![]() |
![]() |
Anantra![]() |
...เพียงแต่ว่าฉันจะทำให้ดีที่สุด ฉันจะพยายามทำทุก ๆ วันให้มีแต่ความสุข และถ้ามันจะต้องมีอะไรเกิดขึ้น ฉันก็จะไม่เสียใจเลย เพราะฉันได้ทำเต็มที่กับมันแล้ว...
งานแต่งงานของฉันกับพี่หนึ่งผ่านพ้นไปด้วยดี มีแต่คนปลื้มใจ และชื่นชมกับงานนี้แขกของงานก็จะเป็นของทางฝ่ายเจ้าบ่าวเป็นส่วนใหญ่ ส่วนทางฝ่ายเจ้าสาวจะเป็นญาติสนิท และคนที่สนิทกันจริง ๆ เท่านั้น
ขอบอกตรง ๆ ว่าเหนื่อย และเมื่อยมากจริง ๆ เพราะต้องยืน และต้องเดินตลอด
ท่ามกลางความปลื้มปิติของทุกคน ฉันแอบน้ำตาซึมหลายครั้ง ไม่ใช่เพราะศร้าโศกเสียใจแต่อย่างใด แต่อาจจะเป็นเพราะว่าฉันกลัวกับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้น มันทั้งกังวล ทั้งสับสน ทั้งปิติ ทั้งดีใจ ปลื้มใจ หลากหลายความรู้สึกจริง ๆ ในขณะนั้น สำหรับคนที่เคยเป็นเจ้าสาวก็คงจะเคยรู้สึกคล้าย ๆ กันแบบนี้ มันเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูกจริง ๆ
และก็เป็นอย่างที่ฉันคิดไว้ ไม่มีเงาของอ้นในวันนั้น เขาไม่มาร่วมงานอย่างที่เขาเคยบอกไว้จริง ๆ เขาคงไม่อยากจะทำให้ฉันลำบากใจ หรือไม่ก็ไม่รู้ว่าจะมาทำไม ไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้วที่ควรจะมา
ฉันเป็นของพี่หนึ่งในคืนนั้นเลย เขาค่อยเป็นค่อยไปอย่างนุ่มนวล และอ่อนโยน ทำให้เราผ่านคืนนั้นไปด้วยกันอย่างสุขสม มีคนเคยบอกฉันว่าคืนแรกของวันแต่งงาน ไม่มีใครได้ทำอะไรกันหรอก เพราะเหนื่อยกันมาทั้งวัน หัวถึงหมอนได้ก็หลับกันเป็นตาย แต่ครั้งนี้ฉันได้พิสูจน์มันด้วยตัวของฉันเอง และบอกได้เลยว่า ไม่เสมอไป



"อร เตรียมตัวเรียบร้อยรึยังครับ เราต้องไปกันแล้วนะ" เสียงสามีของฉันตะโกนเรียก
"กำลังจะลงไปแล้วค่ะ" ฉันร้องบอก พลางหยิบไดอารี่ที่อ้นให้เป็นของขวัญแต่งงานขึ้นมาดูอีกครั้ง ลังเลอยู่ว่าจะเอามันไปด้วยดีหรือเปล่า แต่ในที่สุดก็โยนมันลงไปในกระเป๋าเดินทางเป็นชิ้นสุดท้าย
พี่หนึ่งวิ่งขึ้นมาช่วยฉันยกกระเป๋าลงไปขึ้นรถ ฉันเดินตามไปที่รถ พลางหันไปมองบ้านที่ฉันมาอยู่ได้เพียงไม่กี่วัน บ้านสวยที่เป็นเรือนหอของเราสองคน
ปูดำ เด็กที่บ้านคุณแม่มาช่วยยกของที่เหลือไปขึ้นรถ พี่หนึ่งบอกให้ปูดำ ช่วยดูแลบ้านให้ดี ๆ อย่าให้ขาดตกบกพร่อง ถ้ามีอะไรให้บอกคุณแม่ที่บ้านใหญ่ ปูดำเป็นเด็กที่คุณแม่พี่หนึ่งอุปการะตั้งแต่เล็ก ส่งให้เรียนหนังสือ ขณะนี้กำลังเรียนรามอยู่ เห็นว่าเหลืออยู่อีกแค่ไม่กี่หน่วยก็จะจบแล้ว ปูดำจึงเป็นทั้งคนช่วยดูแลบ้าน และเป็นเหมือนน้องสาวของพี่หนึ่ง เพราะฉะนั้นจึงไว้ใจให้ดูแลบ้านหลังนี้ได้
"เรารีบไปกันเถอะครับ ป่านนี้คุณพ่อคุณแม่ของเราคงไปรออยู่ที่สนามบินกันหมดแล้ว" พี่หนึ่งบอก
ปูดำ สตาร์ทรถรออยุ่แล้ว พี่หนึ่งจูงมือฉันไปขึ้นรถ เขานั่งจับมือฉันไปตลอดทาง เขาเสมอต้นเสมอปลาย และดีกับฉันมาก จนฉันเองไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะมีคนที่ดีแบบนี้อยู่จริง ฉันรักในความดีของเขา รักจนไม่สามารถที่จะทรยศในความดีของเขาได้
ถึงสนามบินแล้ว เราสองคนเดินเข้าไปในตัวอาคาร เห็นคุณพ่อคุณแม่ของฉัน และคุณแม่ของพี่หนึ่งยืนรออยู่แล้ว เราทั้งสองคนไหว้ร่ำลาพวกท่าน คุณแม่ของฉันน้ำตาคลอ ฉันเองก็ไม่แพ้กัน ฉันคงจะต้องคิดถึงพวกท่านมากแน่ ๆ ตั้งแต่เกิดมาฉันไม่เคยจากท่านทั้งสองไปไหน ไกล ๆ และเป็นเวลานาน ๆ แบบนี้มาก่อน แม้ว่าฉันจะแต่งงาน แยกบ้านไปแล้วก็ตาม แต่ฉันยังสามารถไปหาท่านเมื่อไหร่ก็ได้ คราวนี้ฉันคงจะทำได้อย่างเดียวคือ ส่งเสียงตามสายมาคุยกับพวกท่านเท่านั้น
"เดินทางดี ๆ นะลูก หนึ่งดูแลน้องนะลูกนะ มีอะไรก็ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน" แม่ของฉันฝากฝัง
"ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับคุณแม่ ผมจะดูแลอรเป็นอย่างดี" พี่หนึ่งรับปาก
ฉันกับพี่หนึ่งยกมือไหว้ร่ำลาพวกท่านทุกคน ใกล้จะถึงเวลาแล้ว เราคงจะต้องไปกันเสียที
ชีวิตแต่งงานของฉันกำลังจะเริ่มต้นขึ้น ฉันไม่คาดหวังอะไรมากมาย อะไรจะเกิด ก็คงจะต้องปล่อย เพราะฉันได้พบเห็นอะไรต่าง ๆ มามากมาย บางทีสิ่งที่เราคิดว่าแน่นอนที่สุด มันก็ยังเปลี่ยนแปลงได้อย่างที่เราคาดไม่ถึง
เพียงแต่ว่าฉันจะทำให้ดีที่สุด ฉันจะพยายามทำทุก ๆ วันให้มีแต่ความสุข และถ้ามันจะต้องมีอะไรเกิดขึ้น ฉันก็จะไม่เสียใจเลย เพราะฉันได้ทำเต็มที่กับมันแล้ว



เครื่องบินกำลังจะลงที่สนามบิน Heathrow ฉันรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้มาที่นี่ และฉันจะต้องอยู่ที่นี่นานถึง 2 ปี หรืออาจจะนานกว่านั้นถ้าพี่หนึ่งเกิดติดใจไม่อยากกลับขึ้นมา
พี่หนึ่งกับฉันช่วยกันขนสัมภาระออกจากสนามบิน เราใช้เวลานานมากในนั้น เพราะโดนกองตรวจคนเข้าเมืองค้นกระเป๋าเกือบจะทุกใบ มันคงจะเรื่องธรรมดาสำหรับประเทศในแถบนี้ที่จะต้องตรวจอย่างละเอียดมากกับคนเอเชีย โดยเฉพาะกับคนไทยอย่างเรา ๆ
คุณพอล เพื่อนของพี่หนึ่งมายืนรอรับอยู่แล้ว เขาจะมารับเราไปยังบ้านพักที่พี่หนึ่งได้ติดต่อไว้
"หนึ่ง ทางนี้" เพื่อนของพี่หนึ่งโบกมือเรียกพวกเรา
"โทษทีพอล พอดีข้างในตรวจนานไปหน่อย ไม่รู้อะไรกันนักหนา" พี่หนึ่งบ่น
"ปกติ เห็นหัวดำเป็นไม่ได้" คุณพอลยักไหล่บอกเรา เหมือนกับว่าเป็นเรื่องธรรมดา
ที่พักของเราอยู่ย่าน Putney Hill บ้านในความหมายของที่นั่น เป็นลักษณะเหมือนห้องชุด หรือคอนโดฯ เป็นส่วนใหญ่
มีกริ่ง พร้อมSpeaker อยู่ตรงข้างล่างหน้าตึกต่อตรงเข้าห้องแต่ละห้อง สำหรับเวลามีใครมาหาจะได้กดถามได้ และเราสามารถกดเปิดประตูหน้าตึกให้แขกของเราได้เลย เพราะประตูจะล็อคอัตโนมัติ เข้าได้เฉพาะคนที่พักอาศัยเท่านั้น
มีลิฟท์เล็ก ๆ แบบต้องเปิด-ปิดประตูเองไว้บริการ สำหรับอำนวยความสะดวกให้กับคนที่อยู่ชั้น สูง ๆ แต่บอกได้เลยว่าเดินเร็วกว่าแน่นอน แต่ก็มีประโยชน์มากอีกเช่นกันเวลาเคลื่อนย้ายสัมภาระ
ห้องของพวกเราอยู่ชั้น 4 มี 2 ห้องนอนใหญ่ 3 ห้องน้ำ มีห้องครัว มีห้องนั่งเล่น แต่ละห้องกว้างขวางดี
พี่หนึ่งจ้างแม่บ้านทำความสะอาดห้องคนหนึ่ง ชื่อมอลลี่ เป็นชาวฟิลิปปินส์ ทำงานแบบไป-กลับ เธอมารอพวกเราอยู่แล้ว เพราะต้องมาทำความสะอาดไว้รอ ก่อนที่พวกเราจะมาถึง เธอคนนี้พี่หนึ่งรู้จักเพราะเคยเป็นแม่บ้านให้กับพี่หนึ่งเมื่อครั้งที่เขามาเรียนอยู่ที่นี่ พี่หนึ่งบอกว่ามอลลี่ เป็นคนดี มีน้ำใจเอื้อเฟื้อ พูดง่าย ๆ คือไม่เคี่ยว เหมือนคนอื่น ๆ ที่จะทำงานตามเวลาเป๊ะ งานเสร็จหรือไม่เสร็จไม่สนใจ หมดเวลาแล้วก็จะกลับท่าเดียว อยากให้ทำเพิ่มก็ต้องจ่ายพิเศษ ซึ่งคงเป็นเรื่องธรรมดาของประเทศที่มีค่าครองชีพแพงที่สุดในโลก
ฉันขอพี่หนึ่งนอนพักผ่อนสักหน่อย เพลียมาทั้งวัน พี่หนึ่งอนุญาต และบอกว่าตอนเย็นจะพาไปทานเป็ดที่อร่อยที่สุดในโลก(ขนาดนั้นเลยเหรอ) ฉันขำแบบไม่ค่อยเชื่อ แต่ก็อยากจะลองชิมดู
วันนั้นเราไปทานอาหารเย็นกัน ก็ร้านเป็ดที่อร่อยที่สุดในโลกที่พี่หนึ่งบอกไว้นั่นล่ะ คุณพอลก็มากับพวกเราด้วย เพราะเขาอยู่คุยกับพี่หนึ่งที่บ้าน ขณะที่ฉันขอตัวไปพักผ่อน
ร้านที่ว่านั้นมีชื่อว่า Four season เป็นร้านอาหารจีนธรรมดา เล็ก ๆ ห้องเดียวติดถนน แต่คนเต็มตลอดเวลา มีอาหารหลายอย่างไม่ว่าจะเป็น เป็ดย่าง หมูกรอบ หมูแดง ผัดผักน้ำมันหอย ก็คล้าย ๆ กับอาหารจีนบ้านเรานี่ล่ะ รสชาดก็อร่อยดี แต่ฉันว่าคล้าย ๆ เป็ดย่างร้านสุกี้ MK บ้านเรา เพียงแต่ว่าของเขาชิ้นใหญ่กว่าเท่านั้น
ทานเสร็จพี่หนึ่งก็พาฉันไปซื้อของเข้าบ้าน(ส่วนใหญ่จะเป็นของกินซะมาก)ที่ร้าน Marks and Spencer คงคุ้น ๆ หูกัน ก็ร้านที่แพง ๆ ตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำของเรานั่นล่ะ แต่ที่นั่นเป็นเหมือนซุปเปอร์มาร์เก็ตมากกว่า มีอาหารให้เลือกมากมาย ไม่เหมือนสาขาในบ้านเราที่จะเน้นของใช้เป็นส่วนใหญ่
ฉันเพลิดเพลินกับการเลือกซื้อ เพราะมีอาหารหลากหลาย แปลกใหม่ ถ้าซื้อในบ้านเราราคาก็คงจะแพงมาก ฉันซื้อเยอะมากซะจนพี่หนึ่งแซวว่า ตู้เย็นที่บ้านไม่น่าจะพอใส่ คงต้องซื้อตู้เย็นเพิ่มอีกเครื่อง



ฉันกับพี่หนึ่งใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุข บอกได้เลยว่ามากมาย เพราะเขามักจะตามใจฉันทุกอย่าง แต่มีอย่างนึงที่เขาผิดสัญญาไม่ตามใจฉัน ก็คือเขาไม่ยอมให้ฉันไปทำงานที่ร้านอาหารของเพื่อนเขาเหมือนที่เคยบอกไว้ เหตุผลของเขาก็คือ เขาไม่อยากให้ฉันต้องลำบาก เขาอยากให้ฉันมีหน้าที่เพียงอย่างเดียวก็คือ ดูแลเขากับลูกแค่นั้น เพราะว่าเขาอยากจะมีลูกเยอะ ๆ ไม่อยากให้ฉันต้องเหนื่อยไปซะก่อน ซึ่งก็เป็นเหตุผลที่ดี ที่ฉันไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้
แต่ถึงแม้ว่าฉันจะมีความสุข ความสบายมากมายแค่ไหน แต่ฉันก็ยังแอบส่งใจไปให้กับใครอีกคนที่อยู่ห่างไกล ฉันไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมฉันถึงไม่สามารถลืมเขาได้สนิทใจสักที
ฉันรู้สึกผิดต่อพี่หนึ่งทุกครั้งที่คิดถึงอ้น แต่ยิ่งฉันรู้สึกผิดต่อเขามากแค่ไหน ฉันก็จะตอบแทนให้กับเขามากมายด้วยเช่นกัน มันเหมือนเป็นการชดเชยที่เราไม่สามารถมอบความรักให้กับเขาเต็ม 100%ได้
ฉันทำตัวดีกับเขาเสมอ ไม่เคยทำให้เขาต้องลำบากใจกับฉันเลยสักครั้ง ถึงแม้ว่าฉันจะรู้สึกเหงาเหมือนอยู่ตัวคนเดียวตลอดเวลา แต่ฉันก็ไม่เคยเรียกร้อง เพราะฉันเข้าใจว่าเขาต้องพยายามเรียนให้จบเร็ว ๆ มันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเขาในตอนนี้



วันนี้พี่หนึ่งไปเรียนตามปกติ ส่วนฉันก็อยู่บ้านเหมือนเคย มีบ้างที่ว่าวันไหนเบื่อ ๆ ฉันก็จะซื้อบัตรโดยสาร ที่ใช้เดินทางได้ไม่จำกัดเที่ยวต่อวัน ใช้ได้ทั้งรถไฟใต้ดิน และรถเมล์ นั่งมันไปเรื่อย ๆ ที่ไหนน่าสนใจก็ลงไปเดินเล่น ซื้อของ เรื่อยเปื่อย หรือไม่ก็เปิดคู่มือท่องเที่ยว แล้วถามมอลลี่ว่าต้องไปยังไง ไปขึ้นรถได้ที่ไหน ซึ่งมอลลี่ก็ได้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
พี่หนึ่งบอกกับฉันว่าวันนี้ไม่ต้องทำกับข้าว เพราะว่าเขาจะพาฉันออกไปทานข้าวนอกบ้าน ให้ฉันแต่งตัวสวย ๆ รอเขามารับ ฉันดีใจมาก เพราะนาน ๆ เขาจะมีเวลาว่างให้กับฉันซักที
ใกล้ถึงเวลาที่เขาจะกลับมาแล้ว ฉันรีบแต่งตัวรอเขา แต่นี่ก็ใกล้จะค่ำแล้ว ทำไมพี่หนึ่งยังไม่กลับมา ไหนบอกกับฉันว่าวันนี้จะกลับเร็วกว่าปกติ คิดจะโทรไปหาก็เกรงใจ กลัวว่าจะเป็นการรบกวน ได้แต่รอให้เขากลับมาเอง เพราะว่าเขาไม่เคยผิดคำพูดกับฉัน ฉันเลยวางใจ
ฉันรอจนเผลอหลับไปบนโซฟา เหมือนมีใครมาสะกิดฉันที่ไหล่เบา ๆ ฉันสะดุ้งตื่นขึ้นมาทันที มองหา แต่ก็ไม่มีใคร ฉันรู้สึกใจคอไม่ดี เป็นห่วงพี่หนึ่งขึ้นมาจับใจ
ไม่ถึง 1 นาที ฉันได้ยินเสียงโทรศัพท์ดัง ฉันรีบวิ่งไปรับทันที
"อร นี่พี่เองนะ ตอนนี้พี่อยู่ที่โรงพยาบาล โดนรถเฉี่ยวนิดหน่อย แต่ไม่เป็นอะไรมาก อรไม่ต้องเป็นห่วงนะ หิวหรือยังครับ พี่ขอโทษนะพี่คงจะพาอร ไปทานข้าวไม่ได้แล้ว" เขาพูดเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
"พี่หนึ่งยังจะมาพูดแบบนี้อยู่อีก อรเป็นห่วงมากนะคะ อยู่โรงพยาบาลไหนคะ เดี๋ยวอรจะรีบไปหา" ฉันเสียงแข็งด้วยความโมโห มีอย่างที่ไหนตัวเองเป็นแบบนี้แล้วยังจะมาห่วงกลัวว่าฉันจะหิว เขาควรจะห่วงตัวเองให้มากกว่านี้
"พี่ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกครับ อีกอย่างพี่ก็กำลังออกมาแล้ว อรไม่ต้องเป็นห่วงนะ ว่าแต่ว่าดีใจจังที่อรเป็นห่วงพี่ แบบนี้กลับไปต้องให้รางวัลซะหน่อยแล้ว" เขาเย้า
"ยังจะมามัวพูดเล่นอยู่อีก พี่หนึ่งนี่จริง ๆ เลย รีบกลับมานะคะ เดี๋ยวอรจะทำอะไรให้ทานด้วย" ฉันบอกเขา
หลังจากวางหู ฉันรีบเตรียมอาหารง่าย ๆ ไว้รอเขากลับมา เขาคงจะหิวมากแน่ ๆ
พี่หนึ่งกดspeakerจากชั้นล่างขึ้นมาหาฉัน ฉันกดฟัง ได้ยินเสียงสดใสของเขาพูดขึ้นมา
"ที่รักจ๋า กลับมาแล้วจ้ะ"
ฉันหัวเราะในอารมณ์ขันของเขา พลางกดเปิดประตูให้เขาขึ้นมา แล้วรีบวิ่งไปจัดโต๊ะอาหารรอเขา
เขาเดินเข้ามาหาฉันในครัว กอดฉันไม่ยอมปล่อย พร้อมกับพรมจูบไปทั่วร่าง
"เดี๋ยวสิคะ ไหนเล่าให้อรฟังก่อนว่าเดินยังไง ให้รถเฉี่ยวเอา" ฉันรีบเฉไฉ เปลี่ยนเรื่อง
พี่หนึ่งอุ้มฉันเข้าไปในห้อง วางฉันลงบนเตียง เขากอดฉัน พร้อมกับกระซิบเบา ๆ ที่ข้างหูของฉันว่า
"เดี๋ยวค่อยเล่านะจ๊ะ ขอทำธุระให้เสร็จก่อน"
เขามอบความสุขให้กับฉันจนล้น ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฉันมีความสุขมาก เขาทำให้ฉันทุกอย่างที่ผู้ชายคนหนึ่งจะทำได้ เขาเต็มใจให้ราวกับว่าเขาจะไม่ได้ทำมันอีก
เรานอนกอดกันอยู่อย่างนั้น ฉันรู้สึกอบอุ่นมากในอ้อมกอดของเขา
"พี่ต้องขอบคุณอรมากเลยนะครับ ที่มาเติมเต็มชีวิตของพี่ให้สมบูรณ์ อรทำให้พี่มีความสุขมาก และพี่คงจะไม่ต้องการอะไรอีกเลยในชีวิตนี้ ถ้าอรมีลูกให้กับพี่ นะอรนะ พี่อยากมีลูกจะแย่อยู่แล้ว" เขาพูดพลางลูบท้องฉันเล่น
"ถ้ายังงั้นพี่หนึ่งก็คงต้องขยันมากขึ้นกว่านี้อีกหน่อยแล้วล่ะค่ะ" ฉันเย้าเขา
"งั้นเรามาต่อกันอีกรอบแล้วกันนะ" พี่หนึ่งแกล้งดึงผ้าห่มมาคลุมเราสองคนไว้
"ไม่เอาแล้วค่ะ อรหิวข้าวจะแย่อยู่แล้ว" ฉันบอกเขา พร้อมกับลุกหนีออกมา
เราออกมานั่งทานข้าวด้วยกันในครัว โชคดีจังที่เราไม่ได้ออกไปทานข้าวนอกบ้าน เพราะว่าเราได้ใช้เวลาร่วมกันมากกว่าออกไปข้างนอกด้วยกันซะอีก
ระหว่างที่เรากำลังนั่งดูTVกันอยู่บนโซฟาในห้องรับแขก พี่หนึ่งบ่นขึ้นมาว่าปวดหัว ฉันเลยลุกเข้าไปในครัว ไปหยิบยาพารามาให้เขาทานแก้ปวด
แล้วฉันก็ต้องตกใจแทบสิ้นสติ ภาพที่ฉันเห็นคือพี่หนึ่งอาเจียนออกมาตลอดเวลา เขาล้มพับลงมานอนกับพื้น
"พี่หนึ่ง เป็นอะไรไปคะ" ฉันรีบเข้าไปประคองเขาให้ลุกขึ้น แต่ตัวเขาหนักเกินกว่าที่ฉันจะยกเขาขึ้นมานั่งได้
ฉันตกใจมาก รีบกดโทรศัพท์หาคุณพอล เล่าไปร้องไห้ไป พูดแทบจะไม่รู้เรื่อง
คุณพอลบอกให้ฉันใจเย็น ๆ เดี๋ยวเขาจะโทรหาโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดให้ รถพยาบาลคงจะมารับในไม่ช้า ส่วนตัวเขาจะรีบไปรอที่โรงพยาบาลเลย
วางหูจากคุณพอล ฉันรีบเข้าไปดูพี่หนึ่ง พี่หนึ่งพอมีสติอยู่บ้าง แต่เหมือนเขาจะไม่มีแรงเลยแม้แต่น้อย ฉันไปหาผ้าชุบน้ำมาทำความสะอาดให้เขา กอดเขาไว้ตลอดเวลา ตัวของเขาเย็นมากผิดจากเมื่อตะกี้
รถพยาบาลมาถึงแล้ว เร็วมากไม่ถึง 10 นาที ฉันนั่งร้องไห้ไปตลอดทาง ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ฉันจับมือเขา เรียกชื่อเขาเป็นระยะ ๆ ไม่อยากให้เขาหลับ เหมือนเขาจะรู้ เขาพยายามที่จะลืมตามองฉัน มือเขาบีบตอบฉันเล็กน้อย
ถึงโรงพยาบาลแล้ว พวกเขารีบพาพี่หนึ่งเข้าห้องฉุกเฉิน บุรุษพยาบาลบอกให้ฉันรออยู่ข้างนอกเข้าไปไม่ได้
คุณพอลมาถึงพอดี ฉันวิ่งเข้าไปหาเขา พยายามเล่าเรื่องให้เขาฟัง เล่ากลับไปกลับมา ฟังแทบจะไม่รู้เรื่องเพราะพูดไป ร้องไห้ไป
สักพักคุณหมออกมาจากห้องฉุกเฉิน ตะโกนเรียกหาญาติของผู้ป่วย คุณพอลรีบเข้าไปคุย แล้วหันมาบอกฉันว่า
"อร หนึ่งต้องผ่าตัดสมองด่วน เพราะในสมองมีเลือดคั่ง อรต้องเซ็นต์ใบอนุญาตให้ผ่าตัดด่วนเลย"
ฉันรีบเซ็นต์ทันที มือสั่น ทำอะไรก็ได้ขอให้พี่หนึ่งไม่เป็นอะไร นี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมพี่หนึ่งถึงมีเลือดคั่งในสมองได้ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้เขายังดี ๆ อยู่เลย เรายังมีความสุขด้วยกันอยู่เลย ทำไมฉันไม่เข้าใจเลยจริง ๆ
สักพักพวกเขาเข็นพี่หนึ่งออกมา เพื่อไปห้องผ่าตัด พี่หนึ่งไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใด ๆ หน้าของเขาบวมขึ้นอย่างเห็นได้ชัด มีเครื่องช่วยหายใจ และมีสายระโยงระยางเต็มไปหมด ฉันร้องไห้โฮออกมาทันที ร้องมันอยู่อย่างนั้น ร้องจนหมดสติไป
ไม่รู้ว่าฉันหลับไปนานเท่าไหร่ รู้แต่ว่ารู้สึกเจ็บ ๆ ที่แขนข้างซ้าย เจ็บเพราะโดนเจาะสายน้ำเกลือนี่เอง
คุณพอลยืนอยู่ข้าง ๆ เตียง เขาดูโล่งใจที่ฉันฟื้นขึ้นมาได้
"พี่หนึ่งล่ะคะ เป็นยังไงบ้าง" ฉันถามเขาทันที
"ออกมาแล้วล่ะ อรทำใจให้สบายนะ อย่าเพิ่งคิดอะไร พี่โทรบอกคุณพ่อคุณแม่ของหนึ่งให้แล้ว อรไม่ต้องคิดอะไรมากนะ อีกวันหรือสองวันพวกเขาคงจะมาถึง" คุณพอลพูด
"อรจะไปหาพี่หนึ่ง" ฉันทำท่าจะลุกจากเตียง
"พี่ว่าอรอย่าเพิ่งไปเลยนะ หนึ่งมันไม่เป็นอะไรแล้ว แต่อรสิ ต้องดูแลตัวเองให้ดี ๆ อรต้องเป็นห่วงเด็กในท้องให้มาก ๆ" คุณพอลพูด
"จริงเหรอคะ อรท้อง ดีใจจัง แล้วพี่หนึ่งทราบเรื่องนี้หรือยังคะ" ฉันถามเขาด้วยความปิติ
คุณพอลพยักหน้า แต่เขาไม่แม้แต่จะมองหน้าฉัน
พอดีคุณหมอเดินเข้ามาคุยกับคุณพอล คุยกันทำหน้าซีเรียส ฉันรู้สึกใจคอไม่ดี อยากจะฟัง แต่ก็ไม่ได้ยิน จะลุกก็ไม่ได้เพราะติดสายน้ำเกลือ
ฉันตัดสินใจดึงสายน้ำเกลือออก เดินกึ่งวิ่งให้เร็วที่สุด ฉันจะไปหาพี่หนึ่ง
"อร เดี๋ยวก่อน อร" คุณพอลวิ่งตามฉันมา เขามาดึงแขนฉันไว้
"ปล่อยค่ะ อรจะไปหาพี่หนึ่ง" ฉันดื้อดึง
"โอเค โอเค พี่จะพาอรไปหาหนึ่ง แต่ว่าอรต้องทำใจให้ดี ๆ นะ" เขาพูดกับฉันแบบจริงจัง
ฉันพยักหน้าให้เขา แต่ฉันไม่สามารถที่จะกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้ ฉันคิดว่าฉันรู้แล้วว่า อะไรเป็นอะไร
คุณพอลพาฉันเข้ามาในห้อง ภาพที่ฉันเห็นคือ พี่หนึ่งนอนนิ่งอยู่ในเตียงผู้ป่วย ที่หัวมีผ้าพันไว้ มีสายระโยงระยางเหมือนเดิม ไม่ต่างจากที่ฉันเห็นก่อนที่จะหมดสติไป
ฉันเดินเข้าไปจับมือเขา มือเขาเย็นมาก ฉันร้องไห้ กอดเขาไว้แน่น
คุณพอลบอกกับฉันว่าพี่หนึ่งโดนรถเฉี่ยวระหว่างที่กำลังจะข้ามถนนไปสถานีรถไฟใต้ดิน เขาล้มหัวฟาดพื้นหมดสติไป มีพลเมืองดีพามาส่งที่โรงพยาบาลแห่งนี้ คุณหมอตรวจดูร่างกายภายนอกไม่มีอะไรผิดปกติ เขาแข็งแรงดี แต่คุณหมอก็ยังไม่วางใจบอกให้เขารอดูอาการก่อน แต่เขายืนยันที่จะกลับบ้าน เขาบอกว่าเขามีนัดสำคัญกับภรรยาของเขา แต่คุณหมอก็กำชับกับเขาว่าถ้าเกิดมีอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรงให้เขารีบกลับมาที่โรงพยาบาลทันที และมันก็เป็นอย่างที่คุณหมอบอกจริง ๆ เขามีเลือดออกในสมอง ผลก็คือต้องผ่าตัดด่วน แต่ก็ไม่สามารถจะการันตีได้ว่าเขาจะหายเป็นปกติ และในตอนนี้มันสายเกินไปแล้ว สมองของเขาบวมเกินกว่าที่จะรักษาให้หายได้ ทำได้อย่างเดียวคือรอเวลาให้ชีพจรของเขาอ่อนแรงไปเอง เมื่อถึงตอนนั้นคุณหมอถึงจะถอดเครื่องมือ ทุกอย่างออกให้ ที่เห็นว่าเขายังหายใจอยู่นั่นเพราะเกิดจากเครื่องช่วยหายใจ ร่างกายของเขาไม่สามารถตอบสนองอะไรได้อีก เพราะสมองไม่สั่งการแล้ว
ฉันได้แต่ร้องไห้ฟูมฟาย กอดเขาไว้แน่น ทำไมมันถึงเร็วแบบนี้ ฉันยังไม่ทันได้เตรียมใจเลย
พี่หนึ่งจะรู้หรือเปล่าว่าฉันกำลังจะมีลูกให้กับเขา ลูกที่เขาวาดฝันต่าง ๆ ให้มากมายตั้งแต่ยังไม่คลอดออกมา
"พี่หนึ่งขา ทำไมพี่หนึ่งถึงจากอรไปเร็วแบบนี้ แล้วอรจะอยู่ยังไง พี่หนึ่ง" ฉันร้องไปพูดไป
"นี่ไงคะลูกของเรา เขามาเกิดแล้วนะ เกิดมาจากความรักของเราสองคนไง พี่หนึ่ง" ฉันพูดอะไรต่าง ๆ อีกมากมายกับพี่หนึ่ง
คุณพอลเข้ามาจับไหล่ฉันเหมือนให้กำลังใจ แล้วก็เดินออกไป ปล่อยให้ฉันอยู่กับพี่หนึ่งตามลำพัง
ฉันกอดเขาไว้ตลอด และตั้งใจจะกอดเขาไว้แบบนี้จนกว่าเขาจะหมดลมหายใจ ฉันเพิ่งจะรู้ตัวเมื่อสายเกินไปแล้วว่าฉันรักเขา ฉันไม่อยากเสียเขาไป อยากให้เขาอยู่กับฉันไปนาน ๆ จนแก่เฒ่าไปด้วยกัน
ถึงตอนนี้ฉันยอมทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้เขามีชีวิตอยู่ ยอมที่จะลบอ้นออกไปจากหัวใจ เพราะตอนนี้ในใจของฉันมีแต่พี่หนึ่งเพียงคนเดียวเท่านั้น เขาคนที่แสนดี เขาคนที่รักฉันเสมอ
ฉันหอมแก้มเขาเบาๆ พรมจูบเขาไปทั้งใบหน้า กระซิบบอกกับเขาว่า "อร รัก พี่หนึ่งนะคะ" ได้อย่างเต็มหัวใจเป็นครั้งแรก และคงจะเป็นครั้งสุดท้ายสำหรับเขาที่จะได้ยินคำ ๆ นี้ หวังแต่เพียงว่าเขาจะได้ยินมัน ความรักจากฉัน
เมื่อวันที่ : 11 ต.ค. 2549, 18.57 น.
ผู้อ่านที่รัก,
นิตยสารรายสะดวก และผู้เขียนยินดีรับฟังความคิดเห็นต่อข้อเขียนชิ้นนี้
เชิญคลิกแสดงความเห็นได้โดยอิสระ ขอขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ในการมีส่วนร่วมของท่านในครั้งนี้...