![]() |
![]() |
มนต์อักษรา![]() |
...หลังจากวันนั้นฉันไม่ได้ไปทำงานที่บ้านแม่ทิวาพรอีกเลย ไม่ได้แม้กระทั่งโทรศัพท์ติดต่อกลับไป เพราะฉันไม่กล้าที่จะคุยกับคนที่บ้านนั้นอีกแล้ว พวกเขาคงยังโกรธฉันอยู่แทนที่ฉันจะรู้สึกเสียใจแต่กลับมีความรู้สึกโล่งอกที่จะไม่ต้องอยู่ใต้บังคับใครอีก...
หลังจากวันนั้นฉันไม่ได้ไปทำงานที่บ้านแม่ทิวาพรอีกเลยไม่ได้แม้กระทั่งโทรศัพท์ติดต่อกลับไป เพราะฉันไม่กล้าที่จะคุยกับคนที่บ้านนั้นอีกแล้ว พวกเขาคงยังโกรธฉันอยู่แทนที่ฉันจะรู้สึกเสียใจแต่กลับมีความรู้สึกโล่งอกที่จะไม่ต้องอยู่ใต้บังคับใครอีก ถึงแม้ว่าลึกลงในใจแล้วยังคงกังวลว่า ฉันจะถูกลงโทษจากองค์เทพหรือเปล่าที่ไปสร้างความเดือดร้อนให้แก่ร่างทรงขององค์เทพ การอยู่บ้านเฉยเฉยแล้วแบมือขอเงินพ่อแม่ใช้อย่างเดียวทำให้ฉันรู้สึกอึดอัดใจมาก จึงออกไปเดินเล่นแถวตลาดหน้าปากซอยบ้าน บางทีอาจจะเจอหนทางที่จะทำให้มีงานทำขึ้นมาได้บ้าง ฉันเดินเรื่อยเปื่อยไปจนหยุดพักเหนื่อย หน้าโรงเรียนสอนตัดเย็บเสื้อผ้าแห่งหนึ่ง ซึ่งติดประกาศไว้ว่ารับสมัครช่างตัดเย็บเสื้อผ้ารายได้ดี น่าสนใจมาก ฉันเลยตัดสินใจเข้าไปขอระเบียบการเรียนตัดเย็บเสื้อผ้า ซึ่งใช้ระยะเวลาเรียนประมาณ 8 เดือน
หลังจากที่คุยกับเจ้าของโรงเรียนแล้ว ฉันมั่นใจว่าถ้าเรียนจบฉันต้องมีงานทำแน่นอนจึงคิดนำเรื่องนี้ไปปรึกษาพ่อกับแม่ โดยจะขอยืมเงินท่านเรียนก่อน เมื่อเรียนจบมีงานทำแล้วก็ทยอยใช้คืน ฉันรีบเดินทางกลับบ้านด้วยวาดความฝันไว้ในใจอย่างงดงามเกี่ยวกับอาชีพช่างตัดเย็บเสื้อผ้า เมื่อฉันกลับมาถึงบ้านเห็นแม่นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะหินอ่อนในสวนหน้าบ้าน ฉันส่งยิ้มให้แล้วเดินเข้าไปหา
"แม่คะ หนูมีเรื่องจะปรึกษา"
"เรื่องอะไรหรือครีม เล่ามาได้เลยแม่ฟังอยู่"
"หนูจะเรียนตัดเย็บเสื้อผ้า จบแล้วมีงานทำแน่นอนหนูคุยกับเจ้าของโรงเรียนมาแล้ว แม่คิดว่าดีไหมค่ะ"
"ครีมชอบหรือเปล่า เรียนตัดเย็บเสื้อผ้าเป็นงานฝีมือไม่ใช่จะเรียนสำเร็จกันง่ายง่ายนะลูก หนูต้องตั้งใจจริงไม่อย่างนั้นก็จะเสียค่าเรียนฟรีโดยที่ไม่ได้อะไรเลย แม่เคยได้ยินมาว่าค่าเล่าเรียนแพงมาก"
"หนูชอบค่ะ แต่ไม่มีเงินเรียน หนูจะขอยืมเงินพ่อ แม่ช่วยคุยกับพ่อให้หนูได้ไหม"
"ครีมต้องการยืมเท่าไหร่ล่ะ แม่จะได้บอกพ่อ"
"สองหมื่นบาท เป็นค่าเล่าเรียนประมาณหนึ่งหมื่นบาทส่วนที่เหลือหนูจะนำไปซื้อจักรเย็บผ้าและอุปกรณ์ในการเรียน"
"เงินตั้งเยอะ พ่อเขาจะมีให้เหรอ เพราะค่าใช้จ่ายในบ้านพ่อเขาเป็นคนออกหมดเลยแล้วยังมีค่าเล่าเรียนของน้องแคทอีกนะลูก แล้วเงินเก็บหนูตั้งหลายหมื่นหายไปไหนหมด"
"หนูให้แม่ทิวาพรยืมไปจนหมดแล้วค่ะ ตอนนี้เขายังไม่ใช้คืนหนูเลย"
"ครีมให้เขายืมไปเท่าไหร่" แม่ทำสีหน้าตกใจ
"เจ็ดหมื่นบาท"
"ครีม ทำไมหนูไม่บอกแม่ แล้วทำสัญญาไว้หรือเปล่า"
"เปล่าค่ะ เขาเป็นร่างทรงขององค์เทพคงไม่โกงหนูหรอกแม่"
"แล้วตอนนี้หนูทำไมไม่ไปทำงานกับเขาล่ะ ต้องมีเรื่องอะไรใช่ไหม"
"เขาโกรธหนู เพราะว่าหนูไปทำให้เขาเดือดร้อน" ฉันก้มหน้าไม่กล้าสบตาแม่ที่มองฉันด้วยความโมโห
"แม่ร่างทรงนั่นเดือดร้อนเรื่องอะไร เล่าให้แม่ฟังให้หมดเลยนะครีม" น้ำเสียงของแม่น่ากลัวมาก
"หนูไปเที่ยวกับนวัต ทำให้ไสยศาสตร์ที่เขาถอนให้หนูกลับไปหาเขา ทำให้บริษัทที่เขารับทำบัญชีให้ เลื่อนการจ่ายเงินออกไปทำให้เขาเดือดร้อนเรื่องเงิน เขาโกรธไม่ยอมพูดกับหนูและไม่ให้ไปทำงานด้วยจนกว่าเขาจะหายโกรธ หนูกลัวว่าองค์เทพจะลงโทษก็เลยไม่กล้าติดต่อเขา หนูเลยไม่รู้ว่าจะทวงเงินเขาได้อย่างไร"
"โธ่ ครีมทำไมหนูถึงโง่อย่างนี้นะ เรียนจบตั้งปริญญาตรี ไม่มีไหวพริบเอาเสียเลย แม่ร่างทรงนั่น พาลหาเรื่องเพราะคิดจะเบี้ยวไม่คืนเงินให้แล้วยังไม่รู้ตัวอีก"
"หนูจะทำยังไงดี แม่อย่าบอกพ่อนะคะ"
"แม่ไม่บอกหรอก เพราะถ้าบอกเป็นเรื่องแน่นอน แม่จะขอยืมเงินพ่อให้หนึ่งหมื่นบาท ส่วนที่เหลือครีมก็ไปหายืมจากเพื่อนแล้วกันนะ แม่ช่วยครีมได้แค่นี้แหละ" แม่ลุกเดินเข้าบ้านอย่างอารมณ์เสีย ปล่อยให้ฉันนั่งอยู่ที่โต๊ะหินอ่อนในสวนหน้าบ้านเพียงคนเดียว
*******************************
บ่ายโมงกว่าฉันนั่งอยู่ที่โต๊ะหนังสือเปิดลิ้นชักเพื่อค้นหาสมุดที่จดเบอร์โทรศัพท์ของกลุ่มเพื่อนสนิทเพื่อจะขอยืมเงิน ฉันไม่ได้พบปะติดต่อเพื่อนเลยหลังจากที่เจอกันครั้งสุดท้ายในงานแต่งงานของแก้วตาเพื่อนในกลุ่มสมัยเรียนปริญญาตรี ผ่านมาประมาณเกือบจะสี่ปีกว่าแล้ว ตอนนี้ต้องโทรศัพท์เพื่อไปขอยืมเงิน ไม่รู้ว่าพวกเขาจะรู้สึกกับฉันอย่างไรหนอ คิดแล้วทำให้รู้สึกหมดกำลังใจ
ในที่สุดฉันก็ตัดสินใจเลือกที่จะโทรศัพท์ไปหาเพื่อนคนหนึ่งที่ชื่อ วนิดา เราสนิทกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมต้น จนกระทั้งเรียนจบปริญญาตรีมาด้วยกัน สถานะทางบ้านของวนิดาร่ำรวย เธอแต่งงานกับนายธนาคารที่มีสถานะร่ำรวยเหมือนกัน มีลูกสาวอายุเท่ากันกับน้องแคท ฉันไม่ได้ติดต่อกับวนิดามาประมาณสี่ปีกว่า คิดว่านิสัยของเธอคงจะเหมือนเดิม ตอนสมัยเรียนหนังสือด้วยกันเธอมักจะให้ฉันยืมเงินอยู่เป็นประจำ
ฉันยกหูโทรศัพท์แล้วกดเบอร์โทรศัพท์ของเพื่อนสนิทคนนี้ด้วยอาการตื่นเต้น ในใจนั้นคิดหาวิธีพูดจะขอยืมเงินเพื่อน ที่ไม่ให้ดูน่าเกลียดอยู่หลายวิธี จนได้ยินเสียงรับโทรศัพท์มาทางปลายสายว่า
"สวัสดีค่ะ ที่นี่บ้านรักษ์ณรงค์ ต้องการพูดกับใครคะ"
"คุณวนิดาค่ะ"
"รอสักครู่นะคะ" ฉันได้ยินเสียงเรียกวนิดาดังแว่วอยู่ที่ปลายสาย หลังจากนั้นไม่นานวนิดาก็มารับโทรศัพท์
"สวัสดีค่ะ วนิดากำลังรับสายอยู่ค่ะ"
"นิดา นี่ครีมเองนะจำได้ไหม"
"ครีมเหรอ หายไปตั้งนานไม่ติดต่อมาเลยนะ นิดาโทรไปที่บ้านทีไรเห็นแม่บอกว่าไปอยู่กับนวัตที่ต่างจังหวัด"
"ครีมเลิกกับนวัตแล้วนะ"
"ทำไมล่ะครีม นิดาก็เห็นว่ารักกันดีอยู่ไม่น่าจะเลิกกันเลย"
"นวัตเขามีเรื่องที่ปกปิดครีมหลายอย่าง ครีมมารู้ทีหลังรับไม่ได้เราก็เลยเลิกกัน"
"แล้วลูกอยู่กับใคร"
"ลูกอยู่กับครีม"
"แล้วนวัตให้ค่าส่งเสียเลี้ยงดูลูกหรือเปล่า"
"เปล่า เขาแค่ส่งค่าบ้านให้เท่านั้น ตอนนี้ครีมกำลังลำบากไม่มีงานทำด้วย เงินก็ไม่พอใช้"
"ครีมมีเรื่องอะไรจะให้นิดาช่วยหรือเปล่า บอกมาได้เลยนะไม่ต้องเกรงใจ"
"ครีมอยากจะขอยืมเงินนิดาหนึ่งหมื่นบาท จะเอาไปเรียนตัดเย็บเสื้อผ้า ถ้าเรียนจบได้งานทำแล้วครีมจะทยอยคืนให้นะ"
"ได้สิ ครีมจะเอาเมื่อไรล่ะนิดาจะได้ไปกดเอทีเอ็มมาให้"
"พรุ่งนี้ได้ไหม นิดาติดธุระอะไรหรือเปล่า"
"นิดาว่าง ไม่ค่อยได้ไปไหนหรอก เช้าไปส่งลูก เย็นไปรับลูก ทำอยู่แค่นี่แหละ พรุ่งนี้ตอนบ่ายเราไปเจอกันที่ร้านไอซ์ไอศกรีม หน้าปากซอยบ้านนิดาแล้วกันนะ ร้านประจำของเราสมัยเรียนหนังสือจำได้ไหมครีม"
"ขอบคุณนิดามากนะ ที่ให้ครีมยืมเงิน"
"ไม่ต้องคิดมากหรอกนะครีม เราเป็นเพื่อนกัน ถ้าครีมมีปัญหาอะไร มาปรึกษานิดาได้อย่าเก็บไว้คนเดียว บ่ายสามโมงแล้วคุยกันแค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยวนิดาต้องออกไปรับลูกแล้วพรุ่งนี้ค่อยเจอกันนะ"
วนิดาวางสายไปแล้ว ส่วนตัวฉันนั้นยังรู้สึกตื้นตันใจที่เพื่อนคนนี้ยังมีน้ำใจไมตรีให้เหมือนเดิม ทั้งที่เราเรียนจบแยกย้ายกันไปนานแล้ว อย่างนี้แหละที่เขาเรียกกันว่าเพื่อนแท้ ในยามทุกข์ยากก็ยังไม่ทิ้งกัน
******************************
ฉันไปที่ร้านไอซ์ไอศกรีมหน้าปากซอยบ้านของวนิดา เวลาบ่ายโมงตรงเห็นวนิดาแต่งชุดเสื้อกระโปรงติดกันสีชมพูซึ่งขับผิวเธออย่างมากทำให้ดูสวยเด่นสดใส นั่งรออยู่ตรงโต๊ะที่เคยเป็นมุมโปรดของเราสองคนในสมัยเรียนหนังสือด้วยกัน เธอส่งยิ้มมาให้ แล้วยกมือเรียกให้ไปที่โต๊ะที่เธอนั่งอยู่
"ครีม ดูผอมลงไปมากเลยนะ" วนิดาทักในขณะที่ฉันนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ตรงข้ามกับเธอ
"ครีมคิดมาก เรื่องไม่มีงานทำ เพราะเป็นห่วงลูกกลัวไม่มีเงินส่งให้เขาเรียนสูงสูง"
"ทำไมครีม ไม่ลองคุยกับนวัตดูอีกสักครั้งให้เขาช่วยค่าเลี้ยงดูลูก ครีมจะได้ไม่ต้องลำบาก"
"ครีมไม่อยากไปบังคับใคร ถ้าเขาคิดจะให้ก็ต้องมาจากใจของเขาเองโดยไม่ต้องมีใครไปบอก"
"กินไอศกรีมกันก่อนดีกว่านะ นิดาสั่งกะทิซันเดย์ของโปรดของเราทั้งคู่ อีกสักครู่เขาคงนำมาให้ไม่ได้กินตั้งนานแล้ว เรามากินให้ชื่นใจกันก่อนดีกว่านะ ครีม"
วนิดาส่งยิ้มให้ฉัน เมื่อทางร้านนำไอศกรีมกะทิซันเดย์มาให้ เราทั้งคู่นั่งกินกันอย่างเอร็ดอร่อย คุยเรื่องราวในอดีตหัวเราะกันอย่างสนุกสนานตามประสาเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันมานาน จากนั้นวนิดาจึงหยิบซองสีน้ำตาลซึ่งใส่เงินจำนวนหนึ่งหมื่นบาทออกมาจากกระเป๋าถือของเธอแล้วยืนส่งมาให้ฉัน
"ขอบคุณมากนะนิดาที่ช่วยเหลือในครั้งนี้ ถ้าครีมทำงานหาเงินได้มาเมื่อไร จะรีบทยอยใช้คืนให้เลยนะ"
"ไม่เป็นไรหรอกนะ เราเป็นเพื่อนกันมานาน เพื่อนมีเรื่องเดือดร้อนจะไม่ ช่วยเหลือได้อย่างไรกัน นิดาไม่ใช่คนใจดำ ครีมก็รู้ใช่ไหมล่ะ"
หลังจากแยกย้ายจากวนิดา ฉันนั่งรถแท็กซี่ตรงกลับบ้านทันทีถึงบ้านประมาณสี่โมงเย็นได้เวลาที่น้องแคทกลับมาจากโรงเรียนพอดี น้องแคทนั่งรอฉันอยู่กับพ่อและแม่ ที่โต๊ะหินอ่อนในสวนหน้าบ้าน เมื่อเห็นฉันเดินเข้าบ้านมา น้องแคทรีบลุกขึ้นวิ่งมากอดฉันทันที มองดูลูกแล้วรู้สึกสงสารจับใจ นึกโกรธตัวเองในใจที่ไม่มีความสามารถจะหางานดีดีที่มั่นคงทำได้ อนาคตของน้องแคทจึงไม่สดใสอย่างที่ควรจะเป็น
เมื่อวันที่ : 16 พ.ย. 2550, 13.13 น.
ผู้อ่านที่รัก,
นิตยสารรายสะดวก และผู้เขียนยินดีรับฟังความคิดเห็นต่อข้อเขียนชิ้นนี้
เชิญคลิกแสดงความเห็นได้โดยอิสระ ขอขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ในการมีส่วนร่วมของท่านในครั้งนี้...