...สวัสดีค่ะ มีเรื่องเดินทางมาเล่าอีกครั้งจนได้ คราวนี้ต้องเดินทางไปอินโดนีเซียเพื่อสัมมนาของที่ทำงาน วันที่ 26-27 กุมภาพันธ์ 2550 ออกเดินทางตั้งแต่เช้าว...
สวัสดีค่ะ มีเรื่องเดินทางมาเล่าอีกครั้งจนได้ คราวนี้ต้องเดินทางไปอินโดนีเซียเพื่อสัมมนาของที่ทำงาน วันที่ 26-27 กุมภาพันธ์ 2550 ออกเดินทางตั้งแต่เช้าวันที่ 25 เครื่องออก 8.20 น. บ้านพญาไฟอยู่แถวบางนา ขับรถไปแป๊บเดียวก็ถึงแล้ว กะว่าให้ถึงสนามบินก่อนเครื่องออกซักชั่วโมงครึ่งก็ทัน เลยออกจากบ้านตอนหกโมงครึ่ง ไปถึงสนามบินประมาณเจ็ดโมง
พอจะเช็คอินตั๋ว โอ้ คนต่อคิวยาวเหยียดเป็นกิโล (เว่อซะ) ไม่ถึงกิโลหรอก แต่ก็ยาวประมาณ 50-60 คิวล่ะ อะไรจะปานนั้น อ้อ แถวที่ยาวเนี่ยเป็นแถวเดินทางภายในประเทศ แถวออกต่างประเทศสั้นกว่า แต่ก็ยังถือว่าคิวยาวอยู่ดี จะไม่ให้ยาวได้ไง ก็เปิดเค้าท์เตอร์เช็คอินแค่ 2 เค้าท์เตอร์เอง ก่อนออกจากบ้าน แม่ทำไข่เจียวแสนอร่อยมาด้วย กะให้ทานที่สนามบินระหว่างนั่งคอย เลยเอามายืนกินซะเลย แฮ่ คิวยาวซะขนาดนี้ กว่าจะได้ขึ้นเครื่องคงปาเข้าไปใกล้จวนเจียนเวลานั่นแหล่ะ กินซะตอนนี้เลยไม่งั้นแม่เสียใจแย่
ดีนะ ที่คนที่พญาไฟไปด้วยเค้าเป็นงาน ประสบการณ์เดินทางเยอะ ไปแจ้งที่เค้าท์เตอร์ขอเช็กอินว่าเครื่องที่เราจะไปใกล้ได้เวลาออกแล้ว เราเลยได้ลัดคิวมาก่อน ขนาดลัดคิวแล้วนะ ได้ขึ้นเครื่องจริง ๆ ก็โน่น 15 นาทีก่อนเครื่องออก ที่ช้าเนี่ย ก็หมดเวลาไปกับการเดินจากทางเข้าจนถึงประตูที่จะขึ้นเครื่องเนี่ยแหล่ะ ไกลซะจริง ๆ คราวนี้เดินเป็นกิโลจริง ๆ แล้วตอนผ่านเครื่องสแกนตรวจอาวุธ ยังถูกตรวจซะละเอียดยิบ เสื้อสูทที่ใส่ไปด้วยก็ต้องถอดออก เราต้องหัดทำตัวให้คุ้นชินกับการรักษาความปลอดภัยแบบนี้แล้วรึเนี่ย
นี่รูปที่ทางเข้าในส่วนที่มีขายของปลอดภาษีค่ะ เห็นเค้ายืนถ่ายรูปกันเยอะ พญาไฟก็เอามั่งดิ ถ่ายรูปกะเค้าด้วย ระหว่างทางเดินไปขึ้นเครื่อง โอ้โห มีร้านค้ามากมาย ชักสงสัยว่า นี่เราสร้างสนามบินหรือห้างสรรพสินค้ากันแน่
เครื่องบินใช้เวลาบิน 4 ชั่วโมงมาถึงสนามบิน Denparsar เวลาท้องถิ่น 14.00 น. ที่นี่เวลาเร็วกว่าบ้านเรา 1 ชม. เล่าความซื่อบื้อของตัวเองอีกหน่อย ก่อนมานี่ แม่ถามว่า ไปที่ไหนของอินโด พญาไฟก็บอกว่า เด็นบาซาค่ะ แล้วไปบาหลีหรือเปล่า แม่ถามต่อ เปล่าค่ะ ไปเด็นบาซ่า ในตั๋วมันเขียนไว้อย่างนี้ ฮา พอบินมาถึงแล้วถึงได้รู้ว่า โง่จริงเรา บาหลีน่ะมันชื่อเกาะ เด็นบาซ่าเป็นชื่อเมืองบนเกาะบาหลี ก็มองไปทางไหน มีแต่คำว่า บาหลี บาหลี เต็มไปหมด ว้าว นี่ได้มาบาหลีแล้วเรา ไม่ได้นึกมาก่อนเล้ย
จากสนามบิน มีรถโรงแรมมารับ พอมาถึงโรงแรม เค้าก็มีดนตรีบรรเลงเพลงต้อนรับ อย่างรูปที่เห็นเนี่ยค่ะ
เช็คอินเรียบร้อย เข้าห้องพักเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมตัวออกเที่ยว ฮา ก็เพิ่งบ่ายกว่า ๆ เอง มีเวลาเที่ยวอีกตั้งครึ่งวัน พรุ่งนี้ถึงจะเริ่มงานสัมมนา ออกจากโรงแรมเดินไปตามทางเรื่อย ๆ สภาพถนน สิ่งก่อสร้าง ร้านต่าง ๆ เป็นเหมือนแหล่งท่องเที่ยวบ้านเรา ประมาณสมุย กระบี่ ภูเก็ต ระหว่างทางเดินช้อปปิ้ง มีร้านขายของเรียงรายเหมือนบ้านเราจริง ๆ ทั้งบรรยากาศและสินค้า เสื้อยืด รูปภาพ ของจุกจิก สร้อย กระเป๋า เครื่องจักสาน เห็นแล้วก็คิดว่า เราจะซื้อกลับไปทำไมเนี่ย เหมือนบ้านเราเลย ก็เลยช้อปปิ้งแบบไม่จ่ายตัง เก็บแต่รูปถ่ายมาฝากกัน แฮ่
รูปบ้านสวย ๆ
มีเครื่องเล่นนี้ด้วยค่ะ แต่ใจไม่กล้าพอ ได้แต่ยืนมอง เวลาเล่น เราก็จะขึ้นไปนั่งในลูกกลม ๆ แล้วมันก็จะเด้งขึ้นเด้งลง ความสูงก็เท่าเสาที่อยู่ในภาพบนนั่นแหล่ะค่ะ สูงไล่กับต้นตาลเลย อูย ใครจะไปลอง
เดินเที่ยวได้สักพักท้องเริ่มหิว กะว่าจะหาอะไรรองท้องเล่น ๆ สักหน่อย มองไปมองมา เจอ McDonald เลยแวะเข้าไปซื้อ มันฝรั่งทอดพร้อมน้ำดำ มารองท้องก่อน มาถึงบาหลีทั้งที กินแม็กเนี่ยนะฝันไปเถอะ
หลังจากหาอะไรใส่ท้องเล็กน้อยแล้ว ก็เริ่มเดินต่อ คราวนี้มุ่งหน้าไปชายหาด มีผู้คนเล่นน้ำแบบใส่เสื้อยืดอย่างบ้านเราเลยค่ะ ดูแล้วนักท่องเที่ยวเป็นชาวเอเชียมากกว่าชาวตะวันตก เลยไม่เห็นแบบนุ่งบิกินีเล่นน้ำ มีคนหนึ่งเดินตรงเข้ามาเอาสร้อยไข่มุกมาขายสวยดีเหมือนกัน ถามราคาดูแล้วก็ประมาณ 240 บาท แต่บอกแล้ว อะไรที่บ้านเรามีก็จะไม่ซื้อ แฮ่ แต่จริง ๆ แล้ว คือไม่นิยมเครื่องประดับค่ะ พยายามหัดซื้อมาใส่หลายครั้ง แต่ในที่สุดมันก็ถูกเก็บลงไปนอนนิ่งในกล่องที่ไหนสักแห่งในบ้าน เลยไม่รู้จะซื้อมาเก็บทำไมอีก
ทะเลบาหลีไม่เห็นสวยอย่างที่เคยได้ยินเสียงเล่าอ้างเลย หรือว่าเราอาจจะมาอยู่ในถิ่นที่มันเสื่อมโทรมซะแล้วหรือเปล่า หาดทรายไม่สวย น้ำทะเลก็ไม่น่าเล่น เลยได้แต่ยืนมองและเดินรับลมทะเล ถ้าเทียบกับทะเลภูเก็ต กระบี่ แล้วนะคะ ของเราสวยกว่าเยอะ ดูจากรูปละกันค่ะ
จากทะเล กลับมาเดินช้อปปิ้งบนบกต่อ มีร้านขายของแบรนเนมเยอะแยะ คนที่ได้วยกันเค้าแวะเข้าไปดูกางเกงยีนส์ Vesache (สะกดถูกหรือเปล่าไม่แน่ใจ ที่คนไทยเราออกเสียงว่า "เวอซาเช่" น่ะ) นำเข้าจากฮ่องกง สวยดี กำลังลดราคา 50% ราคาประมาณ 800-1000 บาท แต่ไม่ได้ซื้อหรอกค่ะ ปล่อยให้อีกคนเค้าดูไปเรื่อย ๆ เราก็คอยเดินตามเพราะเราไม่เน้นซื้อของอยู่แล้ว แต่กะว่าจะดูให้ทั่ว ๆ ก่อน แล้วค่อยมาซื้อของฝากในวันสุดท้ายก่อนกลับ
คราวนี้ได้เวลาหาอะไรมื้อเย็นทานจริง ๆ แล้ว เห็นมีร้าน kebab เป็นอาหารของประเทศแถบ ๆ ตุรกี อาหรับ ประมาณนั้น ส่งกลิ่นหอมมากออกมายั่วยวนน้ำลาย จนอดไปไม่ได้ต้องสูดจมูกฟิตฟิต ตามกลิ่นไป อื้อ อร่อยสมความตั้งใจเลยค่ะ จำชื่อเมนูไม่ได้แล้ว ดูรูปก็แล้วกันนะคะ หลังอาหารหนัก ก็สั่งของหวานมาตบท้าย หวานสุดสุด หวานเจี๊ยบจริง ๆ อร่อยค่ะ แต่ทานมากกว่า 1 ชิ้นไม่ได้นะ น้ำตาลขึ้นแน่
วันสุดท้ายของการสัมมนา เจ้าภาพพามาเลี้ยงอาหารที่สถานที่หนึ่งที่ทางบาหลีตั้งใจจะสร้างเป็นแหล่งท่องเที่ยว เป็นบริเวณกว้างใหญ่มาก ตัดภูเขา และสร้างรูปปั้นของพระวิศณุทรงครุฑตามความเชื่อศาสนาฮินดู ใหญ่แค่ไหนดูจากภาพเทียบกับตัวพญาไฟละกัน แต่เนื่องจากประสบภาวะเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบทุกประเทศในเอเชีย อินโดก็เป็นอีกหนึ่งที่โดนด้วย โครงการก่อสร้างสถานที่นี้จึงต้องหยุดชะงักลง เพราะไม่มีงบประมาณสร้างต่อ ก็น่าเสียดายนะคะ ลงทุนทำมาตั้งเยอะขนาดนี้แล้ว เท่าที่ได้ก็คือรูปปั้นองค์พระวิษณุครึ่งบน ยังไม่มีแขน และส่วนหัวของพญาครุฑ เท่าที่เห็นในภาพนี่แหล่ะค่ะ
อย่างภาพที่เห็นเหมือนกำแพงสูง ๆ นั่น ไม่ใช่กำแพงที่ก่อขึ้นมานะคะ แต่เป็นส่วนของภูเขาที่เค้าตัดให้เป็นลักษณะกำแพงอย่างนั้น ส่วนพี้นที่คนเดินอยู่นั้นคือส่วนภูเขาที่ถูกตัดออกแล้ว ขนาดนั้นเชียวค่ะ
นี่คือภาพจำลองของรูปสำเร็จค่ะ
ในงานเลี้ยง เจ้าภาพจัดการแสดงรำท้องถิ่นพร้อมวงดนตรีมาต้อนรับ ดีค่ะ นางรำนอกจากรำเองแล้ว ยังมีการเดินมาดึงตัวผู้ชมขึ้นไปร่วมรำบนเวทีด้วย เป็นที่สนุกสนานกันใหญ่ เสียดายที่แบตกล้องหมดซะก่อน เลยถ่ายภาพงานเลี้ยงได้มาภาพเดียว
เช้าวันรุ่งขึ้นเป็นวันสุดท้ายในบาหลี ตื่นเช้ามาแบบไม่เร่งรีบ เพราะมีเวลาตั้ง 1 วัน เครื่องบินกลับเมืองไทยเที่ยว ห้าโมงเย็น วันนี้จึงจัดไว้เป็นวันช้อปปิ้งของฝากจริง ๆ จากที่สำรวจดูในวันแรกแล้วว่าจะซื้ออะไรมั่ง (ทั้ง ๆ ที่บอกว่ามีของเหมือนเมืองไทยเนี่ยนะ) ก็เลยเลือกซื้อของที่ไม่มีในเมืองไทย คือ สละอินโด (Salak) นั่นเอง แฮ่ คือตัวเองกินแล้วชอบ เลยอยากเอามาฝากคนที่บ้านบ้าง เนื้อสละที่นี่จะต่างจากบ้านเรา ของเค้าเนื้อจะแน่นและหนา รสออกฝาดเล็กน้อย ตอนอ่อนรสจะออกอมเปรี้ยว แต่พอแก่แล้ว รสออกอมหวาน แต่แม้จะมีรสฝาดก็อร่อยค่ะ เพราะเนื้อกรอบ เคี้ยว ๆ ไปความหวานค่อย ๆ ซึมชุ่มคอ
นี่ค่ะ รูปสละจากอินโดนีเซีย
นอกนั้นก็ซื้อมีน้ำมันหอมระเหยแบบที่เค้าเอาไว้หยดใส่ตะเกียงเผาไฟค่ะ ที่ซื้อเนี่ย เพราะแพ็กเกจสวย
แล้วก็ซื้อกาแฟ เพื่อนบอกว่าที่นี่กาแฟดีเป็นอันดับสองของโลกเชียวนะ เลยซื้อมาฝากคอกาแฟซะหน่อย
มองไปมองมา เจอบุหรี่พื้นเมืองอีก ก็เลยซื้อกลับมาฝากสิงห์อมควันอีก ในเมื่อไม่เลิก ก็ซื้อมาฝากซะเลย
พอแล้วสำหรับของฝาก กลับมาที่โรงแรมเพื่อเช็คเอ้า เครื่องออกเวลาห้าโมงเย็น แต่เค้าใจดียอมให้เช็คเอ้าได้ช้าสุดตอนบ่ายสามโมง กลับจากซื้อของฝาก ก็จัดการเก็บของ อาบน้ำเรียบร้อย ขนของลงมาเช็คเอ้าที่ล็อบบี้ แค่ระยะทางจากห้องพักเดินมาล็อบบี้ เหงื่อก็ออกอีกแล้ว ล็อบบี้เป็นลักษณะเปิดโล่ง ไม่ติดแอร์ แต่ถูกขนาบด้วยตึกห้องพัก ซึ่งบังลมไว้ ทำให้ไม่ค่อยได้มีลมพัดผ่าน เค้าน่าจะตั้งพัดลมไว้ให้ลูกค้าซะหน่อย เมื่อเช็คเอ้าเสร็จแล้ว พญาไฟต้องนั่งคอยที่ล็อบบี้เพื่อรอให้ถึงเวลา เลยต้องนั่งนิ่ง ๆ ทำใจสงบไว้ ไม่ให้เหงื่อออก มิน่าล่ะ สังเกตุดูคนที่นี่ เค้าจะเดินลักษณะเนิบ ๆ ทำอะไรช้า ๆ ไม่เร่งรีบ ไม่งั้น คงจะตัวเปียกทั้งวัน เพราะอากาศที่นี่ร้อนชื้นสุด ๆ แต่คนที่นี่น่ารักนะคะ ยิ้มแย้มแจ่มใส แม้ว่าจะหน้าดุ แต่ยิ้มแย้มดีค่ะ
ถึงเวลาไปสนามบิน จ่ายค่าภาษีสนามบิน 100,000 Rupiah เวลาจะคิดราคากลับมาเป็นเงินไทย ก็ใช้ 0.004 คูณเข้าไป หรือง่าย ๆ ก็คิดซะว่า 10000 ละ 40 บาท เพราะของที่นี่ที่ซื้อ ส่วนใหญ่ราคาจะประมาณ หมื่นรูเปียขึ้นไป ถ้าคิดเป็นดอลล่าห์ ก็ 1 ดอลล่าห์ = 9000 รูเปีย
รูปทะเลจากสนามบิน Denparsar ขณะเดินทางขากลับค่ะ
กลับถึงเมืองไทยดูเหมือนจะเรียบร้อยดี แม่มารับที่สนามบิน กลับถึงบ้านถึงได้รู้ว่าลืมโน๊ตบุ้คไว้ที่สนามบิน ใจหายแว้บ รีบโทรติดต่อเจ้าหน้าที่สนามบิน แล้วบึ่งรถจากบ้านกลับไปที่สุวรรณภูมิ ในใจก็คิดว่าจะได้คืนมั้ยน้า มาถึงสนามบินก็รีบติดต่อที่ส่วนกระเป๋าหาย (baggage claim) โชคดีค่ะ เจ้าหน้าที่เค้าเก็บไว้ให้ สอบถามดูซักรายละเอียดว่าของข้างในคืออะไร ตอบถูกเรียบร้อยเจ้าหน้าที่ก็คืนของให้ โดยเค้าให้กรอกแบบฟอร์มรับของคืน ใส่ชื่อนามสกุลหมายเลขพาสปอร์ต เซ็นชื่อรับของกลับได้ เฮ้อ โล่ง นึกว่าชวดซะแล้ว โน้ตบุ้คนี้เพิ่งซื้อเมื่อเดือนต้นเดือนธันวานี้เอง แฮ่ อยู่กันยังไม่ถึง 3 เดือนเลย ก็จะจากกันแล้วรึ อิอิ นี่ดีนะที่ลืมที่สนามบินเมืองไทย ถ้าเป็นสนามบินเด็นบาซ่า ก็เป็นอันหมดหวัง ไม่มีปัญญาบินกลับไปเอาของคืนแน่ (เหอ เหอ ขออวดโฉมลูกสาวหน่อยเต๊อะ)
จบการเดินทางเยือนบาหลีด้วยความสวัสดิภาพ
แถมท้ายด้วยภาพดอกไม้จากบาหลีค่ะ

เมื่อวันที่ : 04 มี.ค. 2550, 22.37 น.
ผู้อ่านที่รัก,
นิตยสารรายสะดวก และผู้เขียนยินดีรับฟังความคิดเห็นต่อข้อเขียนชิ้นนี้
เชิญคลิกแสดงความเห็นได้โดยอิสระ ขอขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ในการมีส่วนร่วมของท่านในครั้งนี้...