![]() |
![]() |
ลุงเปี๊ยก![]() |
อาจเป็นแสงแห่งความจริงที่สาดเข้าในคูหาแห่งความลวง
เป็นเกลียวเชือกการรับรู้ที่กว้านดึงผู้คนขึ้นจากความหลงผิดเบื้องล่าง
หรือกระทั่งการเผชิญหน้ากับความจริงของโลกหลังความตาย...
ชาวโลกที่รับรู้เวลาจากนาฬิกาคุณปู่เรือนนี้มีเพียง-เขา-คนเดียว
ท้องฟ้าภายนอกสว่างเรืองด้วยแสงไฟเมืองกรุง ลมเย็นจากแม่น้ำเจ้าพระยาพัดโชยมา ถ้าสังเกตจะเห็นกลีบดอกชวนชมบนกระถางสั่นพลิ้ว บนระเบียงแคบของห้องเช่าชั้นที่ ๒๑ เราจะเห็นจิตรกรหนุ่มกำลังกดโทรศัพท์หาหญิงคนรัก "หมายเลขที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้.." นี่เป็นครั้งที่สามแล้ว เขาเกลียดเสียงนี้
มันเป็นคอนโดฯเก่า สีที่ใช้ทาระเบียงภายนอกซีดและร่อน แม้จะตั้งอยู่ท้ายซอยและห่างแม่น้ำ แต่ความสูงของอาคารช่วยให้มองเห็นแม่น้ำได้ หากมองบนลำน้ำขณะนี้จะเห็นริ้วคลื่นเล็ก ๆ สะท้อนแสงจันทร์ระยิบระยับ เรือบรรทุกทรายผูกติดกันเป็นขบวนเหมือนดุ้นไส้กรอก มีเรือยนต์ลำเล็กกำลังลากจูงไส้กรอกยักษ์ลอดสะพานไปช้า ๆ บนสะพานดวงไฟสีแดงวิ่งไล่กันเป็นแถวข้ามฟากไป สวนกับดวงไฟสีขาวทยอยวิ่งกลับมา มองเลยสะพานไปจะเห็นสายน้ำโค้งลับไปกับเงาทึมของหลังคาบ้านสลับกับแท่งตึกสูงทาบขอบฟ้าเรืองสีน้ำเงิน
สี่ทุ่มแล้ว ผู้คนจำนวนมากยังกลับไม่ถึงบ้าน

เสียง-ติ๊กต่อก-ดังท่ามกลางความเงียบ ติ๊ก.. ต่อก.. ติ๊ก.. ต่อก..
ชายหนุ่มอยากรู้ว่าสาวิตรีกำลังทำอะไรอยู่..
รีสอร์ตที่เพชรบูรณ์กับเพื่อนอาจารย์กลุ่มใหญ่แย่งตัวคนรักเขาไปสามวัน เธอจะกลับวันนี้และจะมาหาเขาก่อนเข้าบ้าน ทำไมป่านนี้ยังมาไม่ถึง ทำไมต้องปิดโทรศัพท์ด้วย หรือว่าจะเกิดอุบัติเหตุ
ความคิดเรื่องอุบัติเหตุทำให้กระวนกระวายใจ เขากดโทรศัพท์อีกครั้ง "หมายเลขที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้.." กดเบอร์ทิ้ง Sawitree บนจอหายไป 22:37 สว่างเรืองขึ้นแทนที่
การถูกทิ้งให้วนเวียนกับความไม่รู้เป็นความทุกข์ชนิดหนึ่ง ชายหนุ่มวิตกไปสารพัดคาดเดาสิ่งที่อาจเป็นไปวนไปวนมา เธอหลบหน้าหรือเปล่า หรือว่ากำลังอยู่กับผู้ชายอื่น..
หลอดฟลูออเรสเซนต์วงกลมบนเพดานเปลือยแสงสีขาวสว่างโร่ โคมแก้วสีขุ่นที่เคยห่อหุ้มกระจายแสงถูกเขาถอดวางซุกอยู่บนขดเชือกมุมห้อง จิตรกรเดินกลับมาคิดเรื่องงาน ภาพ -หน้ากาก- บนขาตั้งถูกทิ้งค้างมาแล้วหลายวัน มันใกล้เสร็จแล้วเหลือเพียงดวงตาใต้ช่องเจาะของหน้ากากที่เว้นว่างเอาไว้ เขายังคิดไม่ออกว่าจะวาดมันยังไง ยิ่งสภาวะชวนกลุ้มอย่างนี้ เขายิ่งคิดไม่ออก
ทุกสิ่งในห้องหยุดนิ่งและเงียบ เขาได้ยินเสียงติ๊กต่อกถนัดหูขึ้นเรื่อย ๆ ห้องนี้เงียบเกินไป
ก้าวเดินไปโต๊ะคอมพิวเตอร์ลากเมาส์สะกิดโปรแกรมเพลงขึ้นมาทำลายความเงียบ จิตรกรเลือกเพลย์ลิสต์ที่ชื่อ Beethoven sonatas เสียงเปียโนดังขึ้นกลบเสียงนาฬิกา ท่วงทำนองเนิบช้าของมูนไลท์โซนาต้าท่อนแรกล่องลอยในทุกอณูของอากาศ ภาพบนจอเปลี่ยนเป็นการเคลื่อนของเส้นสีวูบไหวตามจังหวะดนตรี เขาเดินไปปิดสวิทช์ไฟ
เขายืนอยู่กลางห้องที่โอบล้อมด้วยความมืดและเสียงดนตรี มีแสงจันทร์ส่องผ่านระเบียงทาบพื้นห้อง บทเพลงอันเกิดจากความรู้สึกของดุริยกวีที่มีต่อคนรักเมื่อสองร้อยปีก่อน ถ่ายทอดออกมาเป็นท่วงทำนองของความคิดถึงอย่างอ้างว้างกลางแสงจันทร์ คืนนี้ความรู้สึกนั้นยังสำแดงตนอยู่ในงานดนตรีของเขา
มีเสียงหวูดเรือดังแทรกมาให้ได้ยิน จิตรกรหวนคิดถึงเมรุเผาศพเมื่อตอนบ่าย ความตายของ-กล้า-ทำให้ทุกคนหดหู่ใจ กล้าอายุยังน้อยถูกกระสุนปืนเข้ากระโหลกศีรษะ พวกนั้นไม่ควรยิงเขา เขาออกไปชุมนุมกลางถนนเหมือนคนอื่น เหมือนไปร่วมงานมหกรรม ไม่ได้คิดอะไรซับซ้อน กล้าไม่ได้คิดจะฆ่าใคร เขาจึงไม่กลัวว่าจะมีใครคิดฆ่าเขา
หลังจากวางดอกไม้จันทน์กันแล้ว เจ้าหน้าที่วัดกดออดไฟฟ้าเสียงดังก้องไปทั่วบริเวณ มันทำทุกคนใจหายวูบ น้ำตาที่เอ่อคลอหน่วยร่วงพรู เสียงออดสัญญานดังยาวเกินอึดใจเหมือนกับหวูดเรือที่เขาได้ยินตอนนี้ ย้ำเตือนให้รู้ว่าถึงเวลาที่ร่างของกล้าจะถูกไฟเผา มนุษย์ที่จับต้องได้กำลังจะกลายเป็นควันสีเทาลอยขึ้นบนท้องฟ้า เพื่อนรักคนหนึ่งหายไปจากโลก กลายเป็นรูปถ่ายใส่กรอบแขวนบนผนัง
ท่วงทำนองเนิบช้าจากแกรนด์เปียโน ยังคงไต่บันใดเสียงขึ้นลงในความเงียบ สาวิตรี.. เธอมัวทำอะไรอยู่?
มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นบนจอคอมพิวเตอร์ จุดสีเหลืองจางเล็กๆ กลางจอเปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นใครคนหนึ่งก้าวเดินตรงออกมา ภาพเลือนรางอ้อนแอ้นค่อยชัดขึ้น มองเห็นเป็นหญิงสาวในชุดนอนบางเบาสีเหลืองนวลมีใบหน้าสวมหน้ากากสีขาวเหมือนปูนปลาสเตอร์
ดนตรีเปลี่ยนท่วงทำนองกระชั้นขึ้น จังหวะเดินของหญิงนิรนามก้าวตามทำนอง และที่สุดเธอก็ก้าวออกมาจากกรอบจอ ชายหนุ่มปิดเปลือกตารำคาญใจตัวเอง ภาพมายาแบบนี้เกิดขึ้นอีกแล้ว เขาผละจากหน้าคอมพิวเตอร์ไปเปิดตู้เย็น ตั้งใจจะคว้าขวดเหล้าในช่องฟรีซขึ้นดื่ม เพื่อให้ดีกรีความแรงของสุรากระตุ้นจิตใจให้ตื่นจากความคิดฝัน แต่เขาก็ชะงักมือไว้เมื่อคิดถึงว่าหากมีกลิ่นเหล้า สาวิตรีจะไม่ยอมให้เข้าใกล้ เขาเอื้อมหยิบขวดน้ำมาดื่มอัก ๆ แทน
ปิดตู้เย็นหันกลับมา ภาพหญิงนิรนามยังไม่หายไปไหน ยังคงเยื้องกายร่ายรำทอดเงากลางแสงจันทร์ บทเพลงเปียโนรุกไล่เร็วขึ้น ชายหนุ่มเดินเข้าหา มายาภาพเบี่ยงกายหลบไปด้านหลัง เขาหันกลับมา นางภูตยิ้มยั่วถอยไปมุมห้อง เขาตัดสินใจโถมตัวเข้าคว้าร่างที่มองเห็นตรงหน้า นางภูตินิรนามเบียงตัวหนีไปด้านหลังอีก จิตรกรซวนเซเสียหลัก นางภูตยกมือผลักเขาล้มลง แขนฟาดโดนโคมแก้วสีขุ่นแตกบาดมือเลือดหยดบนกองเชือก
เขาพยุงตัวขึ้นนั่งกับพื้น ข่มใจคิดทบทวนการกระทำของตนแล้วต้องหัวเราะกับตัวเอง แผลแก้วบาดที่ฝ่ามือไม่ลึกนัก เขากดแผลห้ามเลือดจนหยุดแล้วหาปลาสเตอร์มาปิด
ยังไม่ทันที่เขาจะคิดทำอะไร เสียงกุกกักตรงประตูก็ดังขึ้น
ชายหนุมร้องออกมาด้วยความปิติ "สาวิตรี" ประตูห้องเปิดออกกว้างแสงสว่างจากทางเดินภายนอกสาดเข้ามาในห้อง
"ทำอะไรมืดๆ คะ" สาวิตรีส่งยิ้มทักทายพร้อมกับก้าวเข้ามา ขณะหมุนตัวถอดรองเท้าพร้อมกับปิดประตู เขาเดินข้ามห้องตรงเข้าไปกอดเอวจากด้านหลังสูดดมเส้นผม ในที่สุดเธอก็มาถึงเสียที ความทรมานจากการรอคอยสิ้นสุดลงแล้ว
หญิงสาวปล่อยให้เขากอดจนพอใจ
"รอนานไหมคะ" สาวิตรีแหงนหน้าช้อนสายตามองเขา โดยไม่พูดอะไรเขาพลิกร่างเธอหันมา ก้มลงจูบปากและรัดวงแขนกระชับขึ้น หน้าอกนุ่มแนบร่างเขา ริมฝีปากชื้นสนองตอบความคิดถึงแก่เขาอย่างเต็มใจ ความรู้สึกเปล่าเปลี่ยวปลาสนาการไปสิ้น
"คิดถึงละซี้" หญิงคนงามผละออกส่งเสียงเย้า เมื่อเธอเห็นแอ่งน้ำใสเอ่อรอบดวงตา ก็รู้ว่าทำให้เขาทรมานใจ สาวิตรีรู้สึกผิดจึงอธิบายเหตุผลต่างๆให้ฟัง ไม่มีสิ่งใดซับซ้อนโทรศัพท์มือถือแบตเตอรีหมด มีการโอ้เอ้นอกรายการที่ร้านสเต๊คระหว่างทาง
"หิวมั้ย..น้องสาซื้อมาฝากพี่ด้วยนะ" เธอประคองกล่องโฟมที่ถือมาส่งให้
เขารับกล่องโฟมไปเก็บในตู้เย็น "ขอบใจมาก คืนนี้ไม่หิวแล้ว" หันมาสบตาหญิงอันเป็นที่รัก ดึงเข้ามากอดแล้วก้มลงพูดใกล้หู "พี่หิวแต่ตัวน้องสา กินเท่าไรก็ไม่เคยอิ่มเลย"
หญิงสาววาบหวิวเมื่อได้ฟัง ภูมิใจที่ตนมีอิทธิพลเหนือชายคนรัก จงใจกอดชายหนุ่มเบียดร่างแนบชิดขณะเอ่ยคำปฏิเสธ "คืนนี้ไม่ทันแล้ว น้องตั้งใจแวะเอาสเต๊คมาให้แล้วจะกลับเลย ห้าทุ่มกว่าแล้ว น้องสาต้องกลับบ้าน"
เขารู้กฏเกณท์เวลาดี อดเคืองไม่ได้ที่หญิงสาวมาช้า ช้าจนแทบไม่เหลือเวลาให้เขาเลย
สาวิตรีอยู่ได้ไม่นานก็รีบผละกลับไป ทั้งเธอและเขาต่างรู้ว่าหากอ้อยอิ่งจะกลายเป็นเติมไฟให้กันจนต้องอยู่เกินเวลาแน่ จิตรกรตามไปส่งที่ลานจอดรถ ยืนมองไฟท้ายสีแดงเคลื่อนห่างออกไป
ขึ้นลิฟท์กลับมาพบกับความอ้างว้างในห้อง เบโธเฟนโซนาต้าเล่นมาถึงท่อนแรกของงานเปียโนหมายเลข ๘ "Pathetique" บทเพลงเปลี่ยนลีลาความคิดถึงเป็นถ้อยวลีแห่งการปลอบประโลม การได้พบหน้าคนรักเพียงไม่กี่นาทีสั่นคลอนความมั่นใจ ช่วงเวลาแห่งการรอคอยหลายชั่วโมงของผู้เป็นทาส แลกได้เพียงห้านาทีของผู้เป็นนาย ช่างเป็นทาสที่ไร้ความสำคัญนัก
ชีวิตยังต้องดำเนินต่อไป ชายหนุ่มเปิดตู้เย็นหยิบเหล้าขึ้นดื่มตรงขวด ฤทธิ์ความแรงของสุรากำซาบลงเป็นทาง กระตุ้นหัวใจสูบฉีดเลือดไปทั่ว ความซึมเซาจางหายไป
ภาพสาวิตรีบิดร่างเปลือยเปล่าผุดขึ้นในห้วงคิด ส่งเสียงร้องครวญสั่นเครือ ในสายตาของจิตรกรนี่คือความงดงามของอริยาบทเร่าร้อนบริสุทธิ์ ช่วงขณะที่โลกทั้งใบของสาวิตรีกำลังทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุด เธอจะร้องครางน้ำเสียงสั่นออกมาโดยมิอาจควบคุม เขาหลงรักเสียงจากริมฝีปากเผยอใต้ดวงตาเป็นประกายเยิ้มในกรอบวงหน้างาม ทุกฉากตอนแจ่มชัดในห้วงคิด เธอจะอ้อยอิ่งส่งเสียงครางฮืออยู่อย่างนั้น ร่างเปลือยห่อตัวคุดคู้และผล็อยหลับไปต่อหน้า เขาลุกขึ้นมองภาพนั้นจนจำได้ติดตา นาฏกรรมความสุขของหญิงคนรักเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในห้องเช่าแห่งนี้
นี่แหละคือภาพความสุขของจิตรกรหนุ่ม ควรรู้ว่านาฏกรรมแห่งรักนี้ จุดหมายปลายทางเกือบทุกครั้ง คือการปรุงรักให้ฝ่ายหญิงสุขสมเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น
อาจารย์สาวกึ่งกลัวกึ่งกล้ากับความสัมพันธ์มาตลอด เธอมิใช่คนเหลวไหลและไม่อยากจะได้ชื่อว่าเป็นคนเหลวไหล ธรรมชาติของหญิงชายใกล้กันย่อมทำให้คนทั้งคู่เกี่ยวพันเกินเลย เขารักเธอ และไม่อยากเห็นคนรักรู้สึกผิดต่อแม่ ต่อพระเจ้าของเธอ
การเห็นหญิงอันเป็นที่รักผล็อยหลับอย่างเป็นสุขตรงหน้า คือความสุขตามอัตภาพของเขา
เขาได้ยินเสียงหวูดเรือดังขึ้นอีก ลากยาวเหมือนเดิมแต่ใกล้กว่าเก่า ความเศร้ายังอบอวลอยู่ในทุกอณูของอากาศ ป่านนี้-กล้า-คงได้รู้ในสิ่งที่คนทั้งโลกยังไม่รู้ แสงเรืองจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ดึงดูดสายตาเขาให้หันมอง เงาร่างนิรนามเยื้องกายออกมายั่วเย้าเขาอีกแล้ว
จิตรกรเดินลากขาไปนั่งพิงกำแพงห้อง ปักหลักมองมายาภาพตรงหน้า นึกฉงนว่าทำไมหล่อนต้องสวมใต้หน้ากาก และมาเต้นยั่วยวนเขาทำไมกัน นางภูตนิรนามเยื้องกรายร่ายรำราวกับเพลินอยู่แต่ลำพังผู้เดียว เงาร่างนวลเนียนอยู่ใต้อาภรณ์โปร่งบาง แม้จะปิดบังบางสิ่งจากสายตาไปได้ แต่ปิดกั้นจินตนาการไม่ได้เลย ลีลาการเคลื่อนไหวกระตุ้นความอยากเห็นมากขึ้นอีก
แสงจากระเบียงส่องทะลุเนื้อผ้าต้องนวลเนื้อ แม้จะเพียงบางส่วน แต่จิตรกรผู้ปักหลักนั่งมองย่อมเห็นปรากฏการณ์เคลื่อนไหวของแสงและเงา เขาย่อมเห็นความสั่นไหวเคลื่อนคล้อยของสิ่งนวลเนียนมีน้ำหนัก ตลอดจนแนวโค้งและเว้าของภูมิประเทศ เห็นบริเวณที่เข้าลักษณะพื้นราบและปริมณฑลของความงามทางอุดมคติ สายตาจิตรกรเห็นสิ่งน่าพิศวงทั้งหมดอันธรรมชาติได้สร้างขึ้นแล้วบนเรือนร่างของอิสตรี
จะขัดตาก็ตรงหน้ากากขาวซีดไร้ชีวิตใบนั้น
ชายหนุ่มปิดเปลือกตาลง จะมีประโยชน์อะไรกับการปล่อยให้ใจรัญจวนกับแสงเงาในอณูของอากาศ โซนาต้าหมายเลข ๘ ดำเนินมาถึงท่อนอดาจิโอ ท่วงทำนองดนตรีเปลี่ยนเป็นเนิบช้าโศกเศร้ายอมจำนน ดุริยกวีกลั่นความสิ้นหวังในใจตนเป็นโน้ตดนตรี
แสงจันทร์นวลส่องต้องโคมแตกและขดเชือกมุมห้อง จิตรกรหนุ่มนั่งหงายหน้าหลับตาพิงผนังห้อง สูงขึ้นไปเหนือศีรษะคือภาพเขียน-แรงโน้มถ่วง- ต่ำลงมาบนพื้นจะเห็นเขานั่งชันเข่ามีเงาทาบไปตามความยาวของห้อง แสงเรืองบนจอคอมพิวเตอร์ยังคงเคลื่อนไหววูบวาบตามทำนองดนตรี
"จะมัวนั่งหมดเรี่ยวแรงอยู่ทำไมคะ" เสียงใสคุ้นหูดังแว่วตามด้วยเสียงหัวเราะคิก
"อย่ามายุ่งได้ไหม.." เขาลืมตา นางหน้าขาวที่มองเห็นนั้นดูอย่างไรก็เป็นสาวิตรี เขาจดจำรูปร่างเธอได้ทุกสัดส่วน ความนวลเนียนของผิวกาย ช่วงขาเรียวยาว เอวคอดบาง เหมือนแม้กระทั่งหลุมสะดือ จะต่างไปก็เพียงสีผิวที่ขาวผุดผาด และบางใสเหมือนว่าสายลมจะพัดผ่านร่างเธอไปได้
เขาลุกขึ้นเดินเฉียดภาพมายาไปเปิดตู้เย็น เสียงเพลงดำเนินต่อเนื่องมาจนถึงงานไวโอลินโซนาต้าเบอร์เก้า ขณะคว้าขวดเหล้าในช่องฟรีซขึ้นดื่มอึกใหญ่ เขานึกฉงน-นางมารร้ายทำไมพูดได้ด้วย- ดีกรีความแรงของสุราแล่นพร่านในช่องปาก ท่วงทำนองจากการเสียดสีของไวโอลินดังกระชั้นรุกไล่ไปมา กลิ่นเหล้าหอมฟุ้งขึ้นนาสิกทำให้ตาสว่าง หันขวับกลับไปมอง นางภูตนิรนามยังอยู่ ลองเอื้อมมือจับแขนเขายิ่งประหลาดใจทีสัมผัสกับตัวตนแห่งมายาภาพได้ แถมยังได้ยินเธอหัวเราะเสียงดังกว่าเดิมใส่เขาอีก
"น้องชอบกลิ่นหอมของเหล้าค่ะ" หล่อนทำเสียงยั่วเย้า "เวลาจูบปากกันจะหวานลิ้น..น้ำลายก็พลอยจะหอมไปด้วย.. น้องชอบจริงๆ นะคะ" ไม่เพียงพูดมายาภาพยังเดินเข้ามาใกล้จนแทบจะชิด
"เธอเป็นใครกันแน่"
"สาวิตรีที่ตามใจได้ทุกอย่างไงคะ"
"ถ้างั้น..ถอดหน้ากากออกได้ไหม"
แทนคำตอบนางภูตถอยร่างไปยืนกลางห้อง ท่ามกลางแสงจันทร์สาดส่อง มายาภาพไขว้มือผ่านใบหน้าวูบเดียว หน้ากากสีขาวก็หายวับไป แม้อาภรณ์โปร่งบางก็ไหลลื่นหล่นลงพื้นไปด้วย
ภาพที่เห็นคือเรือนร่างผู้หญิงยืนเปลือยกายอาบแสงจันทร์ ชายหนุ่มตะลึงมองใบหน้าหญิงอันเป็นสุดที่รัก เรือนผมหยักศกและลำคอตั้งตรง หัวไหล่งามกลมกลืนกับช่วงแขนเรียว เอวคอดเว้ารับกับลาดสะโพกผาย จิตรกรไล่สายตาชื่นชมผลงานประติมากรรมจำแลง แสงจันทร์ส่องต้องยอดทรวงอกอวบอิ่ม เห็นกลุ่มไหมหยิกหยอยใต้ลอนท้อง และนิ้วเท้าจิกบนพื้นห้อง
ชายหนุ่มเข้าไปตระกองกอดร่างคนรักในจินตนาการตน น้ำตาเอ่อท้นด้วยความรัก จิตรกรสูดดมเรือนผมหอมกรุ่นที่ซบนิ่งอยู่กับอก ลูบไล้ท้ายทอยและแผ่นหลังด้วยความหลงไหล ความปรีดาสลายความหนักอึ้งของโลกทั้งใบให้เบาหวิว เขารู้สึกเหมือนล่องลอยพ้นจากความยุ่งเหยิงทั้งปวง
แต่ความสุขไม่ได้อยู่กับเขานาน พักเดียวร่างในวงแขนก็อ่อนยวบไร้มวลลงทีละน้อย สาวิตรีกำลังสลายร่างกลายเป็นไออากาศ จู่ๆก็หายวับไปกับวงแขน ชายหนุ่มตกใจร้องออกมา "ไหนว่าจะตามใจได้ทุกอย่าง ทำไมเป็นอย่างนี้"
"อย่ามัวแต่ถาม.. คิดเองซะบ้าง" เสียงพูดสุดท้ายลอยมาให้ได้ยิน
วินาทีนั้น..ภาพดวงตาในรูปวาดหน้ากากก็ปรากฏขึ้นในห้องสมอง เขามองเห็นข้อสรุปแล้ว นี่เป็นเรื่องของ -มายาภาพ- ภาพวาดนี้จะต้องแสดงดวงตาที่เพิ่งประจักษ์กับความจริง เป็นความจริงที่เผยให้เห็นความลวงโดยฉับพลัน
จิตรกรกระตือรือร้นกับงานในทันที เขาเดินไปเปิดสวิทช์ไฟให้แสงสว่างส่องทั่วทั้งห้อง ปิดเสียงเพลงไวโอลินที่รุกเร้าทำลายสมาธิ ทั้งห้องสว่างโร่และเงียบสนิท จิตรกรหนุ่มหยิบพู่กันขึ้นผสมสีด้วยความปิติ
เขาเขียนภาพร่างดวงตาหลายแบบ ทดลองผสมสีด้วยวิธีใหม่ ๆ จิตใจง่วนอยู่กับการคัดเลือกวิธีป้ายสีเพื่อให้สิ่งที่เขามองเห็นในความคิดเผยตัวออกมาบนผืนผ้าใบ มันจะต้องเป็นดวงตาที่เพิ่งค้นพบความจริงแบบฉับพลัน อาจจะเป็นแสงแห่งความจริงที่สาดเข้าในคูหาแห่งความลวง อาจเป็นเกลียวเชือกการรับรู้ที่กว้านดึงผู้คนขึ้นจากความหลงผิดเบื้องล่าง หรือกระทั่งการเผชิญหน้ากับความจริงของโลกหลังความตาย
ถ้าเขาวาดได้ดีพอ ผู้ที่เห็นภาพนี้จะถูกกระตุ้นให้ระลึกถึงประสบการณ์เชิงประจักษ์ที่ลืมเลือนไปแล้ว หรือไม่เคยรู้มาก่อน เขาหวังว่าภาพจะทำหน้าที่ย้ำเตือนให้ระลึกถึงสิ่งอันเป็นอมตะจากการได้เห็นดวงตานี้
ด้วยจิตใจที่เป็นสมาธิและความถี่ถ้วนแบบนายช่างผู้เป็นนายเหนือมือตน ในที่สุด -หน้ากาก- ผลงานชิ้นสุดท้ายในภาพชุดเผชิญความตายก็แล้วเสร็จ เขาป้ายพู่กันเก็บรายละเอียดรอบสุดท้าย แล้วถอยออกมองภาพเสร็จสมบูรณ์นั้น
จิตรกรหนุ่มผงะกับสิ่งที่เขาวาดเองกับมือ
ดวงตาใต้ช่องเรียวทั้งสองบนหน้ากากขาวซีดที่กำลังมองสวนมายังเขานั้น คือดวงน้ำกลมใสบริสุทธิ์ใต้เงามืด--มองเห็นประกายม่านตากำลังเบิกกว้างอย่างตระหนก--ใต้เปลือกตาบางใสที่พยายามหรี่ลงเขม้นมองอย่างขัดแย้ง
เสร็จสมบูรณ์แล้ว ภาพชุดที่เขาหมกมุ่นมาตลอดสองเดือนสำเร็จลงแล้วในคืนนี้ จิตรกรถอนหายใจโล่งอก แปลกใจตัวเองที่ไม่รู้สึกดีใจ เขารู้สึกว่างเปล่าในจิตใจ ไม่มีอะไรหลงเหลือให้ทำอีกแล้ว ไม่มีความสนใจใดๆ เหลืออีก ไม่มีอะไรเลย
พินิจดูภาพด้วยการปล่อยใจไปกับสิ่งที่เห็นอีกครั้ง ภาพดวงน้ำใสแจ๋วเบิกกว้างรบกวนจิตใจเขา แง่มุมความจริงที่ได้รับจากนางภูตกลับมายังห้วงคิด การตระหนักว่าสาวิตรีเป็นเพียงมายาภาพที่จะต้องจากไปทำให้เขาใจหาย นี่คือข้อเท็จจริงหรือการคาดการณ์ไปเอง อะไรคือความจริงกันแน่ เขาไม่รู้เลย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วคือความไม่แน่นอน ซึ่งสั่นคลอนตัวตนเขาอยู่ขณะนี้
ยิ่งเพ่งมองดวงตาใต้หน้ากากจิตใจยิ่งหวั่นไหว ชายหนุ่มละสายตาจากภาพเดินไปปิดสวิทช์ไฟ ความมืดเข้าปกคลุมห้องเหลือเพียงแสงจันทร์ส่องสว่างเข้ามาเหมือนเดิม แม้จะมองไม่เห็นภาพแล้ว แต่ดวงตาเบิกกว้างที่มองมานั้นยังติดตาเขาอยู่ ความมืดและเงียบสงัดทำให้หูเขาได้ยินเสียงนาฬิกาโบราณส่งเสียงติ๊กต่อกมาให้ได้ยิน
เขาคลิกเมาส์เปิดเพลงกลบเสียงนาฬิกา -Kreutzer- ไวโอลินโซนาต้าเบอร์เก้าในบันใดเสียงเอเมเจอร์เริ่มต้นบรรเลงกล่อมห้องอีกครั้ง เสียงไวโอลินอีดออดราวกำลังครุ่นคำนึงแล้วเปลี่ยนเป็นกระชั้นรุกไล่เสียงเปียโน ทุกวลีกรีดย้ำเป็นคำถามแล้วกระชากเสียงตอบตนเองด้วยเสียงเร่งเร้าสั้นๆ สลับกับการดีดสายกระตุกเป็นช่วง วนเวียนและคลี่คลายออกไปหลายลีลาจนอ่อนล้าเฉื่อยเนือย สักพักก็กลับมาตั้งคำถามซ้ำๆ อีก
-ชีวิตก็มีแค่นี้เอง บ่มเพาะความปรารถนาขึ้นมา และมีชีวิตเพื่อสนองความปรารถนานั้น แล้วยังไงอีก..- ชายหนุ่มซึมซับความไร้แก่นสารท่ามกลางเสียงดนตรีอลวน คิดถึงนางภูตถ้าโผล่มาคุยกันอีกหน่อยก็จะช่วยคลายเหงาได้ เขามองแสงเรืองวูบวาบบนผนังตามจังหวะดนตรีที่สะท้อนออกจากจอคอมพิวเตอร์ นอกจากเงาตะคุ่มของขาตั้งรูปวาดบนพื้นแล้ว ทั้งห้องว่างเปล่า -หรือว่าเกิดมาเพื่อที่จะตายไป..ก็เท่านั้น-

ระหว่างครุ่นคิดระเรื่อยไปนั้น สายตาเขาหยุดอยู่กับกองเชือกมุมห้อง กวาดสายตาไปยังรูป-แรงโน้มถ่วง- แล้วสลับกลับมายังกองเชือกอีกครั้ง เขาเกิดอยากรู้ว่าคนใกล้ตายรู้สึกอย่างไร อยากทดลองเข้าใกล้สภาวะนั้นด้วยตัวเอง ทันทีที่คิด..จิตรกรเกิดความตื่นเต้นจนขนลุกไปหมด เดินไปคว้าเชือกทั้งขดออกจากเศษโคมแตก แหงนมองตะขอเหล็กที่เคยเป็นที่แขวนพัดลมเพดานแบบเก่ากลางห้อง ทุกอย่างดูจะพร้อมไปหมด เขาลากเก้าอี้พับมากางออก จัดการให้เชือกคล้องกับตะขอทิ้งปลายห้อยลงมา มันแข็งแรงดี
ชายหนุ่มตื่นเต้นกับความคิดนี้ อะนาดรีลีนหลั่งท่วมร่างเขา แค่ยืนคล้องคอไว้ในบ่วง แล้วงอเข่าปล่อยให้แรงโน้มถ่วงดึงลำคอไว้กับเชือก เขาก็ได้ไปเยือนประตูแห่งความตายแล้ว เอาแค่พอรู้หรือจับความรู้สึกใกล้ตายได้ก็หยุด เหยียดขายืนขึ้นหรือเอื้อมมือยุดเชือกด้านบนไว้ก็จะพาตัวเองออกมาจากอันตรายได้ ไม่น่ายาก
สิ่งที่ต้องทำก็เพียงกะความยาวของเชือกให้ดี เขาไม่นึกกลัวเลยรู้สึกตื่นเต้นและสนุกจนแทบจะผิวปากออกมา พอผูกบ่วงเป็นวงกลมได้แล้วเขาพบว่าเชือกสั้นไป เขาต้องยืนบนเก้าอี้พับจึงจะย่อเข่าได้ เขาปีนขึ้นบนเก้าอี้พับขยับปมบ่วงใหม่ให้ได้ระยะความยาวเหมาะสมการแขวนคอบนเก้าอี้ เขาวัดระยะความสูงอย่างรอบคอบ ไม่นานทุกอย่างก็พร้อมสำหรับความพิเรนทร์นี้
จิตรกรนึกถึงภาพตัวเองห้อยต่องแต่งอยู่กลางห้อง เขาควรจะเปลือยกายด้วยสิภาพที่เห็นจึงจะเร้าใจสมบูรณ์แบบ จิตรกรหัวเราะกับความคิดพิลึกของตน เอาไว้จะฆ่าตัวตายจริง ๆ ค่อยแก้ผ้าละกัน วันนี้แค่ทดลองจะแก้ไปทำไม เขาเปิดตู้เย็นหยิบขวดเหล้ามากรอกจำนวนสุดท้ายในขวดลงคอ ครึ้มอกครึ้มใจมาก สมองปลอดโปร่งสบายใจอย่างที่สุด ประสบการณ์คืนนี้อาจสร้างแรงบันดาลใจใหม่เอี่ยม เขาอาจจะเขียนภาพความตายอีกแบบที่ยังไม่เคยมีใครเขียนมาก่อนก็ได้
จิตรกรขยับเก้าอี้พับให้ได้ตำแหน่งใต้เส้นเชือก ก้าวขึ้นยืนและจัดการให้ลำคอตัวเองแขวนกับเชือกทันที ความสากของเชือกควั่นแบบนี้ระคายผิวเล็กน้อย เอื้อมสองมือยึดเส้นเชือกเหนือศีรษะไว้ก่อนเพื่อความปลอดภัย เขาสูดลมหายใจเข้าลึกและยาว ตั้งสติเตรียมรับรู้สรรพสิ่งรอบตัว เมื่อพร้อมแล้วก็ย่อเข่าปล่อยน้ำหนักตัวถ่วงลำคอทันที
ความรู้สึกแรกคือเชือกบาดคอจนเจ็บ เผลอปล่อยมือลงยุดเชือกที่ลำคอ ทำให้น้ำหนักตัวทั้งหมดดึงเชือกตึงเขม็ง ความเจ็บรอบลำคอไม่มีความหมายเมื่อลมหายใจขาดหายไป ลิ้นถูกดันออกมาจุกปาก เขาตกใจยื่นมือไขว่คว้าอากาศ และแปลกใจว่าทำไมเขายื่นมือขึ้นเหนือศีรษะไม่ได้ ร่างกายเขาดิ้นสะบัดหนีตายตามสัญชาตญาน และแทนที่จะเหยียดขา ชายหนุ่มกลับดีดขาพยุงตัวเหมือนคนกำลังจมน้ำ หลังเท้าข้างหนึ่งเตะพนักเก้าอี้ล้มพับลงกับพื้น
เขาหน้ามืดเพราะขาดอ๊อกซิเจน อยากจะร้องก็ร้องไม่ได้ เพียงไม่นานสติสัมปชัญญะก็ตกวูบลงสู่ความเงียบ เขาแปลกใจที่พบว่าขณะใกล้ตายประสาทสัมผัสละเอียดมาก ชายหนุ่มได้ยินเสียงตัวเองหายใจฝืดดังชัดแต่ไม่มีอากาศเข้ามาในช่องอก สายตาเบิกโพลงมองเห็นแต่แสงสีขาว เขารู้สึกถึงสายลมพัดกรูเข้ามาสัมผัสผิวกาย ได้ยินเสียงนาฬิกาดังติ๊กต่อกท่ามกลางเสียงไวโอลินกระชั้นเร่งเร้า ทุกเสียงแจ่มชัดอยู่ในหัว และก่อนที่เขาจะสิ้นสติไปนั้น เสียงหวูดเรือก็ดังขึ้นจากแม่น้ำ เป็นเสียงดังยาวและชัดราวกับเรือมาลอยลำอยู่ในห้อง จิตรกรสะบัดตัวเตะขาไปมาเป็นครั้งสุดท้าย สองมือคว้าความว่างเปล่าอีกครั้งก่อนจะตกลงข้างกาย
จิตรกรหนุ่มขาดใจตายไปอย่างง่ายดาย ชีวิตช่างเปราะบางยิ่งนัก บัดนี้ไวโอลินโซนาต้าดำเนินมาถึงท่อนฟินาเล่แล้ว.. เรื่องราวควรจะจบลงเพียงนี้ เว้นแต่ว่าเราจะตามดูความเป็นไปในห้องนี้อย่างมีจินตนาการอีกสักหน่อย เราจะเห็นนางภูตคนงามสวมหน้ากากขาวซืดเยื้องกายออกมายืนข้างเท้าที่แขวนต่องแต่งไร้ชีวิตของเขา ชั่วขณะนั้นผนังห้องทั้งสี่ด้านจะล้มครืนโดยไร้เสียง พื้นและเพดานรวมทั้งเชือกก็จะเลือนหายไป เหลือไว้เพียงสองร่างลอยอยู่กลางมหานครยามค่ำคืน
เราจะเห็นนางภูตจำแลงไขว้มือถอดหน้ากากขาวเหมือนปูนปลาสเตอร์ออก และนำมาสวมบนใบหน้าของจิตรกร ร่างเขาจะกลับมาเคลื่อนไหวได้อีกครั้ง
เราจะเห็นดวงจันทร์ลอยดวงอยู่หลังก้อนเมฆ เหนือประกายวิบวับของสายน้ำเจ้าพระยาอันคุ้นเคย และจะเห็นว่านางภูตนิรนามที่ยิ้มพรายเคียงข้างเขานั้น ช่างงดงามน่าหลงไหลไม่ต่างกับสาวิตรีหญิงอันเป็นสุดที่รักของเขาเลย.
เมื่อวันที่ : 06 ก.ค. 2553, 00.11 น.
กลับมาทันเปิดอ่าน "ความตายของจิตรกร" รวดเดียวจนจบ พร้อมกับอารมณ์ที่คล้อยตามตัวละครไปด้วยทุกบรรทัด
โอ้โห..ลุงเปี๊ยกครับ..บรรยายได้เนียนมาก โดยเฉพาะบทไคลแม็กซ์ตอนเชือกรัดคอ ได้อารมณ์สมจริง เหมือนกับจะพลอยขาดอากาศหายใจตามไปด้วย เยี่ยมมากครับ เป็นเรื่องสั้นที่สมบูรณ์ จนไม่สามารถอธิบายถึงความรู้สึกที่อินกับเนื้อเรื่องได้ทั้งหมด
ขอมอบดอกไม้ให้ด้วยความยินดี และดีใจด้วยครับ สำหรับความพยายามจนเป็นผลสำเร็จอย่างยอดเยี่ยม