![]() |
![]() |
รันนรา![]() |
คนกลัวผีมักจะชอบฟังเรื่องผี อ่านเรื่องผี และดูเรื่องผี
แต่ผมเป็นกลัวผีที่ไม่ชอบอ่าน ไม่ชอบฟัง และไม่ชอบดูเรื่องผี
ผมเลยกลายเป็นคนที่ชอบเจอผี..
ซะงั้น..
ผีที่ผมเจอบ่อย ๆ ผมจะไม่ขอเล่า
เพราะคิดว่าใคร ๆ ก็คงเคยได้ยิน เคยได้อ่าน เคยได้ดูมาบ้างแล้ว
อย่างผีในลิฟท์ ผีในรถ หรือผีในต้นไม้
ไม่ก็ผีที่เห็นด้วยหางตาแวบ ๆ ผีที่เห็นด้วยหัวตากันจะ ๆ หรือผีที่แหวกอกควักไส้ให้ดูกันเห็น ๆ นั้น..ยิ่งไม่ขอเล่า..เพราะเล่าไปเพื่อน ๆ ก็คงรู้ว่าโกหก
แต่ผีที่ผมจะเล่า เป็นผีที่เพื่อน ๆ อ่านแล้วก็น่าจะเชื่อ หรืออย่างน้อยก็เกือบเชื่อได้..
เพราะผีตัวนี้..เป็นผีที่ไม่น่าจะเป็นผี..
ผมเองก็ยังงงอยู่เหมือนกัน..ว่านั่นมันผีหรือว่าคน..
มาอ่านเรื่องของผมกันเลยดีกว่าครับ
++++
เรื่องเริ่มต้นขึ้นที่..คืนวันหนึ่ง..ผมต้องไปโรงพยาบาลตอนเที่ยงคืน..
เปล่าครับ..ผมไม่ได้ป่วยเป็นอะไร แต่คุณแม่ของผมป่วย ท่านเป็นโรคหัวใจ..อยู่ ๆ ท่านก็แน่นหน้าอกขึ้นมา..
คุณพ่อและน้องสาวของผม..พาท่านไปรพ.โดยแท๊กซี่ ส่วนผม..ควบมอ'ไซค์คู่ชีพ..บิดแป๊ดตามไปติด ๆ
เมื่อถึงโรงพยาบาล คุณแม่ถูกพ่อเข้าห้องฉุกเฉิน ปล่อยให้ผม คุณพ่อ และน้องสาว..นั่งแกร่วรออยู่หน้าห้อง
พักใหญ่..ใหญ่เชียวแหละ กว่าหมอจะออกมา..บอกว่า..คุณแม่ปลอดภัยแล้ว..
ผมที่นั่งหน้าเหี่ยว..น้องสาวที่นั่งจับมือคุณพ่อทำตาแดง ๆ ก็เลยยิ้มออกมาได้..
พอผมโล่งอก..ความง่วงก็เข้ามาแทนเต็มอกและเต็มลูกกะตา
คุณพ่อก็เลยให้พาน้องกลับบ้านไปก่อน ส่วนท่านจะจัดการเรื่องห้องพักของคุณแม่ แล้วอาจจะอยู่ค้างที่รพ.ด้วยเลย
ผมเห็นด้วยเป็นอันขาด..พยักหน้าเรียกน้องสาวให้เดินตาม..โดยจ้ำพรวด ๆ ไปยังที่จอดรถ..
มีน้องสาวเดินตามต้อย ๆ ทั้งที่ผมไม่ได้ชื่อต้อยซักหน่อย
ที่ ๆ ผมจอดรถ เป็นด้านหลังของอาคารฉุกเฉิน..ยามหน้าประตูไล่ให้ผมมาจอดตรงนั้น
เราต้องเดินอ้อมอาคารไป เป็นทางเดินเล็ก ๆ ที่ด้านซ้ายเป็นสวนหย่อม..สวนหย่อมที่ปลูกหญ้าเป็นพืชหลัก ต้นเข็มเป็นพืชรอง โดยมีต้นโมกเป็นพืชประกอบ
อ้อ..ยังมีต้นไม้ใหญ่ยืนครึ้มยื่นใบหงอยอยู่อีกต้นหนึ่ง..กิ่งก้านใบของมันทำให้บังแสงส่วนใหญ่เอาไว้ สร้างเงามืดให้ตึ๊ดตื๋อได้ดีแท้
ผมร้อน ๆ หนาว ๆ รีบจ้ำพรวด ๆ เพื่อให้ถึงรถโดยเร็วที่สุด ไม่สนใจเสียงตะโกนของเจ้าน้องขาสั้น..ที่ร้องบอกว่ารอด้วย ๆ อยู่ได้..
ลับมุมตึกไปได้ระยะหนึ่ง..กลิ่นฉุนของแอลกอฮอล์ก็โชยเข้าจมูก
มันเป็นกลิ่นที่รุนแรงกว่าในห้องฉุกเฉินเสียด้วยซ้ำ หัวใจของผมเต้นระรัวยิก ๆ
ด้านขวามือมันเป็นส่วนที่เว้าเข้าไป..มีทางเดินที่ทำด้วยตัวหนอน..แยกจากทางเดินที่ผมกำลังเดินอยู่ ไปสู่สถานที่อีกแห่งหนึ่ง..
มันเป็นสถานที่อะไร..ผมไม่สนใจ..รู้แต่ว่ามันมืด ๆ น่ากลัวเป็นที่ยิ่ง
แต่ผมก็ห้ามตัวเองไม่ทัน เงยสายตาไปแว่บเดียวแท้ ๆ เป็นแว่บเดียวที่ทำให้ผมแทบเข่าอ่อน..
ป้ายตัวเบ้อเริ่มฉายวูบเข้าสายตา "จุดรับศพ"
มันติดอยู่เหนือประตูบานหนึ่ง..ที่เปิดอ้า..
จังหวะเดียวกัน..มือเย็น ๆ ของน้องสาวก็มาคว้าหมับเข้าให้ที่แขน..เธอจับแบบไม่ส่งเสียง
หัวใจที่แกว่งแทบหลุดอยู่แล้ว..ก็ตกวูบลงไปอยู่ที่ตาตุ่มในวินาทีนั้น
ขาก้าวไม่ออก..ชะงักกึก..ขนลุกซู่ไล่จากปลายเท้าไต่มาตามสันหลังยันเส้นผมที่ศีรษะ
ยิ่งเสียงกระซิบของน้อง..
"พี่รัน..ดูนั่น..มีศพอยู่ตรงนั้นด้วย.."
ผมกลั้นฉี่สุดฤทธิ์
ถึงกระนั้น..ก็ยังมีบางส่วนเล็ดลอดออกมาจนได้
งึ่ย...
++++
ขณะขับรถกลับบ้าน..ผมกับน้องแทบจะฆ่ากันตาย
หล่อนหัวเราะเยาะผมมาตลอดทาง..หาว่าผมขี้ขลาดตาขาว
หล่อนเล่าเป็นตุเป็นตะ ศพนั้นคงจะเกิดจากพนักงานมาจอดทิ้งไว้ชั่วคราว..เพื่อจะนำไปเก็บในห้องเก็บศพ
หล่อนเห็นแม้กระทั่ง..มือขาว ๆ ที่ยื่นพ้นออกมาจากผ้าคลุม..หล่อนยืนยันหน้าตาเฉยว่าต้องเป็นมือผู้หญิงแน่ ๆ
"ถ้ามันลุกขึ้นมากวักมือเรียกเธอจะว่าไง?" ผมถาม
"ก็ดีน่ะสิ..จะได้ชวนกลับบ้านมาด้วยกันเลย.."
"ยัยบ้า!"
คืนนั้นทั้งคืน..ผมนอนไม่หลับ
ยัยน้อง (หล่อนชื่อน้องครับ) หลับอุตุในห้องของหล่อนไปนานแล้ว
ผมยังนอนกระสับกระส่าย เปิดไฟสว่างทั้งห้อง..รวมทั้งทีวีที่เปิดเสียงดัง ๆ เอาไว้ให้เป็นเพื่อน
ภาพที่เกิดขึ้นในสมองหลังจากที่ได้ยินยัยน้องเล่า ยังตามมาราวีอยู่ไม่วาย ศพที่ตายเพราะอะไรก็ไม่รู้..ยื่นมือออกมาเพื่อจะโบกมือทักทาย..
บรื๊อส์สสสส
ความรู้สึกหวาด ๆ ยังติดอยู่ตรงไขสันหลังอย่างสลัดไม่ออก
ผมเป็นคนกลัวผีตั้งแต่เด็ก..โตจนจะเข้ามหา'ลัยอยู่แล้ว..ก็ยังไม่เลิกกลัว
ยิ่งวันนี้พ่อแม่ไม่อยู่บ้าน..บ้านทั้งบ้านก็เลยเงียบผิดปกติ..บรรยากาศวังเวงชะมัดยาด
ห้องของผมอยู่บนชั้นสอง..ติดกับต้นมะม่วง..มันถูกลมพัดไกวใบอยู่หยอย ๆ
ทั้งที่เสียงโทรทัศน์ดัง..ผมยังได้ยินเสียงราวกับมีคนกระซิบกันอยู่นอกหน้าต่าง..
ผมไม่กล้าแม้แต่จะลุกจากที่นอนไปปิดมัน..
ยังมีเสียงก่อกแก่กดังที่นั่นที..ที่โน่นที..
นอนคลุมโปงจนเหงื่อเต็มไปทั้งตัว..สวดมนต์กลับไปกลับมาอยู่ร้อยกว่ารอบ..
กว่าคืนอันน่าหวาดหวั่นนั้นจะผ่านพ้นไปได้
เฮ้อ..
++++
เช้าขึ้นมา คุณพ่อโทรฯ มาบอกว่าคุณแม่อาการทรุดลง..ต้องนำเข้าห้องไอซียู
ผมกับยัยน้องต้องหยุดเรียนในวันนั้น..พากันไปที่โรงพยาบาลเพื่อดูอาการคุณแม่
ท่านนอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง มีสายระโยงระยางเต็มตัว..
ยัยน้องทำตาแดง..ผมยืนนิ่งอยู่ข้างเตียงอย่างทำอะไรไม่ถูก
หมอบอกว่าโรคหัวใจของท่านกำเริบ..กล้ามเนื้อด้านหนึ่งของหัวใจหยุดทำงานไปเสียเฉย ๆ
กล้ามเนื้อส่วนที่เหลือ..แม้มันจะพยายามทำงานอย่างเต็มที่..แต่มันก็เกินกำลัง..
แม่อาจจะไปจากพวกเราในวินาทีใดวินาทีหนึ่งข้างหน้านี้ก็ได้..นอกเสียจาก..การให้ยาเพื่อกระตุ้นกล้ามเนื้อหัวใจข้างที่หยุดทำงานนั้นจะได้ผล..
หมอบอกให้พวกเราทำใจเอาไว้
ยัยน้องร้องไห้..ผมยังยืนนิ่ง..
ไม่คิดเลยว่าอาการของคุณแม่จะหนักถึงขนาดนี้..
++++
ในสมองที่มึนงง..กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่จิตใจของผมยังรับไม่ได้..ทำให้ผมพาตัวเองมานั่งอยู่ตรงม้านั่งริมสวนหย่อมแห่งนั้น
แม่ของผมเคยเป็นลมมาครั้งหนึ่ง..เมื่อพาหาหมอ ๆ ก็บอกแค่ว่าหัวใจไม่ค่อยแข็งแรง
ท่านเป็นคนร่างผอม..ผอมมาตั้งแต่ผมเกิด..ผมจึงไม่เคยคิดว่าท่านจะป่วยเป็นโรคที่พร้อมจะตายได้ในทันทีอย่างนี้
ผมทำใจยอมรับความสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้นนี้ไม่ได้...ผมจะทำอย่างไรดี..
ยกสองมือปิดหน้า..น้ำตาที่ไม่คิดว่ามันจะไหลออกมาได้..ก็ไหลออกมาดื้อ ๆ
แม่ต้องไม่ตาย..แม่ต้องไม่ตาย
ผมพร้อมจะเอาหัวใจของผม..ไปแลกกับของแม่..เพียงแต่ขอให้แม่รอดเท่านั้น..
หรือจะให้ผมทำอะไรก็ได้..ขอให้แม่ของผมไม่ตายเท่านั้น!!
++++
ผมจะร้องไห้อยู่นานเท่าใดไม่รู้ได้..ต้องรีบเช็ดน้ำตาโดยเร็วเพราะมีนิ้วมาสะกิดที่หัวไหล่
ตอนแรกผมคิดว่าเป็นยัยน้อง..แต่ไม่ใช่
เป็นใครก็ไม่รู้..หน้าตาบ้องแบ๊ว ผมสั้นแค่คอ..คอขาว ๆ
บ่าเล็ก ๆ
ตัวเล็ก ๆ ในชุดคนไข้..
ชุดคนไข้สีฟ้าอ่อน..ผ้าบางเบาตัวโคร่ง..
กับรอยยิ้ม..ยิ้มที่ทำให้โลกสว่างขึ้นมาได้
เธอสวยเหลือเกิน..
เธอยังยิ้มอยู่..เอียงคอเล็กน้อย..
ผมลืมปาดน้ำตา..มองเธอเอามือไขว้หลัง..ลมอ่อน ๆ โชยพัดผมที่ปรกหน้าผากของเธอให้ไหวระริก
"เสียใจเรื่องอะไรเหรอ?"
เสียงของเธอยังเด็ก..เธอน่าจะอยู่ในวัยเดียวกับน้องสาวของผม
แต่ทำไมผมถึงเห็นเธอเป็นสาวสะพรั่งไปได้ขนาดนี้ก็ไม่รู้
ผมไม่ตอบ..มันกระทันหันเกินไปที่จะคุยกับเธอ
ผมไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร
"เป็นผู้ชายแท้ ๆ ขี้แยไปได้.." เธอใช้เสียงเย้ามา..ขยับตัวเพื่อทรุดลงนั่งข้าง ๆ ผม
"ฉันมาอยู่ที่นี่ตั้งหลายวันแล้ว..ไม่มีใครมาเยี่ยมซักคน..ยังไม่เห็นต้องร้องไห้ยังงี้เลย.."
กลิ่นหอมแปลก ๆ โชยมาจากร่างกายของเธอ
ผมรีบเช็ดน้ำตา..อายเค้า
"แม่ผมไม่สบายมาก.."
ผมบอกได้แค่นั้น..ความกลัดกลุ้มที่เพิ่งหายไปเมื่อตะกี้กลับมาอีกครั้ง
เธอจะเป็นใครก็ตาม..เธอกำลังถูกผมใช้เป็นที่ระบายความกลัดกลุ้มเข้าให้แล้ว..
"เหรอคะ?.." เธอถามเสียงสูง ดวงตากลมโตนั้นฉายแววเห็นใจ
"หมอคงกำลังพยายามรักษาอยู่ละมั๊ง..อย่าเพิ่งกลุ้มใจไปเลย"
ผมส่ายหน้า..คำพูดของหมอที่ให้ผมทำใจยังก้องอยู่ในหู
"หมอบอกให้ทำใจ..ท่านจะไปได้ตลอดเวลา.."
เธอเงียบ..นิ่งฟังผมอย่างสงบ
ผมเล่าอาการของคุณแม่ให้เธอฟัง
"ถ้าเป็นฉัน..ฉันก็คงจะทำใจไม่ได้เหมือนกัน.."
+++
เมื่อวันที่ : 01 ก.ย. 2553, 23.02 น.
ผู้อ่านที่รัก,
นิตยสารรายสะดวก และผู้เขียนยินดีรับฟังความคิดเห็นต่อข้อเขียนชิ้นนี้
เชิญคลิกแสดงความเห็นได้โดยอิสระ ขอขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ในการมีส่วนร่วมของท่านในครั้งนี้...