![]() |
![]() |
เล็ก โยธา![]() |
...เรื่องเล่าเด็กวังหลวง 1
เป็นบันทึกความทรงจำสมัยที่มาเป็นเด็กวัดเพื่อกวดวิชาที่กรุงเทพ ฯพศ. 2525
หมายเหตุ: เด็กวังหลวง (วังระฆัต-สนามหลวง)...
เรื่องเล่าเด็กวังหลวง 1เป็นบันทึกความทรงจำสมัยที่มาเป็นเด็กวัดเพื่อกวดวิชาที่กรุงเทพ ฯพศ. 2525
หมายเหตุ: เด็กวังหลวง (วังระฆัต-สนามหลวง)...
ตอนที่ 1 .... ปราบเซียนตำราระดับเทพ?
ผมก็เหมือนเด็กต่างจังหวัดทั่วไปเมื่อจบมัธยมปลายก็ต้องเข้ากรุงเทพฯเพื่อมาสอบเรียนต่อ ระหว่างที่รอการสอบประมาณ 2-3 เดือนช่วงที่ว่างก็จะไปเรียนกวดวิชากัน ชีวิตช่วงนี้อาจจะเป็นครั้งแรกที่ได้จากบ้านมานาน ๆ เหมือนนกติดปีก แรก ๆก็ไปพักกับญาติที่บางเขน ซึ่งอยู่ไกลกันมาก แต่แก๊ง ของผมมันเด็กวังหลวง (วังระฆัด-สนามหลวง) กันทั้งนั้น จากที่ต้องกลับดึกบ่อย ๆ ก็เริ่มที่จะไม่กลับบ้าง โดยอ้างว่ากลับบ้านต่างจังหวัดบ้าง ติววิชากันดึกดื่นบ้าง สุดท้ายก็เลยไม่กลับเลย .....ย้ายออกมาได้เป็นเด็กวังหลวงกับเขา สมใจอยาก
เพราะการจากบ้านใหม่ ๆ มารับผิดชอบตนเอง ไม่ต่างอะไรกับนก ที่หลุดออกจากกรง เรื่องรับผิดชอบในเรื่องเงินน่ะ ลืมไปได้เลย ยิ่งไม่ต้องรับผิดชอบค่าอาหารเพราะกินฟรีที่วัดแล้วด้วยล่ะก้อ เงินที่มีอยู่ก็เลยหมดไปกับการเที่ยวเตร่ โดยเฉพาะถ้าได้หลีสาวติด และมีการนัดพาสาวดูหนัง ล่ะก้อ จะเป็นเรื่องที่ใหญ่โตมาก วัยรุ่นสมัยนั้น เสื้อจะต้องเป็นเสื้อยืดอเมริกันฟุตบอลมีเบอร์อยู่ข้างหลัง ผ้าเป็นรูเล็ก ๆ ตัวละ 800กว่าบาท (เกือบ 2,000 บาทสมัยนี้) กางเกงก็ต้องลีวายป้ายส้ม แบบตะเข็บคู่ , เข็มขัดหนังแบบสาน , หมวกแก๊ป ,แว่นตาเรแบนด์รุ่นแมคอาเธอร์ และรองเท้าผ้าใบคอนเวอร์ส และจะต้องเป็นชุดนี้เท่านั้นสำหรับพวกเราชาววัง(หลวง) สีและขนาดเหมือนกันเป๊ะทุกคน เพราะเป็นชิ้นส่วนของชุดเก่งของแต่ละคนมารวมกัน แต่มาผลัดกันใส่ สำหรับนัดใหญ่ (นัดสาวดูหนังครั้งแรก .....First Impression เท่านั้น แต่ละคน บางคนรูปร่างตรงกับชุดที่ใส่ ก็ดูดี ใครที่เตี้ยหรืออ้ วนจะมีปัญหาที่สุด บางคนพับขากางเกงเป็นแผงพับ ๆ ชุดจะไม่สมส่วนช่างมัน.. อวดรวยไว้ก่อน ทุเรศช่างมัน ผู้หญิงสมัยไหนก็เหมือนกันทั้งนั้นชอบผู้ชาย... รวย เรื่องหล่อและดีมันรุ่นพ่อเรา รุ่นมิตร -- เพชรา โน้น
เรื่องเสื้อผ้าเสร็จก็เรื่อง Pocket money ก็สำคัญ ควักออกมาจ่ายต่อหน้าสาว ๆ ต้องสร้างความประทับใจให้ได้ ......ต้องเป็นแบงค์ร้อย เท่านั้น (สมัยนั้นแบงค์ 500, 1,000 และบัตรเครดิต ยังไม่มี) เราก็จะต้อง รวบรวมยืมเงินกัน คนละ สิบบาท ยี่สิบ สามสิบ รวมให้เป็นร้อย แล้วจะไปแลกกับ เจ๊นิดหลังวัด ซึ่งยากที่จะได้แบงค์ใหม่ ๆ เพราะเจ๊นิดแกขายปลาสด แกจะทำปลาและมือแกจะเลอะเทอะ และคาวมาก กลิ่นคาวก็จะติดแบงค์ ที่เราแลก สาว ๆได้กลิ่น จะพาลเกลียดคนระดับเราได้ ก็ต้องมีการเอามาล้างมาตากแดดกัน บางทีเผลอ ก็เสร็จ เสียมวย เด็กวัดคนอื่น ที่มาจิ๊กไป นัดนั้นก็ชวด ถึงกลับ เป็นนัด บอด เลยนะ
สมัยก่อนการสอบเอ็นทรานสายวิทย์จะสอบเพียงวิชาหลัก 5 วิชา หลัก คือ ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ อังกฤษ และคณิตศาสตร์ สอบที่เดียวครั้งเดียว คะแนนเต็ม 500 คะแนน สอบได้เท่าไรก็เอาไปเทียบคะแนนกับแต่ละสาขาที่เราเลือก วัดดวงกันครั้งเดียวจบไมเหมือนสมัยนี้ (มันเก่งที่จะทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องโคตรยากและสับสน ได้)
ในสมัยนั้นโรงเรียนกวดวิชา ที่ดังๆจะมี Math center , Home of Engish 2 วิชานี้แหละที่ข้อสอบค่อนข้างยาก เด็กจะเรียน 2 วิชานี้มากที่สุด เรียนทีละรอบ ๆ หนึ่ง 2,000 -3,000 คน โดยเฉพาะ เด็กนักเรียนสาว ๆ จะเรียนกันมากเพราะผู้หญิงมักจะอ่อนเลข ด้วยเหตุนี้พวก เราจึงสนใจที่จะเรียน Math center กันมากที่สุด
หลังจากไปเป็นเพื่อน กับเพื่อนที่สมัครเรียน คนแล้วคนเล่า และรอเงินเพื่อนที่ยืมและมันกลับบ้านไปเอาเงินที่บ้าน ก็ไม่ยอมมาซะที Cause นี้ รอบนี้ ก็จะเต็มแล้ว
นี่ถ้าไม่ได้ลง เรียนรอบเดียวกับ.....น้องเปิ้ล เด็กสตรีวัดระฆังล่ะก้อ งานนี้ ต้องมีการชกกันแน่ ๆ เมื่อรอไม่ไหว ความรักเปี่ยมล้น ......ก็เป็นจุดเริ่มต้นของขบวนการปราบเซียน ที่เกริ่นไว้แต่ต้น
เราเริ่มเห็นช่องว่าง ที่จะเรียนฟรี เกิดจากการที่เราไปสมัคร เรียนให้เพื่อน ซึ่งจะต้องจ่ายเงิน+แนบรูปคนสมัคร แล้วก็ส่งให้ธุรการ เพื่อทำบัตรเข้าเรียน เนื่องจากคนเยอะมาก
เป็นพันคน แล้วค่อนข้างวุ่นวาย ธุรการจะไม่ค่อยได้สนใจหรอกว่ารูปมันจะต้องตรงกับตัวคนสมัครหรือเปล่า ? ก้อเสร็จเราล่ะซี ขบวบการซิกแซกก็เกิดขึ้น
เริ่มที่เราไปสมัครแทนคนอื่น แล้วก็เอารูปเราส่งไปแทน ก็จะได้บัตรปลอมที่เป็นรูปเราแต่ชื่อในบัตรเป็นชื่อเพื่อนเรา พอเราได้บัตรก็แจ้งบัตรหายทีหลัง เมื่อจะทำบัตรใหม่ จะมีการตรวจสอบชื่ออย่างละเอียดจากใบเสร็จรับเงิน (ซึ่งเป็นชื่อเพื่อนเราที่จ่ายเงิน) โดยจะมีการดูบัตรประชาชน เพื่อกันการมั่วสวมสิทธิ์ ถึงจะทำบัตรให้ใหม่ ให้แต่ ก็ช้าไปล่ะ.... .ต๋อย เสร็จเรา
สุดท้ายแก๊งเด็กวัง หลวง 5-6 คนก็ได้เรียนฟรี พร้อมกับน้องเปิ้ล ดาวของสตรีวัดระฆัง อย่างเต็มภาคภูมิ ใจ (ในความชั่ว ด้วยประการ ฉะนี้)
เมื่อมีสิทธิ์เข้าห้องเรียน เราก็ไม่ค่อยได้สนใจเรียนกันเท่าไร อาจจะเป็น เพราะไม่มีตำราเรียน มีแต่บัตรเข้าเรียนปลอมที่เหมือนจริง ยังขาดตำรา สมัยก่อน การถ่ายเอกสารแพงมาก แพงกว่าหนังสือเรียนเสียอีก (หนังสือจะเป็นโรเนียว) ก็จะใช้การจด Lecture กัน ผลัดกันจด โดยมีกระดาษคาร์บอน เป็นชั้น ๆ เขียนทีหนึ่ง ได้หลายชุด ที่ต้องผลัดกันเพราะมัวแต่หลีสาว ๆ กลุ่มน้องเปิ้ล น่ะซี (การจด Lecture จะยากมากเพราะอาจารย์สอนไว เพราะมีเขียนในตำราอยู่แล้ว จึงเป็นหน้าที่ที่หนักมาก ต้องผลัดเวรกัน จะชิ่งมาหลีสาวไม่ได้)
อยู่มาวันหนึ่ง ไอ้ปอดแหกของเพื่อน ๆ (ก็คนที่มันกลัว ไม่ยอมโกงเข้าเรียนเพราะกลัวเขาจับได้ .....ต้องกล่อมกันนาน เพราะเราเอาเงินค่าเรียนของมันมาเที่ยวกันหมด) ก็สร้าง Surprise กับเพื่อน ๆ โดยเอาตำรามาให้ทุกคน รูปเล่มเหมือนจริงทุกประการ
ก็สงสัยว่า มันทำได้ไง ? ขนาดพวกเราที่ว่าอัจฉริยะ ยังคิดไม่ออก เพิ่งมาถึงบางอ้อ ....
เนื่องห้องธุรการจะเป็นลุกกกรงเหล็ก เป็นซี่ ๆ เหมือนกับคุก ไอ้ปอดมันเลยมาที่โรงเรียนตั้งแต่ 6 โมงเช้า ซึ่งโรงเรียนยังไม่เปิด ไม่มีใคร มันเอาไม้ ยาว ๆ เสียบเหล็กปลายแหลม ใช่ ! มัน จิ้มไปที่สันหนังสือที่เขากอง ๆ ไว้ แค่นี้ก็ได้หนังสือแล้ว ตั้งแต่นั้นมา เราก็ได้เป็นนักเรียนกวดวิชาเต็มขั้น (โรงเรียนกวด....วิชาโจร ?) แต่ไม่ได้เรียนเป็นเรื่องเป็นราวเพราะไม่ต้องมีเวรจด lecture กันแล้ว (ยิ่งเรียนไม่รู้เรื่องกันใหญ่) ต้องนับถือ ความกล้า ของไอ้ปอด.....ที่เซียนอย่างเราที่ว่าแน่ ยังต้องยอม
สมองไม่ต้องใช้ แม่ง ..! . บ้า บิ่น กว่ากูอีก
เล็ก โยธา
เมื่อวันที่ : 05 พ.ย. 2552, 10.29 น.
ผู้อ่านที่รัก,
นิตยสารรายสะดวก และผู้เขียนยินดีรับฟังความคิดเห็นต่อข้อเขียนชิ้นนี้
เชิญคลิกแสดงความเห็นได้โดยอิสระ ขอขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ในการมีส่วนร่วมของท่านในครั้งนี้...