![]() |
![]() |
กานต์ติ![]() |
จึงได้ไปปฏิบัติธรรมที่ "วัดเจริญธรรม ถ้ำภูตอง" จังหวัดลพบุรี
ซึ่งเป็นวัดในจังหวัดบ้านเกิดของเราเอง
เมื่อก่อนไม่รู้ว่าวัดนี้เป็นวัดปฏิบัติ เลยมองหาแต่วัดต่างจังหวัด
แต่ผู้เขียนก็ประทับใจวัดนี้มาก เพราะตลอดระยะเวลา 5 วันกับการใช้ชีวิตที่นี่
นอกจากจะได้สร้างบารมีและบุญกุศลขั้นเริ่มต้นแล้ว
นี่ยังเป็นก้าวแรกของการฝึกปล่อยวางของตนเอง
และยังได้รับรู้ "รสชาติของชีวิต" ที่ผู้เขียนบอกได้ว่า
มันเหนือคำบรรยายมากจริงๆ
------------------------------------------000000---------------------------------------------
22/04/52 เวลา 23.05 น.
..วันแรกของการปฏิบัติธรรม..
เราเดินทางมาถึงวัดประมาณเกือบสี่โมงเย็น เพราะว่าตั้งจะใจชิมลางปฏิบัติธรรมช่วงเย็นและ
นอนค้างที่นี่สักคืนดูก่อนจะรับ "สัจจะ" จริงในวันรุ่งขึ้น เผื่อถ้าลองแล้วไม่เวิร์คพรุ่งนี้จะได้กลับบ้านเลย
แต่ไปๆ มาๆ วัดนี้ก็ใช้ได้เลย สถานที่ok บรรยากาศร่มรื่นแถมยังกว้างขวาง ห้องน้ำก็มีเยอะ ที่พักก็ไม่
แออัดด้วย เลยคิดว่าจะลองดูสักตั้ง พอตัดสินใจได้ก็พยายามฝากเนื้อฝาก
วันนี้เลยได้เพื่อนใหม่(ต่างวัย) มาเพียบเลย.. ^_^
เพื่อนใหม่คนแรกที่เราอยากแนะนำให้ผู้อ่านได้รู้จักด้วยก็คือ "แม่ชีเตือนใจ" ท่านเป็นผู้ดูแล
"ตึกขาว" ซึ่งเป็นที่พักสำหรับผู้มาปฏิบัติธรรมที่จะค้างวัด และเพื่อนคนถัดมาก็คือ "แม่ส้ม" เป็นผู้มา
ปฏิบัติธรรมเหมือนกับเรานี่แหละ แต่แม่ส้มปฏิบัติที่นี่มานานจนกลายเป็นผู้ช่วยของแม่ชีเตือนใจไปแล้ว
ทีแรกเราดีใจสุดๆ ที่แม่ส้มชวนเราไปพักห้องเดียวกับแก เพราะแม่ส้มทั้งพูดจาดีแถมมีน้ำใจอีกต่างหาก
แต่พอถึงเวลานอนเราแทบลมจับ ด้วยแม่ส้ม "ก ร น ดั ง ม า ก" ฮือๆ >_<
..นอนไม่หลับเลยตรู พรุ่งนี้ก็ต้องตื่นตั้งแต่ตี3 ครึ่งด้วย นับแกะไปหลายครอกเลย...
-- T_T --
หมายเหตุ
"รับสัจจะ" คือการกล่าวให้สัญญาธรรมว่าเราจะปฏิบัติธรรมวันละกี่ชั่วโมง ปิดวาจากี่ชั่วโมง และรับข้าว
กี่มื้อ จะรับศีลข้อไหนบ้าง ฯลฯ.. โดยวิธีการรับสัจจะเราจะต้องไปรับต่อหน้า "หลวงพ่อดอกบัวขาว" ใน
ถ้ำดอกบัวขาว ซึ่งต้องมีพระสงฆ์และพระธรรมเป็นพยานด้วยจึงจะสมบูรณ์
------------------------------------------000000--------------------------------------------
23/04/52 เวลา 22.10 น.
..เป็นวันที่เกเรสุดๆ เลย >_<..
~ขอบอกว่าเมื่อเช้านี้เกเรมากกก~ ถูกปลุกจากเสียงระฆังตอนตี 3 ครึ่งก็ยังไม่ยอมตื่น คลุมโปง
ต่อจนเกือบตีสี่ แถมพอลงจากตึกไปอาบน้ำก็เกเรอีก เจอน้ำเย็นเจี๊ยบเข้าไปเลยไม่ยอมอาบน้ำ ลูบๆ ตัวแล้ว
ล้างหน้าแปรงฟันเสร็จก็วิ่งแจ้นลงไปลานทรายร่วมสวดมนตร์หมู่เลย พอสวดมนตร์เสร็จก็เริ่มหายง่วงบ้าง
เลยเดินเล่นไปใส่บาตรหน้าวัด ซึ่งช่วงเช้ามืดนี้อากาศจะสดชื่นมาก++ นานๆ จะได้ตื่นมาเจออากาศแบบนี้
เลยได้สูดอากาศตุนเข้าปอดเป็นการใหญ่ แถมมองไปรอบตัวยังมีหมอกบางๆ ลอยคว้าง มองไปที่
ภูเขาก็มีแสงสีทองของอาทิตย์ยามเช้าค่อยๆ สาดส่องขึ้นท้องฟ้า ((((ง ด ง า ม สุ ด ๆ เ ล ย ล่ ะ)))) เสียดาย
ที่มีเวลาชมนกชมไม้ได้ไม่นาน เพราะเช้านี้ยังมีภารกิจรออยู่อีกเยอะเลย
ก่อน 6 โมงเช้าวันนี้เราต้องรีบไปรับสัจจะ เลยต้องรีบหาซื้อดอกบัวแล้วขึ้นไปรอพระที่จะเป็น
สักขีพยานในการรับสัจจะที่ถ้ำดอกบัวขาวตั้งแต่เช้าตรู่ พอขึ้นไปเลยได้เจอกับเพื่อนใหม่อีกสองคน ทั้งคู่
เป็นหญิงสี่สิบกะรัต คนหนึ่งชื่อ "พี่ปุ๊ก" มาอยู่วัดก่อนหน้าเรา 5 วัน ส่วนอีกคนชื่อ "พี่หนา" มาถึง
วัดเมื่อวานนี้เหมือนกับเรา ทีแรกเจอเขาดูเป็นใหญ่สุขุมกันมาก แต่ไม่น่าเชื่อว่า
แค่สิบสิบนาที ก็คุ้นเคยกันอย่างดี ระหว่างรอพระเราสามคนเลยคุย
กันถูกคอจนไม่รู้ว่าพระท่านเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ท่านแซวพวกเรานั่น
แหละว่า .. "เมาท์จบแล้วค่อยไปตามอาตมาที่กุฏินะโยม".. >_< ..
เคยปฏิบัติธรรมที่อื่นมาก็ยังไม่เคยต้องรับสัจจะเลย ตอนหลังมาก็เข้าใจว่าที่นี่เน้นให้เราบริหาร
จัดการเวลาเอง ออกแนวโยมมีอารมณ์ปฏิบัติธรรมตอนไหนก็ทำนะ แค่ให้ครบชั่วโมงตามที่ลั่นสัจจะไว้ก็
พอ หลวงตาท่านที่มานำกล่าวสัจจะก็แนะนำว่าควรจะปฏิบัติสักวันละ 4 ชั่วโมง แต่ดีนะที่แม่ส้มเตือนไว้
ก่อนว่าให้รับสัจจะปฏิบัติธรรมเดี่ยวแค่ 3 ชั่วโมงก็พอ เพราะหักลบเวลาในหนึ่งวันดูแล้วเราจะมีเวลาว่าง
จริงๆ ประมาณ 5 ชั่วโมงเท่านั้น(ส่วนเวลาอื่นเป็นปฏิบัติธรรมหมู่กับทำวัตร) แต่วันแรกเราก็ทุ่มเทสุดตัว
เลยเพราะกลัวเก็บแต้มไม่ครบ แต่พอมานับเวลาดูแล้วกลายเป็นปฏิบัติไปซะเกือบ 5 ชั่วโมงแน่ะ พอถึง
เวลานอนตอน 4 ทุ่ม เลยเพลียสุดๆ ชนิดว่าเสียงกรนแม่ส้มไม่ระคายหูเลย
--ส รุ ป ว่ า ตั้ ง แ ต่ คื น ที่ 2 เ ป็ น ต้ น ม า ก็ ห ลั บ เ ป็ น ต า ย อ ย่ า ง นี้ ทุ ก คื น
Zzz~~ ..(= _ =).. ครอกฟี่~~
------------------------------------------000000--------------------------------------------
24/04/52 เวลา 22.30 น.
..สงสารหลวงพี่วิทย์จัง..
เมื่อวานนี้.. ภารกิจหลักของเราหลังสวดมนตร์ก็มีแค่กวาดถูทำความสะอาดวัด แต่วันนี้ถือเป็น
โชคดีของเรามากที่แม่ส้มวานให้เรากับพี่หนาช่วยพี่ปุ๊กถือปิ่นโตไปส่งหลวงพี่องค์หนึ่งที่กุฏิบนเขา พระ
รูปนั้นท่านชื่อ "ห ล ว ง พี่ วิ ท ย์" ถ้าจำไม่ผิดชื่อเต็มท่านน่าจะเป็น " พ ร ะ สุ วิ ท ย์" ในระหว่างทางเดิน
ไปกุฏิที่เขาหลังโบสถ์พี่ปุ๊กก็เล่าให้ฟังว่า หลวงพี่ท่านป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ท่านเลยช่วยเหลือตัวเอง
ไม่ค่อยได้ ตอนท่านป่วยใหม่ๆ ญาติโยมที่เคยศรัทธาในตัวท่านก็พากันมาช่วยเหลือดูแล เพราะเมื่ออดีต
ท่านเคยเป็นพระนักเทศน์(ที่อายุน้อยมาก) แต่เดี๋ยวนี้พอท่านเริ่มเป็นหนักก็เริ่มหายหน้ากันไป จะมีก็แต่แม่
ส้มกับแม่ชีบางรูปที่ยังเอาใจใส่ผลัดเปลี่ยนมาช่วยกันเช็ดตัวดูแลท่านบ้าง พอฟังจบแล้วรู้สึกสงสารมาก ยิ่ง
ไปเห็นสภาพหลวงพี่ยิ่งสงสารเข้าไปใหญ่ เพราะท่านทั้งเจาะท้องห้อยถุงน้ำแถมยังดามเหล็กไว้ในตัว แต่
น่าชื่นชมมากที่หลวงพี่วิทย์มีกำลังใจเข้มแข็ง ท่านยังพยายามทำนู่นทำนี่ให้เหมือนเป็นปกติตลอด ซึ่งญาติ
โยมก็รู้ว่าจริงๆ ร่างกายท่านไม่ไหวแล้ว
--เกือบจะเผลอให้กำลังใจท่านไปเหมือนกันว่า "หลวงพี่จ๊ะ อย่าท้อนะ" แต่ก็เขิลยังไงไม่รู้ ไม่
เคยคุยกับพระบ่อยเสียด้วย--
อีกอย่างหนึ่งดูเหมือนท่านพยายามจะลืมอาการป่วยมากกว่าเราเลยไม่อยากพูดถึงความเจ็บป่วย
ของท่านเท่าไร ยิ่งเห็นท่านอารมณ์ดีชวนพวกเราพูดคุยถึงเรื่องการปฏิบัติธรรมอย่างออกรส พวกเราเลย
ผสมโรงสร้างบรรยากาศให้ครื้นเครงเสริมเข้าไปใหญ่ โดยเฉพาะพี่หนา รายนี้จะปล่อยมุขฮาออกมาตลอด
เวลาแกงัดเรื่องแฟนเรื่องกิ๊กขึ้นมาคุยก็จะโดนหลวงพี่เบรกไว้ จนเรากับพี่ปุ๊กขำจนท้องคับท้องแข็ง หลวง
พี่เองก็ดูจะเบิกบานขึ้นด้วยเช่นกัน พอได้เห็นอย่างนี้แล้วเราก็ชื่นใจที่เห็นท่านแจ่มใส หลังจากวันนั้นพวก
เราสามคนเลยไปป่วนกุฏิท่านทุกวันเลย ..คิกคิก..
(-_-) -- เฮ้อ.. สังขารคนเรามันไม่เที่ยงจริงๆ เลย --
------------------------------------------000000--------------------------------------------
25/04/52 เวลา 22.20 น.
..ถ้ำดอกบัวขาว และ ถ้ำพญานาค..
ถึงแม้ว่าแต่ละวันจะปฏิบัติธรรมเหนื่อยจนตาแทบจะลืมไม่ขึ้นไปบ้าง แต่พอกลับมาพักผ่อน
ตอน 4 ทุ่ม เรากับแม่ส้มก็จะคุยกันก่อนนอนอยู่ทุกคืน เพราะแม่ส้มเองก็คุยสนุกไม่ใช่เล่น มุขแกก็แพรว
พราวจนเราหงายหลังมาแล้วหลายครั้ง อย่างคืนนี้เราก็คุยกันถึงเรื่อง "พี่หน่อย" ซึ่งเรื่องของพี่หน่อยวันนี้
ค่อนข้างจะเป็น Talk of the town มั๊กมาก สาเหตุของเรื่องก็สืบเนื่องมาจากเมื่อวานนี้ที่แก๊งเราชวนพี่
หน่อยไปนั่งสมาธิด้วยในถ้ำพญานาคแล้วปรากฏว่า "พี่หน่อยสติแตก" ลืมตามาแล้วเห็นอะไรไม่รู้ดูคล้าย
งูเขียวอมทองตัวใหญ่จนแกช็อกต้องกระโจนออกจากถ้ำไป วันนี้ทั้งวันเลยมีแต่คนมาเฝ้าถามพี่หน่อยถึง
เรื่องนี้บางคนมองเป็นเรื่องขำๆ ในขณะที่บางคนใจถึงมากก็ขึ้นถ้ำไปท้าพิสูจน์เองก็มี แต่ก็ไม่มีใครที่เห็น
ความผิดปกติอะไร ส่วนเรากับแม่ส้มคิดว่าพี่หน่อยอาจสร้างภาพไปเอง เพราะถ้ำพญานาคนี้มีกิตติศัพท์
ด้านความลึกลับอยู่มาก หลายคนที่เคยฟังก็อาจจะเผลอจิตนาการไปเรื่อยเปื่อยได้
(((..ถ้ำพญานาค..)))
เพื่อให้เข้าใจเรื่องราวดียิ่งขึ้น เราจะเล่าเรื่องถ้ำพญานาคที่ฟังมาจากแม่ส้มให้อ่านกันอีกต่อหนึ่ง
เรื่องราวก็มีอยู่ว่าถ้ำนี้ถูกค้นพบโดย หลวงลุงเสวก จันฺทปัญฺโญ ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสองค์ก่อนของวัดเจริญธรรม
โดยถ้ำนี้ถูกตั้งให้ชื่อว่า "ถ้ำพญานาค" ตามความเชื่อที่มาจากเสียงเล่าลือของผู้คนที่อ้างว่าพบพญานาคในถ้ำ
ดังกล่าว ซึ่งเรื่องการพบ "พญานาค" ที่วัดนี้ถูกกล่าวขานถึงไม่น้อย เรายังเคยอ่านเจอในอินเตอร์เน็ตเลยว่า
เคยมีบางคนที่ญาณแกร่งๆ สามารถสื่อสารกับพญานาคตนนี้แล้วได้รู้ว่า วัดนี้มีพญานาคเฝ้าอารักข์อยู่จริง
ส่วนตัวเราถึงจะไม่เคยพบเห็นด้วยตัวเองแต่ก็เชื่ออย่างมากว่าต้องมีสิ่งเร้นลับอยู่แน่ๆ เพราะเท่าที่สัมผัสได้
(ถึงจะไม่มีญาณอะไรก็เถอะ) เราว่าถ้ำนี้มีพลังเย็นมากๆ ใจจริงเราก็กลัวทุกครั้งเวลาเข้าไปในถ้ำ แต่ด้วยความ
"ดื้อด้าน" เลยบากหน้าเข้าไปนั่งสมาธิในถ้ำนั้นทุกวัน ส่วนคนอื่นๆ ที่มาปฏิบัติธรรมดูเหมือนไม่อยากเข้าถ้ำนี้
เรียกว่าเกือบทุกคนเลยดีกว่าที่ "เกรงๆ" ยังกับเป็นถ้ำเสือเชียวล่ะ
เกี่ยวกับถ้ำพญานาคแม่ส้มยังเล่าอีกว่า ก่อนหน้านี้เคยมีนักร้องชื่อดังคนหนึ่งไปนั่งสมาธิกับแฟน
ในถ้ำนี้แล้วได้พบกับสิ่งลึกลับเหนือธรรมชาติเข้า คือระหว่างนั่งอยู่ในถ้ำแล้วรู้สึกเหมือนมีผิวหนังเย็นจัด
ลื่นๆ มาสัมผัสโดนแขน แถมยังได้ยินเสียงเด็กวิ่งเล่นอยู่รอบตัว หล่อนเลยตกใจมากจนต้องรีบฉุดแฟนออก
จากถ้ำ แล้วก็ซื้อผลไม้กับขนมหวานมาขอขมาเผื่อว่าทำอะไรล่วงเกินไป
..
..
(((..ถ้ำดอกบัวขาว..)))
เดี๋ยวจะหาว่าลำเอียง เพราะว่าวัดนี้ไม่ได้มีแต่ถ้ำพญานาคที่โด่งดัง วัดเจริญธรรมยังมี "ถ้ำดอกบัวขาว"
ที่ผู้คนแห่แหนมาสักการะกันมากอีกด้วย โดยถ้ำนี้จะมีชื่อเสียงมากในด้านเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่แปลกแต่จริง
เพราะผนังถ้ำด้านหลังองค์พระจะมีรอยยุบตัวของหินลงไปเป็นรูปกลีบบัว (สวยเหมือนกลีบดอกบัวจริงๆ) ทีแรกเรา
ยังเกือบคิดไปว่าทางวัดทำขึ้น แต่ "หลวงตาวิชัย"พระรูปที่รับสัจจะให้กับเราและพี่หนาเล่าให้ฟังว่ารอยนี้เกิดขึ้นเอง
และเดิมทีในถ้ำนี้เคยเป็นเหวลึกเลยไม่มีใครสนใจ จนเมื่อวันหนึ่งหลวงลุงเสวกท่านเกิดนิมิตเห็นบทกลอนขึ้นสอง
วรรคได้ความว่า "กลีบดอกบัวซ่อนอยู่ในชมพูทวีป ใครมีปีกมีหางลี้หนีพ้นไปได้" หลวงลุงท่านเลยออกตามหา
กลีบบัวที่ว่าจนมาเจอที่เหวในถ้ำด้านหน้าวัด ภายหลังมาท่านจึงเอาหินมาถมลงไปในเหวแล้วโบกปูนจนกลายเป็นถ้ำ
ที่สวยงามอย่างที่เห็นทุกวันนี้
นอกจากตำนานของถ้ำดอกบัวขาวจะสุดพิสดารแล้ว "หลวงพ่อดอกบัวขาว" ภายในถ้ำก็ยังเลื่อง
ลือในด้านความศักดิ์สิทธิ์จนมีผู้คนจากทุกสารทิศต่างมาสักการะขอพรกันมากมาย ขนาดผู้เขียนเองยังไป
กราบไหว้วันละหลายครั้ง เพราะว่าแค่เดินไปถึงปากถ้ำไอเย็นก็แผ่จนเรารู้สึกร่มเย็นเป็นสุขได้แล้ว จึงไม่
แปลกใจเลยว่า ทำไมคนส่วนใหญ่ถึงชอบมานั่งสมาธิในถ้ำดอกบัวขาวกันมากกว่าถ้ำพญานาค เพราะถ้ำนี้
อากาศถ่ายเทโปร่งสบายจริงๆ ส่วนถ้ำพญานาคหากอยู่นานๆ จะรู้เย็นจนหนาวเลยทีเดียว
--ถ้ามีโอกาสก็อยากให้ลองไปสักการะทั้งสองถ้ำนี้ดูนะ รับประกันความศักดิ์สิทธิ์จ๊ะ
------------------------------------------000000--------------------------------------------
26/04/52 เวลา 24.42 น.
..สุข-เศร้า-เคล้าน้ำตา..
ด้วยความที่เริ่มคุ้นเคยกันมากเข้า เรา/แม่ส้ม/พี่ปุ๊ก/พี่หนา สี่สาวต่างวัยเลยเริ่มกล้าที่จะพูดคุยกัน
อย่างเปิดอกมากขึ้น พอวันนี้หลังปฏิบัติธรรมเสร็จแก๊งเราเลยยังไม่ยอมนอน มีนัดดริงค์น้ำปานะกันตาม
ประสา แล้วก็ได้พูดคุยกันถึงเรื่องราวความเป็นมาก่อนจะมาถือศีลที่นี่ โดยแม่ส้มเป็นคนเปิดวาระที่1 เป็น
คนแรก..
"อยู่วัดก็อยากกลับบ้าน พอกลับไปบ้านก็อยากมาอยู่วัด".. จู่ๆ แม่ส้มก็เอ่ยประโยคนี้ขึ้นมาทำให้
ทุกคนค่อยๆ ลดเสียงลง เราจึงถือโอกาสนี้ถามถึงสาเหตุการมาถือศีลที่วัดนี้ของแม่ส้มเสียเลย ซึ่งก็ได้คำตอบ
มาว่า เป็นเพราะภาระหนี้สินที่ทำให้แม่ส้มเครียดจัดจนต้องมาบวชพราหมณ์ แล้วพอถามถึงลูกหลานแม่ส้ม
แกก็เงียบไปก่อนจะตอบว่า "แม้แต่จะโทรศัพท์มาหาก็ยังไม่เคย" พอเห็นท่าทางของแม่ส้มดูเศร้าลงพวกเราเลย
ต้องหยุดคำถามไว้ แล้วปล่อยให้พี่หนารับช่วงที่ 2 ต่อไป
พอถึงคิวพี่หนาเล่าบ้าง เสียงหัวเราะคิกคักก็เริ่มดังขึ้น เพราะพี่หนาแกเป็นคนค่อนข้างหลุดโลก
เวลาเล่าอะไรก็จะใส่อารมณ์สุดฤทธิ์ ยิ่งแกเล่าว่าที่มาบวชเพราะหนีกิ๊กกับแฟนใหม่เพื่อจะกลับไปคืนดีกับ
แฟนเก่าพวกเรายิ่ง "งง" ปน "ฮา" กันใหญ่ เพราะกว่าแกจะเล่าจบได้ก็นับแฟนคลับแกได้ไม่รู้กี่คนแล้ว
ส่วนเรื่องของพี่ปุ๊กก็ตรงข้ามกันไปเลย รายนี้ออกแนว D r a m a สุดๆ โดยเรื่องราวมีอยู่ว่า
เมื่อเจ็ดปีก่อนพี่ปุ๊กเขาเลิกกับสามีที่อยู่กินกันมาสิบห้าปีเพราะว่าสามีไปมีผู้หญิงใหม่อายุตั้ง 52 แน่ะ ทีนี้
ด้วยความที่แก sad มากๆ เลยยกบ้านกับสมบัติที่สร้างร่วมกันมาให้สามีจนหมดแล้วหนีกลับมาเลียแผลใจ
ที่บ้านเกิดจังหวัดสิงห์บุรี แต่ด้วยความที่แกเป็นคนหน้าตาสวย ผิวขาว เลยมีหนุ่มๆ มาติดพันกันเยอะ แต่ก็
เหมือนสวรรค์กลั่นแกล้ง ที่ทำให้แกต้องไปพบรักกับคนมีเจ้าของเข้าอีก แต่คราวนี้ผู้ชายคนนั้นรักแกมากถึง
ขนาดให้ภรรยามาขอพี่ปุ๊กให้เลย ประมาณผู้ชายก็ฐานะดี ภรรยาเขาก็ใจกว้าง พี่ปุ๊กก็กำลังเคว้งคว้างเพราะไร้
ญาติขาดมิตร แกเลยตกลงแต่งเป็นเมียรองของเขา พอนานวันเข้าเรื่องราวกลับไม่หอมหวานอย่างที่คิด เพราะ
ภรรยาหลวงเขาชักหึงหวงจนเกือบจะพลั้งมือฆ่าพี่ปุ๊กเสียแล้ว พี่ปุ๊กเลยต้องระเหเรร่อนหนีจากผู้ชายคนนั้นมา
บวชอยู่ที่นี่
ดูเหมือนเรื่องพี่ปุ๊กจะแรงสุด พอแกเล่าจบทุกคนถึงกับอึ้งไปเลย ตัวแกเองก็ถึงกับน้ำตาคลอเบ้า
ไปเหมือนกัน แล้วแกยังเล่าต่อว่า ตอนนี้เครียดมากเพราะสามีใหม่กำลังตามหาตัวแกให้จ้าละหวั่น แต่แก
ไม่อยากกลับไปเสี่ยงชีวิตที่บ้านหลังนั้นอีก ถึงมันจะมีความสุขที่สามีใหม่รักแกมากและได้ใช้ชีวิตอย่าง
สุขสบายก็ตามที
เรื่องสุดท้าย.. ของผู้เขียนเอง ความจริงเรื่องของเราก็ไม่มีอะไรมาก ประมาณว่าพลาดหวังจาก
การสอบเข้าเรียนต่อระดับ Master Degree เลยเศร้าสุดๆ จนต้องหาทางสงบจิตสงบใจกับเขาด้วยเหมือนกัน
แต่คิดไปคิดมาสอบใหม่ปีหน้าก็ได้ พึ่งเรียนจบใหม่ๆ พักสักปีคงไม่เป็นไร ดูอย่างชีวิตคนอื่นสิ เขาทั้งล้มลุกคลุกคลาน
ยังสู้ต่อไปได้เลย แค่สอบตกเท่านี้จะมัวต้อแต้ได้ไงล่ะเนอะ.. ฮือๆ .. ~~ T_T ~~
------------------------------------------000000--------------------------------------------
27/04/52 เวลา 21.50 น.
..~~ลาแล้วถ้ำภูตอง~~..
ครบกำหนดรับสัจจะ 5 วันเต็มแล้วในวันนี้ พอสวดมนตร์เย็นรอบ 5 โมงจบ เราก็ออกจากวัด
ทันที พี่ปุ๊กเองก็กลับบ้านด้วยเช่นกัน เพราะว่าเพื่อนพี่ปุ๊กโทรมาบอกว่าสามีแกแทบคลุ้มคลั่งแล้วที่แกหนี
หายมาแบบนี้ แต่คราวนี้พี่ปุ๊กบอกว่าแกจะกลับไปบอกลาสามีแกดีๆ แล้วก็บอกลาภรรยาหลวงด้วยว่า จะขอ
เดินจากชีวิตของคนทั้งคู่ไปเข้าสู่ร่มกาสาวพักตร์ที่จังหวัดขอนแก่น ว่าง่ายๆ คือแกจะขอลาไปบวชชีที่วัดใน
จังหวัดขอนแก่น เพราะที่นั่นสงบเงียบและแกก็มีญาติอยู่ที่นั่นด้วย ส่วนพี่หนาต้องอยู่ต่ออีก 2 วัน เพราะแก
รับสัจจะไว้ 7 วัน พอเรากับพี่ปุ๊กจะจากไปพี่หนาก็ดูเศร้าใจลงไปถนัดตา แต่พวกเราก็แลกเบอร์โทรกันไว้ แล้ว
ก็นัดกันว่าถ้ามีโอกาสคงจะกลับมาร่วมปฏิบัติธรรมกันอีก
จริงๆ อยากจะเล่าให้เยอะกว่านี้ เพราะว่าตลอด 5 วันที่ไปถือศีลมา ได้รับรู้เรื่องราวที่ทำให้เด็ก
อย่างเรา "เข้าใจชีวิต" มากขึ้น เหมือนที่โปรยไว้ตอนต้นว่าได้รับรู้รสชาติของชีวิตชนิดเหนือคำบรรยาย
แต่ถ้าหากเล่าทั้งหมดมันคงจะยาวเกินไป เลยเอาเป็นว่าจะเก็บไปเล่าใน "ควายสีชมพู" หรืองานเขียนชิ้น
อื่นแทนแล้วกัน บอกได้แค่ว่าบทเรียนจากชีวิตของหลายๆ คนที่ไปถือศีลที่วัดเจริญธรรมมันทำให้เรา
เข้มแข็งขึ้นมาก อีกทั้งยังได้รับ "มิตรภาพ" จากเพื่อนใหม่กลับมาด้วย ดังนั้นการปฏิบัติธรรมครั้งนี้จึงเป็น
ความทรงจำชิ้นสำคัญที่เราสุดแสนจะประทับใจ และเชื่อว่าตลอดชีวิตนี้คงไม่มีวันลืมเลือนไปได้แน่นอน
------------------------------------------000000--------------------------------------------
--รักวัดเจริญธรรมมากๆ ค่ะ
กานต์ติ
เมื่อวันที่ : 30 เม.ย. 2552, 12.40 น.
เผื่อใครอยากไปปฏิบัติบ้างลองสืบหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตดูนะคะ แต่อาจจะหายาก
เพราะไม่ค่อยมีใครโพสเท่าไร
แต่กานต์ติมีที่อยู่นะ..
วัดเจริญธรรม ถ้ำภูตอง..
หมู่ 6 ต. นิคมสร้างตนเอง อ. เมือง จ.ลพบุรี
แล้วก็มีเบอร์โทรแม่ส้มด้วยค่ะ แกอยู่ประจำวัดตลอด ปรึกษาแกได้นะ
แม่ส้ม-- 0861321513
^_^