![]() |
![]() |
ลุงเปี๊ยก![]() |

โปรดยอมรับความจริงว่า ไม่มีใครสนใจจะอ่านสิ่งที่เราเขียนหรอก เว้นแต่ว่าเขาจะรู้ว่าการได้อ่านดีกว่าไม่ได้อ่าน และว่าไปแล้วไม่เฉพาะกับสิ่งที่เราเขียนเท่านั้น อะไรทั้งหมดเลย ก็ไม่มีใครสนใจใครด้วย มองดูแย่ใช่ไหม.. เปล่าเลย นี่เป็นเรื่องปกติ ก็ดูตัวเราเองสิ บอกออกมาเถิดว่า เราเองสนใจจะอ่านสิ่งที่คนอื่นเขียนสักแค่ไหนเชียว และว่าไปแล้วอะไรทั้งหมดเลยด้วย บอกออกมาเถิดว่า เราเองสนใจใครอื่นแค่ไหนกัน
ยอมรับความจริงเถิด นี่เป็นเรื่องปกติ
เพราะทุกคนล้วนกำลังยุ่งอยู่กับเรื่องของตน ภาระหน้าที่ การดำรงอยู่ให้ได้ในสังคม ความรับผิดชอบ สองสามอย่างนี้ก็ทำให้พวกเขาหมดแรงแล้ว เราไม่ควรเรียกร้องอะไรในจังหวะเวลาที่ไม่เหมาะสม และไม่ควรรอเวลาที่เหมาะสมด้วย เพราะมันจะไม่มีวันมาถึง
แล้วจะทำไงดี เลิกเขียน?
จะเลิกก็ได้ หรือจะเขียนต่อก็ได้ ว่าแต่.. เรารู้หรือเปล่าว่าทุกวันนี้ ที่อยากจะเขียน และกำลังเขียนอยู่นี้ เขียนไปทำไม?
ฉันเขียนเพราะต้องการอาชีพเลี้ยงตัว เขียนเพราะเชื่อว่าสิ่งที่ทำได้ดีที่สุดคือการเขียนหนังสือ บางทีฉันอาจจะเป็นไอ้พวกขี้แพ้ก็ได้ ฉันอาจจะไม่กล้าเผชิญกับสังคมโดยตรง ฉันอาจจะรู้ตัวว่าโง่กว่าคนอื่น ไม่สามารถพูดจาตอบโต้ทันควันได้จึงต้องใช้วิธีเขียนซึ่งมีเวลาให้ใคร่ครวญก่อน แต่มันจะมีประโยชน์อะไร การเขียนมันไม่สด ไม่ฉับพลันทันการณ์ เทียบแล้วในบางแง่การเขียนสู้การพูดไม่ได้เลย
มองโลกในแง่ร้ายอีกแล้ว ปัญหาของฉันคืออะไรกันแน่ นายไม่โง่สักหน่อย เอาเถอะแม้จะไม่ถึงกับปราดเปรื่อง แต่ไม่มีใครจะพูดว่านายโง่ได้เต็มปากเต็มคำหรอก ปัญหาแท้จริงของนายคือการหลบเลี่ยง การไม่ยอมเผชิญหน้ากับความท้าทาย การไม่อนุญาตให้ตัวเองประสบความสำเร็จ นายมันคนใจอ่อน ให้อภัยตัวเองอยู่เรื่อย ดูอย่างการสูบบุหรี่ก็ได้ อยากจะเลิกสูบก็ไม่เห็นจะเลิกซักที บังคับใจตัวเองไม่ได้แบบนี้ เป็นอุปสรรคใหญ่หลวงเลย มันจะทำให้นายจมปลัก เหมือนควายแก่ที่ลงได้นอนลงในโคลนตมเย็น ๆ ก็ไม่มีกะใจจะลุกไปไหนอีก
เดินไปซื้อบุหรี่จากป้านางมาคาบอีกแล้ว ฉันควรจะเขียนเรื่อง "ไอ้ขี้แพ้" ดีกว่า เพราะมีประสบการณ์ตรงมากมายตลอดชั่่วชีวิตขี้แพ้ของฉัน อย่าโมโห มันเรื่องจริง มีสิ่งใดที่เป็นความสำเร็จมั่งละ ง่ายสุดคือการเลิกสูบบุหรี่ก็แพ้แล้ว เรียนหนังสือก็แพ้จบแค่ ม.ศ.๓ เจ็บปวดไหม ม.ศ.๓ มันน้อยมากจริงไหม แล้วสาเหตุที่ทำให้เรียนน้อยก็เพราะความดื้อของตน ไม่มีใครห้ามไม่ให้เรียนสักหน่อย จะโทษพ่อ? น้อย ๆ หน่อย พ่อจะไปรู้อะไร พ่อมาจากเมืองจีนระบบการศึกษาไทยเป็นยังไง พ่อไม่รู้หรอก วัน ๆ พ่อเอาแต่ทำงานงก ๆ เงิ่น ๆ หาเงินมาจุนเจือครอบครัว เอ็งเป็นลูกคนเล็ก แทบว่าจะสบายกว่าพี่น้องคนอื่นทั้งหมด โดนว่าหน่อยเดียวทำน้อยใจเลิกเรียน ก็สมควรแล้วที่จะต้องเป็นไอ้ขี้แพ้
ปุ้ยเคยบอกว่า เราเป็นคนที่ช่างหาเหตุผล เธอคงไม่รู้หรอกว่า ฉันมันพวกหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองนี่หว่า ตอนนั้นฉันเองก็ไม่รู้ ก่อนหน้านี้ก็ยังไม่รู้ ตอนนี้เขียนมันออกมาแล้วก็ยอมรับเถอะวะ แม่งเอาแต่หาเหตุผลเข้าข้างต้วเองอยู่นั่นแหละ
ขี้เกียจ? อืม.. เรามันมนุษย์ขี้เกียจคนหนึ่งรึเปล่า?
ไม่ใช่หรอก ขี้เกียจมันเป็นผลของการไม่กล้าเผชิญกับความท้าทาย กลัวแพ้ กลัวว่าทำแล้วจะไม่สำเร็จ ไม่ทำจะได้ไม่แพ้ พอไม่ทำอะไรจริงจังสักที ชีวิตนี้จึงกลายเป็นไอ้ขี้แพ้ แม้จะไม่แพ้อะไรอย่างชัดเจนเป็นเรื่อง ๆ แต่รวม ๆ แล้วมันแพ้ไปทั้งชีวิตเลย แย่กว่าอะไรทั้งหมด
ซูโดกุ สอนอะไรละ มันสอนให้เผชิญกับการต้องตัดสินใจเลือก ชีวิตก็เหมือนกัน ถึงวันหนึ่งหมากก็เข้าตาจน ไม่เหลือความแน่นอนให้เลือก มัวแต่คิดใคร่ครวญไปก็เปล่าประโยชน์ ถึงเวลาต้องจิ้มแบบสุ่ม ก็ต้องจิ้ม โชคดีก็ผ่านไปได้ โชคไม่ดีผิดพลาดไป ความผิดพลาดนั่นแหละเป็นตัวบอกหนทางที่ถูกให้กับเรา
แล้วจะกลัวผิดพลาดไปทำไม
ยังไม่ได้พูดถึงความล้มเหลวในชีวิตแต่งงาน การทำให้คนที่รักเราต้องเสียใจ การมองไม่เห็นค่าในความรักของผู้อื่น การมีลูกแล้วไม่ได้เลี้ยงดูด้วยตนเอง การเลือกอาชีพที่ไม่เคยทุ่มเททำไปจนสุดทาง มีชีวิตวนเวียนอยู่ในความคิด ห่างไกลจากความจริงของโลก และเที่ยวโทษว่าโลกใบนี้มันแย่ โกรธแค้นกับอะไรก็ไม่รู้เยอะไปหมด เออ.. กูช่างโง่เสียจริง
ปีนี้อายุห้าสิบแล้ว จะบอกว่าไม่รู้จักโลกไม่ได้แล้ว และตอนนี้กำลังเริ่มต้นอาชีพใหม่อีกด้วย ครั้งนี้เอ็งต้องทำให้สุดปลายทางให้ได้ ปัญหาก็เห็นชัดแล้วว่า อยู่ที่การเผชิญหน้ากับมันด้วยมือเปล่า มีชีวิตเป็นเดิมพัน
ไม่มีเวลาเหลือให้ฟุ่มเฟือยอีกแล้ว เอ็งต้องตรากตรำ ความสำเร็จมันรออยู่นานแล้ว เดินลุยเข้าไปหามันเสียที ทำเยอะ ๆ ผิดพลาดไปก็ยอมรับว่ามันเป็นเรื่องปกติ และความผิดพลาดนั้นจะบอกเราให้รู้ความจริง มันจะบอกหนทางที่ถูกให้เรา อย่าคิดว่าตัวเองรู้ เพราะเรายังไม่รู้อะไรเลย ลงมือทำ และผิดพลาด ลุกขึ้นมาทำอีก ถ้าผิดพลาดอีก ก็ต้องลุกขึ้นมาอีก
จนกว่าจะทำสิ่งผิดพลาดครบจำนวนนะแหละ แล้วความสำเร็จจะเผยตัวออกมา
จงเชื่อเช่นนี้.
เมื่อวันที่ : 31 ส.ค. 2553, 10.41 น.
การเขียนให้ตรงตามจริงเป็นเรื่องที่ต้องฝึกฝนอย่างหนัก ทำอย่างไรไม่ให้กลายเป็นขวานผ่าซาก ขณะเดียวกันก็ต้องระวังมิให้มันเฉออกจากศูนย์เล็ง หากเขยื้อนไปแม้แต่องศาเดียว เมื่อถ้อยคำพุ่งออกไปแล้ว ผลเบื้องปลายมักจะห่างจากเป้าอักโข
นี่ยังไม่พูดถึงความหมายระหว่างบรรทัด ซึ่งมักจะโผล่มาเกี่ยวผ้าขะม้าเราหลุดลงพื้น
เพื่อประจานเราให้ได้อายอยู่เสมอ
ด้วยเหตุนี้ เรื่องตรงเผงที่ดูเหมือนสำแดงได้ง่ายนั้น จึงต้องฝึกฝนกันตลอดชีพ