![]() |
![]() |
เล็ก โยธา![]() |
"ลูกโทรมาแล้วนะ ว่าเขาสอบเอ็นทรานซ์ไม่ติด "
" เอ้า เธอไม่ได้เอาลูกไปเยี่ยมยายที่ต่างจังหวัดด้วย หรือ ?"
ผมตัดสินใจเก็บของขึ้นรถ และโทรไปเลื่อนนัดทานอาหารค่ำกับลูกค้าคืนนี้
เสียดายโอกาสเหมือนกัน เพราะคิดว่าน่าจะปิดการขายได้ในคืนนี้
ไม่รู้ว่าทำไม? ถึงตัดสินใจแบบนี้ ทั้งที่รู้ว่าลำบากมาก กว่าจะนัดลูกค้ารายนี้ได้
ผมรู้แต่เพียงว่า ตอนนี้คิดถึงลูกมากที่สุด และอยากไปอยู่ใกล้ ๆเพื่อคอยให้กำลังใจ
ไม่อยากให้เขาอยู่ตามลำพังในสถานการณ์เช่นนี้
ระยะทางเกือบ 700 กม. กว่าจะถึงบ้านได้ก็คงจะเลยเที่ยงคืนเป็นอย่างน้อย
ระหว่างทาง ผมเตรียมคำพูด และกำลังใจมากมายที่จะบอกแก่ลูก
ว่าการสอบเอ็นทรานซ์สมัยนี้แทบจะไม่มีต่ออนาคตและต่ออาชีพ
เพราะมีมหาวิทยาลัยเอกชนและมีคณะมีวิชาชีพที่ให้เราเลือกมากมาย
เพื่อนพ่อที่ไม่ติดเอนทรานซ์ตอนนี้มีหน้าที่การงานที่ใหญ่โตออกเยอะไป
ลูกเองก็คงคิดเหมือนกัน ว่า จะแก้ตัวอย่างไร เมื่อเอ็นฯไม่ติดจะยังคงได้เรียนในคณะตามที่ตัวเองฝันหรือไม่
เริ่มโทษอะไรเสียมากมาย ที่ทำให้ลูกตัวเองสอบไม่ติด ทั้งที่มีผลเรียนดีมาตลอด
ตั้งแต่ ไอ้ระบบ คะแนนการสอบ Gat บ้าบอ ที่กระทรวงศึกษายังคงทดลอง ลองผิดลองถูก
จนเด็ก ๆ พากันงงทั้งประเทศ ไอ้ระบบคะแนนมาตรฐานมันจะไม่เฮงซวยได้อย่างไร ?
ขนาด ไอ้แชมป์ เด็กที่เรียนอ่อนที่สุดในหมู่บ้าน แม่ง ! ยังติด ธรรมศาสตร์เลย
หลายปีที่ผ่านมา กับหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้น
ไม่รู้ว่าตัวเองตัดสินใจผิดหรือเปล่า ที่ดันทุรังให้ลูกเรียนกับโรงเรียนเดิมตอน ม. 4 ทั้งที่รู้ว่า
ถึงจะเป็นโรงเรียนประถมที่ดี แต่สำหรับการเริ่มสอนในมัธยมปลาย ในปีแรก ที่มีนักเรียนแค่ 2 ห้อง
มันบอกถึงความมั่นใจของผู้ปกครองอันน้อยนิดที่มีต่อโรงเรียนนี้ได้
แต่เรากลับบังคับให้ลูกสละสิทธิ ทั้งที่สอบได้ในโรงเรียนมัธยมปลายที่มีชื่อโดยนักเรียนเกือบ 4พันคนเป็นหลักประกัน
ไม่ใช่เพราะว่า ตั้งแต่มัธยมต้นที่ต้องถูกครูเรียกผู้ปกครองไปพบเป็นประจำ
ในพฤติกรรมที่เริ่มเกเร หัวอ่อนต่อเพื่อน ถูกเพื่อนชักนำได้ง่าย เริ่มคบเพื่อนที่ไม่ดี
กับวัยที่กำลังเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิตกับสถานการณ์เช่นนี้
ผมขอฝากลูกไว้กับครูโด่งที่ดูแลเขามาตั้งแต่อนุบาล คนเดียวเท่านั้นที่เขาพอจะฟังและห้ามเขาได้
การไปเรียนในโรงเรียนใหญ่ ๆที่คุณครูดูแลไม่ทั่งถึง เป็นความเสี่ยงอย่างยิ่ง
ลูกชายของญาติก็คนหนึ่งล่ะ ที่ไปเรียนแล้ว ติดยาบ้า ที่ระบาดมากที่สุดในโรงเรียนแห่งนี้
คิดถึงลูกของเพื่อน ๆบางคน ที่พ่อแม่ต้องตามไปส่งลูกสาว ที่ตะเวนไปเกาะหน้าเวทีคอนเสริต กับนักร้องที่ตัวเองชื่อชอบ
เจ้าเอกลูกเจ๊ติ๋วหน้าปากซอย ฉายา เด็กแวนต์ วัน ๆเอาแต่แต่งรถ โฉบไปโฉบมากับเด็กสาวสก๊อยท้ายตลาด
เจ้าโม เด็กสาวหน้าตาจิ้มลิ้ม ที่เราชอบอุ้มเมื่อตอนเด็ก ๆ ซึ่ง ตอนนี้เธอสลัดคราบเด็กสาว
มาเป็นคุณแม่ตามลำพังเพราะหาพ่อให้ลูกไม่ได้
ใคร ๆรอบตัวหลาย ๆคนที่พอจะนึกได้ .........ก็ เพื่อให้กำลังใจตัวเองว่า
ว่าอย่างน้อยเราก็มีลูกที่ไม่มีปัญหาหรือเป็นตุ๊ดเป็นแต๋ว เหมือนลูกคนอื่น ๆ ก็พอแล้ว
เริ่มโทษตัวเอง ที่ห่างเหินและมีเวลาให้ลูก ๆน้อยไป กับการเปิดบริษัทที่ต่างจังหวัด กลับบ้านเฉพาะเสาร์อาทิตย์
ทุกครั้งที่กลับบ้าน ก็จะมีแต่เจ้าตัวเล็กแหละที่มาคลอเคลียชวนทำโน่นทำนี่ตลอดเวลา
ส่วนเจ้าคนโต ทั้งวันเอาแต่อยู่แต่ในห้อง หรือไม่ก็โต๊ะคอมพิวเตอร์ เพราะมีสังคมออนไลน์ของตัวเอง
จะมีก็เพียง สิ่งที่ปลูกฝังให้ลูก ๆ ในวัยเด้ก ก็คือ เรื่องวาดรูปและอ่านหนังสือเท่านั้น
ที่พอจะภูมิใจในบทบาทของพ่อ อย่างน้อยลูก ๆก็ไม่ได้ติดเกมส์ ติดคุยโทรศัพท์นาน ๆ
ซึ่งหายากมาก กับเด็กสมัยนี้ ที่ว่าง ๆยังเห็นเอากระดาษมาวาดรูป ระบายสี
โดยเฉพาะการอ่านหนังสือถึง แม้จะเป็นหนังสือนิยายญี่ปุ่น นิยายวันรุ่น ก็ยังดี
เพราะเด็กสมัยนี้ มีสื่อทางภาพที่แทบจะจินตนาการกันไม่เป็นแล้ว !
พอเริ่มเป็นวัยรุ่น เราก็ ไม่ค่อยได้คุยกัน เพราะ มีความคิดเห็นที่ต่างกัน
วัยรุ่น ๆบ้านไหน ๆ ก็เหมือนกันทั้งนั้น
เคยถามลูกเหมือนกันว่าจะเรียนอะไร คำตอบคือคณะ นิเทศศาสตร์ เราไม่รู้ว่าเหมือนกันว่า
ไอ้คณะนี้มันมีการเรียนการสอนเรื่องอะไร ? แต่เห็น เด็ก ๆ ชอบเลือกเพราะความเท่ห์ ซะมากกว่า
ทั้งที่ในชีวิตจริง พอจบมาก็พาตกงานกันส่วนมาก ไม่เคยเห็นใครที่มันจบนิเทศน์ ที่ได้ทำงานตามที่เรียนมา
เคยแนะนำให้เรียนสถาปัตย์ เพราะเราเห็นว่า เป็นวิชาชีพ
หรือว่าเราคาดหวังที่จะให้จะสืบต่อในกิจการของตนเองที่เป็นวิศวะ ?
." พ่อรักลูกหรือเป็นห่วงบริษัทตัวเองกันแน่ ! "
ตั้งแต่เรามีปากมีเสียงกันครั้งนั้น เราก็ไมเคยพูดเรื่องเรียนต่อคณะไหนกันอีกเลย
ไม่น่าเชื่อระยะทาง เกือบ700กม.กับเวลาเกือบ6ชั่วโมง จะผ่านเร็วไปได้เพียงนี้
ไฟห้องนอนยังคงเปิดอยู่ ทั้งที่ปกติป่านนี้น่าจะนอนแล้ว
แม่คงโทรมาบอกล่ะซี ว่าพ่อกำลังมาหา
พอเปิดประตูเข้าบ้าน เรากลับมองหน้ากัน โดยไม่ได้พูดอะไรที่เกี่ยวกับผลการสอบกันเลย
" กินข้าวซะลูก พ่อซื้อเกี๊ยวน้ำที่ลูกชอบมาให้ "
" พ่อกินอะไรมาหรือยัง ? ผมกินทั้งหมดเลยนะ"
" พ่อกินที่หน้าปากซอยมาแล้ว "
มองลูกกินข้าวอย่างหิวโหยแล้ว คงนั่งลุ้นตั้งแต่เช้าจนไม่ได้กินอะไรเลยล่ะซี
ผมตอบไปงั้น ๆว่ากินแล้ว เพราะกลัวลูกไม่อิ่ม ทั้งที่ก็หิวเต็มทนเพราะตั้งแต่เช้าผมก็กินอะไรไม่ลงเหมือนกัน
" พ่อกลับมาเสียดึกเลย ไหนว่าจะมาพรุ่งนี้ไง ? "
" พ่อมีประชุมกับลูกค้าแต่เช้าน่ะ "
เกือบสิบโมง ผมก็ยังไม่ลุกจากที่นอน อาจจะเป็นเพราะเพลียจากการขับรถเกือบ 700 กิโลเมื่อวาน
และเหมือนกับเจ้าลูกชายจะรู้ที่ว่า ผมเป็นห่วงเขาแต่ กลับอ้างเรื่องนัดลูกค้ามากลบเกลื่อน
กว่าจะออกจากห้องนอน ลงมาชั้นล่างก็เกือบเที่ยงวัน
เจ้าลูกชายคนดีเหมือนจะรู้ ที่เตรียมอาหารเช้าให้ไว้บนโต๊ะ ทั้งที่ไม่เคยทำ และลืมเรื่องนัดลูกค้าของพ่อเสียสนิท
" พ่อครับ...ผมว่าเรียน สถาปัตย์ ก็ไม่เลวนะครับ..พ่อ "
ผมกอดลูกชายไว้แน่น เราไม่ได้กอดกัน อย่างนี้ นานหลายปีแล้ว ตั้งแต่ เขาเริ่มมีแฟน
" อายเขา........... พ่อ ผมโตแล้วนะ ."
คำพูดนับร้อยที่ต่างคนต่างเตรียมมาพูดให้แก่กัน........... กลับถูกแสดงออกด้วยการกอดกัน......เพียงครั้งเดียว
บางครั้งในคำถามที่หาเหตุผลมาตอบได้ยาก กลับถูกเฉลยได้ด้วยอารมณ์ที่ง่ายจากความรู้สึก
นี่แหละหนา..................... เหตุผลกับอารมณ์
เล็ก โยธา
เมื่อวันที่ : 10 มิ.ย. 2553, 07.51 น.
ผู้อ่านที่รัก,
นิตยสารรายสะดวก และผู้เขียนยินดีรับฟังความคิดเห็นต่อข้อเขียนชิ้นนี้
เชิญคลิกแสดงความเห็นได้โดยอิสระ ขอขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ในการมีส่วนร่วมของท่านในครั้งนี้...