...ย่าไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังเลย มะลิวัลย์ซุ้มนี้เป็นโรงละครส่วนตัวโดยเฉพาะของย่าคนเดียว มันเป็นละครแห่งชีวิต...

เช้าวันนี้ชายช่างไม้คนนั้นเปิดประตูรั้วแล้วจูงมอเตอร์ไซค์เข้ามาจอดที่ใต้ต้นมะม่วงข้างโรงรถ เหมือนอย่างที่เขาเคยทำเมื่อตลอดสามสี่วันที่ผ่านมา

ย่ายืนหลังงองุ้มเกาะหน้าต่างเหล็กดัดดูอยู่ นึกชมความตรงเวลาของเขาอยู่ในใจ เจ้าหมาฝรั่งตัวใหญ่สีขาวนวลที่ใครๆในบ้านเรียกกันว่าบ๊อบบี้มาตะกายหน้าต่างอยู่ข้างๆตัวย่า มันเห่าช่างไม้คนนั้นเสียงขรม !

พอจอดรถเรียบร้อยแล้วช่างไม้ก็แก้หีบเครื่องมือที่มัดไว้กับตะแกรงท้ายรถออก หิ้วหีบใบนั้นเดินมาข้างห้องที่ย่ายืนอยู่ เขาวางหีบเครื่องมือลงตรงบริเวณที่จะต้องทำงาน เสียงเห่าของเจ้าหมาบ๊อบบี้ดังสะท้อนก้องกลับไปกลับมาอยู่ในห้องที่ย่าถูกขังอยู่ร่วมกับมัน ช่างไม้เดินมาตรงหน้าต่างที่ย่ายืนอยู่

"สวัสดีครับย่า" เขายกมือไหว้ย่า แล้วหันไปเรียกชื่อเจ้าบ๊อบบี้สองสามครั้งจนมันหยุดเห่า

"ย่ากินข้าวหรือยัง ?" ช่างไม้หนุ่มทักทายเหมือนทุกวัน เขาช่างพูดช่างถามทุกข์สุขของย่า ช่างดีเหลือเกิน ! หลายวันมาแล้วที่ช่างไม้คนนี้มาทำงานต่อเติมโรงรถตามที่ลูกชายของย่าจ้าง แต่เขาจะทำกันอย่างไร จะต่อจะเติมตรงไหนย่าไม่รู้ด้วย รู้แต่ว่าย่ามีความสุขอย่างไม่เคยมีมาก่อนที่มีคนมาให้เห็นในตอนกลางวัน ตอนที่ไม่มีใครอยู่บ้านเลย และยังได้พูดคุยกับเขาด้วย ที่ถูกแล้วย่าเป็นฝ่ายฟังเสียเป็นส่วนใหญ่ และจะยิ้มเมื่อถูกใจในคำพูดของเขา ย่าไม่ค่อยพูดกับใครมานานแล้ว

"ย่ากินข้าวกับอะไรวันนี้ ?" ช่างไม้ช่างเจรจาถาม ย่าอมยิ้มไม่ได้ตอบ รู้ว่าเขาถามทักทายเท่านั้น แต่ก็รู้สึกอบอุ่นที่ยังมีคนนึกถึงตัวเองอยู่ แม้เขาจะเป็นคนอื่นก็เถอะ!

ชายช่างไม้จะมาถึงที่นี่เมื่อทุกคนพากันออกจากบ้านไปแล้ว ก็ลูกชาย ลูกสะใภ้และหลานชายจอมซนของย่าอีกสองคน ลูกชายย่าขับรถไปส่งเมียที่ทำงาน แวะส่งลูกชายของเขาอีกสองคนที่โรงเรียนแล้วจึงไปทำงาน ทิ้งให้ย่าอยู่กับหมาฝรั่งตัวใหญ่ในห้องตามลำพังในบ้านที่อยู่สุดซอย

เขาจะลูบหัวบ๊อบบี้อย่างรักใคร่ทุกเช้าก่อนจะปิดประตูบ้านบานสุดท้าย

"ผมล็อคประตูบ้านไว้ทุกบานแล้ว แม่ไม่ต้องกลัว ไม่มีใครเข้าไปในบ้านได้ บ๊อบบี้ก็อยู่กับแม่" ลูกชายเคยบอกกับย่าอย่างนี้เมื่อเขาจะออกจากบ้านไปทำงานเมื่อตอนที่ได้บ๊อบบี้มาใหม่ๆ

นานมาแล้วที่ย่าต้องอยู่บ้านคนเดียวในห้องๆนี้กับเจ้าหมาฝรั่งตัวโตที่เขาเลี้ยงไว้ ความจริงย่าก็ไม่มีอะไรลำบาก เขาดูแลย่าดีไม่ขัดสนอะไร มีอาหารมื้อเช้ากับมื้อกลางวันครอบฝาชีวางไว้บนโต๊ะให้ย่าทุกวัน หิวเมื่อไรก็ไปกินเอาเอง เหมือนกับบ๊อบบี้ที่มีอาหารเม็ดใส่ชามวางไว้ที่มุมห้อง ที.วี.ก็มีให้ดูถ้าอยากจะดู ก็สะดวกดี !...

ดอกมะลิวัลย์ที่ซุ้มข้างหน้าต่างโชยกลิ่นหอมมาถึงตรงที่ย่ายืนอยู่ มะลิวัลย์ต้นนี้เพื่อนบ้านที่ปากซอยตอนมาให้ย่าเมื่อหลายปีมาแล้ว ย่าเป็นคนปลูกมันเองกับมือ ให้มันอยู่นอกชายคาบ้านห่างหน้าต่างออกไปเพียงไม่ถึงวา ตอนนั้นเรี่ยวแรงยังมีมากกว่าวันนี้ และย่าก็วานให้ลูกชายเอาไม้มาปักเป็นหลักทำร้านง่ายๆให้มัน

มะลิวัลย์แตกยอดเลื้อยแผ่ไปบนร้านจนกลายเป็นซุ้มใหญ่ ช่วยกรองแสงแดดตอนบ่ายที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่างได้ดี ต้นหน้าฝนอย่างนี้มันจะออกดอกบานเต็มต้นในตอนเช้า ดอกมะลิวัลย์จะร่วงลงมาที่พื้นดินและบนม้าหินใต้ซุ้มในวันรุ่งขึ้น

ทุกเช้าทันทีที่ลูกสะใภ้เปิดประตูบ้านให้เจ้าบ๊อบบี้ออกไปขี้ไปเยี่ยวในสวน ย่าก็จะเดินหลังงุ้มกระย่องกระแย่งตามมันออกไปช้าๆ ถือถ้วยแก้วไปด้วยใบหนึ่ง ตรงไปที่ซุ้มมะลิวัลย์ต้นนั้นทันที ย่าลงมือเก็บดอกมะลิวัลย์ที่บานวันนี้ใส่ถ้วย เลือกเก็บตรงที่เถาของมันห้อยลงมาเตี้ยๆเท่าที่เอื้อมถึง และจะไม่เก็บดอกที่ร่วงแม้จะยังสดอยู่ พอได้ดอกไม้พอแล้วก็กลับเข้าไปในบ้าน เอาดอกไม้ใหม่ไปเปลี่ยนดอกไม้ที่ที่บูชาซึ่งเก็บเมื่อวาน นี่เป็นงานประจำวันของย่าที่ไม่เคยว่างเว้น นอกเสียจากว่าวันนั้นไม่มีดอกมะลิวัลย์บานให้เก็บหรือว่าฝนกำลังตก...

เมื่อกุญแจบ้านถูกล็อคและพวกเขาไปกันแล้ว ย่าจะกินข้าวเช้าที่วางไว้บนโต๊ะ แล้วมานั่งที่ม้านั่งพลาสติกริมหน้าต่าง มองดูมะลิวัลย์ต้นนี้ด้วยความชื่นชมผ่านทางลูกกรงเหล็กดัด เฝ้าดูยอดใหม่ของมันที่แตกออกมา คอยดูว่ากี่วันมันจึงจะยาวได้ศอกหนึ่ง และอีกกี่วันมันจึงจะพันตัวเองกับไม้ระแนงที่เป็นร้าน ย่าคอยเฝ้าดูดอกแรกของยอดใหม่ยอดนั้นด้วย

ย่าดูหมดว่ามีอะไรเกิดขึ้นในมะลิวัลย์ซุ้มนี้บ้าง บางวันก็เห็นตัวบุ้งขนยาวๆที่ไต่กระดืบๆมากัดกินใบอ่อนของมัน ย่าไม่ชอบมันเลย แต่เมื่อกิ้งก่าหัวสีเขียวตัวใหญ่คลานเข้ามากินมันย่าก็ปรับใจตัวเองให้เป็นอุเบกขา ไม่ยินดีไปกับการตายของบุ้งตัวนั้นให้เกิดเป็นมโนกรรมขึ้น

นกหลายชนิดมาหากินอยู่ในซุ้มมะลิวัลย์ของย่า มีนกกระจิบคู่หนึ่งที่มาหาตัวหนอนกินทุกวันจนมันคุ้นกันกับย่า มันร้องจิ๊บๆกระโดดตามกันไปตามกันมา แล้ววันหนึ่งมันก็ทำรังที่ซุ้มมะลิวัลย์นี้

ย่าเฝ้าดูมันจัดเถาไม้เล็กๆพันกัน แล้วก็ช่วยกันบินไปหาใยแมงมุมมาพันรัดไว้ มันคาบเอาหญ้าแห้งเส้นเล็กมาสานถักกับใยแมงมุมเป็นรังน้อยๆอยู่ใต้คานไม้ข้างเสาดูบังฝนบังลมดี เพียงสามสี่วันมันก็สร้างรังเสร็จ และแล้วตัวเมียก็คงจะออกไข่เพราะย่าจะเห็นตัวหนึ่งนอนอยู่ในรังขณะที่อีกตัวหนึ่งออกไปหากิน ย่าเฝ้าดูอยู่จนเห็นมันคาบตัวหนอนมาที่รัง แล้วอีกสองวันย่าก็เห็นลูกอ่อนชูคอพ้นปากรังขึ้นมา มันมีกันสองตัวน่ารักเป็นครอบครัวที่อบอุ่นทีเดียว และทั้งพ่อแม่ลูกก็คุ้นกันกับย่า แม้ย่าเข้าไปเก็บดอกมะลิวัลย์ตอนเช้ามันก็ไม่กลัว

วันนั้นมีเสียงพ่อนกกับแม่นกร้องดังผิดปกติ งูเขียวตัวหนึ่งเลื้อยช้าๆเข้าไปที่รังนก พ่อแม่นกพยายามบินโฉบเฉี่ยวไปมาส่งเสียงร้องขับไล่ศัตรู ย่าอยากจะช่วยแต่ก็ออกไปนอกห้องไม่ได้ ย่าพยายามยื่นมือลอดออกไปนอกลูกกรงเหล็กดัด แล้วส่งเสียงชิ้วๆโบกมือไล่งูเขียว ตอนนั้นย่าว้าวุ่นอยู่หลังหน้าต่างด้วยความเป็นห่วงลูกนก ใจเต้นระทึก ! การส่งเสียงไล่คงจะได้ผลอยู่บ้าง เพราะงูคาบลูกนกไปกินเพียงตัวเดียว และมันก็ไม่กลับมาอีกเลย

ย่าบอกกับตัวเองและกับพ่อแม่นกอยู่ในใจว่าสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม มันทำให้สบายใจขึ้นบ้าง ย่าเฝ้าดูนกกระจิบครอบครัวนี้อยู่อีกหลายวันจนกระทั่งมันสอนบินให้ลูกที่เหลือเพียงตัวเดียวอยู่แถวๆรัง และในวันต่อมามันก็พากันบินจากซุ้มมะลิวัลย์ไป ทิ้งรังร้างไว้เป็นที่ระลึก ย่าหวังว่าวันหนึ่งมันจะกลับมาอีก !

ย่าไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังเลย มะลิวัลย์ซุ้มนี้เป็นโรงละครส่วนตัวโดยเฉพาะของย่าคนเดียว มันเป็นละครแห่งชีวิต เรื่องของนกกระจิบเป็นเพียงโศกนาฏกรรมเรื่องหนึ่งที่ย่าได้ดูผ่านหน้าต่างเหล็กดัด

บางวันย่าก็จะได้ดูสุขนาฏกรรมเรื่องผีเสื้อแสนสวยที่บินมาเกาะดอกมะลิวัลย์ ปีกของมันเป็นสีดำกำมะหยี่ มีจุดสีแดงกับสีเหลืองสดที่ปีกทั้งสองข้าง มันบินวับๆจากดอกโน้นไปดอกนี้ เลือกดูดน้ำหวานจากดอกไม้ไปทีละดอกๆ และบางวันสุขนาฏกรรมเรื่องผีเสื้อแสนสวยที่ย่ากำลังดูอยู่อย่างเพลิดเพลินก็จบลงแบบโหดร้ายเมื่อนกปรอดตัวหนึ่งบินโฉบเข้ามาจับผีเสื้อตัวนั้นไปกินต่อหน้าต่อตาคนดู ! ...

ย่าจะได้ออกไปข้างนอกห้องอีกครั้งเมื่อครอบครัวของลูกชายกลับมาถึงบ้าน เขาจะกลับมากันในตอนเย็น และเมื่อเขาไขกุญแจเปิดประตูบ้านออกออก เจ้าบ๊อบบี้ก็โผนออกไปตะกายเลียทุกๆคนด้วยความดีใจ หลานชายของแกทั้งสองคนพี่น้องจะเข้าไปกอดมัน แล้วพามันไปเล่นแย่งลูกบอลและเล่นปล้ำกันที่สนาม

ย่าจะตามบ๊อบบี้ออกไปจากห้องเงียบๆตรงไปที่ซุ้มมะลิวัลย์ หยิบไม้กวาดดอกหญ้าอันเล็กเก่าๆที่วางอยู่ข้างหน้าต่างขึ้นมา แล้วกวาดดอกมะลิวัลย์ที่โรยร่วงอยู่บนม้าหินกับที่พื้นดิน รวมทั้งใบไม้แห้งจากต้นไม้ใกล้ๆทิ้งไป ย่าเปิดก๊อกน้ำดึงสายยางไปรดน้ำให้มะลิวัลย์ต้นนั้น ดูแลรักษาโรงละครของย่าให้สะอาดเรียบร้อย

...เสียงของช่างไม้ที่เลื่อยไม้ เสียงที่เขาตอกตาปูดังลั่นที่โรงรถเป็นเสมือนเสียงสวรรค์สำหรับย่า เป็นเสียงที่บอกกว่ายังมีมนุษย์คนอื่นอยู่ร่วมโลกกับย่าในขณะนี้ เสียงอึกทึกของการต่อเติมโรงรถทำให้นกและแมลงที่เคยมาแสดงละครให้ย่าดูที่ซุ้มมะลิวัลย์หายหน้าไป ช่างเถอะ ! เมื่องานเสร็จแล้วโรงละครของย่าก็จะเปิดแสดงได้อีก

สักชั่วโมงหนึ่งช่างไม้จะหยุดพักสักทีแล้วหิ้วกระติกน้ำแข็งเดินตรงมาที่ริมหน้าต่าง

"วันนี้ร้อนนะครับย่า !" ชายช่างไม้ชวนคุย เขาเดินไปนั่งบนม้าหินใต้ซุ้มมะลิวัลย์ตรงข้ามหน้าต่าง เปิดกระติกน้ำแข็งออก เอาถ้วยตักน้ำเย็นขึ้นมาดื่ม จุดบุหรี่สูบ แล้วเขาก็คุยต่อไป

"ที่บ้านผมอยู่กันหลายคนครับ แม่ผมอายุมากแล้ว แต่ก็ยังอ่อนกว่าย่า แกทำงานทุกวัน เช้าขึ้นก็ปอกกล้วยที่เมียผมซื้อมาไว้ให้จากตลาด กลางวันก็กวนแป้งไว้ พอบ่ายก็เอากระทะมาตั้งหน้าบ้านนั่งทอดกล้วยขาย แกยุ่งทั้งวัน "...

"ขายดีนะครับ อยู่ใกล้โรงเรียน เด็กๆรุมกันซื้อสองชั่วโมงก็หมด พอหลานกลับมาจากโรงเรียนก็เข้าไปประจบขอสตางค์ย่ามันไปซื้อขนม แม่ผมแกชอบทำงาน ได้เงินเท่าไรก็ให้หลานซื้อขนมกับทำบุญจนหมด" ช่างไม้เล่าเรื่องแม่ของเขา

"อย่างย่าสบายแล้ว อายุมากแล้วไม่ต้องทำอะไรอีก" เขาให้กำลังใจ

ย่านึกอยากจะแลกชีวิตกับแม่ของช่างไม้คนนี้ มันต่างกับชีวิตที่เงียบเชียบของย่าเสียเหลือเกิน ละครแห่งชีวิตที่ดูอยู่ทุกวันผ่านหน้าต่างเหล็กดัดถึงอย่างไรมันก็เป็นละครที่ไม่มีมนุษย์เป็นคนเล่น เป็นละครสัตว์ ละครใบ้ !

พอได้เวลาพักเที่ยงชายช่างไม้ก็เอากล่องข้าวมานั่งใต้ซุ้มมะลิวัลย์ และย่าก็เดินไปนั่งที่ริมหน้าต่าง เกาะลูกกรงเหล็กดัดดูเขากินข้าว ...

"ย่าหิวข้าวกลางวันหรือยัง? ผมกินก่อนนะครับ" เขาเปิดวิทยุเครื่องน้อยที่หิ้วมาด้วยฟังเพลงแล้วลงมือกินข้าว หลายเพลงเป็นเพลงเก่าที่ย่ารู้จัก ย่าเคยอยากได้วิทยุเล็กๆสักเครื่องหนึ่ง แต่ลูกสะใภ้บอกว่า

"ที.วี.ก็มีแล้วแม่จะเอาวิทยุไปอีกทำไม" แต่ย่าไม่ชอบดู ที.วี. เพราะเปิด ทีไรก็มีแต่โฆษณาของที่ย่าไม่รู้จักกับเพลงที่เขาเรียกว่าคอนเสิรตซึ่งฟังไม่เคยรู้เรื่องสักที อีกอย่างย่ากดรีโมทเปลี่ยนช่องสถานีไม่เป็น เปิดเครื่องแล้วก็ต้องนั่งดูอยู่แต่ช่องนั้น

ย่านั่งอยู่ริมหน้าต่าง มองผ่านเหล็กดัดไปยังช่างไม้ที่กำลังกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อย เขากินพลางคุยเรื่องลูกเมียที่บ้านให้ย่าฟัง เพียงไม่กี่วันย่าก็รู้หมดว่าเขามีลูกกี่คน อยู่โรงเรียนอะไร แต่ย่ากลับไม่รู้ว่าหลานของตัวเองที่ชื่อเอกับบีอยู่โรงเรียนอะไรและอยู่ชั้นไหนกันแล้ว

พอช่างไม้กินข้าวกลางวันเสร็จ เขาจะเอนหลังลงสูบบุหรี่ปุ๋ยอยู่บนม้าหินใต้ซุ้มมะลิวัลย์แล้วงีบไป นั่นแหละย่าจึงเดินไปที่โต๊ะ เปิดฝาชีเลือกอาหารที่กินเหลือจากเมื่อเช้ากินเป็นมื้อกลางวัน บ๊อบบี้ก็เดินไปที่ชามอาหารของมันตรงมุมห้อง ต่างก็ทำหน้าที่ของตัวเอง !

ตกบ่ายย่าจะนอนเล่นหลับๆตื่นๆอยู่บนเตียง บ๊อบบี้นอนอยู่ที่พื้น ย่าเพลินอยู่กับเสียงเลื่อยและเสียงค้อนที่ดังอยู่ข้างนอกห้อง เสียงนี้แทนที่จะหนวกหู แต่มันกลับช่วยขับกล่อมให้ย่าหลับได้นานขึ้นกว่าที่เคย

บ่ายแก่ๆ ย่าก็ลุกขึ้นมานั่งเกาะหน้าต่างดูช่างไม้คนนั้นทำงานอีกรอบหนึ่ง เขาทำงานใกล้หน้าต่างเข้ามา

"วันพระไปวัดบ้างหรือเปล่าครับ?" ช่างไม้ถามขณะกำลังวัดไม้ที่เตรียมจะเลื่อย

"แม่ผมต้องไปวัดทุกวันพระไม่ยอมขาด ขนาดฝนตกก็ยังให้ผมขี่รถเครื่องไปส่งเอาร่มกางไป" ย่านึกอยากจะแลกวิญญาณกับแม่ของช่างไม้คนนี้เสีย จริง ! ย่าเคยขอให้ลูกชายพาไปวัดในวันอาทิตย์ อยากจะไปฟังเทศน์ !

วันพระธรรมดานะไปไม่ได้อยู่แล้วเพราะไม่ตรงกับวันหยุดราชการเขาต้องไปทำงานกันแล้วเด็กๆก็ต้องไปโรงเรียน จึงขอให้เขาพาไปวัดในวันอาทิตย์ที่วัดใกล้ๆบ้าน

"เดือนนี้ยังไม่ได้หรอกแม่ ผมต้องไปส่งเจ้าเอเรียนพิเศษ" ...และเดือน ต่อไป...

"เอาไว้ก่อนก็แล้วกันแม่ เจ้าบีต้องไปเรียนว่ายน้ำ" ครอบครัวของเขาช่างมีธุระยุ่งกันเสียจริง ! และเมื่อสองอาทิตย์ที่แล้วย่าก็เกือบจะได้ไปฟังเทศน์ที่วัดในวันเข้าพรรษา เพราะเป็นวันหยุดและลูกของเขาก็ไม่ได้ไปไหน หากทว่าเจ้าบ๊อบบี้เกิดไม่สบายเสียก่อน มันอ้วกออกมาในเช้าวันนั้น เขาจึงต้องรีบพามันไปหาหมอ...

ทุกวันตอนห้าโมงเย็นช่างไม้ก็เก็บข้าวของ เขาจะเดินมาที่หน้าต่างที่ย่านั่งรออยู่หลังลูกกรงเหล็กดัด

"ผมกลับแล้วนะครับย่า ! พรุ่งนี้มาใหม่" เขาไหว้ลาแล้วก็เดินไปที่ รถมอเตอร์ไซค์ จูงมันออกไปนอกประตูบ้านปิดประตูเสีย แล้วขับรถกลับไป...

แต่บ่ายวันนี้หลังจากกินข้าวกลางวันแล้ว ย่างีบหลับไปนานหน่อย พอตื่นขึ้นก็รู้สึกว่าห้องสว่างไสวกว่าที่เคย แปลกมาก ! ย่าเดินไปที่หน้าต่าง แดดบ่ายส่องแสงจ้าเข้ามา ที่นอกหน้าต่างซุ้มมะลิวัลย์หายไปแล้ว มันเกิดอะไรขึ้น ย่าคิดว่าตัวเองยังหลับอยู่และกำลังฝัน !

มะลิวัลย์ทั้งต้นที่พันก่ายกันเป็นซุ้มใหญ่กองอยู่บนพื้นดิน มันถูกฟันออกจนถึงโคน ร้านไม้กับเสาถูกถอนออกไปวางไว้ทางหนึ่ง ม้าหินก็ถูกยกไปไว้อีกทาง มีทรายมากองไว้แทนที่ ช่างไม้กำลังแบกถุงปูนซิเมนต์เข้ามา

ย่าเกาะลูกกรงเหล็กดัดไว้แน่น งงไปหมดวันนี้ทำไมจึงฝันร้ายอย่างนี้ ฝันไปว่าเขามาตัดซุ้มมะลิวัลย์ออก !

ช่างไม้วางถุงปูนซิเมนต์ลง เขาเห็นย่าพอดี !

"เสียดายนะครับย่า ตรงนี้ร่มดีจังผมยังชอบ เขาจะขยายโรงรถไปทางอื่นก็ได้แต่เขาจะเอาตรงนี้ เดี๋ยวผมจะเทปูนแล้ว วันนี้เป็นอันเสร็จงานเสียที อาทิตย์หน้าคุณผู้ชายจะถอยรถใหม่อีกคันหนึ่งให้คุณนายใช้ ทีนี้ย่าก็จะได้นั่งรถใหม่ไปเที่ยว " ช่างไม้บอกย่า

ย่ารู้สึกตัวแล้วว่ามันไม่ใช่ความฝัน ! ย่ามองดูโรงละครส่วนตัวที่เคยนั่งดูมาหลายปี บัดนี้กระจัดกระจายอยู่บนพื้นดิน โรงละครถูกปิดไปแล้วชั่วนิรันคร์ ย่ารู้สึกเคืองตากับแสงแดดที่สาดเข้ามาทางหน้าต่าง แต่ก็ยังพอมองเห็นรังนกกระจิบร้างรังนั้น บัดนี้มันบี้แบนอยู่ใต้เถามะลิวัลย์ที่กองสุมอยู่บนพื้นดิน ...O

เมื่อวันที่ : 17 ก.ย. 2549, 06.40 น.
ผู้อ่านที่รัก,
นิตยสารรายสะดวก และผู้เขียนยินดีรับฟังความคิดเห็นต่อข้อเขียนชิ้นนี้
เชิญคลิกแสดงความเห็นได้โดยอิสระ ขอขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ในการมีส่วนร่วมของท่านในครั้งนี้...