![]() |
![]() |
เล็ก โยธา![]() |
บ้านผมเป็นบ้านแรกในหมู่บ้านที่มีโทรทัศน์สีเครื่องแรกสมัยนั้น (สีขาวดำ ครับ) มันเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้ามหัศจรรย์และเป็นสิ่งที่เชิดหน้าชูตาสำหรับสังคมต่างจังหวัดมาก โดยมันมีเหตุมาจาก idol ปรามจารย์ทางการตลาด คือ คุณพ่อและแม่ ของครอบครัวเรา ท่านบอกว่า ท่านซื้อมาเพื่อกระตุ้นยอดขายและจะเป็นโปรโมชั่นที่active มาก ที่จะทำให้ร้านเราขายขนมได้มากกว่าคู่แข่ง เพราะคนที่มานั่งดูโทรทัศน์ของเรา เรามีกฎคืออย่างน้อย ต้องอุดหนุนสินค้าร้านเราถึงจะมีสิทธิ์ผ่านประตูเข้าไปดูโทรทัศน์ในบ้านของเราได้ แม้จะซื้อ ลูกอมฮอลส์ แค่ 1 บาท (5 เม็ด) และจะใช้สิทธินี้ ดูทั้งวัน เราก็ไม่ว่า แต่ถ้าถูกพ่อแม่ตามกลับบ้าน มาใหม่ต้องซื้อขนมเพื่อใช้สิทธิ์ใหม่นะ
ผลเป็นไปตามคาดตอนนั้นเราแย่ง market share มาได้ เกือบ 80 % ของมูลค่าตลาดรวมทั้งหมด
ละครน้ำเน่าจักร ๆ วงศ์ เรื่องแรกที่ติดกันทั้งหมู่บ้าน คือ " อภินิหาร โกมินทร์ กุมาร" ที่ถูกเล่นครั้งแรกโดย ไพโรจน์ สังวรวิบุตร ที่เล่นเป็นตัวพระเอก คือ ตัวโกมินทร์ เพลงไตรเติ้ล.." โกมินทร์กุมาร เกรียงไกร ด้วยอาวุธคู่ใจ กำไลแพรแดง และแหวน....." ยังแว่วกังวาลอยู่ในความทรงจำ
นั่นคือ idol ของเด็กผู้ชายในหมู่บ้าน ที่ทุกคนพากันไว้ผมมวย ผูกผ้าแพรแดง และ ใส่กำไลพาสติคที่จะขายติดมากับขนม เพราะอยากมีอิทธิฤทธิ์เหมือนโกมินทร์กัน ใครถูกให้เล่นเป้นตัวโกงจะโกรธกันมาก
แต่สำหรับตัวผมแล้ว มันไม่ใช่ ผมไม่ชอบ Hero ที่เป็นเด็ก และมีความเป็นไทย ๆ มาก เกินไป เมื่อเทียบกับยอดมนุษย์ " กาโม่ " ที่เป็นชาวนอกโลก คอยคุ้มครองและต่อสู้สัตว์ประหลาดที่มารุกรานโลก และจะจบกระบวนท่าสังหารโดยการปล่อยแสง ซึ่งดีกว่ากำไลข้อมืออะไรนั่น มันเชย ๆชอบกล
จนตอนนั้นเราหลงคิดว่าตัวเอง ไม่ใช่ลูกของพ่อแม่จริง ๆ เราถูกส่งมาจากนอกโลก มาช่วยชาวโลกเหมือน" กาโม่" ความรู้สึกนี้ เป็นเอามาก มีครั้งหนึ่งที่กระโดดจากเล่าเต๊งชั้น 2 ลงมาขาหัก นอนโรงพยาบาลอยู่หลายวัน
แน่นอน idol คนนี้ ของผมยังคงเป็นอมตะ จนถึงทุกวันนี้ ที่ทุกคนจะพูดแบงค์ปลอมว่า "แบงค์ กาโม่" เท่านั้น ทั้งที่สมัยนั้นมี แบงค์โกมินทร์ , แบงค์ไอ้มดแดง , แบงค์ยอดมนุษย์, แบงค์หุ่นอภินิหาร ฯลฯ กลับไม่เรียกขานกัน
เนิ่นนานมา จนกระทั่งผมเติบใหญ่ idol คนใหม่ ของผมก็ไม่จุติใหม่มาซะที จนผมได้เข้าทำงานเป็นพนักงานวิศวกรสนาม idolรุ่นพี่ที่เป็นวิศวกรอวุโส ตำแหน่ง Project Manager คุมงานก่อสร้างตึกสูง 32 ชั้น คุมคนงาน เป็นร้อย ๆ กับลูกน้องคู่ใจ อีกหลายสิบคน มันช่างเท่ห์ ถูกใจ เพราะตำแหน่งนายช่างใหญ่นี้ ช่างมี Power และเป็นตำแหน่งหัวหน้าใหญ่ที่ขับเคลื่อนหน่วยงานนี้เพียงผู้เดียว เมื่อคุณได้เข้าประตูหน่วยงานก่อสร้างมา นั่นแหละอณาจักรของเขาล่ะ
ตอนนั้นผมมีความใฝ่ฝันว่า เมื่อไรนะ ที่ตัวเราจะได้นั่งตำแหน่งนั้นบ้าง และเราจะทำได้หรือเปล่านะ ?
หลังจากนั้นชีวืตก็ดำเนินต่อไป ผมได้เข้ามาบวชในพุทธศาสนา ท่านปัญญานันทะภิกขุและ ท่านพุทธทาส ก็เป็น idol ในการศึกษาพุทธศาสนาที่มีเหตุมีผล ท่านสอนศาสนาพุทธแบบแก่นแท้ ใช้คำสอนที่ง่าย ๆ มีนัยยะ เหมือนพระหลายท่านที่กำลังดัง ๆ ในขณะนี้ ก็ลูกศิษย์ท่านทั้งนั้นรวมทั้งพระพยอมแห่งวัดสวนแก้วด้วย พระอื่น ๆ สมัยนั้น จะแก่มาก บาลีจ๋า เอาแต่สวดท่าเดียว มักขึ้นต้น คำสอนว่า ว่า .....สมัยนั้น....สมัยพุทธกาล ที่เรื่องเล่าว่า.........แค่นี้ฉันก็หลับแล้ว
วันไหนๆเมื่อได้ เปิด TV เห็นสีเหลืองๆของผ้าเหลือง ยังไม่ได้ฟังอะไร ก็กด remote เปลี่ยนช่องแล้ว เพิ่งจะมาเปลี่ยน Trend สมัยพระพยอม ท่าน ว.วชิรเมธี ที่ขายเทปขายตามสี่แยกไฟแดง เป็นล้าน ๆชุด นั่นแหละ
เมื่อเข้าสู่วัยแห่งการค้นหาสัจธรรมการเป็นนักอ่าน หนอนหนังสือตัวยง ก็มาพบกับ idolนักเขียนรุ่นดึก อย่าง คุณ รงค์ วงษ์สวรรค์ " พญาอินทรีแห่งสวนอักษร" ถึงกับทึ่งในการใช้ภาษา ไม่น่าเชื่อที่จะมีคนไทยที่ใช้ภาษาไทยที่เก่งที่สุดในโลก ท่านใช้ภาษาในการเขียนฟุ่มเฟือย จนเราทำให้เราคิดว่าในชีวิตปัจจุบัน เรามีคำที่ใช้ในชีวิตประจำวันแค่ 10 % ของคำทั้งหมดที่เขาผู้นี้ใช้ในการเขียนหนังสือเท่านั้น บวกกับการที่ท่านมีประสพการณ์ชีวิตอันหลากหลาย จนไม่น่าเชื่อว่าเรื่องทั้งหมดที่ท่านเจอจะเกิดกับคนคนหนึ่งแค่ในชาติเดียว
idolในแนวกวีวรณกรรมก็มีท่านอังคาร กัลญาณพงศ์เจ้าของบทกวีอำมตะ ที่ทำเอาเราบ้าแต่งกลอนอยู่นาน
๏ เสียเจ้าราวร้าวมณีรุ้ง มุ่งปรารถนาอะไรในหล้า
มิหวังกระทั่งฟากฟ้า ซบหน้าติดดินกินทราย
๏ จะเจ็บจำไปถึงปรโลก ฤๅรอยโศกรู้ร้างจางหาย
จะเกิดกี่ฟ้ามาตรมตาย อย่าหมายว่าจะให้หัวใจ
และidolคนสุดท้าย ในงานเขียนเชิงพรรณาโวหาร ท่านรพินทรนาถฐากูรเจ้าของรางวัลโนเบลวรรณกรรม ชาวอินเดีย และเป็นคนเอเชียคนแรก จากเรื่องคีตาญชลี ถึงกับอยากที่จะเรียนภาษาเบงกาลี เพราะว่า แค่อ่านบทกวีที่แปลเป็นภาษาไทย ก็เพราะมากจนอยากที่จะอ่านภาษาต้นฉบับคือภาษาเบงกาลีชึ่งเขาว่า เป็นภาษาคำที่สวยที่สุดในโลกจะเป็นอย่างไร นะ?
ต่อมาชีวิต White Collar มนุษย์กินเงินเดือนได้สิ้นสุดลง เหตุเพราะได้มาอ่านหนังสือRich dad & Poor Dad ของ Robert Kiyosaki " พ่อรวยสอนลูก" คนนี้เป็น idol ที่ทำให้ชะตาชีวิตผมเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ถึงกับเกิดอาการคันไปเรียน MBA และออกมาทำธุรกิจด้วยตนเอง
กับชีวิตที่ผ่านมาและผ่านไป ผมไม่รู้สึกผิดปกติ...ในการดำเนินชีวิตของตนเองเลย ไม่ว่าจะเป็นแค่พนักงานมีชีวิตในเมืองหลวงที่ยึดถือลัทธิบริโภค บูชาวัตถุเป็นหลัก ลัทธิของการได้มาและการสะสมวัตถุ ด้วยความฟุ้งเฟ้อ ไม่ว่าจะเป็นรถคันใหม่ มือถือรุ่นใหม่ ปากกาดูปองค์ด้ามละ หลายหมื่นบาท ล้วนเป็นวัตถุโก้เก๋ วัตถุที่มีพลานุภาพที่จะช่วยยกระดับของความเป็นคนของคนเราให้มีระดับเหนือกว่าผู้อื่น ด้วยเหตุผลทางรสนิยมที่เราเหนือกว่าคนที่ด้อยกว่าเรา สิ่งฟุ้งเฟ้อที่เราพาเฟ้อฝันปรุงแต่งกันและยึดมั่นถือมั่น โดยผ่านกระบวนการรล้างสมองทางกลไกลการตลาดของผู้ผลิต
สิ่งเหล่านี้ติดตัวผมมาโดยตลอดอย่างไม่ รู้สึกตัว แม้แต่การมาเป็นผู้ประกอบการ ก็ยังคงยึดมั่นในลัทธิทางธุรกิจ "ระบบทุนนิยม" จากธุรกิจหลักล้านก้าวมาสู่หลัก 10 ล้านที่เรามีกำลังพอเพียงด้วยตนเองก็ไม่เพียงพอกับใจตน เกิดการดิ้นรน ขวนขวายขยายให้มากเป็น100ล้าน ด้วยเหตุเพราะพื้นฐานการเงินที่ไม่แข็งแรง บวกกับ การขยายกิจเพื่อแข่งกับคู่แข่งที่มีพละพลังทางการเงินมากกว่า จำเป็นที่จะต้องเพิ่มทุนโดยการหาผู้ร่วมทุน หรือนักลงทุน แม้กระทั่งการกู้เพื่อการลงทุนจนน่ากลัว เพื่อให้ได้มาซึ่งความใหญ่โตของธุรกิจร้อย ๆล้าน แม้จะถูกบดบังจากการได้เป็นผู้บริหารที่โก้เก๋ ที่ถูกแลกด้วยการมีสิทธิ์ถือหุ้นอันน้อยนิด ทั้งที่รู้ถึงสิทธิ์บริหารแต่ไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจก็ตาม ผมว่า ผมก็คงไม่รู้สึก ในสิ่งเหล่านี้ตัวจนตัวตายนั่นแหละ................
จากสมองที่ไม่ได้รับรู้ เหตุเพราะถูกปัญหาบดบังปัญญา และถูกเคลือบจากการไม่รู้ และหลงติด ตลอดมา
จนกระทั่งแสงสว่างแห่งการรู้ ได้ส่องกระทบจนเกิดปัญญา นี่ถ้าไม่ได้พานพบกับความจริง ในปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงแห่งองค์ในหลวงของเรา ผมก็ยังคงไม่รู้จักตัวเอง คงวกวนเป็นวงเวียน เหมือนพายเรืออยู่ในอ่างน้ำวน ที่ถูกครอบงำด้วยกะลาของความคิดผิด อย่างไงอย่างนั้น
idol ที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าจะพรรณนา idol แห่งความดีและการเสียสละและอุทิศตนเองเพื่อส่วนรวม idol ที่ทรงเป็นแบบอย่างได้อย่างสุดยอดในทุก ๆเรื่อง idolที่ทรงเป็นศูนย์กลางความรักและความห่วงใย
idol คนสุดท้าย.... และคนเดียวในโลก
ที่เราสิ้นเปลืองเวลาเพื่อตามหา ค้นหา กันมาทั้งชีวิต idol ที่อยู่ใกล้ตัวเรามากจนเราพากันหลงลืมและไม่ตะหนักแห่งคุณค่า ....... ไปอย่างน่าเสียดาย ?
เล็ก โยธา
เมื่อวันที่ : 05 พ.ย. 2552, 10.20 น.
ผู้อ่านที่รัก,
นิตยสารรายสะดวก และผู้เขียนยินดีรับฟังความคิดเห็นต่อข้อเขียนชิ้นนี้
เชิญคลิกแสดงความเห็นได้โดยอิสระ ขอขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ในการมีส่วนร่วมของท่านในครั้งนี้...