![]() |
![]() |
กัลปจันทรา![]() |
ปลายปี ค.ศ. 1811 นั้นช่วงเวลาที่อยู่ในความทรงจำของชาวรัซเซียนอย่างพวกเราไม่มีวันลืม ท่าน "กาวริล กาวริลโลวิช" อยู่ในคฤหาสน์ในเมือง "นีนาราโดวา" เขาเป็นคนที่ผู้คนในอำเภอนั้นนับถือเพราะเป็นผู้ที่มีความเมตตาต่อคนทุกชั้น เพื่อนบ้านของเขาไม่ว่าใครจะเข้าไปเยี่ยมเยือนอย่างสม่ำเสมอ แค่เพื่อไปกินไปดื่ม บางคนก็เข้าไปเล่นเกมชื่อว่า "เกมบอสตัน" ที่ใช้เงินพนันห้าโคเป็ก เล่นร่วมกับภรรยาของเขาผู้ถูกขานนามว่า มาดาม "พราสโคเวีย พีธรอววา" และบางคนก็ไปเพื่อจะได้ชมโฉมของลูกสาวมีนามว่า "มาเรีย กาวริลโลฟนา" ผู้เป็นหญิงสาวผิวขาวงดงาม สูงเพรียวอายุย่างสิบเจ็ด หลายคนเห็นว่าเป็นหญิงสาวที่มีอนาคตดีและแน่นอนที่จะร่ำรวยเงิน (ของพ่อ) หลายหนุ่มน้อยและหนุ่มใหญ่ปรารถนาเธอให้เป็นคู่ครองของตัวเอง และบางคนที่เป็นหนุ่มใหญ่มากหน่อยก็อยากได้เธอมาเป็นลูกสะไภ้
มาเรีย กาวริลโลฟนา นั้นเป็นหญิงสาวที่เติบโตมากับหนังสือและกลอนรักของฝรั่งเศส ดังนั้นเชื่อได้เลยว่าเธอเป็นหญิงสาวผู้ที่จะ "ตกหลุมรัก" ได้ไม่ยากนัก ตอนนี้ความสนใจของเธออยู่ที่หนุ่มยศร้อยตรีของกองทัพบก ซึ่งกำลังพักร้อนอยู่ในหมู่บ้านของเขา แน่นอนที่หนุ่มคนนี้นั้นก็มีใจต่อเธอเช่นกัน อย่างมากมายและจริงจังด้วย แต่ความสนใจของทั้งสองก็ไม่พ้นหูตาของพ่อแม่ของหญิงสาว ซึ่งห้ามลูกสาวไม่ให้ไปยุ่งเกี่ยวกับหนุ่มนั้นเป็นอันขาดเพราะเข้าใจว่าหนุ่มสนใจ ความร่ำรวยมากกว่าสิ่งอื่นใด
แต่คนที่รักกันนั้นห้ามยาก ดังนั้นหนุ่มสาวคู่นี้ก็ติดต่อกันและพบกันอย่างลับๆ ทุกวันในป่าสน หรือใกล้ๆ โบสถ์ของเมืองนั้น เขาทั้งสองได้พรอดรักและแลกเปลี่ยนคำสัญญาว่าจะรักกันตลอดกาล ร้องให้อย่างน้อยใจกับชะตากรรมอันแสนโหดร้ายเพราะพ่อแม่ของหญิงสาวกีดกัน และวางแผนหลายอย่างเพื่อจะได้อยู่ด้วยกัน การติดต่อพูดคุยพร้อมปรึกษาแผนการณ์ต่างๆ นั้น ในที่สุดก็สรุปได้ตามสถานการณ์ว่า
"เราต้องอยู่ด้วยกัน แต่พ่อแม่ใจร้ายแข็งขันไม่ยอม ทำตัวเป็นมารต่อความสุขของเรา ทำไมเราไม่ตัดพ่อแม่ออกไปเสียให้พ้นล่ะ?"
สิ่งนี้มีจุดกำเนิดในสมองของหนุ่มและเป็นเสมือนเชื้อเพลิงชั้นดีต่ออารมณ์เพ้อฝันของมาเรีย กาวริลโลฟนา อย่างพอเหมาะพอเจาะทีเดียว
หน้าหนาวมาถึงทำให้การพบปะกันต้องละเว้นไปบ้างด้วยอากาศหนาวเกินกว่าจะไปพบนอกบ้านได้ แต่การติดต่อทางอื่นก็มีแถมทำได้บ่อยขึ้นเสียอีก หนุ่มวลาดิมิร์ นิโคแลอิวิธช์ ส่งจดหมายรักที่มีคำอ้อนวอนเหมือนๆ กันทุกฉบับให้สาวมาเรีย ยอมเป็นของเขาทางร่างกาย ยอมแต่งงานกับเขาอย่างลับๆ เพื่อจะได้รอเวลาที่จะเปิดเผย และเมื่อถึงเวลาที่ควรเปิดเผย เขาก็พร้อมจะคุกเข่าสารภาพต่อพ่อแม่ของหญิงสาว ซึ่งคาดว่าน่าจะนับถือเอ็นดูความจริงใจและความรักของหนุ่มที่มีต่อลูกสาว และจะยอมอภัยบอกว่า "ลูกทั้งสองเอ๋ย จงเดินมาสู่อ้อมกอดของพ่อแม่ให้ชื่นใจหน่อย"
สาวมาเรีย กาวริลโลฟนา นั้นคิดใคร่ครวญเต็มไปด้วยอาการลังเล ในตอนแรกนั้นไม่กล้าหนีและปฏิเสธอย่างแข็งขัน แต่ในที่สุดแผนการหนึ่งผุดขี้นมาให้เธอยอม ในวันที่นัดกัน เธอไม่ได้ลงไปรับประทานอาหาร แต่พักอยู่ในห้องนอนอ้างว่าปวดศีรษะ หญิงรับใช้ส่วนตัวนั้นรู้แผนการของหนุ่มสาว แผนนั้นคือ คนทั้งสองจะออกไปที่สวนทางบันไดหลัง ด้านหลังของสวนนั้นจะมีเลื่อนหิมะรออยู่ หญิงทั้งสองจะใช้เลื่อนนี้เดินทางไปที่โบสถ์ชื่อจาดริโน ในหมู่บ้านที่ห่างออกไปประมาณห้ากิโลเมตรจากเมืองนีนาราโดวา หนุ่นคนรักวลาดิมิร์ นิโคแลอิวิธช์ นั้นจะรออยู่ที่โบสถ์
คืนก่อนจะทำตามแผนนั้นหญิงสาวนอนไม่หลับเลย วุ่นอยู่กับการเก็บของใส่หีบเล็กๆ ห่อมัดด้วยผ้าลินิน เขียนจดหมายยาวเหยียดบรรยายความรักที่ทำให้ต้องทำตามประสาหญิงสาวที่ตกหลุมรัก เป็นจดหมายสองฉบับ ฉบับหนึ่งของพ่อแม่ อีกฉบับหนึ่งนั้นเธอเขียนถึงเพื่อนรักที่สุด เธอบรรยายถึงความรักที่เป็นสาเหตุที่และเหตุผลที่ทำให้เธอต้องจากคนทั้งสาม และไม่ลืมที่จะบอกเป็นนัยๆ ว่า วันที่เธอและเขามีโอกาสกลับมาคุกเข่ากราบพ่อแม่สุดที่รักของเธอนั้นจะเป็นวันที่จะทำให้เธอมีความสุขที่สุดในชีวิต
หญิงสาวปิดผนึกจดหมายด้วยตรา "ทูลา ซีล" ซึ่งเป็นตราประทับรูปหัวใจสองดวงพร้อมตัวหนังสือที่แสดงถึงความผูกพันของหัวใจสองดวงอย่างเหมาะสมราวกับทำตราประทับเตรียมไว้ หญิงสาวเอนตัวลงนอนก่อนรุ่งอรุณและผลอยหลับไป เป็นการหลับที่เต็มไปด้วยฝันร้ายที่ทำให้เธอสะดุ้งผวา ฝันร้ายแรกคือ พ่อของเธอมาพบตอนเธอจะนั่งเลื่อนหิมะ ก่อนที่จะหนีไปได้และลากตัวเธอโยนลงไปในหลุมดำมืด เธอตกลงไปในหลุมนั้นโดยศีรษะพุ่งลงไปก่อน ทำให้สะดุ้งตื่นด้วยหัวใจเต้นแรงด้วยความหวาดหวั่น และฝันร้ายที่สองที่ตามมา เธอเห็นหนุ่มคนรัก วลาดิมิร์ นอนตัวซีดเซียว ร่างกายเต็มไปด้วยเลือด และด้วยลมหายใจสุดท้าย เขาอ้อนวอนด้วยเสียงกะท่อนกะแท่นให้เธอแต่งงานกับเขา ภาพที่น่ากลัวและไม่น่าเชื่อต่างก็ผ่านอยู่ในความฝัน ในที่สุดก็สะดุ้งตื่นด้วยความอ่อนเพลียและซีดเซียวพร้อมด้วยอาการปวดศีรษะอย่างแท้จริง พ่อแม่ของมาเรียสังเกตเห็นความผิดปกติของลูกสาว ใต่ถามอย่างห่วงใยและอ่อนโยนว่า "เป็นอะไรไปล่ะลูกมาร์ชา ลูกรักของพ่อ ไม่สบายหรือลูก?" ถ้อยคำอ่อนโยนที่เรียกเธอว่ามาร์ชา นั้นทำให้หัวใจของเธออ่อนยวบ กล่าวตอบว่า ไม่เป็นไร และพยายามฝืนสีหน้าให้รื่นเริง แต่ผลที่ได้ก็สุดฝืน
เมื่อสนธยาย่างเข้ามา ความคิดที่ว่านี่คือค่ำคืนสุดท้ายในครอบครัวที่รักยิ่งทำให้ใจหาย รู้สึกราวกับตายไปแล้วมากกว่ายังมีชีวิตอยู่ หญิงสาวอยากอยู่ในห้องตามลำพัง ไม่ต้องการใครทั้งสิ้น
อาหารเย็นถูกนำมาแล้ว หัวใจของหญิงสาวเต้นไม่เป็นส่ำด้วยความกลัว เสียงสั่นเมื่อปฏิเสธอาหารเย็นและกล่าวลาพ่อแม่ซึ่งจูบเธอและกล่าวให้เธอนอนพักอย่างสบายและรื่นรมย์อย่างที่ทำทุกค่ำคืน ความรักความอ่อนโยนของพ่อแม่ที่มีให้เธอนั้นทำให้มาเรียแทบจะปล่อยโฮออกมา
รีบร้อนไปที่ห้องส่วนตัว โผไปนั่งบนเก้าอี้แล้วปล่อยโฮออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ หญิงรับใช้ส่วนตัวเตือนให้เธอกล้าหาญและสงบลง ทุกอย่างพร้อมแล้ว นางบอก อีกครึ่งชั่วโมงเท่านั้นมาร์ชา ลูกรักของพ่อแม่จะออกจากรังที่แสนสุข ห้องนอนที่อยู่มาตั้งแต่เป็นเด็กหญิงจนเติบใหญ่เป็นหญิงสาว กำลังจะจากไปจากชีวิตสงบเงียบ ร่ำรวยไม่มีอันตรายแผ้วพาน...ไปเผชิญโลก...
ด้านนอกหิมะกำลังตกหนัก มีเสียงลมพัดอื้ออึงกระทบตัวตึกทำให้บานเกล็ดหน้าต่างสะทือนไปทั้งคฤสาสน์ สำหรับหญิงสาวนั้น ดูเหมือนว่า ทุกอย่างที่กำลังเกิดขึ้นเป็นการเตือนถึงความโชคร้ายในอนาคต
และแล้วในบ้านก็เงียบเพราะทุกคนนอนหลับ มาร์ชาของพ่อแม่ใช้ผ้าคลุมไหล่ผืนหนา และสวมเสื้อคลุมอีกตัว ฉวยหีบเล็กในมือหนึ่งและลงไปทางบันไดด้านหลัง หญิงรับใช้ส่วนตัวตามมาพร้อมหอบสองห่อในอ้อมแขน หญิงทั้งสองลงไปที่สวน หิมะพร้อมลมพายุกำลังพัดหิมะปลิวว่อน ลมหนาวจัดปะทะใบหน้าของหญิงทั้งสองขณะที่กำลังย่องออกมาราวกับพยายามยับยั้งไม่ให้ออกไปจากบ้าน หญิงทั้งสองเดินโซเซ ใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดกว่าจะถึงปลายสวน และออกไปที่ถนนได้ บนถนนนั้นเลื่อนหิมะรออยู่แล้ว ม้าลากเลื่อนทำท่าราวกับจะแข็งตาย มันขยับตัวไปมา คนขับรถเลื่อนของหนุ่ม วลาดิมิร์ กำลังเดินไปมาด้วยความกังวลแต่ก็พยายามไม่แสดงความรีบร้อนให้เห็น เขาช่วยให้หญิงสองคนขึ้นเลื่อนหิมะ วางห่อและกล่องหีบในเลื่อนด้วย ขึ้นนั่งที่คนขับ คว้าบังเหียนและขับออกไปอย่างไม่รอช้า
เราคงต้องฝากความปลอดภัยของหญิงทั้งสองนี้ให้กับนาย "เธอเรสคา" คนขับรถเลื่อนหิมะไว้ที่นี้ก่อน เราจะพาผู้อ่านกลับไปที่นายหนุ่มคนรักที่ชื่อวลาดิมิร์
...
วลาดิมิร์ ใช้เวลาทั้งวันขับเลื่อนไปที่โน่นที่นี่ ตอนเช้าไปพบบาทหลวงของโบสถ์จาดริโนทำธุระเรื่องแต่งงานด้วยความยุ่งยากแสนเข็ญกว่าจะตกลงกันได้ และต้องหาพยานในเหล่าคนที่น่านับถือ นั่นคือชายที่มีที่ดินเป็นของตัวเองสักสามคน คนแรกที่เข้าไปหาเป็นช่างทำทองเหลืองที่ปลดเกษียนแล้ว เขามีอายุราวๆสี่สิบกว่าๆ มีนามว่าดราวิน ซึ่งรับจะเป็นพยานด้วยความยินดี เหตุเพราะหนุ่มวลาดิมิร์ ทำให้เขาระลึกถึงตอนที่เขายังหนุ่มแน่นและชอบเล่นตลกอยู่ในย่าน ฮัสสาร์ แถมชวนหนุ่มวลาดิมิร์ให้อยู่รับประทานอาหารเย็นด้วย บอกให้เขาสบายใจว่าเรื่องพยานอีกสองคนนั้นหาไม่ยากซึ่งก็เป็นจริงตามที่พูด พออาหารเย็นเสร็จ หนุ่มใหญ่นักสำรวจที่ดินนามชมิดธ์ ผู้มีหนวดโค้งเรียวและใส่รองเท้ามีเดือยที่ส้นก็ยอมรับหน้าที่เป็นพยานคนที่สอง พยานที่สามนั้นเป็นหนุ่มน้อยอายุสิบหกซึ่งเพิ่งเข้าไปเป็นทหารม้า พยานทั้งหมดต่างสัญญาจะเป็นพยานให้และบอกด้วยว่าจะช่วยหนุ่มผู้มีความรักไม่ว่าเรื่องอะไร วลาดิมิร์กอดขอบคุณคนทั้งสามและรีบกลับไปบ้านเพื่อเตรียมทุกอย่างให้พร้อม
ในฤดูหนาวนั้นยามสนธยาย่างมาเยือนอย่างรวดเร็ว เขาสั่งนายเธอเรสคาที่ไว้ใจได้ให้ไปเมืองนีนาราโดวา พร้อมด้วยเลื่อนหิมะพร้อมคำสั่งอย่างละเอียดว่าต้องทำอะไรบ้าง และเขาก็ไปนำเลื่อนขนาดใช้ม้าตัวเดียวลากมาใช้เอง รีบเดินทางไปตามลำพัง จุดหมายคือจาดริโน เพื่อไปพบมาเรีย กาวริลโลฟนา ระยะทางสั้นพอจะถึงราวๆ สองชั่วโมง ทางไปที่ จาดริโนนั้น จากที่เขาอยู่ควรจะใช้เวลาเพียงยี่สิบนาที ถนนสายนี้เขารู้จักมันดีอยู่แล้ว
แต่เมื่อขับเลื่อนหิมะออกสู่ถนน ลมพัดแรงขึ้น พัดพายุปนหิมะไปปกคลุมทุกอย่างอย่างลืมหูลืมตาไม่ขึ้น ไม่เห็นอะไรเลยเป็นเวลาอย่างน้อยหนึ่งนาที ไม่มีถนนให้เห็น มีแต่หมอกหนาสีเหลืองอ่อนเต็มไปด้วยเกล็ดสีขาวของหิมะเสมือนอยู่ในม่านหมอกที่ไม่สามารถแยกแยะได้ว่าส่วนไหนเป็นพื้นดิน ส่วนไหนเป็นท้องฟ้า เมื่อพอมองเห็นรอบตัวได้ลางๆ ก็พบว่าตัวเองหลงทางอยู่ในทุ่งกว้างและพยายามมองหาถนนอีกครั้ง ม้าของเขาก็กำลังลากเลื่อนหิมะไปอย่างงุนงง เดินเตะสะดุดหลุมและหิมะที่กองสุมสูงใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้เลื่อนสะดุดคว่ำ ชายหนุ่มพยายามจะหาทิศทาง แต่ว่าเวลาผ่านไปอย่างน้อยครึ่งชั่วโมงแล้วเขาก็ยังหาทางไปที่แนวป่าของจาดริโนไม่ได้ อีกสิบนาทีผ่านไป ก็ยังไม่เห็นแนวป่านั้น เขาขับเลื่อนผ่านลานกว้างที่เต็มไปด้วยหลุมบ่อ และพายุหิมะก็ยังกรรโชกโหมแรงเหมือนเดิม ท้องฟ้ายังเป็นสีเทามืด และเขาก็ตระหนักแล้วว่าม้าที่น่าสงสารกำลังอ่อนกำลังลง เห็นเหงื่อไหลย้อยหยดทั้งๆ ที่ตัวของม้านั้นจมหิมะกว่าครึ่งตัวเกือบตลอดเวลา
ในที่สุดเขาก็ยอมรับว่ากำลังเดินทางไปในทิศทางที่ผิด หยุดและพยายามคิด พยายามตั้งจิตทบทวนทิศทาง และแล้วเขาตัดสินใจไปทางขวา บังคับให้ม้าที่น่าสงสารเลี้ยวขวา ตัวม้านั้นแทบจะเคลื่อนตัวไม่ได้ เขาออกเดินทางต่อใช้เวลามากกว่าชั่วโมงแล้ว จาดริโน นั้นไม่ไกลเลย แต่...เขาก็ไม่ถึงเสียที ยังขับเลื่อนอยู่ในทุ่งกว้างหรือลานกว้างเหมือนเดิม ไม่สามารถออกพ้นจากทุ่งกว้างนี้ได้ ทั่วไปในสายตา มีแต่กองหิมะ และหลุมบ่อ เลื่อนล้มแล้วล้มอีก เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ชายหนุ่มเริ่มกังวล
และแล้วเขาก็เห็นอะไรอย่างหนึ่งห่างออกไป ชายหนุ่มรีบขับเลื่อนไปทางนั้น และปลอบตัวเองว่าน่าจะเป็นราวป่า
"ขอบคุณสวรรค์" ชายหนุ่มคิด "คงไม่ไกลละทีนี้" ขับเลื่อนเข้าไปที่ราวป่าด้วยความหวังว่าจะพบถนนสายที่คุ้นเคยหรือหาทางผ่านป่าไปได้ จาดริโนนั้นตั้งอยู่อีกด้านหนึ่งของราวป่า เขาพบถนนและรีบขับเลื่อนเข้าไปบนถนนที่มืดสนิทกลางป่านั้น ม้าก็ทำท่าดีใจกระปรี้กระเปร่าช่วยให้ชายหนุ่มรู้สึกโล่งใจขึ้นบ้าง
แต่เขาก็ขับไป...และขับไป ไม่ถึง จาดริโน สักที ไม่ออกจากป่าด้วย ชายหนุ่มตกใจมากเมื่อตระหนักว่ากำลังอยู่ในป่าทึบที่ไม่คุ้นเคย เขาหวดแส้ลงบนตัวม้าอย่างสิ้นหวัง ม้าสะดุ้งออกวิ่งเหยาะๆ และแล้วก็ช้าลงอีกครั้ง และอีกครึ่งชั่วโมงต่อมา ม้าลากเลื่อนน่าสงสารก็แทบจะก้าวขาไม่ออกไม่ว่าหนุ่มวลาดิมิร์ จะพยายามอย่างไรก็ตาม
โชคของเขายังดีเพราะป่าเริ่มโปร่งขึ้น มีต้นไม้น้อยลง วลาดิมิร์ ออกมาจากป่าแล้ว แต่ก็ไม่เห็นเมืองจาดริโน ขณะนั้นคงเป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว น้ำตาออกมาเต็มตา ปล่อยเลื่อนหิมะให้ไปเรื่อยๆ อย่างไม่รู้ทิศทาง พายุราลงบ้างแล้ว เมฆหมอกค่อยๆ จางลง ตรงหน้าเขา ชายหนุ่มมองเห็นทุ่งกว้างปกคลุมด้วยสีขาวของพรมหิมะ ไม่ห่างไกลไปมากนักมีบ้านสี่ห้าหลัง รีบขับเลื่อนไปที่นั้น เขากระโดดลงจากเลื่อนเข้าไปเคาะประตูกระท่อมหลังแรก ครู่หนึ่งต่อมา หน้าต่างก็เปิดออก ชายชราคนหนึ่งชะโงกหน้าออกมาถาม
"ต้องการอะไร?"
"จาดริโน ไกลจากที่นี่ไหมครับ?"
"ไม่ไกลหรอก สักสิบกิโลเมตร"
เมื่อได้รับคำตอบนี้ วลาดิมิร์ยกมือทึ้งผมตัวเองอย่างสิ้นหวัง รู้สึกราวกับกับถูกตัดสินให้โดนแขวนคอ
"เจ้าหนุ่มมาจากไหนกันนี่?" ชายชราถาม
วลาดิมิร์ ไม่มีแก่ใจจะตอบคำถามนั้น
"ท่านผู้ชรา ช่วยหาม้าพาผมไปที่จาดริโนได้ไหมครับ? กรุณาผมเถิด" เขาส่งเสียงอ้อนวอนขอความช่วยเหลือ
ชายชราผู้เป็นชาวไร่ย้อนถามชายหนุ่ม "จะเอาที่ไหนมาเล่าพ่อหนุ่ม?"
"งั้นขอผู้นำทางได้ไหมครับ? ผมจะจ่ายเท่าที่เรียกนะครับ"
"งั้นรอเดี๋ยว จะให้ลูกชายพาไป" ชายชราบอกพลางปิดหน้าต่าง
วลาดิมิร์รอไม่ถึงหนึ่งนาที แต่ก็เคาะประตูอีกครั้งอย่างร้อนใจ หน้าต่างเปิดอีกและชายชราผู้มีหนวดเคราก็โผล่หน้าออกมาอีก
"จะเอาอะไรอีกล่ะ?"
"ลูกชายล่ะครับท่านผู้ชรา?"
"เดี๋ยวก็ออกมา เขากำลังใส่รองเท้าบูธอยู่ หนาวไหมพ่อหนุ่ม? ถ้าหนาวก็เข้ามาก่อน"
"ขอบคุณครับ บอกให้ลูกชายออกมาเร็วๆ หน่อยครับ"
ประตูเปิดด้วยเสียงฝืดๆ หนุ่มน้อยคนหนึ่งเดินออกมา ในมือหนึ่งถือกระบองและไม่พูดไม่จา รีบเดินนำไปทันที ครั้งหนึ่งชี้ให้เห็นถนน และก็หยุดหาถนนท่ามกลางกองหิมะต่อไป
"เวลาเท่าไหร่รู้หรือเปล่า?" วลาดิมิร์ถาม
"จะแจ้งแล้วละ" หนุ่มชาวนาบอก
และแล้วเขาก็ได้ยินเสียงไก่ขันแว่ามาแต่ไกล เมื่อเขาทั้งสองถึงเมืองจาดริโน นั้น แสงอาทิตย์ตอนเช้าสว่างแล้ว โบสถ์ปิดเงียบเชียบเมื่อเขาไปถึง วลาดิมิร์จ่ายคนนำทาง แล้วขับเลื่อนตรงไปที่หน้าบ้านของบาทหลวง ไม่เห็นเลื่อนที่ส่งไปรับหญิงสาว โอ...เกิดอะไรขึ้นหนอ...
ขอย้อนกลับไปหาหญิงสาวที่เมืองนีนาราโดวา เพื่อจะเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นที่นั่น ...ไม่มีอะไรเลย
พ่อแม่ของหญิงสาวตื่นขึ้นมาตอนเช้าและลงไปที่ห้องโถง ฝ่ายพ่อ กาวริล กาวริลโลวิช ลงมาทั้งยังอยู่ในชุดนอนพร้อมสวมหมวกสำหรับนอนด้วย มาดาม พราสโคเวีย พีธรอววา อยู่ในเสื้อคลุมผ้านวมอบอุ่น โถใส่ชา (ซาโมวาร์) กำลังร้อนอุ่นถูกยกเข้ามา และ กาวริล ผู้เป็นพ่อก็ส่งคนใช้คนหนึ่งให้ไปถามว่าลูกสาวสุดที่รักดีขึ้นจากอาการปวดศีรษะหรือยัง คนใช้กลับมารายงานว่า หญิงสาวหลับสบายจริงๆและรู้สึกดีขึ้นแล้ว และอีกสักครู่เธอจะลงมา และอีกไม่นาน ประตูก็เปิดออกมาเรีย กาวริลโลฟนา เดินเข้ามาเอ่ยปากสวัสดีกับพ่อแม่
"ปวดหัวหายแล้วหรือหนูมาร์ชา?" กาวริลถามลูกสาว
"ดีขึ้นค่ะ ปาป้า" มาร์ชาตอบ
"คงเกิดจากควันไฟเมื่อวานนี้นั่นแหละ" มาดาม พราสโคเวีย พีธรอววา กล่าวขึ้น
"คงงั้นแหละ แม่จ๋า" มาร์ชาตอบอย่างลูกที่ดี
วันนั้นผ่านไปโดยไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น แต่ค่ำนั้น มาร์ชาป่วยหนัก หมอในเมืองถูกตามตัวมา เมื่อหมอมาถึงหญิงสาวกำลังเพ้อเพราะพิษไข้ซึ่งทำให้หญิงสาวป่วยหนักอยู่สองอาทิตย์ เธอป่วยหนักมากจนทุกคนเชื่อว่าเธออาจจะเสียชีวิต
เรื่องที่มาร์ชาหนีออกไปนั้นไม่มีใครในบ้านรู้เลย จดหมายสองฉบับที่เขียนไว้ถูกเผาทิ้ง และหญิงรับใช้ส่วนตัวก็ไม่กล้าเอ่ยถึงด้วยความกลัวเกรงการลงโทษ เหล่าบาทหลวงและชายพยานสามคนคือ ช่างทำทองเหลือง นักสำรวจที่ดินและหนุ่มอายุสิบหกก็ไม่มีใครพูดถึงเรื่องนั้น นายเธอเรสคา คนขับรถเลื่อนหิมะนั้นสงบปากคำรวมทั้งตอนที่เมา ดังนั้น "ความลับ" ก็ยังเป็นความลับที่คนครึ่งโหลเก็บไว้อย่างเงียบเชียบ
แต่ว่า มาเรีย กาวริลโลฟนา ได้เพ้อถึงเรื่องหนีเพราะพิษไข้ แต่ไม่มีใครเข้าใจและปะติดปะต่อได้ แม่ของเธอที่เฝ้าไข้อยู่ตลอดเวลาสรุปเพียงว่า หญิงสาวหลงรัก หนุ่มวลาดิมิร์ นิโคแลอิวิธช์ เท่านั้นเอง และหญิงสาวป่วยหนักเพราะความรัก นางนำเรื่องไปปรึกษากับสามี และเพื่อนบ้านที่ไว้ใจได้ และต่างก็รวมหัวกันตัดสินชะตาชีวิตของหญิงสาวด้วยความเชื่อที่ว่า หญิงสาวนั้นจะหนีโชคชะตาเรื่องต้องมีผู้ชายสักคนมาเป็นสามีได้ ความยากจนไม่ใช่อาชญากรรม และเรื่องความรักนั้นจะกำหนดให้แต่งงานเพื่อเงินไม่ได้ และ....และ...อะไรอีกหลายอย่างที่มนุษย์อัดติดแน่นกับคำนิยามของคำว่า "ความรัก" ซึ่งเป็นนิยามที่มีประโยชน์เหลือหลายเมื่อต้องการ
หญิงสาวก็ค่อยๆ หายจากป่วยไข้ วลาดิมิร์นั้นไม่เคยมาที่บ้านกาวริล กาวริลโลวิช อีกเลย คงเป็นเพราะเกรงการต้อนรับที่เย็นชาอย่างที่เคยได้รับ และพ่อแม่ของหญิงสาวก็แก้ปัญหาด้วยการส่งบัตรเชิญไปถึงชายหนุ่มเพื่อจะได้บอกข่าวดีที่ว่าพ่อแม่ของมาเรีย ไม่รังเกียจการแต่งงานของหนุ่มสาวแล้ว แต่พ่อแม่ของสาวก็ต้องตกใจเมื่อได้รับคำตอบจากหนุ่มซึ่งเขียนจดหมายตอบมาเสมือนจดหมายตอบของคนบ้า หนุ่มวลาดิมิร์ เขียนมาว่า "ขอให้ลืมเจ้าคนชั่วไร้ประโยชน์นี้เสียเถิด จะไม่มาเหยียบบ้านนี้อีกแล้ว กระผมควรตาย" และหลังจากนั้นอีกสองสามอาทิตย์ ก็มีข่าวว่า วลาดิมิร์ ได้เข้าไปเป็นทหารของกองทัพบกอีกครั้ง ปีนั้นเป็นปี ค.ศ. 1812
เรื่องที่พ่อแม่ทำนั้นไม่มีใครกล้าบอกหญิงสาวเลย เพราะเธอยังไม่หายป่วยดี ตัวมาเรียเองก็ไม่เคยเอ่ยปากเรื่องหนุ่มวลาดิมิร์เหมือนกัน และในหนังสือพิมพ์อีกหลายเดือนต่อมา มีชื่อของหนุ่มวลาดิมิร์ รวมกับทหารคนอื่นที่ได้เกียรติยศยกย่องว่ากล้าหาญและบาดเจ็บสาหัสจากสนามรบในเมืองโบโรดิโน มาเรียเห็นชื่อนั้นแล้วเป็นลมทันที ทำให้พ่อแม่ของเธอทุกข์ใจอีกเพราะความวิตกว่าจะเป็นไข้หนักอีกครั้ง แต่...พระเจ้าได้เมตตา การเป็นลมคราวนี้ไม่ทำให้หญิงสาวป่วยปางตายอีก
กาวริล ผู้พ่อ ได้เสียชีวิตในเวลาต่อมาซึ่งทำให้หญิงสาวแทบเสียจริตด้วยความเศร้าโศก ตอนนี้หญิงสาวได้เป็นผู้รับมรดกความมั่งคั่งทั้งหมดของผู้เป็นพ่อ ความร่ำรวยไม่ได้ทำให้เธอมีความสุข แต่โศกเศร้าไปพร้อมกับแม่ของเธอ และปลอบโยนผู้เป็นแม่ว่าเธอจะไม่ทิ้งแม่ของเธอไว้ตามลำพังแน่นอน ในที่สุดหญิงทั้งสองก็ออกจากเมืองนีนาราโดวา ที่ทำให้รำลึกถึงแต่เรื่องเศร้า ย้ายไปอยู่ในคฤหาสน์ที่เมืองอื่น
หนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ต่างก็พากันยกโขยงมาเยี่ยมเยียนหญิงสาวผู้ร่ำรวย แต่ มาเรีย กาวริลโลฟนา ก็ไม่มีท่าทีจะให้ใครเข้าไปเป็นคนพิเศษ บางครั้งแม่ของเธอก็เตือนให้เลือกสักคนหนึ่ง แต่ มาเรีย กาวริลโลฟนา ได้แต่ส่ายหน้าสีหน้าขรึม หนุ่มวลาดิมิร์ ผู้โชคร้ายนั้นไม่มีชีวิตอยู่แล้ว เขาตายที่มหานครมอสโคว์ ก่อนที่ทหารฝรั่งเศสจะเข้าเมือง ความทรงจำเกี่ยวกับชายหนุ่มเสมือนเป็นสิ่งลี้ลับและมีค่าที่ มาเรีย เก็บถนอมไว้อย่างมิดชิด เธอเก็บทุกสิ่งที่เคยเป็นของชายหนุ่มไว้ ตัวอย่างเช่น หนังสือที่เขาเคยอ่าน ภาพเขียนที่เขาเขียนไว้ จดหมายหลายฉบับ กลอนรักที่เขาเขียนเมื่อจิตมีให้เฉพาะหญิงสาวเท่านั้น เพื่อนบ้านทั้งหลายซึ่งรู้เรื่องความเป็นไป ต่างก็ส่ายหน้าอย่างงงงวยในความมั่นคงของหญิงสาว และต่างก็เฝ้ารออย่างอยากรู้อยากเห็นว่าชายหนุ่มคนไหนที่จะมาชนะหัวใจ "อาร์เธอมิเซีย" สาวพรหมจารีคนนี้ได้
ระหว่างนั้น สงครามได้หยุดแล้วอย่างสวยงามให้ผลดีแก่ประเทศรัซเซีย ทหารได้เดินทางกลับสู่บ้านเกิดเมืองนอนจากต่างประเทศ ฝูงชนต่างไปยืนต้อนรับ วงดนตรีเล่นเพลงแสดงชัยชนะของสงครามคือเพลง "วิฟ อองรี-คาร์ต" (อองรีที่สี่ ทรงพระเจริญ-ผู้แปล) เพลง อย่าง "ธิโรเลส วอลทซ์" เปิดซ้ำๆ ในวิทยุโจโคนด์ ทหารนั้น ส่วนใหญ่เข้าเริ่มชีวิตเป็นทหารและไปสงครามอย่างหนุ่มน้อยบริสุทธิ์ กลับมาจากสงครามแบบหนุ่มโตเต็มที่ ท่าทางองอาจและมีเหรียญกล้าหาญประดับอยู่ที่อกเสื้อนอก ทหารทั้งหลายต่างก็ทักทายกันอย่างรื่นเริงดีอกดีใจ ทั้งภาษาฝรั่งเศสและเยอรมันถูกใช้เป็นภาษาสื่อสารอย่างลื่นไหล อา...ช่างเป็นเวลาที่จะฝังอยู่ในทรงจำ เวลาของผู้ชนะ หัวใจของทุกคนเต้นแรงอย่างภาคภูมิกับคำว่า "ดินแดนของพ่อ" น้ำตาไหลอย่างดีใจ ช่างเป็นน้ำตาที่หลั่งอย่างเต็มอกเต็มใจ เวลาที่เรารวมตัวกันเพื่อพระเจ้าซาร์ของเรา...เพื่อถวายให้แก่ซาร์...ช่างเป็นเวลาที่จะอยู่ในความทรงจำ
หญิงชาวรัซเซียนนั้นเป็นผู้กล้าหาญอย่างหาตัวจับยาก ความกระตือรือร้นของหญิงเหล่านี้ทำให้แต่ละคนรู้สึกมึนเมา เสียงตะโกน "ฮูราฮ์" ก้องไปทั่ว แถมโยนหมวกสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า โอ...จะมีทหารคนไหนนะที่จะปฏิเสธได้ว่า กำลังใจที่เข้มแข็งนั้นไม่ได้มาจากหญิงชาวรัซเซียน ทำให้เขาได้รับเหรียญกล้าหาญที่ติดอยู่อย่างภาคภูมิบนหน้าอกที่เชิดตรงนั้น?
ระหว่างเวลาแสนสุขนี้ มาเรีย อาศัยอยู่กับแม่ที่เมืองเล็กและไม่มีโอกาศเห็นการฉลองการกลับมาของเหล่าทหารหาญในเมืองใหญ่ๆ แต่ตามอำเภอและตำบลต่างๆ ความตื่นเต้นก็อาจพูดได้ว่ามีมากกว่าในเมืองใหญ่อีกซ้ำไป คือท่าเป็นไปได้ เพราะความตื่นเต้นในเมืองนั้นยากที่จะทำเสมอได้ ตำบลบ้านนอกนั้นผู้คนต่างก็ชื่นชมทหารในเครื่องแบบที่กลับมาเสียมากมายจนเหล่าหนุ่มที่ไม่ได้เป็นทหารรู้สึกหวั่นใจอยู่ลึกๆ
ได้เล่ามาก่อนแล้วว่า แม้ว่า มาเรีย กาวริลโลฟนา จะชาเย็นเฉยเมยกับหนุ่มทั้งหลาย แต่ก็ยังมีหนุ่มที่ยังไม่ยอมแพ้ ซึ่งก็เพียงจ้องๆ อยู่เป็นฉากหลังเสียส่วนมาก นอกจากทหารคนหนึ่งที่บาดเจ็บในสงคราม คือพันเอก "โบร์มิน" จากเมืองฮัสสาร์ ที่มีกระดุมติดเสื้อของกองทหาร "ออร์เดอร์ ออฟ เซ็นต์ จอร์จ" และมีหน้าขาวหล่อเหลาอย่างน่าสนใจ ตามคำพูดของหญิงสาวหลายคน นายพันคนนี้ได้มาที่คฤหาสน์ของสองแม่ลูก เขามีอายุประมาณยี่สิบหกปี ได้ลาหยุดมาเยี่ยมที่ดินของเขาซึ่งติดกันกับที่ดินของสาวมาเรีย เธอทำท่าสนใจหนุ่มนายนี้ถึงกับละทิ้งความเงียบขรึมเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา เธอไม่ได้ทำแบบที่ประเจิดประเจ้อหรอก แต่ถ้าเห็นกิริยาของเธอ นักแต่งกลอนคงเขียนว่า
"ชายตาหวาน ปานจะหยด ให้หนุ่มเจ้า ราวเชิญเว้า วอนให้ เคล้าเคลียหรือ?"
หนุ่มโบร์มินคนนี้ ต้องยอมรับว่าเป็นชายหนุ่มมีเสน่ห์ มีกิริยาที่ทำให้หญิงหลายคนชายตาให้ มีความสุภาพแต่เป็นมิตร ไม่เสแสร้ง แต่ไม่เย่อหยิ่ง ท่าทีที่เขามีต่อมาเรีย นั้นเป็นไปอย่างธรรมชาติและจริงใจ ส่งสายตาติดตามทุกกิริยาของเธออย่างชื่นชม มีท่าทางของหนุ่มที่ถ่อมตัว แม้จะมีเสียงลือเล่ากันว่า เขาชอบเล่นการพนันและเสียแต่ละครั้งมากๆ ด้วย แต่มาเรีย ก็ไม่ทีท่าสนใจกับเสียงนินทานั้น ได้แต่จะแก้ตัว (ตามแบบหญิงสาวหลายๆ คน) ให้ว่า เป็นการแสดงถึงนิสัยกล้าหาญ และกล้าเสี่ยงของชายหนุ่ม
แต่สิ่งที่ทำให้มาเรีย ตื่นตัวกับชายหนุ่มคนนี้นั้น ไม่ใช่ท่าทางนุ่มนวล ไม่ใช่บทสนทนาที่น่าสนใจ ไม่ใช่เพราะแขนของเขาที่ยังห้อยด้วยผ้าจากบ่า แต่เป็นเพราะความเงียบขรึมซึ่งทำให้มาเรีย ต้องเดาและเพ้อฝัน คงต้องสารภาพว่าหนุ่มนี้ทำให้ชีวิตเธอมีชีวาที่ได้ขาดไป และตัวหนุ่มเองก็คงเห็นแล้วว่า หญิงสาวได้ปฏิบัติต่อเขาต่างจากหนุ่มอื่นๆ แต่ทำไมหนุ่มโบร์มินจึงยังไม่คุกเข่าสารภาพรักอีกนะ? อะไรทำให้เขารีรออยู่? อายงั้นหรือ? ความรักที่แท้จริงน่าจะแยกกันออกจากผู้ที่เพียงทำเป็นสนใจใช่ไหม? แต่มารยาทและการกระทำของเขาก็ทำให้มาเรียอยากรู้มากขึ้น อยากค้นหา และเอาชนะ เมื่อคิดทบทวนหลายรอบ มาเรีย ตัดสินว่าความอายนั่นเองที่ทำให้เขายังไม่รุก และจะพยายามให้เขารู้ว่าเธออยากให้เขาพูดความรักออกมาเมื่อถึงเวลา มาเรียรออย่างกระวนกระวาย อยากได้รับคำสารภาพรักจากหนุ่มเสียที แต่ท่านผู้อ่านคงทราบว่า "ความลับ" นั้น ไม่ว่าจะเป็นความลับแบบไหน ทำให้มนุษย์มีความหนักใจ และการกระทำที่ค่อยๆ ขยับของชายหนุ่มดูเหมือนจะเป็นผลดี ดวงตาสีดำของหนุ่มโบร์มินได้แต่เฝ้ามองหญิงสาวอย่างปรารถนา เพื่อนบ้านต่างก็ตั้งหน้ารอ และพูดถึงการแต่งงานราวกับได้มีการประกาศออกมาแล้ว และมาดามพราสโคเวีย พีธรอววา ผู้เป็นแม่ก็ดีใจว่าลูกสาวได้พบชายหนุ่มที่เหมาะสมเสียที
วันหนึ่ง หญิงผู้เป็นแม่กำลังนั่งอยู่ในห้องรับแขก ถอดไพ่เล่นอยู่ตามลำพัง เมื่อโบร์มินเข้ามาเยี่ยม และถามถึง มาเรีย
"มาเรียอยู่ในสวนจ้ะ" นางบอก "ไปหาเธอสิจ้ะ ฉันจะรอที่นี่แหละ"
หนุ่มโบร์มินลงไปที่สวน เมื่อเขาลับตาไป นางผู้เป็นแม่ก็แตะที่อกทำสัญญาณไม้กางเขน ภาวนาในใจว่า "เจ้าประคุณเอ๋ย...พระเจ้าจงเมตตาด้วยเถิด จงโปรดให้เขาสองคนพูดกันให้รู้เรื่องเสียที"
โบร์มินตรงไปหามาเรีย ซึ่งนั่งอยู่ใต้ต้นวิลโลว์ใกล้สระน้ำ กำลังอ่านหนังสือ เธอใส่กระโปรงติดกันสีขาวราวกับรูปหญิงสาวในหนังสือนิยายรัก ลุกขึ้นต้อนรับเขาและหลังจากพูดทักทายกันเล็กน้อย มาเรีย กาวริลโลฟนา ก็เงียบอย่างจงใจ รอให้ชายหนุ่มคุยเรื่องที่อยากคุย ความเงียบทำให้หนุ่มสาวรู้สึกเขินบ้างและควรพอที่จะทำให้หนุ่มเอ่ยปากบอกสิ่งที่หญิงสาวเฝ้ารอคอย
และแล้วมันก็เกิดขึ้นเมื่อ โบร์มิน ซึ่งรู้ตัวว่ากำลังตกอยู่ในสถานการณ์อึดอัดคับขัน เอ่ยขึ้นว่า หาโอกาสมานานแล้วที่จะบอกเรื่องหัวใจ มาเรีย กาวริลโลฟนาปิดหนังสือที่อยู่ในมือ สายตามองต่ำด้วยท่าทีเขินอาย
"ผมรักคุณ" โบร์มินเอ่ยปาก "รักเหลือเกิน..."
มาเรีย กาวริลโลฟนา หน้าแดงก่ำก้มหน้างุด "ผมได้ทำศฺ๋.ที่ไม่ควรทำ คืฮทำให้ตัวเองชินกับภาพแสนน่ารักอย่างคุณทุกวัน...(มาเรีย จำถ้อยคำนี้ได้จากจดหมายของหนังสือชื่อเซนต์ พรูส์) แต่ตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว เพราะหลงรักคุณอย่างห้ามตัวเองไม่ได้ ความทรงจำนี้ จะเป็นความทรงจำที่แสนงามไม่มีอะไรมาเทียมเท่า และคงจะทำให้ชีวิตของผมมีสุขปนทุกข์ แต่ผมจะต้องบอกความลับ...จะเป็นความลับที่เป็นสิ่งกีดขวางทางของเรา และจะทำให้เราต้องแยกกัน"
"แต่อุปสรรคก็มีมาตลอดนะคะ" มาเรีย ขัดขึ้น "ตัวฉันก็เป็นภรรยาคุณก่อนนี้ไม่ได้"
"ผมทราบครับ" ชาวหนุ่มตอบเสียงอ่อน "ผมทราบว่าคุณเคยมีคนรัก แต่ก็มีความตายเกิดขึ้นเมื่อสามปีที่แล้ว...เอ้อ...ที่รักครับ มาเรีย ให้ผมพูดเถิด ที่ผมเชื่อว่าคุณเมตตาผมอย่างจริงใจนั้น ทำให้..."
"อย่าพูดเรื่องนั้น โธ่...คุณทำให้ฉันเศร้า"
"ทราบครับ อยากได้คุณมาเป็นของผมเหลือเกิน แต่ผม...ช่างโชคร้ายเสียนี่กระไร เอ้อ...ผมแต่งงานแล้วครับ" หลุดปากออกมาด้วยเสียงแสนเศร้า
มาเรีย กาวริลโลฟนา จ้องหน้าเขาอย่างไม่เชื่อหู ดวงตาเบิกโพลง
"ผมแต่งงานแล้วจริงๆ ครับ" โบร์มินบอก "แต่งมาสี่ปีแล้ว แต่ไม่รู้ว่าใครเป็นภรรยาหรือว่าเธออยู่ที่ไหน จนปัญญาว่าจะตามหาเธอพบได้อย่างไร"
"ว่าไงนะคะ" มาเรีย กาวริลโลฟนา อุทานเสียงดัง "โอ๋ย...แปลกมาก เล่าต่อเถิดค่ะ ขอร้องละ แล้วฉันจะบอกความพ้องกันทีหลัง"
"เมื่อต้นปี ค.ศ. 1812" โบร์มินเริ่มเล่า "ผมกำลังรีบจะไปเมืองวิลนาเพื่อรายงานตัวที่กองบัญชาทหารหน่วยที่ประจำอยู่ เมื่อไปถึงสถานีที่พักม้านั้นดึกมากแล้ว ผมสั่งเปลี่ยนม้าเป็นตัวใหม่ สั่งให้รีบด้วย และตอนนั้นเอง พายุหิมะก็เริ่มขึ้นอย่างรวดเร็วแบบไม่มีรู้เนื้อรู้ตัว นายสถานีและคนขับต่างก็แนะนำให้ผมรอจนพายุเบาลงเสียก่อน ผมก็รอนะครับ แต่ก็ห่วงเรื่องที่ต้องทำด้วย อยู่ไม่สุขราวกับว่ามีมือที่มองไม่เห็นกำลังผลักไสให้รีบออกจากที่นั้น และเมื่อพายุราลงนิดหนึ่ง ทนไม่ได้ต่อไปต้องสั่งม้าอีกครั้ง ออกมาท่ามกลางหิมะและลมแรง คนขับนั้นไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่แต่ก็ต้องทำ เขาตั้งใจจะขับเลียบไปบนถนนที่ขนานไปกับแม่น้ำซึ่งเป็นการย่นระยะทางหลายกิโลเมตร แต่มาได้สักสี่กิโลเมตรก็เห็นว่าทั้งถนนและฝั่งแม่น้ำปกคลุมด้วยหิมะสูงท่วมศีรษะ มองไม่เห็นถนนจนขับเลยทางเลี้ยว และในที่สุดก็อยู่ในสถานที่ที่ไม่รู้จัก พายุก็แรงมากขึ้นเห็นเพียงแสงไฟในที่ไกลๆ จึงตัดสินใจขับไปทางนั้น จนมาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มองเห็นโบสถ์ที่ทำด้วยไม้ มีแสงไฟเปิดอยู่ราวกับจะรอใครอยู่ บริเวณที่ลานด้านนอกของโบสถ์มีเลื่อนหิมะจอดอยู่หลายคัน และมีคนเข้าๆ ออกๆ ทางประตูโบสถ์สู่ด้านระเบียงของโบสถ์"
"มาทางนี้ครับ มาทางนี้" เสียงตะโกนมาที่เรา
"ผมสั่งให้คนขับไปทางที่คนเรียกอยู่"
"โห...รอแทบตาย ไปอยู่ไหนมานี่?" ชายคนหนึ่งพูดกับผม "เจ้าสาวรอจนเป็นลมไปแล้ว บาทหลวงก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เกือบจะเลิกกลับบ้านไปทุกคนแล้วนะนี่ ลงมาๆ...รีบๆ เข้าสิพ่อหนุ่ม"
"ผมลงจากเลื่อนอย่างงุนงง ไม่พูดอะไรสักคำและเข้าไปในโบสถ์ซึ่งมีแสงสว่างเลือนลางมากเพราะเป็นแสงเทียนของเทียนขนาดเล็กจุดอยู่แค่สามสี่แท่ง มีหญิงสาวคนหนึ่งนั่งห่อตัวอยู่ในมุมมืดของโบสถ์ สาวอีกคนหนึ่งกำลังนวดขมับอยู่
"โอ...ขอบคุณพระเจ้า" หญิงสาวคนที่สองกล่าวกับผม "มาถึงเสียที เกือบจะฆ่านายสาวของฉันเสียแล้ว" และบาทหลวงอายุมากก็หันมาทางผมถามว่า "พร้อมหรือยังพ่อหนุ่ม? เริ่มเลยนะ"
"ครับ เริ่มเลย" ผมตอบอย่างงุนงง
"หญิงสาวคนนั้นถูกพยุงให้ลุกขึ้น เท่าที่เห็น เธอหน้าตาไม่เลวเลย...ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น อาจจะเห็นใจและสงสารเธอที่ทำให้ผมเข้าไปยืนคู่กับเธอหน้าบาทหลวง ซึ่งรีบร้อนทำพิธี พยานสามคนและหญิงสาวที่พูดกับผมคนนั้นซึ่งเป็นหญิงผู้ช่วยของเธอต่างก็ประคับประคอง ตัวเจ้าสาวไม่มองหน้าผมเลย และแล้วเราก็ "แต่งงาน" กัน"
"จุมพิตเจ้าสาวได้แล้ว" พยานคนหนึ่งบอกผม
"ภรรยา" ของผมหันมามองหน้าผมเต็มตา เมื่อผมกำลังจะจุมพิตเธอ อุทานว่า "อุ๊ย...ตายจริง คุณไม่ใช่เขา ว้าย...ไม่ใช่เขา" และเป็นลมล้มฮวบไปต่อหน้าต่อตาทันที
พยานหันมามองผมอย่างตกใจ ผมหันหลังกลับอย่างรีบร้อนกระโดดขึ้นเลื่อนหิมะ บอกคนขับ "ไปเร็ว"
"ตายจริง พระเจ้าช่วย" มาเรีย กาวริลโลฟนา ร้องขึ้น "คุณไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกับ "ภรรยา" เลยหรือคะ?"
"ไม่เลยครับ" โบร์มินตอบเสียงขมขื่นสิ้นหวัง "ไม่รู้ชื่อหมู่บ้านที่แต่งงานด้วย และสถานีเปลี่ยนม้านั้นก็ไม่รู้ชื่อเช่นกัน ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เห็นว่าไม่สำคัญ คิดว่าเพื่อนทหารบางคนคงแกล้งผม พอออกจากโบสถ์นั้นได้ผมก็หลับไปด้วยความอ่อนเพลีย กว่าจะตื่นก็รุ่งเช้าเมื่อถึงกรมทหารแล้วซึ่งเป็นสถานีที่สามหลังจากออกจากโบสถ์ ผมมีคนใช้มาด้วยตอนนั้น เขาพอจะรู้เรื่องบ้างแต่ก็ตายไประหว่างสงคราม ดังนั้นผมไม่มีหนทางจะไปสืบเสาะที่ไหนเรื่องที่เกิดขึ้นคืนนั้น ไม่ทราบจะหาหญิงสาวที่ผมทำตลกไม่น่าอภัยกับเธอที่โบสถ์นั้นได้ที่ไหน เสียใจเหลือเกิน...และตอนนี้ผมก็ต้องรับกรรมที่ทำไว้กับเธอ"
"โอ...พระเจ้า...พระเจ้าผู้เมตตา" มาเรีย กาวริลโลฟนา ร้องออกมาเสียงดัง คว้ามือของเขามากุมไว้ "เป็นคุณนั่นเองคืนนั้น และคุณจำฉันไม่ได้เลยหรือคะ?"
หนุ่มโบร์มินหน้าซีดเผือด คุกเข่าลงแทบเท้าของมาเรีย กาวริลโลฟนาทันที
จบ
เมื่อวันที่ : 18 ธ.ค. 2553, 07.21 น.
โห หักมุมเอวเคล็ดเลยครับคุณพี่
เอาไปเลยครับห้าดอกอวบงามกุหลาบดอยตุง