![]() |
![]() |
เล็ก โยธา![]() |
...ถ-ตามหาความสุข ? = ถามหาความสุข+ตามหาความสุข...
ถ-ตามหาความสุข ?ผมชอบทำอาหารทุกเช้าของวันอาทิตย์ นอกจากเหตุผลส่วนตัวที่เป็นคนชอบทำอาหารแล้ว เรามักผิดหวังกลับการไปกินอาหารนอกบ้าน อย่างเมื่อวาน สั่งปลาเก๋าทอดน้ำปลา เจอราคาจานละ650 บาท ปลาตัวโตกว่าฝ่ามือนิดเดียว และไม่เต็มใจที่จะตายด้วย (ไม่สด) วันนี้เลยตั้งใจที่จะ ซื้อมาทอดเอง อย่างมากก็สองร้อยกว่าบาท สดกว่าด้วย
และเหตุผลที่สำคัญที่สุดของการได้ทำอาหาร ผมจะมีความสุขมาก ที่ได้เห็นทุกคนกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย ด้วยหน้าตาที่พึงพอใจ จากฝีมือของเราเอง
ที่บ้านจะตั้งโต๊ะกินอาหารเช้า กินกันเป็นเรื่องเป็นราว เหมือนกับทุกคนที่กินอาหารเย็นเต็มโต๊ะ อย่างไงอย่างนั้นส่วนอาหารมื้อเย็นกลับตรงกันข้าม เคยคิดจะอดข้าวเย็นตามที่พระพุทธเจ้า ท่านห้าม เพราะท่านเห็นว่า กินแล้วก็ใกล้ถึงเวลานอน เสียประโยชน์เปล่า จะติดก็ที่เด็ก ๆกำลังโต จะอดอาหารทั้งมื้อ คงไม่เข้าที
จากทุกครั้งที่จะต้องขับสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า วันนี้เราเลือกที่จะเดินไปหน้าหมู่บ้าน ก็ราวๆ ซักกิโลกว่า อยู่หมู่บ้านนี้มาก็เกือบ 10ปี ยังไม่เคยเดินเล่นเลย วันนี้ก็เลยถือโอกาส ออกกำลังกายไปด้วย เช้านี้ในหมู่บ้านไม่ได้เงียบเหงาอย่างที่คิด จะเห็นคนแก่ มาออกกำลังกายเต็มไปหมด เจออาซิ้มคนหนึ่งนั่งร้องไห้ เข้าใจว่าคง ทะเลาะหรืองอนกับคนในบ้าน คนแก่ก็อย่างนี้แหละ ขี้น้อยใจ ลูกหลานส่วนมากก็ไม่ค่อยสนใจกัน คงต้องรอให้ตรุษจีนนั่นแหละ ตอนที่ได้ไหว้เจ้า เพิ่งจะมาคิดได้ และอยากที่จะเอาใจ ก็สายเสียแล้ว อาหารที่พ่อแม่ เคยชอบก็จะจัดหามาเซ่นไหว้ อย่างดี ตอนที่พ่อแม่มีชีวิตกลับคิดกันไม่ค่อยได้ พอบ่นอยากจะกินโน่นกินนี่ ก็พาลหาว่าเรื่องมาก แต่ตอนนี้ไหว้กับข้าวเต็มโต๊ะแบบนี้ พ่อแม่จะได้กินซักคำหรือเปล่ายังไม่รู้เลย ?
ได้เดินลัดสนามหญ้า เจอกลุ่มคนงาน นั่งกินข้าวล้อมวงข้างถนน กับข้าวแบเต็มพื้นถนน จนคนอื่นที่เดินผ่านพากันดูแคลน แต่พวกเขาก็มีจิตใจเรียกเรา กินด้วย ด้วยจิตใจที่ ประเสริฐ ถึงเขาจะมีน้อยหรือไม่มี แต่ทุกคนก็ยังมีคำว่าแบ่งปัน อยู่ในจิตใจ ในขณะที่เราเองกลับมีแต่คำว่า แย่งกัน
ผ่านสระว่ายน้ำ คุณ(ทวด) หมอ ก็ยังคงว่ายน้ำเหมือนกันทุกวัน เห็นเขาว่า ปีนี้แกก็จะอายุ 85 ปีแล้ว เพิ่งกลับจากรพ.เมื่อวาน ไม่ได้ไปให้หมอฉีดยาหรอก แกไปเยี่ยม ลูกของเหลน ที่ท้องตั้งแต่ยังไม่จบม.6 ไล่ญาตินับญาติกันคงลำบากพอดู คุณหมอทวด แกบอกว่าแกมีเป้าหมายที่จะมีชีวิตอยู่ถึง 120 ปี แกบอกว่าโครงสร้างของร่างกายมนุษย์มันควรจะมีอายุเท่านั้นจริง ๆตามที่แกเรียนมา ทุกวันนี้มนุษย์ทำลายอายุขัยตัวเองด้วยอาหาร และไม่ออกกำลังกาย ก็จะจริงอย่างที่แกพูด แกเองอายุปูนนี้ ว่ายน้ำวันละ 200 เมตรสบาย ๆ และอัตราการเผาผลาญอาหารแกต่ำมาก หัวใจแกเต้นแค่ 60 ครั้ง/วินาที น้อยกว่าปกติของคนเราที่ 75 --80 ครั้ง ถ้าร่างกายถอดออกมาดูได้ ก็จะ เหมือนกับเครื่องยนต์ที่ยังใหม่อยู่ แกยังเล่าต่อไปว่าจิตใจและกำลังใจ เป็นอาหารเสริมอย่างดี วิเศษกว่าอาหารใด ๆ แกเล่าว่า เมื่อก่อนแกก็เหมือนคนทั่ว ๆไป ไม่ค่อยได้สนใจร่างกายตัวเองหรอก จนกระทั่งแกไปเจอคนไข้อยู่ caseหนึ่ง ซึ่งทำให้วิถีชีวิตแกเปลี่ยนไปมาก คือคู่ผัวเมียภารโรงที่โรงพยาบาลที่แกทำงานอยู่ ผัวเป็นภารโรง เมียเป็นแม่บ้าน อยู่ ๆ เมียแกก็เป็นมะเร็งที่มดลูก ระยะที่ 4 ถึงขนาดเลือดตก ยางออก Case นี้ คุณหมอบอกว่า อยู่อย่างมากไม่เกิน 6 เดือน แต่เมียภารโรง แกค่อนข้างจะเพี้ยน หาว่า หมอตรวจผิด แกไม่เป็นอะไร แกออกจะแข็งแรง วันไหนผัวเมากลับมา แกแบกผัวจากหน้า รพ. มาที่บ้านพักหลัง รพ. สบาย ๆ
จนกระทั่งเวลาผ่านไป 6 ปี ตอนนี้ฝ่ายเมียแม่บ้าน นั่งรักษาการ ตำแหน่งภารโรงแทนผัว ส่วนผัวภารโรงตอนนี้นั่งรักษาอาการนอนอยู่ห้อง ICU เพราะเป็นมะเร็งตับ เนื่องจากกลุ้มใจมากที่เมียเป็นมะเร็ง ก็เลยกินเหล้าย้อมใจ หนักกว่าเดิมอีก.... ใจหาย ก็จะพาลไม่หายใจ เอา
มาถึงป้อมยามหน้าหมู่บ้าน หลวงตายังยืนรอรับบาตร อยู่เลย เขาว่าแกเป็นคนแปลก แกกำลังกลับวัด แกร้องขอให้ช่วย หิ้วของตามไปส่งแกหน่อย เราเองก็รู้สึกไม่ค่อยเต็มใจนัก นี่ขนาดบวชเป็นพระแล้ว แค่องค์เดียว บิณฑบาทเอากลับวัดเยอะแยะ พะรุงพะรัง 4-5 ถุงเต็ม ๆ ไปทำไม ? เรื่องแค่นี้ยังยึดติด ยังสะสม ตัดไม่ได้ แต่เห็นว่าเป็นพระ จึงจำใจช่วย เดินไปด้วยกัน คุยไปด้วยกัน ถึงได้รู้ความจริงที่ว่า .....................ตลอดทางที่เดินกลับวัด ผ่านคนจรจัดเจอคนบ้า นอนข้างถนน แกก็เอาข้าวไปให้กิน ของในบาตรในย่าม ใครขอแกก็ให้ จนสุดท้ายก่อนถึงประตูวัด เหลือข้าวติดบาตร และแกงอยู่ 2-3 ถุง แก บอกว่า คนเราน่ะ กินอยู่ แค่นี้ก็พอเพียงแล้ว
ฟังแล้ว แทบจะบรรลุธรรม อาจจะจริงอย่างที่แกพูด เพราะตั้งแต่ช่วยแกแบกอาหาร 3-4 ถุงใหญ่ ๆ น่าจะยินดี แต่กลับหนักและเป็นทุกข์จากการแบกและสะสม ยิ่งมากกลับยิ่งทุกข์ แต่เมื่อนำไปแจกแก่ผู้คนที่อดอยาก ยิ่งให้ ยิ่งเสีย ยิ่งหมด แต่ใจกลับเปี่ยมสุข นี่แหละหนา ยิ่งให้กลับยิ่งได้รับ อะไรจะสุขจากการให้เป็นไม่มี
หนทางไปสู่ความสุขของคนเรานี่มันแปลกและแตกต่างกันจริง ๆ ทุกคนพยายามดิ้นรนเพื่อที่จะพยายามสร้างเงื่อนไขที่จะเป็นตัวแปล (constrain) เพื่อเป็นบันไดก้าวไปสู่หนทางของความสุขให้กับตัวเอง ในขณะเดียวกันก็พยายามแก้เงื่อนไข ที่เป็นเหตุทำให้ตนเองเกิดความทุกข์
จริง ๆแล้ว สุขกับทุกข์ มันไม่ได้อยู่ด้วยเงื่อนไขอะไรเหล่านั้นหรอก เพราะเงื่อนไขทั้งหมดที่เกิดขึ้น มันมีอยู่ ตั้งอยู่ แล้วก็จะดับไปตามสภาพของสัจธรรมของมันเอง ตัวเราจะสุขหรือจะทุกข์อยู่ที่ใจของเรา มันจะกำหนดสภาวะ อยากสุขหรืออยากทุกข์ ต่างหาก และความสุขเราก้ไม่จำเป็นต้องไปดิ้นรนหามัน ในขณะเดียวกันความทุกข์เราก็ไม่จำเป็นต้องหลีกหนี เราควรที่จะ เรียนรู้ที่จะอยู่สบายกับมันให้ได้อย่าให้มันมามีผลกระทบมากมายต่อตัวเรา เพราะมันเป็นเรื่องธรรมชาติ มันมาและมันก็ไปมันเอง
ตามหาความสุข อยู่นาน ....... ที่แท้ ความสุขสร้างได้จากใจ ที่เรากำหนด เหมือนกลับตัวเองหลงทางมาทั้งชีวิต จริง ๆแล้วความสุขและความทุกข์มันไม่ได้อยู่ไกล และมีเงื่อนไขมากมายอะไรหรอก
มันซ่อนอยู่ในหลืบ เล็ก ๆของจิตใจ ที่เราไม่สนใจ จึงทำให้เรา หามันไม่เจอ....ต่างหาก
เมื่อวันที่ : 09 ก.พ. 2553, 04.53 น.
ผู้อ่านที่รัก,
นิตยสารรายสะดวก และผู้เขียนยินดีรับฟังความคิดเห็นต่อข้อเขียนชิ้นนี้
เชิญคลิกแสดงความเห็นได้โดยอิสระ ขอขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ในการมีส่วนร่วมของท่านในครั้งนี้...