![]() |
![]() |
ทิดอินทร์![]() |
ผมเป็นลูกคนเล็กของบ้าน พ่อของผมเป็นนายทหารส่วนแม่ของผมเป็นครูประชาบาลอยู่ในโรงเรียนประจำอำเภอ และอาจเป็นเพราะผมเป็นลูกคนสุดท้องก่อนที่แม่จะตัดสินใจทำหมัน ดังนั้นพ่อกับแม่จึงทั้งรักและหวงแหนมาก และด้วยเหตุผลนี้หรือเปล่าที่ทำให้พ่อผมตั้งชื่อจริงอันแสนจะเชยให้แก่ผมว่า "สมบัติ"
ส่วนชื่อเล่นนั้นด้วยความที่ในตอนแรกเกิด แม่เล่าให้ฟังว่าผิวของผมขาวมาก จนทำให้ริมฝีปากนั้นดูแดงแจ๊ดแจ๋ แม่จึงตั้งชื่อเล่นให้ผมว่า "แต๋วแหว๋ว" เพื่อให้เหมาะสมกับรูปร่างหน้าอันอวบอ้วนน่ารักน่าชังของผม ซึ่งแม้จะขัดกับความรู้สึกของพ่อ แต่ด้วยความที่พ่อเป็นคนที่รักแม่มาก พ่อจึงจำต้องยินยอมโอนอ่อนตาม
แต่พ่อกับแม่ก็ไม่เคยรับรู้ความรู้สึกลึกๆบ้างเลยหรอกฮะว่า เมื่อผมต้องเข้าโรงเรียนในระดับชั้นประถมศึกษา แล้วต้องมาโดนเพื่อนๆทั้งผู้ชายและผู้หญิงพากันเรียกว่า "อีแต๋ว" บ้าง "ไอ้แต๋ว" บ้าง ย้ำๆซ้ำๆกันอยู่เช่นนั้นตลอดระยะเวลาหกปี ผมจะมีความรู้สึกเช่นไรกับตัวเอง
และแม้ว่าการเป็นลูกคนสุดท้องจะดีตรงที่ใครๆก็ต่างคอยเอาอกเอาใจ จนทำให้ผมมีนิสัยเอาแต่ใจตัวเอง ทโมนและซนแก่นเพราะไม่ค่อยมีใครกล้าที่จะดุว่าผมสักเท่าไหร่ แต่กระนั้นก็ยังมีสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก เมื่อต้องมารับช่วงของเล่นและเสื้อผ้าต่อจากพี่สาวของผมทั้งสองคน โดยเฉพาะชุดที่มีสีสันหวานๆ อย่างชุดกางเกงขาสั้นสีแดงและเสื้อสีชมพูที่ดูเหมือนแม่จะชอบใจเป็นอย่างมากที่ได้จับผมมาสวมใส่ชุดนี้ และของเล่นซึ่งส่วนใหญ่ก็หนีไม่พ้นพวกตุ๊กตุ่นตุ๊กตาหมีน้อยเก่าๆ ที่ผ่านชีวิตอันชอกช้ำมาอย่างโชกโชนจากพี่สาวของผมถึงสองรุ่น ซึ่งปัญหาของผมนั้นไม่ได้อยู่ที่รอยเปื้อนหรือว่าคราบน้ำลายหรอกนะฮะ แต่มันติดอยู่ตรงที่ของเล่นเหล่านั้น มันออกจะขัดกับความรู้สึกของผมเป็นอย่างมากเลยแหละ
ครั้งหนึ่งผมจำได้ว่า พ่อกับแม่เคยตั้งคำถามกับพวกเราเหล่าพี่น้องทั้งสามคนว่า "ถ้าหากลูกๆโตขึ้นอยากจะเป็นอะไรกัน"
"เป็นคุณครูเหมือนแม่ค่ะ" พี่สาวทั้งสองคนของผมตอบโดยที่แทบจะไม่ต้องคิด แม่ได้ยินดังนั้นจึงอมยิ้มจนแก้มปริ ในขณะเดียวกันนั้น ผมก็พลันได้เห็นแววตาอันเศร้าหมองลงของพ่อ ผมจึงบอกออกไปทันทีว่า
"อยากเป็นทหารเหมือนพ่อฮะ" ผมตอบด้วยความรู้สึกที่เห็นใจพ่อ และก็ได้ผล เมื่อพ่อของผมแทบจะกระโดดตะโกนจนตัวลอยขึ้นมาด้วยความดีใจ ที่เห็นผมอยากจะเจริญตามรอยเท้าของท่านบ้าง เล่นเอาแม่มองและค้อนแล้วค้อนอีกให้กับเราทั้งสองคน และในครั้งนี้นี่เองที่ทำให้ผมรู้สึกว่า การที่พ่อของผมจะมีความภาคภูมิใจในตัวผมมากกว่าพี่ๆทั้งสองคนได้นั้น ผมต้องทำตัวอย่างไร ซึ่งก็ไม่ยากเลย ก็แค่พยายามทำตัวให้เข้มแข็งเหมือนกับชายชาติทหารเช่นพ่อนั่นเอง
ดังนั้นเอง เมื่อนานๆครั้งที่พ่อของผมจะแอบซื้อง่ามหนังสะติ๊กหรือเบ็ดตกปลามาให้ผม ผมก็จะดีใจเป็นอย่างมาก และหากเมื่อไหร่ที่แม่เผลอหรือมีธุระต้องออกไปนอกบ้านในวันหยุด พ่อก็จะแอบพาผมวิ่งออกมายังชายทุ่งนาท้ายสวน เพื่อยิงนกตกปลากันตามประสาแห่งความคึกคะนองของสองพ่อลูก ซึ่งเรื่องราวเหล่านั้นจะต้องเก็บเป็นความลับระหว่างเราทั้งสองคน เพราะหากปล่อยให้พี่สาวคนใดคนหนึ่งของผมรู้เข้า ไม่นานเรื่องราวเหล่านั้นก็จะต้องไปถึงหูของแม่
และหลังจากนั้นไม่นาน ทั้งพ่อและลูกคนเล็ก ก็จะต้องพบกับการเปิดชั่วโมงสอนวิชาพุทธศาสนาและวิชาศีลธรรมเป็นกรณีพิเศษจากแม่อย่างแน่นอน
และด้วยอาชีพทหารของพ่อที่จะต้องไปเข้าประจำกรมกองที่ตัวจังหวัด ซึ่งจะมีโอกาสได้กลับมาอยู่กับลูกๆได้เฉพาะในวันหยุดเสาร์อาทิตย์ หรือในบางครั้งหากพ่อต้องมีภารกิจในหน้าที่การงาน บางเดือนบรรดาลูกๆก็อาจจะไม่มีโอกาสได้เจอหน้าของพ่อเลย
ดังนั้นจึงทำให้วิถีชีวิตอันทโมนของผมมีโอกาสน้อยลงทุกทีทุกที แล้วต้องกลายเป็นว่า ผมต้องคลุกอยู่กับยาย แม่ พี่สาวอีกสองคนและกองตุ๊กตา มิหนำซ้ำในบางครั้งยังต้องถูกบังคับให้คอยมาเป็นลูกค้าของพี่สาวทั้งสองคน เมื่อพวกเธอพากันเล่นเป็นแม่ค้าขายหม้อข้าวหม้อแกง ซึ่งก็อาจจะคงเป็นเพราะช่วงเวลาในตอนนี้กระมังฮะ ที่ได้หล่อหลอมให้นิสัยของผมค่อยๆรู้สึกละมุนละไม และแอบรู้จักรักสวยรักงามโดยไม่รู้ตัว
เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก เมื่อผมได้เติบโตขึ้นมาจนกระทั่งได้เข้าไปศึกษาชั้นมัธยมปลายที่โรงเรียนสหศึกษาประจำจังหวัด ผมกล้าพูดได้โดยไม่อายใครเลยล่ะว่า ผมนั้นหน้าตาดีกว่าใครๆในโรงเรียน ทั้งผิวที่ขาวสะอาดรูปร่างสูงโปร่งแม้จะออกไปทางบอบบางมากเกินไปสักนิด
แต่กระนั้นผมก็ยังดูดีกว่าใครๆ จึงไม่แปลกอะไรที่จะมีรุ่นน้องสาวๆมาคอยกรี๊ดกร๊าดอยู่ข้างสนาม ในเวลาที่ผมแข่งขันบาสเก็ตบอล หรือกระทั่งบางครั้งที่เพื่อนๆหรือรุ่นๆน้องสาวๆมีปัญหากับเพื่อนผู้ชายคนอื่นๆ พวกเธอก็มักจะมาขอความช่วยเหลืออยู่เสมอ และทุกๆครั้งที่ผมได้เสนอหน้าเข้าไปไกล่เกลี่ยแกมข่มขู่ ไอ้เพื่อนผู้ชายพวกนั้นก็จะต้องยอมถอยทัพกับไปทุกที
จริงๆแล้วพวกเขาไม่ได้กลัวผมหรอกนะฮะ แต่เขาเกรงใจพ่อของผมต่างหาก ซึ่งผมก็รู้ดี แต่ก็อดภาคภูมิใจไม่ได้ และหลงติดอยู่ในภาพลักษณ์แห่งความเข้มแข็งเช่นนั้น จนผมเกือบจะลืมความอ่อนหวานของเมื่อครั้งที่นั่งเล่นตุ๊กตุ่นตุ๊กตา และหม้อข้าวหม้อแกงไปเสียแล้ว จนกระทั่ง...
หลังจากจบการศึกษาทางด้านสถาปัตยกรรมศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยชื่อดังของรัฐ ผมก็เข้ามาทำงานเป็นน้องใหม่ในบริษัทบ้านจัดสรรอันใหญ่ยักษ์ และในที่นี้เองผมจึงได้พบกับเค้าคนนั้น "พี่ชาญ" รุ่นพี่ที่เคยศึกษาอยู่ในสถาบันเดียวกัน แต่ผมก็ไม่ค่อยจะมักคุ้นกับเค้ามากนักหรอกฮะ เพราะตอนที่ผมเข้าไปศึกษาอยู่ปีหนึ่งนั้น พี่ชาญเค้าก็กำลังเรียนอยู่ปีสุดท้าย ดังนั้นเราจึงรู้จักกันได้เพียงปีเดียว พี่ชาญก็ชิงเรียนจบไปก่อนแล้ว
แต่กระนั้นด้วยความโดดเด่นของพี่ชาญ ก็ทำให้มีเรื่องราวบางส่วนประทับอยู่ในความทรงจำของผม พี่ชาญเป็นผู้ชายที่มีความเป็นชายสูงจริงๆ ทั้งรูปร่างสูงโปร่งที่อัดแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อ ประกอบกับใบหน้าอันคมคายผิวเข้ม จึงทำให้มีสาวน้อยสาวใหญ่หลากรุ่นหลายคณะฯ พากันวนๆเวียนๆผ่านเข้ามาที่คณะสถาปัตยกรรมของเรา เพื่อโปรยปรายเสน่ห์อยู่อย่างไม่ขาดสาย
ดังนั้นในสมัยที่เรามีช่วงเวลาร่วมกันในมหาวิทยาลัยนั้น ผมกับพี่ชาญจึงเปรียบเสมือนเป็นคู่แข่งกัน โดยคนหนึ่งนั้นดูคมเข้ม ส่วนอีกคนก็คือผมจะออกไปทางสดใสน่ารัก(ผมไม่ได้พูดเองนะฮะ สาวๆเค้าบอกมา) ทำให้สาวๆที่จะวนเวียนเข้ามากรีดกรายโปรยปรายเสน่ห์ต้องเลือกเอาว่ามีรสนิยมแบบใด หรือบางคนก็อาจจะมีอยู่ทั้งสองแบบ จึงได้หว่านเสน่ห์อย่างไม่เลือกหน้า
และด้วยเหตุนี้กระมัง ที่ทำให้ในระยะหลังก่อนที่พี่เค้าจะจบออกไป พี่ชาญมักจะมองผมด้วยสายตาแปลกๆ ทั้งในบางครั้งก็คล้ายๆกับกำลังส่งสายตาอันอบอุ่น บางครั้งก็ฉายแววกึ่งตำหนิเมื่อมีสาวๆเอาดอกไม้มาให้ผม และบางครั้งก็แสดงท่าทางขึงขังปั้นหน้าเหมือนกำลังงอนผมอยู่อย่างงั้นแหละ ทำให้ผมอดสงสัยไม่ได้ว่า มีหญิงสาวคนใดที่มาติดพันผมอยู่นั้นเป็นคนที่พี่ชาญแอบชอบอยู่หรือไม่ แต่จนแล้วจนรอด จนกระทั่งพี่ชาญเรียนจบออกมา ผมก็ไม่เห็นปรากฏว่า พี่ชาญจะเลือกใครเป็นแฟนเลยสักคน
หลังจากนั้นอีกสองปี ผมจึงเลือกเด็กสาวลูกครึ่งรุ่นน้องที่หน้าตาน่ารักเหมือนคนหนึ่งมาเป็นแฟน ท่ามกลางเสียงซุบซิบนินทา แต่ผมสาบานได้เลยฮะว่าผมไม่เคยล่วงเกินใดๆต่อเธอเลย นอกจากการหอมแก้ม เพราะผมเป็นลูกทหารฮะ ผมจึงต้องพยายามรักษาศักดิ์ศรีเช่นเดียวกันกับพ่อของผม
และเมื่อเรียนจนถึงปีสุดท้าย ผมจึงได้เปลี่ยนผู้หญิงใหม่แทนคนเดิมที่เริ่มห่างเหินกันไปตามกาลเวลาและอารมณ์ของวัยรุ่น ซึ่งน้องผู้หญิงคนใหม่ที่คบกับผมมาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้นั้น เธอชื่อ "น้องพลอย" และเธอก็เป็นเด็กสาวที่น่าตาดีไม่แพ้คนก่อนเลยทีเดียว แต่ต่างกันตรงที่คนนี้ดูอ่อนไหวและบอบบางน่าทะนุถนอมกว่าเท่านั้น และที่สำคัญ รูปร่างของเธอนั้นเซ็กซี่ไม่เบาเลยเชียวแหละฮะ หน้าอกก็คัพ ซี ไซส์ ๓๖ เอว ๒๖ ส่วนสะโพกนั้นเรียกว่าดินระเบิดเลยก็ว่าได้ฮะ
แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังคงยืนยันเช่นเดิมว่า ผมไม่เคยมีอะไรกับเธอเกินเลยไปกว่าการประทับรอยจูบให้แก่กันและกันเลยแม้แต่ครั้งเดียว ถึงแม้ว่าเธอจะแสดงอาการยินยอมอย่างเต็มใจมาหลายครั้งแล้วก็ตาม แต่ผมก็ไม่เคยล่วงเกินเธอเลย ใช่แล้วฮะ เพราะผมเป็นลูกทหารฮะ
เมื่อครั้งที่ผมกับพี่ชาญได้โคจรกลับมาพบกันอีกคราวเมื่อสามปีก่อน ในวันที่ผมเข้ามารายตัวเพื่อทำงานในวันแรกนั้น ก็ดูเหมือนว่าพี่ชาญเค้าจะดีใจมากเลยหละฮะ เค้าตรงเข้ามาโอบกอดผมไว้เลย ทีแรกผมก็เข้าใจว่าพี่เค้ากำลังดีใจที่นานจะมีรุ่นน้องร่วมสถาบันเข้ามาทำงานด้วย
แต่ต่อมาในระยะหลังๆผมจึงค่อยเริ่มรู้สึกว่า พี่ชาญมักจะใช้สายตามองผมด้วยแววตาที่แปลกๆ ทั้งแลดูอบอุ่นทั้งสบสนอยู่ในคราวเดียวกัน เหมือนกับสายตาที่เคยใช้มองผมในช่วงสุดท้ายก่อนที่พี่เค้าจะเรียนจบแล้วแยกจากมา
และหากเมื่อเรามีโอกาสอยู่กันเพียงลำพังลับหลังจากเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ พี่เค้าก็มักจะปฏิบัติต่อผมด้วยกิริยาที่ต่างกันออกไป ทั้งชอบใช้มือโอบกอดผมอยู่บ่อยครั้ง หรือกระทั่งชอบจับมือผมไว้นานๆ บางครั้งก็ทำเป็นชวนไปกินข้าวกันสองต่อสองแบบทีเล่นทีจริง แรกๆนั้นผมก็ไม่ได้คิดอะไรมากหรอกฮะ แต่เมื่อมาได้ยินว่าพี่เค้าครองตัวโสดมาโดยตลอด โดยไม่ยอมสุงสิงกับผู้หญิงคนใดเลย ผมก็ชักเริ่มที่จะเอะใจในอาการแปลกๆของพี่ชาญ
และก็อดที่จะยอมรับตรงๆไม่ได้เลยว่า ผมเองนั้น ก็เริ่มที่จะรู้สึกอ่อนไหวระคนวูบวาบไปตามกระแสแห่งการสัมผัสของพี่ชาญ ทั้งที่ผมก็พยายามที่จะเตือนตัวเองให้ขัดขืนฝืนความรู้สึกเช่นนั้นบ่อยครั้งแล้วก็ตาม แต่ภายในจิตใจลึกๆแล้ว ผมกำลังรู้สึกได้เลยว่าความเข้มแข็งที่ผมได้สร้างเป็นเกราะห่อหุ้มตัวเองเอาไว้นั้น ได้ค่อยๆหลอมละลายลงทีละเล็กทีละน้อย
แล้วความอ่อนหวานจากความทรงจำในวัยเยาว์ ที่เคยถูกเก็บซุกซ่อนเอาไว้ก็ได้ค่อยๆแผ่ขยายเข้ามาแทนที่ พร้อมๆกันนั้น ชื่อของ "พี่ชาญ" ก็ได้เข้ามายึดพื้นที่ในหัวใจไว้ทีละเล็กทีละน้อยและทุกวันๆ จนกระทั่งขณะนี้ไม่ว่าจะเป็นยามหลับหรือว่ายามตื่น ไม่มีวันใดเลยที่ผมจะอดคิดถึงพี่เค้าไม่ได้ อย่างนี้หรือเปล่าฮะที่เขาเรียกกันว่าความรัก ผมไม่รู้ เพราะไม่เคยรู้สึกกับใครเช่นนี้มาก่อนเลยสักคนเดียว
แล้วเวลาก็ค่อยๆสะสมความรู้สึกเหล่านั้นระหว่างสองเรา ให้พอกพูนทับทวีมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเมื่อคืนนี้
"สนุกหรือเปล่าครับ" พี่ชาญเดินเข้ามากระซิบถามที่ข้างหูเพราะเสียงดนตรีที่ดังสนั่นลั่นผับ ทำให้การสนทนาแบบปกตินั้นไม่สามารถทำได้ แต่กระนั้นลมหายใจอุ่นๆที่พ่นเข้ามายังใบหู ผสมกับกลิ่นกายของความเป็นชาย ทำให้ผมรู้สึกซาบซ่านอย่างชอบกล ผมจึงหันไปส่งยิ้มและพยักหน้าแทนคำตอบ
"มาชนแก้วกัน" พี่ชาญหันมากระซิบชักชวนอีกครั้งพลางใช้มือขวาโอบเอวแล้วใช้มือซ้ายยกแก้ววิสกี้ผสมโซดาชูขึ้น ผมจึงหันไปคว้าแก้วของตัวเองขึ้นมากระทบเบาๆแทนคำตอบ ด้วยภายในใจแอบหวั่นเกรงเล็กๆว่าพี่ชาญจะพลันคลายมือออกจากเอวของผมไป
"หมดเลยซิ หมดแก้วเลย อะไรกัน คออ่อนหรือไงเนี่ย เสียชื่อสถาบันฯหมด" พี่ชาญรบเร้าผมอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าผมเพียงจิบนิดเดียวแล้ววางแก้วลง จริงๆแล้วผมก็ไม่ใช่พวกคอแป๊บคอทองแดงหรอกฮะ ออกจะเกลียดรสชาติและอาการมึนเมาของเหล้าด้วยซ้ำไป แต่เมื่อมองเห็นสายตาที่คาดหวังของพี่ชาญแล้ว ผมก็อดที่จะยกแก้วขึ้นมากระดกจนหมดเพื่อเอาใจพี่เค้าไม่ได้
"อืม...ต้องอย่างงั้นสิ" พี่ชาญจึงยิ้มและหัวเราะออกมาได้ นี่หรือเปล่า คือสิ่งที่ผมต้องการ คือรอยยิ้มอันละไมใสซื่อของพี่ชาญ ที่ผมจะต้องแลกด้วยการกระดกเหล้าทีละแก้ว ทีละแก้ว และเมื่อผมได้เห็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของพี่เค้าอีกเพียงห้าหกครั้งเท่านั้น สมองผมก็เริ่มเตือนว่าผมเริ่มไม่ไหวแล้ว ด้วยอาการปวดที่ขมับตุบตุบ แล้วตามด้วยอาการคลื่นไส้อย่างรุนแรง จนผมต้องวิ่งเข้าห้องน้ำเพื่อไปอาเจียนอย่างแทบจะไม่ทัน
และเมื่อปล่อยทุกอย่างออกมาจนแทบไม่มีอะไรจะขย่อนออกจากกระเพาะอีกแล้ว ผมจึงค่อยเดินโซซัดโซเซออกมาจากห้องน้ำ และเมื่อมาถึงประตูก็พบว่าพี่ชาญมายืนกอดอกยิ้มเผล่รออยู่ก่อนแล้ว
"ไหวหรือเปล่านะเรา" พี่ชาญถามผมด้วยรอยิ้ม ผมอยากจะพยักหน้าเพื่อเอาใจพี่เค้า แต่ด้วยสภาพตอนนี้ ผมคิดว่าการส่ายหน้า น่าจะเป็นคำตอบที่ดีกว่า
พี่ชาญส่งรอยยิ้มออกมาอีกครั้งเมื่อแปลสัญญาณภาษากายของผมออกมา
"อือ พี่ก็ว่างั้นแหละ เดี๋ยวพี่ไปส่งที่ห้องดีกว่านะ พี่บอกเพื่อนเราไว้แล้วละ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก" พี่ชาญกล่าวพลางหัวเราะในลำคอ เมื่อผมคิดตามเหตุผลของพี่เค้า ผมก็ต้องพยักหน้าตามอย่างเห็นด้วย เพราะถ้าหากจะแหวกฝูงชนจากหน้าห้องน้ำกลับไปยังที่โต๊ะเพื่อร่ำลาเพื่อนร่วมงานอีกก็คงจะทรมานน่าดู และผมก็เกรงว่าดีไม่ดีอาจจะต้องไปปล่อยอาเจียนระหว่างทางเข้าให้อีก
"มางั้นพี่ประครองไปดีกว่า" พี่ชาญเอ่ยขึ้นแล้วไม่รอคำตอบจากผม พี่เค้าก็พลันโผมาเข้าปีกผมโดยทันที แรกๆที่เดินโซซัดโซเซออกมานั้น ผมก็ยังพอที่จะยังพยายามยันกายไว้ได้บ้าง แต่เมื่อมาถูกลมหายใจอันอุ่นระอุเป่ารดที่ต้นคอพร้อมกับกลิ่นกายของความเป็นชายที่เข้มข้น ก็ทำให้ร่างของผมต้องอ่อนระทวยลงอีกครั้ง และคราวนี้ผมได้เผลอตัวเผลอใจซบลงยังอ้อมอกอุ่นๆของพี่ชาญอย่างไม่อาจจะฝืนได้อีกแล้ว
พี่ชาญพาผมขึ้นรถแท็กซี่ และทันทีที่ผมเอนหลังลงกับเบาะ ผมก็แทบจะไม่เหลือสติพอที่จะคิดเรื่องราวใดๆอีก จนกระทั่งพลันเมื่อรู้สึกตัวว่ารถแท็กซี่นั้นจอดสนิทลง ก็ได้ยินเสียงพี่ชาญกระซิบถามเบาๆว่า
"แต๋ว แต๋ว ไหวหรือเปล่า"
แต่ตอนนี้เรี่ยวแรงของผม ที่แม้แต่จะใช้ขยับเปลือกตาก็แทบจะไม่มีเหลืออยู่เสียแล้ว ผมจึงส่งเสียงอือๆออในลำคอ พี่ชาญจึงกระซิบถามมาอีกว่า
"เอากุญแจห้องมาครับ เดี่ยวพี่ขึ้นไปส่ง"
ผมจึงพยายามรวบรวมเรี่ยวแรงครั้งสุดท้าย ในการล้วงเอากุญแจจากกระเป๋ากางเกงยีนส์ด้านหลังมาโยนกองกับเบาะให้แก่พี่ชาญ พลางนึกสงสัยไม่ได้ว่า พี่เค้ารู้ได้อย่างไรว่าผมพักอยู่ในคอนโดฯแห่งนี้ แสดงว่าพี่เค้าน่าจะแอบสืบเสาะข้อมูลผมมาบ้างพอสมควร ความรู้สึกนั้นทำให้ผมแอบปลาบปลื้มใจไม่ได้ แต่เมื่อคิดหวังได้เพียงเท่านั้น ผมก็พลันรู้สึกว่าตัวกำลังลอยสูงขึ้นเพราะอ้อมกอดอันแข็งแรง
แล้วทันใดนั้น ทำนบแห่งความเข้มแข็งที่ผมได้สร้างเป็นเกราะเพื่อซุกซ่อนอารมณ์อันอ่อนไหวเอาไว้ก็ถูกพังทลายลงในทันที ผมไม่อาจจะเก็บซ่อนความรู้สึกเหล่านั้นได้อีกแล้ว สุดท้ายผมจึงซบหน้าลงกับแผงอกอันบึกบึนของพี่ชาญ เหมือนกับลูกแมวตัวน้อยที่พยายามขดตัวเพื่อซุกหาไออุ่นจากอกของแม่ และเนิ่นนานเท่าไหร่ไม่รู้ กว่าพี่ชาญจะพาผมขึ้นลิฟท์ ไขประตูห้อง แล้วพาร่างของผมมาวางไว้บนเตียงอย่างแผ่วเบา ผมว่ามันคงจะนานพอที่จะทำให้ไหล่ของพี่ชาญรู้สึกอ่อนล้า แต่ผมก็ยังปรารถนาอยากจะให้ห้วงเวลานั้นยืดยาวออกไปอีกนานแสนนาน
"ไม่ไหวเลยแฮะ อย่างนี้อย่าไปบอกกับใครนะว่าเป็นรุ่นน้องพี่ พี่อายเค้า"
เสียงพี่ชาญกระเซ้ามาเบาๆแล้วตามด้วยเสียงหัวเราะในลำคอ แต่ผมไม่รู้จะตอบพี่เค้าว่าอย่างไรดีผมจึงนิ่งเงียบเอาไว้
"พี่เช็ดตัวให้นะครับ"
เสียงของพี่ชาญกลับมาให้ความรู้สึกอันอบอุ่น เหมือนเช่นเดียวกันกับทุกครั้งเมื่อเราได้มีโอกาสอยู่กันเพียงลำพังสองต่อสอง ทำให้ผมพลันรู้สึกหัวใจเต้นแรงอย่างไม่เป็นส่ำ ด้วยความรู้สึกตื่นเต้นระคนหวาดหวั่น แต่สุดท้ายผมก็พยักหน้าแทนคำตอบ ทั้งที่ดวงตายังคงหลับพริ้มอยู่ด้วยความเขินอาย
พี่ชาญจึงค่อยๆปลดกระดุมเสื้อของผมออก ทีละเม็ด ทีละเม็ด อย่างแผ่วเบาและบรรจง จนสามารถสื่อในสัมผัสนั้นของพี่ชาญออกมาได้ว่า พี่เค้ากำลังปฏิบัติต่อผมด้วยความทะนุถนอม จากนั้นจึงค่อยปลดกางเกงผมออกจนเหลือเพียงชั้นใน
แล้วพี่ชาญจึงใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นค่อยๆเช็ดไปตามร่างกายของผม จนเส้นประสาททั้งหมดเริ่มตื่นตัวขึ้นมาด้วยความรู้สึกอันรัญจวนใจ ถึงตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกตัวว่าร่างกายพลันสั่นระริก ด้วยความหวาดหวั่นผสานกับความรู้สึกอยากลิ้มลองในรสแห่งการสัมผัส
จากนั้นผมจึงได้ยินเสียงกระซิบเบาๆที่ข้างหูว่า
"เรามารักกันนะ"
ผมแทบไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง ที่ได้ยินคำพูดประโยคนั้นหลุดออกมาจากปากของพี่เค้า จนผมต้องลืมตาขึ้นมาจับจ้องดูแววตาของพี่ชาญ และเมื่อผมได้มองเห็นร่องรอยแห่งความใสซื่อฉายอยู่ในดวงตาคู่นั้น ผมจึงเผลอยิ้มออกไป ก่อนที่จะค่อยๆพริ้มตาลง แล้วจึงพยักหน้าอย่างยอมรับและปล่อยให้อารมณ์ต่างๆ มันค่อยๆรื่นไหลไปตามจังหวะแห่งกลกาม
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
ความเย็นของเครื่องปรับอากาศในช่วงท้องฟ้าเริ่มสาง ทำให้ผมต้องดึงผ้าห่มขึ้นมาเพื่อที่จะคลุมตัวให้ได้รับกับความอบอุ่น แต่แล้วก็ต้องตกใจเมื่อพลันได้เห็นร่างของชายคนหนึ่งนอนกรนเบาๆอยู่ข้างๆ แสดงว่าเรื่องราวทั้งหมดนั้นผมไม่ได้ฝันไป แล้วอาการปวดหัวตุ้บๆที่ขมับของอาการเมาค้างก็เริ่มเข้าเล่นงานทันที
"ตื่นแล้วหรือครับคนดี"
เสียงของชายคนนั้นเอ่ยถามอย่างอ่อนเพลีย ใช่แล้วเสียงของพี่ชาญ พลันเมื่อได้ยินเสียงนั้นผมก็รีบห่อตัวลงไปในผืนผ้าห่ม เพื่อจะซ่อนร่างกายอันเปลือยเปล่าให้ห่างจากสายตาที่ฉายรอยยิ้มอย่างมีเลศนัยน์คู่นั้น
"แหม จะมาอายอะไรอีก เมื่อคืนนี้ผมเห็นหมดแล้วล่ะน่า"
พี่ชาญเอ่ยขึ้นอย่างล้อเลียน พลางค่อยๆแทรกมือผ่านผ้านวมผืนหนาเข้ามาลูบไล้ตามร่างกายของผม จนความรู้สึกอันสยิวซาบซ่านได้กลับคุกรุ่นขึ้นมาอีกครั้ง
"ไงยังอายอยู่อีกหรือครับ"
พี่ชาญถามย้ำอีกครั้ง ขณะที่มือข้างนั้นยังไม่หยุดที่จะซุกซนอยู่ใต้ผืนผ้าห่ม
"ฮ่ะ อย่า...อย่าเลยนะฮะ"
ผมตอบพี่เค้ากลับไปสั้นๆ ทั้งไม่มั่นใจว่าอยากจะปฏิเสธจริงๆ
"ฮ่ะ ได้ยังไงล่ะครับ ต้องค่ะสิครับ ตอนนี้แต๋วกลับมาเป็นผู้หญิงแล้วนะ เลิกพูดฮะได้แล้วครับ ดูสิ สวยขนาดนี้จะเป็นทอมไปทำไม หน้าอกก็เบ้อเริ่มเทิ่มอย่างนี้ไปรัดมันไว้ น่าสงสารมันนะ"
พี่ชาญพูดจบ ก็พลันรุกเร้าเข้ามายังปทุมถันทั้งคู่อีกครั้งด้วยปากและจมูก จนผม...ผม...เอ่อ...ดิฉัน ต้องเคลิบเคลิ้มตามสัมผัสที่เร่งเร้ารัญจวนอีกครั้ง
"พี่ชาญบ้า... หยุดก่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวเหอะ เดี๋ยวเหอะ" ดิฉันใส่จริตมารยาแสร้งทำเป็นขวยอายตามสัญชาติญาณเดิมของผู้หญิง แล้วพลันกลิ้งร่างพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะคิกๆเร่งเร้าอารมณ์ให้แก่คนรัก ในขณะที่พยายามหลบสองมือที่ไล่ตะปบก้อนถันอันเต่งตูมคู่นั้น ทั้งๆที่จริงๆแล้วอยากให้มันได้ถูกการสัมผัสเคล้าคลึงจนแทบใจจะขาด
และก่อนที่สติของดิฉันจะขาดหายไปตามห้วงแห่งอารมณ์อันหฤหรรษ์ ดิฉันก็ยังแอบนึกกังวลใจไม่ได้ว่า วันพรุ่งนี้ดิฉันจะบอกกับ "น้องพลอย" สาวดี้ที่มาติดพันทอมปลอมๆอย่างดิฉันว่ากระไรดี
นี่แหละคะ คือปัญหาที่เกิดขึ้นจากความรู้สึกอันบิดเบี้ยว แล้วดิฉันควรจะทำอย่างไรดีค่ะ
เมื่อวันที่ : 08 ม.ค. 2554, 07.35 น.
อิอิ ไม่รู้จะวิจารณ์ยังไง ขอแค่มาให้กำลังใจผู้เขียนก็แล้วกัน
ผมอ่านสองรอบนะครับ เข้าใจดีว่าคุณต้องการจะเล่าเรื่องอะไร
ถ้าคุณต้องการแค่นี้ก็นับว่าผ่านครับ
นอกเหนือจากนั้นผมพูดไม่ถูก