...ปลายเดือนตุลาคม เป็นช่วงที่เรียกกันว่าปลายฝนต้นหนาว เป็นช่วงที่คนมักจะนิยมไปเที่ยวป่ากัน เมื่อปีที่แล้วฉันและครอบครัวพากันไปเดินป่าสะแกราชเพื่อนชมไก่ฟ้าพระยาลอกัน แต่ว่าปีนี้ครอบครัวของฉันพากันไปเที่ยวไกลหน่อย คือไปอุทยานแห่งชาติภูเรือ ที่จังหวัดเลย...
ปลายเดือนตุลาคม เป็นช่วงที่เรียกกันว่า ปลายฝนต้นหนาว เป็นช่วงที่คนมักจะนิยมไปเที่ยวป่ากัน เมื่อปีที่แล้วฉันและครอบครัวพากันไปเดินป่าสะแกราชเพื่อนชมไก่ฟ้าพระยาลอกัน แต่ว่าปีนี้ครอบครอบของฉันพากันไปเที่ยวไกลหน่อย คือไป เที่ยวอุทยานแห่งชาติภูเรือ ที่จังหวัดเลย ฉันกับลูกสาวรู้สึกตื่นเต้นมาก เพราะว่าครั้งนี้ครอบครัวของเราจะไปกางเต๊นท์ค้างคืนที่ป่ากัน ซึ่งเป็นครั้งแรกสำหรับฉันและลูกสาว เพราะว่าเราอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯกัน ส่วนสามีของฉันนั้นเขาทำงานอยู่ต่างจังหวัด เขามักจะเที่ยวป่าอยู่เป็นประจำกับเพื่อนกลุ่มที่รักการเดินป่า ค้างคืนชมความงามตามธรรมชาติในป่ากันอยู่แล้ว เขามักจะเล่าให้ฟังอย่างมีความสุขเสมอ
การเดินทางไปเที่ยวอุทยานแห่งชาติภูเรือในครั้งนี้ ไปด้วยกันสี่ครอบครัวซึ่งนับรวมครอบครัวของฉันด้วย รวมจำนวนสมาชิกในกลุ่มนี้ทั้งหมดมีด้วยกัน ๙ คน เป็นชาย ๔ คน และหญิง ๕ คน พวกเราออกเดินทางจากตัวเมืองเลย ขับรถไปตามทางหลวงหมายเลข ๒๐๓ จนถึงอำเภอภูเรือ ทางเข้าที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูเรือ อยู่ด้านข้างที่ทำว่าการอำเภอภูเรือ จากปากทางขับรถขึ้นไปผ่านรีสอร์ต มากมาย ระยะทาง๔ กิโลเมตรก็ถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูเรือ
อุทยานแห่งชาติภูเรือ มีลักษณะภูมิประเทศเป็นทิวเขาสูงสลับซับซ้อนประกอบด้วย เขาหินทรายเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนั้นเป็นหินแกรนิตสลับกันไป ลักษณะเช่นนี้จึงทำให้มีที่ราบสูงสลับกับ ยอดเขาสูงทั่วไป มียอดเขาสูงที่สุดคือ ยอดภูเรือ มีความสูงถึง 1,365 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง ยังมียอดเขาที่สำคัญ คือ ยอดเขาภูสัน มีความสูง 1,035 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง และยอดภูกุ มีความสูง 1,000 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง ลักษณะเช่นนี้เอง จึงเป็นแหล่งต้นน้ำลำธารที่สำคัญก่อให้เกิดลำธารหลายสาย เช่น ห้วยน้ำด่าน ห้วยบง ห้วยเถียงนา ห้วยทรายขาว ห้วยติ้ว และห้วยไผ่ ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของน้ำตกห้วยไผ่ที่สวยงามแห่งหนึ่ง นอกจากนั้นยังมีน้ำตกหินสามชั้น ที่อยู่ไม่ห่างไกลจากจุดกางเต๊นท์เท่าไหร่นักเดินไปแค่ ๒๐๐ เมตรก็สามารถชมน้ำตกที่สวยงามได้โดยที่ยังไม่รู้สึกเหนื่อย
มีตำนานพื้นบ้านเล่าสืบกันมานมนานว่า สมัยก่อนภูเรือ เป็นเมืองที่ชาวบ้านเรียกว่า "ภูทุ่ง " เจ้าเมืองภูทุ่ง มีเจ้าเมืองภูครั่งเป็นพระสหายสนิท เจ้าเมืองภูทุ่ง มีโอรสในขณะเจ้าเมืองภูครั่งมีธิดา ต่างฝ่ายต่างก็อยากเป็นทองแผ่นเดียวกัน แต่ธิดาเมืองภูครั่งนั้นมีคนรักอยู่แล้ว เมื่อโอรสเมืองภูทุ่งจัดขันหมาก มาสู่ขอนางจึงหลบหนีไป โอรสเจ้าเมืองภูทุ่งจึงทำลายขันหมาก ทิ้งให้กลายเป็นหินเรียงรายอยู่ที่ "ทุ่งหินพานขันหมาก" และได้สร้าง "หินศิวลึงค์" ไว้ ให้คนคอยเคารพบูชา พร้อมกับสร้าง " หินเต่า" เพื่อประชดตัวเอง สำหรับชื่อ ภูเรือ มาจากลักษณะของภูเขาซึ่งมีชะโงกผายื่นออกมาคล้าย เรือสำเภาขนาดใหญ่ โดยที่ราบบนภูเขามีลักษณะคล้ายท้องเรือ อุทยานแห่งชาติภูเรือ ได้รับการประกาศจัดตั้งเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2522
ด้วยอุทยานแห่งชาติภูเรืออยู่ที่ จังหวัดเลย ซึ่งเป็นจั งหวัดที่มีอากาศหนาวเย็นที่สุดของประเทศไทย และอยู่บนยอดเขาสูง จึงทำให้มีอากาศเย็นตลอดปี โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวจะหนาวเย็นมาก จนกระทั่งน้ำค้างบนยอดหญ้าจะแข็งตัวกลายเป็นเกล็ดน้ำแข็ง ซึ่งมีภาษาพื้นเมืองเรียกว่า "แม่คะนิ้ง" ผู้ที่จะไปพักผ่อนควรเตรียมตัวให้พร้อมที่จะผจญกับความหนาวเย็น แต่ในวันที่ฉันและครอบครัวไปกางเต๊นท์ค้างคืนกันนั้น เป็นช่วงปลายฤดูฝนต้นฤดูหนาวอากาศหนาวเย็น ฝนตกตลอดทั้งคืน และ ลมพัดรุนแรงมากจนเต๊นท์สั่นไหว พอตื่นมาตอนเช้าหมอกหนาจัดมากและฝนก็ตกตลอดจนกระทั่งเกือบจะเที่ยงวัน ทำให้ไม่มีโอกาสที่จะเดินสำรวจป่ากันตามที่ตั้งใจเอาไว้ ทำได้เพียงแค่เดินไปดูน้ำตกหินสามชั้นเท่านั้นเอง
ภูเรือ มีสภาพป่าหลายชนิดปะปนกันอย่างสวยงาม ทั้งป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง ป่าดงดิบ ป่าสนเขา โดยเฉพาะยอดภูเรือ ประกอบด้วยป่าสนเขา สลับกับสวนหินธรรมชาติแซมด้วยพุ่มไม้เตี้ย สลับด้วยทุ่งหญ้าเป็นระยะ ไม้พื้นล่างที่พบโดยทั่วไป ได้แก่ กุหลาบป่า มอส เฟิร์น และกล้วยไม้ที่สวยงาม เช่น ม้าวิ่ง สามปอย ไอยเรศ เอื้องคำ เอื้องผึ้ง เอื้องเงิน ซึ่งขึ้นตามต้นไม้และโขดหิน กล้วยไม้เหล่านี้จะออกดอกบานสะพรั่งให้ชมสลับกันไปตลอดทั้งปี
นอกจากนี้ ป่าภูเรือยังมีสัตว์ป่าที่ชุกชุมพอสมควร ที่พบบ่อย เช่น หมี เก้ง กวางป่า หมูป่า หมาไน ลิง พญากระรอกดำ ไก่ฟ้าพญาลอ ไก่ป่า และชุกชุมไปด้วยกระต่ายป่า เต่าเดือย เต่าปูลูและนกชนิดต่างๆ ที่สวยงามอีกมากมาย โดยเฉพาะในฤดูหนาวจะอพยพมาจากประเทศจีนเป็นจำนวนมาก
การได้ไปเที่ยวภูเรือในครั้งนี้ทำให้ฉันและครอบครัว รวมไปถึงครอบครัวที่ร่วมเดินทางมาด้วยกันอีกสามครอบครัวนั้น รู้สึกประทับใจกับธรรมชาติที่สวยงาม หมอกที่หนาจัดมาก ซึ่งฉันไม่เคยเห็นมาก่อนเลย กับอากาศที่บริสุทธิ์ ทำให้ไม่อยากจะกลับเลยอยากอยู่ค้างคืนต่ออีกสักสองสามวัน แต่ว่าทุกคนก็ต้องกลับไปทำงาน ต่างคนต่างก็เสียดาย และรู้สึกชอบการเที่ยวสัมผัสธรรมชาติป่าเขาท่ามกลางสายหมอกแบบนี้ เลยตกลงกันว่าจะมาเที่ยวแบบนี้กันอีกในเดือนหน้า แต่ว่าคราวนี้คงจะเปลี่ยนสถานที่ เห็นคุยกันว่าจะไปเที่ยวอุทยานแห่งชาติน้ำหนาวกัน บางครอบครัวในระหว่างเดินทางกลับบ้าน ถึงกับแวะซื้อเต๊นท์เพื่อที่จะเตรียมเดินทางไปน้ำหนาวกันเลยทีเดียว ถ้าฉันมีโอกาสได้ร่วมเดินทางไปกับกลุ่มนี้อีกครั้ง ก็จะนำเรื่องราวมาลงให้ได้อ่านกันต่อไป

เมื่อวันที่ : 01 พ.ย. 2551, 03.12 น.
ผู้อ่านที่รัก,
นิตยสารรายสะดวก และผู้เขียนยินดีรับฟังความคิดเห็นต่อข้อเขียนชิ้นนี้
เชิญคลิกแสดงความเห็นได้โดยอิสระ ขอขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ในการมีส่วนร่วมของท่านในครั้งนี้...