![]() |
![]() |
กัลปจันทรา![]() |
...สาวเอ๋ย...จงระวัง แปลโดย "กัลปจันทรา" จากเรื่อง The Journey ของ S Aich ผมขึ้นรถไฟที่สถานีมอลธา และตอนแรกก็ไม่มีเพื่อนร่วมห้องผู้โดยสารจนกระทั่งถึง...
สาวเอ๋ย...จงระวัง แปลโดย "กัลปจันทรา"จากเรื่อง The Journey ของ S Aich
ผมขึ้นรถไฟที่สถานีมอลธา และตอนแรกก็ไม่มีเพื่อนร่วมห้องผู้โดยสารจนกระทั่งถึงสถานีเมืองสัตลี จึงมีเด็กสาวคนหนึ่งมาร่วมเดินทางด้วย ผมเห็นมีคนมาส่งเด็กสาวคนนี้ น่าจะเป็นพ่อแม่มีด้วยมีท่าทางเป็นห่วงการเดินทางของเธอมาก และได้ให้คำแนะนำเรื่องการเก็บงำทรัพย์สินส่วนตัว เรื่องระวังอย่าชะโงกออกไปทางหน้าต่างและบอกให้อย่าพูดและอย่าไว้ใจคนแปลกหน้า และเมื่อล่ำลากันแล้ว รถไฟก็ออกจากสถานี เด็กสาววุ่นอยูกับการเก็บข้าวของและพยายามนั่งสบายๆเหลือบมาทางผมอย่างประเมินด้วยเราสองคนนั้นเป็นเพียงสองคนในห้องผู้โดยสารห้องนี้ ผมยิ้มให้อย่างไม่แน่ใจและเมื่อเด็กสาวยิ้มตอบ ผมจึงแนะนำตัวเอง
"สวัสดีครับ ผมชื่อชานตานุ มาจากเมืองโกลกาธา"
"สวัสดีค่ะ หนูชื่อเมก์นา อยู่เมืองสัตลีค่ะ"
"คุณพ่อคุณแม่อยู่เมืองสัตลีหรือครับ?"
"ค่ะ คุณพ่อทำงานที่เมืองนี้ค่ะ"
"ทำงานที่ไหนครับ?"
"เป็นวิศวกรเหมืองแร่ถ่านหินค่ะ กับบริษัทชื่อ "โคลอินเดีย" คุณรับราชการหรือคะ?"
"เปล่าครับ ผมเป็นสถาปนิก มาทำงานที่เมืองมุมไบอยู่สามเดือนเพราะมีงานชั่วคราวที่นี่ ตอนนี้กำลังกลับบ้าน"
"โอ...ดีจังค่ะ หนูกำลังจะจบมหาวิทยาลัยแล้วค่ะ ปีนี้เป็นปีสุดท้าย กำลังจะกลับไปเรียนหลังหยุดหน้าร้อนค่ะ"
"เรียนอยู่ที่ไหนล่ะครับ?"
"สกอตติช เชิร์ช คอลเลจจ์ค่ะ"
หลังจากนั้นเด็กสาวก็หยิบหนังสือนิยายออกจากถุงและเริ่มอ่านอย่างมีความสุข
ที่สถานีต่อมาคือเมืองบาลิเปอร์ มีคนหนุ่มสาวคู่หนึ่งเข้ามาในห้องโดยสารของเรา คนคู่นี้มีกระเป๋าเดินทางหลายใบและท่าทางสับสนวุ่นวายไม่น้อย เสียงถอนหายใจหนักหน่วงเมื่อรถไฟออกจากสถานี ทั้งคู่นั่งติดกับเมก์นา และก็เริ่มสนทนากับเด็กสาว
"มาจากไหนคะ?" นางคูมาร์ถาม
"เมืองมาลธิค่ะ" เด็กสาวเมก์นาตอบยิ้มหวาน
"เดินทางคนเดียวหรือคะ?"
"ค่ะ"
"ไปไหนคะ?"
"เมืองโกลกาธาค่ะ"
"โอ...เราก็กำลังไปที่นั่นเหมือนกันค่ะ มีญาติที่นั่นหรือคะ?"
"ไม่ค่ะ หนูกำลังเรียนอยู่ที่วิทยาลัยค่ะ"
"เรียนอะไรคะ?"
"ปีสุดท้ายแล้วค่ะ"
"ดีค่ะ เรียนสาขาอะไรคะ?"
"เอกอังกฤษค่ะ"
ผมได้ยินคำสนทนาทำให้รู้ว่า เด็กสาวเมก์นานั้นเรียนอยู่ระดับดีของชั้นเรียนที่วิทยาลัยและจะแต่งงานเมื่อสอบไล่เสร็จ แต่ผมก็สังเกตได้ว่าเวลาเด็กสาวถามเรื่องส่วนตัวของคู่หนุ่มสาว คนทั้งคู่จะตอบแบบคลุมเครือ
หลังอาหารกลางวัน เด็กสาวก็หันไปอ่านนิยายต่อ และหนุ่มสาวชื่อคูมาร์ก็งีบหลับกัน ส่วนผมก็อ่านหนังสือเหมือนเมก์นา ตอนนี้ค่อยสงบขึ้นมาหน่อยหลังจากที่วุ่นวายมาตลอดเช้า เมื่อเวลา สี่โมงครึ่งตอนบ่ายรถก็มาจอดที่สถานีรายทางอีกแห่งหนึ่ง ผู้โดยสารต่างก็ถือโอกาสออกมายืดเส้นยืดสายและดื่มน้ำชากัน
เมื่อถึงเวลาอาหารเย็น คู่สามีภรรยาคูมาร์คะยั้นคะยอให้เด็กสาวร่วมรับประทานอาหารที่นำมาจากบ้านด้วย ที่จริงเราควรจะถึงจุดหมายปลายทางตอนเช้าวันพรุ่งนี้และผมก็ได้แต่ภาวนาให้รถไฟอย่าล่าช้านักเพราะผมเตรียมที่จะพักผ่อนคืนนี้ ผมตื่นอีกครั้งตอน หกโมงเช้าและดีใจที่รู้ว่ารถไฟจะเข้าสถานีสายไปเพียงครึ่งชั่วโมง นั่นคือ เราจะเข้าสถานีอีกสี่สิบห้านาที คู่คูมาร์นั้นก็ตื่นแล้วและวุ่นวายเตรียมสิ่งของ น่าแปลกใจที่เด็กสาวเมก์นายังหลับอยู่ ผมกำลังจะปลุกเธอเมื่อนางคูมาร์ปลุกเธอเอง เด็กสาวลุกขึ้นนั่งด้วยกิริยามึนงง ยืนขึ้นแต่ก็ต้องนั่งลงอีกครั้งทันที ออกปากว่ามึนหัวคลื่นไส้ ครอบครัวคูมาร์ช่วยเธอเก็บข้าวของ เมื่อรถไฟเข้าจอด เขาทั้งคู่ได้เข้าช่วยเธอลงจากรถไฟ เด็กสาวท่าทางไม่สบาย เดินเซนิดๆ ผมกล่าวลาเธอพร้อมหวังว่าเธอคงไม่เป็นอะไรมากก่อนที่ผมจะออกจากสถานีรถไฟแห่งนั้น
ผมไม่ได้คิดถึงเรื่องเด็กสาวเมก์นาอีกเลย ด้วยดีใจที่ได้กลับมาอยู่บ้านเสียทีหลังจากที่ต้องทำงานต่างเมืองเสียสามเดือน แต่เมื่อเวลาผ่านไปเพียงสองคืน ผมเห็นข่าวเกี่ยวกับเด็กสาวคนหนึ่งถูกฆ่าที่สถานีโคลคาธาที่เดียวกับสถานีที่ผมเพิ่งใช้ และมีรูปของเด็กสาวคนนั้นด้วย ทำให้ผมสะดุ้งตกใจอย่างนึกไม่ถึง เมื่อเห็นว่าเป็นรูปของเด็กสาวเมก์นานั่นเอง ไม่น่าเชื่อว่าสิ่งเลวร้ายได้เกิดขึ้นกับเด็กสาวคนนั้น...ท่าทางเธอแสนจะมีความสุขในรถไฟ แต่ผมผิดหวังมากที่หนังสือไม่ได้ลงรายละเอียดเกี่ยวกับฆาตกรรม มีเพียงว่า ศพที่กำลังเน่าเปื่อยถูกพบในห้องน้ำห้องหนึ่งที่เป็นห้องน้ำสำหรับพนักงานรถไฟ คนขายของได้แจ้งให้พนักงานรถไฟทราบถึงกลิ่นเหม็นที่ลอยมาจากห้องนั้น เมื่อพังประตูลงก็พบศพของเด็กสาว ตำรวจได้สืบสวนและได้ข้อมูลเพียงว่า เมื่อสองวันก่อน มีชายคนหนึ่งพาร่างที่เกือบหมดสติของเด็กสาวเข้าไปที่ห้องนั้นและล็อคประตูจากข้างนอก และเขาได้ไปขอซื้อนมจากพ่อค้าขายน้ำชา บอกว่าน้องสาวเขาต้องการนมเพระากำลังไม่สบาย หนังสือพิมพ์บอกอีกว่า การสืบสวนเรื่องฆาตกรรมเรื่องนี้ยังเป็นไปอย่างต่อเนื่อง
อาทิตย์หนึ่งผ่านไป หนังสือพิมพ์ลงเรื่องของเด็กสาวเมก์นาอีกครั้ง บอกว่า การสืบสวนได้เรื่องมาว่าชายที่นำร่างของเด็กสาวที่เกือบไม่มีสติไปไว้ในห้องนั้นและขังเธอไว้คือนายคูมาร์ เมื่อเขากลับมาอีกครั้งเขาได้ข่มขืนเธอและพยายามบังคับให้เธอไปขายตัว เขาทำแม้กระทั่งขายเธอจนได้รับเงินจากแมงดาคนหนึ่ง เมื่อเมก์นาปฏิเสธที่จะทำตาม สัตว์นรกในคราบคนตัวนั้นได้ใช้ปืนขู่และเด็กสาวก็ยืนยันที่จะไม่ขายตัวเป็นอันขาด พร้อมทั้งพยายามต่อสู้ด้วยการแย่งปืนจากนายคูมาร์ใจเหี้ยมคนนั้น ขณะที่กำลังชุลมุนกันนั้น ปืนได้ลั่นถูกเด็กสาวผู้เคราะห์ร้าย ทำให้เธอเสียชีวิต ตำรวจได้ตามจับคู่สามีภรรยาคูมาร์ได้แล้ว และรายงานว่า คู่นี้เป็นคู่ที่ทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มอาชญากรที่มีความชำนาญในการหลอกลวงเด็กสาวที่เชื่อใจคนแปลกหน้า นำไปบังคับให้ขายตัว รวมทั้งเป็นสมาชิกกลุ่มอาชญากรที่แลกเปลี่ยนและขายเด็กสาวด้วย โธ่เอ๋ย...เด็กสาวเมก์นาเป็นเหยื่อที่หลอกง่ายดายเพราะเธอเดินทางไกลตามลำพัง
ผมเศร้าโศกเสียใจการจากไปของชีวิตที่บริสุทธิ์ชีวิตหนึ่ง ผมยังจำได้ถึงรอยยิ้มแจ่มใสที่แพร่กระจายให้คนที่อยู่ใกล้ๆของเมก์นาได้ จำได้ถึงความมีชีวิตชีวาของเธอ...น่าเสียดาย...
จบบริบูรณ์
เมื่อวันที่ : 24 ส.ค. 2553, 06.59 น.
ขอบคุณพี่กัลป์ฯสำหรับการแปลให้พวกเราได้อ่านครับ
ผมต้องหัดเขียนเรื่องให้กระชับแบบเรื่องนี้มั่ง