![]() |
![]() |
ปรัชญากานต์![]() |
...
ใบไม้พลิ้วไหวไปกับสายลมยามดึกสงัดในคืนค่ำที่ความโดดเดี่ยวเข้าครอบงำ หญิงสาวหลับตาลงช้าๆหลังจากที่ปล่อยให้หยาดน้ำไหลอาบแก้มของตัวเองมานานหลายชั่...


หลายชั่วโมงก่อนหน้านี้หล่อนได้รับโทรเลขจากพี่ชายที่ส่งข่าวร้ายมาบอก เหมือนวิญญาณจะปลิดปลิวออกจากร่างก็ไม่ปาน บุคคลอันเป็นที่รักยิ่งเดินทางจากไปอย่างเงียบๆทิ้งเอาไว้แค่เพียงความอบอุ่นที่ไม่มีวันจะจางหายไปตราบจนลมหายใจสุดท้ายของหล่อน
ร่างที่ไร้ซึ่งวิญญาณนั้นจะรู้หรือไม่ว่าในยามนี้หัวใจของหล่อนเหน็บหนาวเพียงไหนกับการจากไปครั้งนี้โดยไม่มีคำล่ำลาใดๆทั้งสิ้น ความหวังพังทลายจนหมด เรี่ยวแรงหดหาย หล่อนรู้ดีว่าจากวันนี้ไปชีวิตจะต้องเจอกับความเปลี่ยนแปลงมากมาย คนที่เป็นกำลังใจสำคัญให้หล่อนก้าวเดินมาจนถึงจุดหมายทอดทิ้งไปหล่อนเสียแล้ว สิ่งที่หล่อนมุ่งมั่นมาตั้งแต่ต้นจะมีความหมายอะไรอีกเล่า เมื่อคนที่ควรจะภูมิใจกับความสำเร็จของหล่อนไม่อยู่ในโลกนี้อีกต่อไป
ภาพแห่งเยาว์วัยค่อยๆเด่นชัดขึ้นจากทุกมวลของความทรงจำขณะที่หล่อนทรุดตัวลงนั่งบนเตียงอันว่างเปล่า สายตาทอดมองไปยังนอกห้องด้วยความรู้สึกเสียใจอย่างถึงที่สุด กระดาษที่ชุ่มไปด้วยคราบน้ำตาแผ่นนั้นมันไม่ได้ล้างเอาตัวอักษรที่โหดร้าย มันยังคงอยู่บนพื้นเหมือนจะเตือนสติหล่อนที่กำลังจะเตลิดไปไกลจากห้องนี้
ความจริงไม่ได้โหดร้ายแต่ความตายต่างหากที่โหดร้ายกับหล่อนด้วยการพรากเอาแม่ไปจากหล่อนในโมงยามที่หล่อนไม่สามารถจะดูแลท่านได้ หล่อนคิดไปถึงพ่อกับพี่ชาย ป่านนี้พ่อจะเสียใจสักเพียงใดหนอเมื่อคู่ทุกข์คู่ยากที่ฟันฝ่าอุปสรรคนานัปประการมาด้วยกันจากไปเยี่ยงนี้
ทุ่งนาจะกรีดเสียงร้องระงมบ้างไม่ หล่อนไม่รู้ แต่ต้นข้าวคงจะไหวเอนต่อการจากไป ผืนดินคงจะร่ำร้องเพื่อไว้อาลัย หล่อนนึกไม่ออกเลยว่าบ้านของหล่อนจะเป็นเช่นไรบ้าง
" เจ้านกกาเหว่าเอย ไข่ไว้ให้แม่กาฟัก แม่กาก็หลังรัก คิดว่าลูกในอุทร คาบเอาข้าวมาเผื่อ คาบเอาเหยื่อมาป้อน ซ่อนไว้ในรังนอน ......... "
เสียงเพลงกล่อมเด็กดังแว่วมาตามสายลมคล้ายเสียงของแม่ที่ร้องเรียกหล่อนเป็นครั้งสุดท้าย มันเป็นที่แม่ร้องกล่อมหล่อนเสมอ น้ำเสียงและสายตาที่บ่งบอกถึงความรักอันยิ่งใหญ่ของคนเป็นแม่ หล่อนยังจำได้ดี หล่อนจะนอนยิ้มร่าอยู่ในเปลญวนที่เก่าเกรอะ
ฐานะของชาวนาจะมีปัญญาที่ไหนเอาเงินไปซื้อเปลญวนดีๆราคาแพงๆได้ ถึงครอบครัวของหล่อนจะยากจนแต่หล่อนกลับอุ่นใจทุกครั้งที่ได้กลับไปเยี่ยมพ่อกับแม่ ท้องทุ่งเขียวขจีไปด้วยต้นกล้าที่โอบล้อมบ้านทั้งหลัง เมื่อยามที่สายลมฤดูฝนพัดผ่านเสียงเพลงจากต้นข้าวจะคอยขับกล่อมแทนเสียงเพลงจากเครื่องทรานซิสเตอร์ที่หล่อนใฝ่ฝันอยากจะได้ แต่แม่มักจะบอกว่าควรจะเก็บเงินไว้เรียนหนังสือมากกว่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือย
แสงสีในเมืองใหญ่ไม่เคยทำให้หล่อนหลงใหลได้ปลื้มไปกับมัน เพราะนั่นอาจเป็นจุดจบของความอ่อนแอในชีวิตที่คนบ้านนอกอย่างเพื่อนๆของหล่อนมักหลงเข้าไปติดกับดักบ่อยๆ บางคนเลือกที่จะฆ่าตัวตายเมื่อผิดหวังจากผู้คนแห่งแสงสีที่ใครๆพากันขนานนามว่าศิวิไล ซึ่งแท้ที่จริงแล้วมันคือหลุมพรางชั้นเยี่ยมที่คอยหลอกล่อผู้คนที่จิตใจมัวเมาให้เคลือบเคลิ้มและลุ่มหลงจนยากเกินจะถอนตัวได้ในที่สุด หล่อนเห็นตัวอย่างมามากนัก
" แม่จ๊า ถ้าน้องอุ่นโตกว่านี้อีกนิด แม่ต้องมีน้องชายให้หนูอีกคนนะจ้ะ " เสียงของเด็กชายวัยสามขวบเอ่ยบอกกับแม่ในตอนบ่ายของวันที่ฟ้าคราคร่ำไปด้วยเมฆสีเทาถมึน
" ฟังแม่นะจวบ แม่เองก็อยากจะมีน้องให้ลูกอีกคนแต่ฐานะอย่างเราจะเลี้ยงลูกสามคนคงไม่ไหว เราเป็นแค่ชาวนาแม่อยากให้จวบกับน้องได้เรียนสูงๆจะได้ไม่ต้องเป็นอย่างแม่กับพ่อ จำไว้นะลูกจวบต้องรักน้องให้มากๆ แล้วน้องอุ่นก็จะรักจวบมากๆเช่นกันจ๊ะ " ละมุนบอกแก่ลูกชายคนโต
" จ้ะแม่ จวบจะรักน้องให้มากๆ เป็นเด็กดีของแม่กับพ่อแล้วก็จะตั้งใจเรียนด้วยจ๊ะ " เด็กชายตัวน้อยบอกแม่ก่อนจะก้มลงนอนหนุนตักแม่อย่างเคย
" ดีมากจ๊ะ แม่ก็รักจวบมากนะลูก " แม่เอ่ยพร้อมกับลูบศีรษะเด็กชายประจวบอย่างรักใคร่
อุ่นคำยังคงจดจำภาพเหล่านั้นได้ดี แม้นว่าวัยของหล่อนจะยังเล็กนักก็ตาม
" แม่ดูพี่จวบสิแย่งขนมอุ่นไปกินเฉยเลย พี่จวบเอาขนมอุ่นคืนมาเดี๋ยวนี้นะ " หล่อนมักจะทะเลาะกับพี่ชายบ่อยๆตามประสาเด็กๆ
" เรื่องอะไรจะคืนให้โง่ละ ก็อุ่นนะไม่ยอมคืนดินสอแท่งใหม่ที่ครูบุญซื้อให้พี่ก่อนทำไมละ " ประจวบเองก็ไม่ยอมแพ้เหมือนกัน
" อุ่นยืมเขียนก่อนไม่ได้รึไงกัน ก็ดินสออุ่นไม่มีแล้ว พี่จวบใจร้าย "
" ไม่มีก็บอกพ่อซื้ออันใหม่ให้สิ "
" พี่ก็รู้ว่าปีนี้ข้าวขายไม่ได้ราคา แล้วไหนพ่อกับแม่ยังจะต้องเก็บเงินให้พี่เรียนต่อมัธยมต้นอีก เด็กประถมหกที่ไหนเค้าใช้ดินสอเขียนกันบ้างละ อย่าขี้งกไปหน่อยเลย " อุ่นคำยังเถียงพี่ชายไม่เลิกจนแม่ต้องปรามทั้งสองคนพี่น้อง
" จวบกับอุ่น อย่าทะเลาะกันเลยนะลูก อุ่นก็คืนดินสอพี่เค้าไปสิ แล้วเดี๋ยวแม่จะซื้อดินสอแท่งใหม่ให้นะ "
" อุ่นใช้ของเก่าก็ได้จ๊ะแม่ ดินสอสั้นใช้งานได้อยู่แต่คนใจแคบเปลี่ยนยังไงก็ไม่หาย " หล่อนอดที่จะแขวะพี่ชายไม่ได้
" แม่ดูน้องอุ่นสิ หลอกว่าผมอีกแล้ว " ประจวบหันไปทำตาขวางใส่อุ่นคำที่นั่งหน้านิ่วอยู่ข้างๆแคร่ตรงใต้ถุนบ้าน
" เมื่อไรเราสองคนจะเลิกทะเลาะกันซะทีนึงนะ พอได้แล้ว แยกย้ายกันไปทำการบ้านจะได้อาบน้ำทานข้าวมื้อเย็นกัน " แม่โบกมือเป็นการห้ามซึ่งเป็นอันรู้กันว่าหากยังทะเลาะกันไม่เลิกจะโดนตัดค่าขนมคนละครึ่งอาทิตย์และได้ผลทุกครั้งไปเพราะทั้งหล่อนและประจวบจะไม่มีเงินฝากเข้าบัญชีตลอดทั้งอาทิตย์เช่นกัน
เมื่อจบชั้นประถมแล้วประจวบได้เรียนมัธยมต้นของโรงเรียนประจำจังหวัดแถมยังได้ทุนเรียนจนจบมัธยมปลายอีกแลกกับการต้องอยู่หอพักของโรงเรียนถือว่าเป็นผลดีมากหากจะเปรียบกับการที่พ่อกับแม่จะต้องส่งเสียพี่ชายเพียงคนเดียวของหล่อนเนื่องมาจากค่าใช้จ่ายที่แพงมหาศาลหล่อนมักจะร้องๆไห้เสมอๆเมื่อประจวบต้องเดินออกจากบ้านเพื่อกลับเข้าโรงเรียน จนกลายเป็นความห่างระหว่างกันในที่สุด หล่อนแทบจะไม่ได้คุยกับเขาในทุกครั้งที่ประจวบปิดเทอมแล้วกลับมาอยู่ที่บ้านเพราะพี่ชายของหล่อนมักจะมีเพื่อนๆแวะมาหาแล้วชวนกันไปเที่ยวเล่นตามประสาผู้ชาย
" เอ้ยจวบเย็นนี้เราไปตกปลาที่ลำคลองท้ายนากันนะเห็นพ่อเราบอกว่าปลาชุมมาก "
พี่แสบนักเรียนรุ่นพี่ที่หล่อนไม่ค่อยชอบหน้านักเป็นคนแรกๆที่มักจะแวะเวียนมาชวนพี่ชายของหล่อนไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด วันนี้ก็เช่นกัน
" งั้นเจอกันตอนบ่ายสี่นะเว้ย " ประจวบตะโกนตอบกลับไปโดยไม่สนใจสายตาของพ่อที่มองด้วยความไม่พอใจนัก
" แล้วอย่าลืมชวนไอ้นาญไปด้วยนะ ไม่ได้เจอกันนานแล้วชักคิดถึง " แสบยังโต้กลับมา
" ได้เลยเพื่อน เราเองก็ไม่ค่อยเจอมันเหมือนกัน "
แสบเดินจากไปแล้วพ่อจึงหันมาดุประจวบ
" จวบเอ้ยเมื่อไรจะเลิกคบหาเพื่อนกลุ่มนี้ซะทีนะ มาทีไรก็ชวนกันไปกินเหล้า ไม่ดีเลย "
" โธ่พ่อดื่มเหล้านิดหน่อยเองนะ อีกอย่างผู้ชายสมัยนี้ไม่ดื่มเหล้าเค้าถือว่าเชยมาก พ่อไม่เคยได้ยินเหรอ" ประจวบเถียงพ่อ
" เชยแล้วทำไมละจวบ แม่ไม่เห็นว่ามันจะดีตรงไหนเลย มีแต่จะทำให้ร่างกายผ่ายผอมเสียเงินเสียทองมานักต่อนักแล้ว อีกอย่างเอ็งนะอายุยังน้อยกินเหล้าเดี๋ยวก็ทำให้สุขภาพอ่อนแอ ตั้งใจเรียนหนังสือจะดีกว่า " คราวนี้แม่เป็นคนออกหน้าเองเมื่อเห็นว่าลูกชายไม่ยอมฟังคำเตือนของพ่อ
" พอเถอะแม่ ใช่ว่าผมจะดื่มทุกวันอย่างน้าแช่มที่อยู่ท้ายหมู่บ้านซะหน่อย " พี่ชายหล่อนยังคงเถียงไม่เลิก
พ่อนั่งหน้าเศร้าเสมอในยามที่ประจวบแอบหนีไปกินเหล้ากับเพื่อนๆ หนังสือก็ไม่สนใจอ่านยิ่งใกล้สอบเข้าไปทุกที แม่เองก็พลอยไม่สบายใจไปด้วย
นานวันเข้าการเรียนของประจวบก็ยิ่งแย่ลง ผลการสอบแต่ละครั้งแทบจะไม่ผ่านด้วยซ้ำ จนบางทีครูต้องเชิญพ่อกับแม่ไปพบเพื่อให้เตือนพี่ชายของหล่อนถึงเรื่องหนีเรียนและคบเพื่อนเกเร แต่ประจวบก็ยังยืนยันว่าเขาจะตั้งใจเรียนให้จบเพื่อไม่ให้เสียชื่อนักเรียนทุน
เมื่อวันที่ : 22 ธ.ค. 2549, 19.25 น.
แวะมาอ่านผลงานนักเขียนมือใหม่ค่ะ
มีบางประโยคเขียนตกบ้างนะคะ แต่ก็เอาน่าพยายามเข้าไว้ ดาวเคียงเดือน ก็เขียนตกเหมือนกัน แฮ่ๆ