยื่อหรือว่ากำลังชื่นชมต่อความเป็นมืออาชีพของมือปืนกันแน่
"อืม...ก็คงจะจริงอย่างลุงว่านะแหละ"
ผมอือ ๆ ออ ๆ อย่างตัดบท เพราะเกรงว่าความเห็นที่เริ่มขัดแย้งกับแกจะลุกลามบานปลายไปกันใหญ่ โดยเฉพาะไอ้เสียงแหลม ๆ สูง ๆ ในตอนท้ายนั้น คงกำลังเริ่มแสดงนิสัยการเอาแต่ใจตัวเองของแก หรือไม่ก็เกิดขึ้นเพราะระดับฮอร์โมนที่ไม่ได้เป็นไปตามปกติด้วยวัยที่สูงขึ้น จึงทำให้แกมีอารมณ์แบบขึ้น ๆ ลง ๆ
เมื่อเห็นว่าผมเงียบไป แกก็คงจะเริ่มรู้สึกตัวว่าได้เผลอแสดงอารมณ์ฉุนเฉียวออกมา จึงพับหนังสือพิมพ์ฉบับหน้าข่าวนั้นลง เป็นผลให้แสงแดดที่กระทบกับตู้กระจกร้านกาแฟแล้วสะท้อนกลับเข้ามาแยงนัยน์ตาของผม ทำให้ต้องขยับปีกหมวกแก๊ปให้ต่ำลงเพื่อบดบังแสงนั้น
"มาเที่ยวหรือหนุ่ม" แกเปิดบทสนทนาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบเช่นก่อนหน้า
"มาทำงานครับ" ผมตอบออกไปตามความเป็นจริง
"อากาศเย็นหน่อยนะ ที่นี่ตอนเช้า ๆ ก็เป็นแบบนี้แหละ ถ้าอยู่นานหน่อยก็จะชิน"
แกกล่าวต่อพลางส่งสายตามามองมือทั้งสองข้างของผม ที่สวมถุงมือสีดำอยู่
ผมเผยยิ้มที่มุมปากแทนคำตอบ
"มาจากไหนล่ะ" แกถามอีกครั้งหลังจากวางแก้วกาแฟลง
"กรุงเทพฯครับ" ผมตอบสั้น ๆ ก่อนที่จะหยิบซอสถั่วเหลืองเหยาะลงในแก้วใส่ไข่ลวก ตามด้วยพริกไทยอีกนิดหน่อยพอให้ดับกลิ่นคาว แล้วจึงใช้ช้อนคนให้สีน้ำตาลเข้มของซอสถั่วเหลือง สีขาวของไข่ขาวและสีเหลืองของไข่แดงคละเคล้าเข้าด้วยกัน จากนั้นก็ยกแก้วขึ้นแตะริมฝีปากแล้วจึงค่อยปล่อยไข่ลวกรสกร่อย ๆ แต่อุ่นลิ้นให้ไหลลงสู่ลำคอ
"ลูกสาวข้าก็อยู่กรุงเทพฯ แต่แหม..." แกเอ่ยขึ้นมาด้วยเสียงสูงอีกครั้ง ก่อนที่จะหยุดไปแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ คล้ายกับกำลังชั่งใจว่าจะเล่าต่อดีหรือไม่
ผมวางแก้วเปล่าลงแล้วยกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกาอีกครั้ง ครั้นเมื่อเห็นว่ายังพอมีเวลาเหลืออยู่ และน้ำเสียงสูง ๆ เช่นนั้นกลับกระตุ้นให้ผมรู้สึกกระหายใคร่รู้ขึ้นมา จึงทำให้ผมตัดสินใจถามแกกลับไปอีกว่า
"ลูกสาวลุงเป็นอะไรหรือครับ"
ชายชราเหลือกเปลือกตาที่ยับด้วยรอยเหี่ยวย่น ขึ้นมามองดูหน้าผมอีกครั้งอย่างชั่งใจ แล้วถอนลมหายใจออกมาแรง ๆ คล้ายกับเรื่องราวที่แกกำลังจะเล่านั้นเป็นเรื่องที่ลำบากใจอย่างยิ่ง
"ลูกสาวข้านะรึ... มันหลงผัวจนลืมพ่อ"
"ตั้งแต่มันเข้าไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯจนกระทั่งจบ มันก็แทบจะไม่เคยกลับมาบ้านเลย ไอ้ข้าก็มีลูกอยู่แค่คนเดียวก็คือมันนะแหละ แม่มันก็ตายไปตั้งแต่มันยังตัวเล็ก ๆ ข้าก็อดทนทำมาหากินเลี้ยงดูโดยไม่ยอมหาเมียใหม่ ก็เพราะว่าข้านะกลัวจะเหมือนกับในหนัง ที่แม่เลี้ยงจะคอยกลั่นแกล้งลูกเลี้ยงตอนลับหลัง แล้วนี่ดูซิ พอมันเรียนจบออกมาจนได้ทำงานที่ธนาคาร แทนที่มันจะสนใจกลับมาหาข้าบ้าง ว่าเวลาที่ข้าอยู่คนเดียวเนี่ย จะกินจะนอนยังไง โทรไปหามัน มันก็อ้างแต่ว่างานยุ่ง ไม่ค่อยมีเวลา แต่ข้าก็รู้นะว่า ไอ้ที่มันไม่ยอมกลับมานะ เพราะมันมัวแต่หลงผัวมันอยู่"
จบคำบอกเล่าอย่างยืดยาว แกก็ควักบุหรี่ตรารวงข้าวแบบไร้ก้นกรองออกมาจุด ผมจึงถือโอกาสนั้นควักบุหรี่กรองทิพย์ออกมาจุดบ้าง เพื่อดับกลิ่นคาวไข่ไก่ที่ค้างอยู่ในช่องปาก
"อ้าว....แล้วลูกสาวลุงเรียนจบก็แต่งงานเลยเหรอ"
ผมแกล้งถามกลับไป เพราะรู้สึกว่าเรื่องราวมันน่าจะมีอะไรซับซ้อนกว่านั้น
"เปล่าหรอก มันยังไม่ได้แต่งงานกัน แรก ๆ ตอนที่มันเรียนจบแล้วทำงานใหม่ ๆ มันก็กลับบ้านมาหาข้าบ่อยดีอยู่หรอก แต่สักพักพอมันเริ่มมีแฟน มันก็ไม่ค่อยยอมกลับมา ช่วงหลัง ๆ ข้าก็เป็นห่วง กลัวว่ามันจะโดนหลอก ก็เลยให้มันพาแฟนมาเที่ยวหาที่บ้านบ้าง จะได้รู้จักหน้าค่าตากันเอาไว้"
"แหม...อีตอนก่อนจะพาแฟนมา มันก็เล่าเสียอย่างดิบอย่างดีเลยนะว่า แฟนมันนะเป็นหมอ ไอ้ข้าก็หลงดีใจ เลยเอาไปคุยเสียแปดบ้านเก้าบ้านว่าจะได้ลูกเขยเป็นหมอ แต่ครั้นมาเจอตัวจริงเข้า พอซักไปซักมา แฟนมันถึงได้ยอมสารภาพว่า มันเป็นจิตแพทย์อยู่โรงพยาบาลบ้า ข้าก็ของขึ้นเลยซิ หนอย...มาหลอกกันได้ อีลูกสาวข้านะแหละตัวดี กลัวจะไม่ได้ผัวจนถึงกับต้องมาหลอกพ่อ" แกเล่าพลางใส่อารมณ์อันเดือดดาลจนผมแทบจะหัวเราะออกไปด้วยความขบขัน ในเรื่องราวระหว่างพ่อตากับลูกเขยคู่นี้
"โธ่ลุง...เขาก็ไม่ได้โกหกนี่นา จิตแพทย์เนี่ยเขาก็เรียกหมอเหมือนกัน"
ผมแกล้งกระเซ้าต่อด้วยเสียงหึหึในลำคอ อย่างพยายามที่จะสะกดกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้
"เออ...มันก็หมอจริง ๆ แต่เสือกเป็นหมอรักษาคนบ้า นี่ถ้าอยู่กับคนบ้านาน ๆ มันก็จะไม่กลายเป็นบ้าไปด้วยหรอกเหรอ ถ้ามันเกิดเป็นบ้าขึ้นมาจริง ๆ แล้วมาทำร้ายลูกสาวข้าล่ะ ข้าจะทำยังไง ข้ายิ่งมีลูกสาวอยู่คนเดียวด้วย ป้องกันไว้ก่อนดีกว่ามาแก้ทีหลังจะดีกว่ามั้ย ข้าก็เลยบังคับให้พวกมันเลิกกัน"
แกหยุดสูดควันเข้าปอดนิดหนึ่งแล้วพ่นออกมาเป็นเส้นยาว แล้วจิบน้ำชาเป็นการล้างคอ จากนั้นจึงเล่าต่อว่า "แต่พวกมันก็ไม่ยอมเลิกกัน แถมยังหอบผ้าหอบผ่อนไปอยู่กินด้วยกัน ทั้งที่ยังไม่ได้จัดพิธีแต่งงาน ไม่ได้สู่ขอตามประเพณี ข้าก็เลยบอกกับพวกมันว่า ถ้าอย่างงั้นก็ไม่ต้องกลับมาให้ข้าเห็นหน้าอีก พวกมันก็เลยไม่ยอมมาจริง ๆ "
นั่นไงล่ะ ในที่สุดแกก็ยอมสารภาพออกมา ผมนึกแล้วว่าเรื่องราวมันคงต้องมีมากกว่านั้นแน่ อยู่ ๆ ลูกสาวคนเดียวที่แกส่งเสียให้เรียนจนจบมีอนาคตมีการงานที่ดี จะมาทิ้งแกง่าย ๆ ผมว่ามันก็กระไรอยู่ นี่พวกเขาคงกลัวว่าจะถูกพ่อกีดกันความรักหรือบังคับให้เลิกกันอีกกระมัง จึงไม่ยอมพากันกลับมาหาแก
ผมขยับข้อมือเพื่อดูนาฬิกาอีกครั้ง จึงเห็นว่าเวลาเริ่มงวดลงทุกขณะ พร้อม ๆ กับความตึงเครียดที่ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นตามลำดับ มือทั้งสองข้างของผมเริ่มมีเหงื่อซึมออกมา ผมมักจะเป็นเช่นนี้ทุกครั้งเมื่อต้องลงมือทำงาน แต่ในเรื่องราวที่ชายชรากำลังเล่าให้ฟังนั้น ผมกลับรู้สึกว่ายังมีอะไรบางอย่างอยู่ จึงถามแกกลับไปอีกครั้งว่า
"แล้วยังไงต่อละครับลุง"
คราวนี้แกถอนลมหายใจเบา ๆ ออกมาอีกครั้ง ทั้งด้วยแววตาและอารมณ์ที่แลดูอบอุ่นขึ้นกว่าก่อนหน้านั้นมาก แล้วแกก็แหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้าและนิ่งเงียบอยู่ครู่ใหญ่ ผมเห็นเช่นนั้นจึงหันกลับมาเตรียมตัวเพื่อลงมือทำงานด้วยนึกว่าแกจะเลิกเล่าแล้ว แต่ทันใดนั้นชายชราก็พลันระบายเสียงนุ่มนวลออกมาอย่างแผ่วเบาว่า
"ผ่านไปสามปี มันทั้งสองคนผัวเมียก็กลับมาอีกครั้ง ก็เมื่อหกเดือนก่อนนี่แหละ แต่คราวนี้มันมีลูกสาวอายุประมาณหนึ่งขวบกลับมาด้วย ลูกสาวของมันนะดันหน้าตาไปเหมือนผัวมันเสียด้วย แต่ข้าก็ไม่รู้สึกชังน้ำหน้าหรอกนะ เพราะครึ่งหนึ่งของเด็ก มันก็มีเลือดของลูกสาวข้าอยู่ด้วย"
"แล้วผัวมันบอกว่าจะมาทำพิธีขอขมา และผูกข้อไม้ข้อมือกันให้ถูกต้องตามประเพณี แต่ข้าก็ยังยืนกรานคำเดิม ว่าให้พวกมันเลิกกัน แล้วให้ลูกสาวกับหลานสาวกลับมาอยู่กับข้า ไม่ต้องกลัวหรอกไอ้เรื่องอดตายนะ ไร่นาข้าก็มีเป็นร้อย ๆ ไร่ ราคาเดี๋ยวนี้ก็ไม่ใช่ถูก ๆ ขายแค่ไม่กี่แปลง พวกมันใช้กันจนตายก็ไม่หมดหรอก"
"แต่พวกมันก็ไม่ยอมเลิกกันอีก โดยเฉพาะอีนางลูกสาวตัวดีของข้าน่ะแหละ มันรีบพาลูกพาผัวหนีกลับไปกรุงเทพฯเลย ข้าก็เลยบอกกับมันไปว่า ถ้ามันไม่ยอมกลับมา ก็อย่าหวังเลยว่า ถ้าข้าตายแล้วจะยกทรัพย์สมบัติให้"
แกหยุดลงอีกครั้งแล้วค่อยหันมาจับจ้องมองหน้าผมด้วยแววตาที่ขึงขังอีกครั้ง ราวกับว่าผมเป็นลูกเขยนอกจารีตของแกอย่างนั้นแหละ แต่ด้วยเวลาที่จะต้องลงมือทำงานได้กระชั้นเข้ามา ผมจึงไม่อยากใส่ใจกับแกมากนัก เพราะต้องหันกลับมาสำรวจดูอุปกรณ์ที่จะใช้ทำงานก่อน
"ข้าไม่รู้หรอกว่าพวกมันจะเชื่อหรือเปล่า แต่ข้าก็ไม่ได้แค่ขู่หรอก ลูกสาวของข้ามันก็คงจะรู้ว่าข้าน่ะเอาจริง ยิ่งไอ้หมอรักษาคนบ้านั่น ถ้าเดาไม่ผิดข้าว่า ที่มันไม่ยอมเลิกกับลูกสาวข้าเนี่ย ก็คงเป็นเพราะมันอยากได้ที่ดินข้าด้วยน่ะแหละ แต่อย่าหวังเลยว่าพวกมันจะได้ ข้าจะขายแล้วเอาเงินทำบุญให้หมด แม้แต่สตางค์แดงเดียว ข้าก็จะไม่ให้พวกมัน"
แกหยุดนิดหนึ่งก่อนที่จะยกกระเป๋าหนังดำ ๆ ด่าง ๆ ขึ้นมาวางบนโต๊ะแล้วเล่าต่อว่า
"เนี่ย ข้าก็เพิ่งขายที่ดินแปลงแรกไป ได้มาสองล้าน ก็เลยนัดท่านสมภารว่าจะแวะเอาไปถวายตอนหลังฉันเช้านี้แหละ"
เมื่อสิ่งที่ไม่คาดฝันพลันเกิดขึ้น จึงทำให้ผมถึงกับต้องตกตลึง ด้วยนึกไม่ถึงว่า ชายชราท่าทางซอมซ่อผู้นี้จะหิ้วกระเป๋าที่บรรจุเงินถึงสองล้านบาท ติดตัวมานั่งกินกาแฟตอนเช้าด้วย
"โอ้โฮลุง... ทำไมลุงไม่ให้คนซื้อเขาเอาเข้าธนาคารให้ล่ะ แล้วค่อยตีเช็คให้วัดทีหลัง ทำไมลุงถึงใจกล้าอย่างงี้ เล่นหิ้วกระเป๋าเงินสองล้านเดินโทง ๆ อย่างงี้ไม่กลัวใครเขามาปล้นมาจี้เอาหรอกเหรอ"
ผมตกใจจนแทบจะตะโกนถามแกออกไปดังๆ
"โฮ้ย...เอาเข้าธนาคารทำไมให้มันยุ่งยาก แล้วต้องมาทำเรื่องเช็คเรื่องเชิคอะไรนั่นอีก วุ่นวายเปล่า ๆ ก็ข้าไม่ได้อยากได้เงินนี่หว่า ไม่อย่างงั้นข้าจะเอาไปทำบุญทำไม ถ้าใครมันอยากปล้น ข้าก็ยกให้มันไปเลยจะเป็นไร ไม่เห็นต้องกลัวเลย ใครมันอยากได้ก็ให้มันไปสิ ถือว่าทำบุญเหมือนกัน"
คำตอบของแกเล่นเอาผมต้องตกตลึงด้วยความที่คาดไม่ถึง แต่ก็จริงของแกน่ะแหละ ในเมื่อแกไม่อยากได้ แกก็จะหวงทำไมให้เปล่าประโยชน์ คิดแล้วผมก็อดขันตัวเองไม่ได้ ที่เผลอไปนึกเป็นห่วงเป็นใยแก แต่แล้วในคำตอบนั้น ก็ทำให้ผมต้องนึกทบทวนเรื่องราวของแกอีกครั้ง นี่ถ้าไม่เข้าใจเหตุผลในความทิฐิที่ต้องการเอาชนะลูกสาวและลูกเขยของแกแล้วละก็ ผมก็คงจะเข้าใจว่าแกเป็นคนธรรมะธรรโมที่ปราศจากความโลภและไม่ยึดติดกับวัตถุใด ๆ อย่างแน่นอน
ราวกับว่าแกกำลังรู้สึกดีขึ้นที่ได้ระบายเรื่องราวต่าง ๆ ให้ใครได้ฟัง แต่ผมเชื่อว่า ทุกคนที่มีโอกาสได้ผ่านเข้ามาในชีวิตของแก ก็คงจะได้รับรู้เรื่องราวเหล่านี้ไปกันบ้างแล้ว ผมขยับข้อมือเพื่อดูนาฬิกาอีกครั้ง หน้าปัดมันบอกว่าเหลือเวลาอีกเพียงสองนาที ผมก็จะต้องลงมือทำงานแล้ว และชายชราคงเห็นอาการนั้นเกิดขึ้นกับผมบ่อยครั้ง จึงถามขึ้นด้วยความรู้สึกรำคาญใจว่า
"ได้เวลาทำงานแล้วหรือหนุ่ม"
ผมจึงพยักหน้าแทนคำตอบแล้วล้วงมือลงไปในกระเป๋าเสื้อแจ๊คเก็ต
"อือ...อย่างน้อยก็รู้สึกว่าวันนี้ข้าโชคดีนะ ที่มีเพื่อนคุย เพราะคนอื่น ๆ เดี๋ยวนี้มันไม่ค่อยมีใครอยากจะฟังเรื่องราวของข้าแล้ว" แกปิดบทสนทนาลงด้วยน้ำเสียงที่เศร้าสร้อย ผมจึงได้เข้าใจว่า เหตุใดทั้ง ๆ ที่โต๊ะซึ่งผมนั่งร่วมดื่มกาแฟกับแกยังมีที่ว่างเหลืออยู่อีกตั้งเยอะ แต่ไม่มีใครยอมมานั่งด้วย กลับพากันไปนั่งกองกระจุกอยู่ที่โต๊ะด้านหลังของชายชรา
แม้ว่าจะรู้สึกสงสารแกขึ้นมาบ้าง แต่ตอนนี้มันถึงเวลาที่ผมจะต้องลงมือทำงานแล้ว
ผมใช้เวลาในการทำสมาธิประมาณห้าวินาที เมื่อมีความมั่นใจอย่างเต็มที่ ผมจึงชักกระบอกเหล็กสีดำมะเมื่อมออกมาจ่อลงที่หน้าอกข้างซ้ายของชายชรา แล้วเหนี่ยวไกปืนลูกซองสั้นไทยประดิษฐ์เป็นขั้นตอนสุดท้าย
"ตูม..."
เสียงกัมปนาทราวกับโลกแตก ทำให้หูของผมแทบจะดับ พร้อมกันนั้นควันจากเขม่าดินปืนก็ลอยฟุ้งขึ้นอย่างตลบอบอวล พลันร่างอันบอบบางของชายชราก็ปลิวกระเด็นหงายท้องลงไปกองอยู่กับพื้นด้วยแรงปะทะของกระสุนปืน โต๊ะเก้าอี้แก้วน้ำชากาแฟของลูกค้ารายอื่น ๆ ที่นั่งอยู่ด้านหลังก็กระเด็นกระดอนตกเรี่ยราดด้วยแรงกระแทกของร่างนั้น
เฮียอ้วนหัวล้านเจ้าของร้านกาแฟ และลูกค้าแม่ค้าในตลาดสดดูจะตกตลึงกันนิดหนึ่ง ก่อนที่จะส่งเสียงกรีดร้องวี้ดว้าดโวยวาย บ้างที่พอตั้งสติได้ก็พากันนอนหมอบราบลงกับพื้นทันทีด้วยเกรงว่าจะโดนลูกหลง แล้วทุกสายตาก็ต่างพุ่งมาจ้องดูท่าทีของผมอย่างตกใจ
แรงถีบของปืนขณะที่เชื้อปะทุได้จุดชนวนระเบิดในปลอกกระสุน ทำให้แขนข้างขวาของผมรู้สึกชาไปหมด แม้ว่าผมจะรู้ผลของมันดีก่อนที่จะเลือกใช้ปืนชนิดนี้เป็นอาวุธสังหาร แต่จะให้ทำอย่างไรได้ ในเมื่อนายของผมได้รับงานมาซ้อน ๆ กันสองวันติด หากผมจะใช้ปืนกล็อกเช่นเดียวกันกับเหยื่อรายเมื่อวาน ก็คงเป็นการทิ้งหลักฐานไว้ท้าทายอำนาจรัฐจนเกินไป
ผมหันไปมองดูร่างนั้นอีกครั้ง แม้ว่าขาของแกยังมีอาการกระตุกอยู่เบา ๆ แต่ผมก็มั่นใจว่าแกต้องตายอย่างแน่นอน ทั้งนึกเสียใจแทนแกที่มีลูกเขยเช่นนั้น ไอ้หมอโรคจิตที่หวังจะฮุบสมบัติ มันคงวางแผนไว้ตั้งแต่ตอนมาจีบลูกสาวของแกแล้วกระมัง จึงได้ถือโอกาสรวบหัวรวบหางเอาลูกสาวของแกทำเมีย เมื่อพ่อตาไม่ยอมเล่นด้วย มันเลยจ้างให้ผมมายิงทิ้งซะ แต่ก็ช่วยไม่ได้ ถ้าหากว่าแกไม่คิดจะขายที่ขายทางทิ้งให้หมด แกก็คงไม่ต้องมาตายอย่างอเนจอนาถเช่นนี้
ผมหันกลับไปมองดูบนโต๊ะอีกครั้ง แล้วก็อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ เมื่อเห็นว่ากระเป๋าใบมอซอที่บรรจุเงินสองล้านบาทยังคงวางอยู่บนนั้น ซึ่งผมไม่เคยคาดฝันมาก่อนเลยว่า จะได้มันเป็นของแถม และเงินจำนวนนี้ก็คงพอจะเป็นทุนให้ผมสามารถทุ่มแทงทีมฟุตบอลที่ผมรักไปจนถึงสิ้นฤดูกาลได้
ผมรีบคว้ากระเป๋าใบนั้นขึ้นมาด้วยหมายจะกอดมันไว้ แต่แล้วก็พลันต้องหยุดชะงัก เมื่อเห็นว่าอีกด้านหนึ่งของกระเป๋านั้นแดงฉานไปด้วยรอยเลือด ซึ่งคงจะกระฉูดออกมาจากอกของชายชรา ขณะที่โดนลูกกระสุนฉีกผ่านกล้ามเนื้อเข้าไปสู่หัวใจนะแหละ
"เฮ้อ... เบื่อไอ้กลิ่นคาวเลือดจริง ๆ "
ผมเผลอสบถพลางส่ายหน้าเมื่อกลิ่นนั้นลอยขึ้นมาเตะจมูก แล้วก้มลงไปมองดูนาฬิกาอีกครั้งเพื่อตรวจสอบเวลา ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้เคร่งครัดในคำสอนอื่น ๆ ของพ่อ แต่ประโยคหนึ่งของแกที่ผมจำได้และยังคงจำเป็นต้องใช้มันอยู่เสมอนั่นคือ
"มืออาชีพต้องรู้จักตรงต่อเวลา"
ผมกระชับกระเป๋าที่ถืออยู่ในมือ ก่อนที่จะหิ้วมันขึ้นมาซ้อนรถมอเตอร์ไซด์ของผู้ช่วย ซึ่งผมได้นัดให้มันมารับตอนแปดโมงตรง
เมื่อวันที่ : 28 ม.ค. 2554, 14.07 น.
ผู้อ่านที่รัก,
นิตยสารรายสะดวก และผู้เขียนยินดีรับฟังความคิดเห็นต่อข้อเขียนชิ้นนี้
เชิญคลิกแสดงความเห็นได้โดยอิสระ ขอขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ในการมีส่วนร่วมของท่านในครั้งนี้...