![]() |
![]() |
พลอยพนม![]() |
บนเชิงเขากลางผืนป่าเหนือคลองพุมบัว มีต้นยางยืนต้นแทรกแซมไม้ใหญ่พันธุ์อื่น ๆ อยู่หนาแน่น ซึ่งจะว่าพื้นที่แถบนั้นเป็นดงไม้ยางเสียทีเดียวก็ย่อมได้ ต้นยางมีเปลือกสีเทาปนขาว มองไกล ๆ แลสล้างเหมือนลำเทียนปักเรียงรายอยู่หน้าพระประธานภายในโบสถ์ ลำต้นสูงโปร่ง สังเกตง่าย
ยางแดง ยางขาว ยางนา ยางกุง ยางขี้พรกใบเล็ก ๆ แต่ให้น้ำมันเข้มข้น มีอยู่ดาษดื่นตามป่าแถบนั้น
จริง ๆ แล้วตัวผมไม่ได้มีอาชีพเจาะยางเพื่อตักน้ำมันไปขายให้พวกเถ้าแก่ในตลาดหน้าอำเภอแต่อย่างใด หากแต่เพื่อน ๆ ที่เคยไล่เตะก้นกันมาเมื่อสมัยเด็ก ๆ สาม-สี่คน เคยยึดอาชีพนี้ทำมาหารับประทานกัน
พอจบชั้น ป. 4 พวกมันก็หิ้วครุใส่น้ำมันยางตามหลังพ่อแม่เข้าไปในป่ากันแล้ว
ครั้นอายุ 14-15 แต่ละคนก็แตกเนื้อหนุ่ม ร่างกายกำยำ ต่างจากผม ที่เวลานั้นไม่ค่อยจะพบปะกับงานหนักมากนัก เพราะอยู่ในโรงเรียน นิ้วมือจับอยู่แต่ดินสอปากกา กล้ามเนื้อมันเลยไม่ผุดออกมาเท่าที่ควร พอโรงเรียนปิดเทอม ผมกลับมาบ้าน เห็นพวกเพื่อน ๆ นุ่งกางเกงขายาว สวมเสื้อเชิ้ตสีลายพร้อย ตัดผมรองทรง เคล้าน้ำมันใส่ผมกันมันเยิ้ม แล้วก็ริสูบยาใบจากคล้ายคนมีอายุ ผมก็อดหัวเราะไม่ได้ เมื่อเจอหน้ากันหน้าจอหนังกลางแปลงที่หน้าอำเภอ ผมก็เข้าไปสวัสดีครับ พวกมันก็อายม้วน
จริง ๆ นะครับ เพื่อน ๆ ของผมที่ไม่ได้เรียนต่อนี้ ส่วนมากเมื่อพบเจอกันใหม่ ๆ ก็มักจะมีทีท่ากระดากอาย จนผมต้องงัดวิชาเปลี่ยนพฤติกรรมด้วยทฤษฎีละลายหิมะออกมาใช้ แต่ก็กินเวลาพอสมควร กว่าจะแนบสนิทเข้ารูปเดิม
หากแต่ ไอ้พริ้ง ไอ้ชน ไอ้เติบ เพื่อนซี้สองสามคนนี้ เมื่อเจอกันหน้าจอหนังกลางแปลงหรืองานสวนสนุก พวกมันก็มักจะขอเป็นเจ้ามือเลี้ยงของกินผมเสมอ อ้อยควั่นเอย ข้าวต้มมัดเอย ผัดไทห่อใบตองหยิบกินด้วยมือ หรือแม้กระทั่งถั่วลิสงที่เขาต้มใส่กระทงขายให้พวกคนดูหนังนั่งขบเคี้ยวกันเพลิน ๆ ราคากระทงละบาทสองบาทมันก็ไม่ยอมให้ผมควักกระเป๋า
มันบอกว่า มึงยังเรียนหนังสือ เก็บไว้กินขนมที่โรงเรียนดีกว่า
ผมจึงแกล้งย้อนมันว่า แล้วพวกมึงเล่า!! ไม่คิดจะเก็บตังค์ไว้ขอเมียกันบ้างหรือ? ได้ข่าวว่ามีโฟงมีแฟนกันแล้วนี่
มันส่ายหน้า เหนียมอายกันใหญ่ แต่สักประเดี๋ยวความลับก็แตก!!!
คนโน้นแฉคนนี้ คนนี้แฉคนนั้น เดี๋ยวเดียวผมก็ได้รู้ความลับของพวกมันจนหมดสิ้น ซึ่งจริง ๆ แล้วขณะนั้นพวกมันยังไม่มีแฟนกันสักคน ได้แต่ด้อม ๆ มอง ๆ ทำเป็นหมาหยอกไก่ บางคนก็เป็นมดแดงแฝงต้นมะม่วง ซึ่งฟัง ๆ แล้วก็ขำ จนบางครั้งก็อดที่จะหัวร่อก๊าก ๆ ออกมาไม่ได้
แล้วเราก็สนิทสนมกันดังเดิม อยู่ว่าง ๆ ผมก็ปั่นจักรยานไปเที่ยวบ้านพวกมัน เจอหน้ามันบ้าง ไม่เจอบ้าง เพราะบางวันมันก็ต้องเข้าป่าไปตักน้ำมันยางออกมาขาย ต้องเดินเท้า เพราะไม่มีถนนตัดเข้าไป ต้องข้ามห้วยข้ามคลอง ขึ้นเนินลงเนิน สักประมาณหนึ่งชั่วโมงจึงจะไปถึงดงไม้ยาง
ครั้งแรกที่ผมติดตามพวกมันเข้าไปในดงไม้ยางแห่งนั้น กว่าจะย่ำเท้าไปถึงผมก็เหนื่อยจนลิ้นห้อย เพราะนาน ๆ สักครั้งจะได้กลับมาบ้าน และเข้าป่าเข้าดง ไม่ได้สมบุกสมบันเหมือนสมัยเรียนหนังสืออยู่ชั้นประถมปลาย วึ่งสมัยนั้นผมเข้าไปเสาะหาของป่ากับพวกญาติ ๆ บ่อยมาก เสาร์-อาทิตย์ ปิดเทอม ใครเข้าป่า ผมเป็นต้องติดสอยห้อยตามไปด้วยทุกครั้ง
แต่ป่าก็คือป่า เมื่อหลุดเข้าไปครั้งใดก็แสนจะเพลิดเพลิน และมันก็จะกลายเป็นโลกอีกโลกหนึ่งสำหรับเราไปทันที นั่นคือโลกแห่งความสดชื่นรื่นรมย์ที่เราไม่ใคร่จะได้สัมผัสกันบ่อยนัก ต้นไม้ ใบหญ้าเขียวขจี ร่มรื่นเยือกเย็นสายตา เห็ด เฟิร์น ดอกไม้หลากสีสันดาษดื่น สร้างบรรยากาศตื่นตาตื่นใจให้กับเรายิ่งนัก อีกทั้ง นก หนู และแมลงต่าง ๆ กรีดเสียงขับขานระงมไพร ทำให้เรารู้สึกและสัมผัสได้ถึงอิสระเสรีที่มีอยู่ แต่ก็มักจะหาไม่เจอเมื่อต้องติดอยู่ในที่ที่มีบรรยากาศอึกทึกครึกโครม
ป่าเหนือต้นน้ำคลองพุมบัวมีพืชพรรณนานาชนิดที่เอื้อประโยชน์แก่ผู้คนในย่านนั้น อย่างเช่นสีเสียด ก็กะเทาะเปลือกเอาไปกินกับหมากพลูป้องกันปูนแดงเผาปาก เถาวัลย์เปรียง ก็ใช้เป็นยาสมุนไพรช่วยรักษาอาการปวดเมื่อย ปวดข้อ และปวดหลัง ได้เป็นอย่างดี รวมทั้งพืชพรรณอื่น ๆ อีกหลายชนิดที่มีอยู่ตามแถบนั้น แล้วพวกชาวบ้านเขาก็เข้าไปตัดและเก็บเอามาทำเครื่องยารักษาโรค หรือตัดเก็บมาตากแห้งเอาไปชั่งกิโลขายให้กับร้านขายเครื่องยาในตลาด
สำหรับน้ำมันยางที่พวกพ่อค้ารับซื้อนั้น เขาจะใช้ขวานเจาะตรงโคนต้น ซึ่งเป็นขวานที่มีลักษณะใบยาว ๆ ด้ามสั้น ๆ ผิดกับขวานที่ใช้งานโดยทั่วไป เพราะขวานเจาะมีไว้สำหรับเจาะลึกเข้าไปในเนื้อไม้อย่างเดียวเท่านั้น โดยเฉพาะตรงโคนของมันจะต้องเจาะเข้าไปให้ลึกที่สุด คือ ยิ่งลึกได้เท่าไหร่ยิ่งดี ขุดเจาะเป็นโพรงเหมือนนกเงือกทำรัง สำหรับใช้เป็นแอ่งขังน้ำมัน ซึ่งเขาเรียกกันว่า "ขุมยาง"
และเมื่อขุดเจาะขุมยางเสร็จใหม่ ๆ ก็จะปรากฏน้ำมันยางสีใสเหมือนน้ำในบ่อหยดลงมาขังอยู่ในขุมนั้น ซึ่งมันจะค่อย ๆ หยดลงมาทีละนิดละหน่อย แต่เมื่อทิ้งไว้สักสองสามวัน ในแต่ละขุมของแต่ละต้นก็สามารถเอากะลาใบเขื่อง ๆ จ้วงไปตักออกมาได้ถึงค่อนกะลา หากใครมีต้นยางไว้ในเขตจับจองสักสี่ห้าสิบต้น ก็จะได้น้ำมันยางไม่ต่ำกว่าสองปี๊บ
สมัยนั้นน้ำมันยางใสเป็นสินค้าจากป่าที่มีราคา ที่ตลาดหน้าอำเภอรับซื้อปี๊บละ 50 --60 บาท ในขณะที่ข้าวสารอย่างดีถังละสามสี่สิบบาทเท่านั้น ถ้านำมาเปรียบเทียบกับสมัยนี้ น้ำมันยางหนึ่งปี๊บ ก็คงจะขายได้ไม่ต่ำกว่าเจ็ดแปดร้อยบาท และถ้าอาชีพนี้ยังมีอยู่ ก็นับว่าเป็นอาชีพที่ทำรายได้ได้ไม่เลวเหมือนกัน
ผมเข้าไปเที่ยวดงไม้ยางกับพวกเพื่อน ๆ ครั้งแรก ก็รู้สึกแปลกใจที่เห็นแถว ๆ ปากขุมยางมีร่องรอยถูกไฟลนจนไหม้ดำ และภายในขุมมีน้ำยางสีขุ่น ๆ ขังอยู่ แล้วพวกมันก็เอากะลาจ้วงตักมารินใส่ครุ พอใส่ลงไปได้เกือบเต็ม ก็หิ้วไปถ่ายใส่ปี๊บซึ่งวางไว้ที่ขนำ และที่ปี๊บก็ผูกรัดสาแหรกสำหรับสอดไม้คานหาบเตรียมไว้เสร็จสรรพแล้ว
ผมเฝ้าดูพวกมันทำงานกันอย่างแคล่วคล่อง แต่ละคนเดินหิ้วครุใส่น้ำมันไปตามโคนต้นยางที่ขึ้นอยู่ตามเนินสูง ๆ ต่ำ ๆ และบางแห่งก็อยู่ในที่สูงชัน พวกมันก็เดินไปเดินมาอย่างแคล่วคล่อง เหมือนพวกแม่ค้าเดินอยู่ในตลาด ดูช่างปราดเปรียวน่านับถือจริง ๆ
เมื่อเก็บตักน้ำมันยางออกจากขุมหมดทุกต้นแล้ว ก็ถึงเวลาเผายาง ซึ่งพวกมันก็จะจุดคบไฟที่ทำจากเปลือกเสม็ดชุบน้ำมันยาง โดยเอาเปลือกเสม็ดมามัดเข้าด้วยกันเป็นก้อนกลม ๆ ยาว ๆ ขนาดท่อนแขน จุ่มลงไปในครุน้ำมันยางจนชุ่ม แล้วยกขึ้นมาจุดไฟแดงโร่ ควันสีดำพวยพุ่ง ตลบอบอวน กลิ่นขื่น ๆ โชยเข้าจมูก หลังจากนั้นก็นำเอาคบไฟที่ลุกโชนตรงไปสอดเข้าที่ปากขุมยางซึ่งตักน้ำมันยางออกหมดแล้ว ลนอยู่สักพักไฟก็ลุกไหม้ลงไปในขุม เพราะมันยังมีร่องรอยของน้ำมันยางหลงเหลืออยู่ พวกเพื่อน ๆ ของผมจึงต้องคอยระวังกะจังหวะไม่ให้ไฟลุกไหม้นานเกินไป
พอเห็นว่าไฟไหม้ลามจนทั่ว ก็จะดับด้วยกิ่งไม้สด ๆ ที่ไปตัดมาเอามาทั้งใบ ฟาดแรง ๆ เข้าไปสักสามสี่ครั้งไฟก็มอด เหลือเฉพาะควันสีขาว ๆ ลอยกรุ่นออกมา ทำอย่างนี้จนทั่วหมดทุกต้นก็เป็เป็นอันเสร็จภารกิจ หาบน้ำมันยางที่ใส่ไว้ในปี๊บกลับบ้านได้ รอกระทั่งครบกำหนดน้ำมันยางที่เผาลนครั้งใหม่ย้อยลงมาเต็มขุม ซึ่งก็ใช้ระยะเวลาประมาณสามสี่วัน จึงค่อยกลับเข้าไปในดงไม้ยางพวกนั้นอีกครั้ง...
ด้วยประสบการณ์ของพวกเขา ผมได้สดับมาว่าการเผาลนไปตามขุมยางนั้น เป็นการกระตุ้นให้ต้นยางขับน้ำมันออกมา หากแต่รอบหลังน้ำมันที่ได้จะไม่ใช่น้ำมันยางชนิดที่มีใสเหมือนน้ำในบ่ออีกแล้ว เพราะน้ำมันยางใสจะหยดลงมาก็เฉพาะตอนที่ขุดเจาะครั้งแรกเท่านั้น ครั้งต่อไปจะต้องใช้วิธีกระตุ้นด้วยการสุมไฟอย่างนี้เสมอ น้ำมันยางจึงจะหยดออกมา และมีสีขุ่น ๆ ซึ่งราคาก็จะถูกกว่าน้ำมันยางสีใสครึ่งต่อครึ่ง ตกปี๊บละ 30 บาท แต่ก็พออยู่ได้ เพราะถ้าขยันก็คุ้มค่าเหนื่อยเหมือนกัน
พวกน้ำมันยางพวกนี้ ที่ตลาดแถวนั้นเขารับซื้อไปขายต่อที่กรุงเทพฯอีกทอด เพื่อนำไปผลิตดัดแปลงเป็นผงชันสำหรับยาหมันเรือ หรือใช้ในการเผาไหม้ของเครื่องยนต์แทนน้ำมันขี้โล้ นอกจากนั้นก็ใช้เป็นสรรพคุณทางยารักษาโรค ซึ่งสามารถนำไปรักษาได้สารพัดโรคเช่นกัน เช่น โรคเรื้อน โรคริดสีดวง ฝี หนอง แม้ผสมกับเม็ดกุยช่ายคั่วให้เกรียม บดให้ละเอียด ใช้อุดฟันแก้ฟันผุก็ยังได้
หากเดี๋ยวนี้ป่าต้นน้ำเหนือคลองพุมบัว ถ้าผมไม่เก็บมาเล่าไว้ ณ ที่นี้ ผู้คนแถบนั้นก็คงจะลืมกันไปแล้ว เพราะกาลเวลาได้ล่วงผ่านมานานแล้ว และที่สำคัญ ครั้งหนึ่งเคยมีเจ้าสัวจากเมืองกรุงไปตั้งโรงเลื่อยเลื่อยไม้แปรรูป โดยขอสัมปทานป่าไม้กับทางราชการอย่างถูกต้อง ไม้ยางแถวนั้นเลยเหี้ยนเตียนไปหมด พวกเจาะยางขายน้ำมันก็หลงลืมตัวเมื่อโดนเขาเอาเงินเข้าล่อ หลงตัดต้นยางของตนขายให้กับโรงเลื่อยไปเสีย พอโรงเรื่อยเลิกกิจการ เพราะรัฐบาลประกาศยกเลิกสัมปทาน และปิดป่า พวกเขาบางคนจึงคิดได้ แต่มันก็สายไปเสียแล้ว... ผืนป่าเชิงเขาเหนือคลองพุมบัวไม่มีไม้ยางต้นโต ๆ ให้เขาได้ขุดเจาะลนไฟเอาน้ำมันของมันใส่ปี๊บไปขายหลงเหลืออีกเลย
นี่แหละครับที่เขาว่าคนจนสายตาสั้น ซึ่งมันก็ถูกของเขาเหมือนกัน แต่ถ้าจะให้ถูกที่สุดก็ต้องว่าผู้ปกครองตาบอด
คือไม่มองเห็นอนาคตของบ้านเมือง ไม่คิดว่าต่อไปภายหน้าราษฎรจะอยู่กันอย่างไร เพราะมัวแต่ตั้งหน้าตั้งตากอบโกยผลประโยชน์เข้าพกเข้าห่อของตน จนไม่ลืมหูลืมตา ครั้นมาตอนนี้ พวกราษฎรเขาได้รับการศึกษา ทำให้สายตายาวขึ้น เขาก็เอะอะเอาบ้าง ก็พานโกรธตีโพยตีพายจะตายชัก
เฮ้อเวรกรรม
*********************************************
เมื่อวันที่ : 08 มิ.ย. 2553, 07.18 น.
ผู้อ่านที่รัก,
นิตยสารรายสะดวก และผู้เขียนยินดีรับฟังความคิดเห็นต่อข้อเขียนชิ้นนี้
เชิญคลิกแสดงความเห็นได้โดยอิสระ ขอขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ในการมีส่วนร่วมของท่านในครั้งนี้...