![]() |
![]() |
อนงค์นาง![]() |
...โอ...อนิจจา เขาเพียงแค่หลงเงารูปลักษณ์ภายนอกเสมือนมายาในสังคมเท่านั้น แม้แต่ดอกเฟื้องฟ้าข้างตึกก็ถึงวันเหี่ยวเฉา...
เธอและเขาเจอกันเมื่อหลายปีก่อนตรงป้ายรถเมล์หน้าบริษัทย่านกลางเมือง คงเป็นเพราะความรีบร้อนของเธอ เลยไม่ทันมองว่ามีชายหนุ่มคนหนึ่งยืนหอบเอกสารอยู่เต็มสองมือใช่แล้ว...มันเป็นอย่างที่คุณคิด เธอเดินไปชนเขาเหมือนในนิยายรักทั่วไป จากนั้นทั้งสองจึงรีบก้มลงเก็บของ ปากพร่ำคำขอโทษจนตาสบตา วินาทีนั้น...ต่างรู้สึกพึงใจในรูปโฉมของอีกฝ่าย
ใช่แน่แล้ว...บุพเพสันนิวาส ต่อมา...สายสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็เริ่มต้นที่ป้ายรถเมล์เก่าคร่ำคร่าใกล้แยกไฟแดงแห่งนั้น
วันหนึ่งในยามเที่ยง ไอแดดยังคงร้อนระอุเหมือนดั่งวันวาร เธอเดินลงมาทานข้าวช้ากว่าปกติเพราะต้องเร่งงานให้เสร็จก่อนเจ้านายจะบ่น มาถึงด้านล่างเห็นเขายืนลับๆ ล่อๆ ตรงซุ้มม้านั่งใต้ตึกข้างพุ่มดอกเฟื่องฟ้า ต่างจากทุกครั้งที่ยืนแอบมองเธออยู่ข้างเหลี่ยมเสา ในที่สุดเขาก็เข้ามาทักทายเมื่อเธอตัดสินใจหันไปมอง
"บังเอิญจังเลยครับ" เขาพยายามพูดไม่ให้เสียงสั่น เธอแอบอมยิ้ม รอดูทีท่าว่าจะมาไม้ไหน
"ทานข้าวด้วยกันไหมครับ?" เขาเอ่ยปากออกมา พร้อมทั้งลอบระบายลมหายใจยาวเหยียด เธอแอบเห็น คิดในใจว่านายคนนี้เป็นเอามาก...แต่ดูมีเสน่ห์ไปอีกแบบ
"มีเพื่อนทานก็ดีเหมือนกันค่ะ" เธอว่าพร้อมทั้งยกหาเหตุผล ก่อนออกเดินไปพร้อมกัน เธอหันไปล้อเขาว่า "คราวหน้าคราวหลังไม่เห็นต้องยืนแอบหลบอยู่ข้างเสาเลยนี่คะ อยากคุยก็เขามาทักได้เลย " เธอบอก คราวนี้ส่งยิ้มหวานเผยลักยิ้มเก๋ไก๋ เขาขัดเขินที่โดนจับได้ เดินไปสะดุดริมบาทวิถีหน้าแทบคะมำกับพื้น
เธอและเขาหัวเราะภาษาเดียวกันด้วยเสียงอันสดใส เช่นเดียวกับดอกเฟื้องฟ้าเบื้องหลังชูช่อดอกสีสันสดใสในวันที่แดดแผดจ้า
หลังจากนั้น ข้างกายเธอก็มีเขาเป็นเสมือนเงาตามตัว ขึ้นรถเมล์คันเดียวกันถึงแม้ว่าบ้านจะอยู่คนละทางกันก็ตาม ไม่ว่าจะกินข้าว ดูหนัง ฟังเพลง ไปเที่ยว หรือไม่สบาย ข้างกายเธอยังมีเขาเสมอ
วันคืนล่วงผ่านรวดเร็วคล้ายติดปีก เธอและเขามั่นใจว่านั่นคือ ความรัก ทั้งสองนั่งมองหนทางแล้ววาดฝันอนาคตร่วมกัน บ้าน รถ เครื่องประดับหรือกระทั่งหมาพันธุ์ดีมีชื่อสักตัว ควรสร้างฐานะให้มั่นคงแล้วค่อยแต่งงาน แล้ววันหนึ่งขณะท้องฟ้าสดใสแต้มด้วยปุยเมฆสีขาวกระจ่าง เธอทนต่อเสียงออดอ้อนรบเร้าไม่ไหวเลยตัดสินใจต้อนรับเขามาอยู่ร่วมกันในห้องพักแคบๆ แห่งหนึ่ง ด้วยเหตุผลที่ว่าต้องประหยัด
เธอและเขาคิดกันอย่างนั้น
อย่างที่บอก วันคืนล่วงผ่านรวดเร็วคล้ายติดปีก เธอและเขาใช้ชีวิตคู่ตามสมัยนิยมคืออยู่ก่อนแต่งมาได้หลายฤดูฝน นานถึงกับขนาดว่าบางครั้งจำอาหารมื้อสุดท้ายกับหนังที่เคยดูด้วยกันครั้งสุดท้ายนั้นไม่ได้เสียแล้ว อะไรที่เคยกระหนุงกระหนิงก็ดูจะห่างหายไปตามกาลเวลาเช่นกัน ต่างมุ่งทำงานหาเงินมาเติมฝันกันตัวเป็นเกลียว
เธอ...กลับบ้านดึกขึ้นเพราะต้องทำล่วงเวลากับค่าแรงสองเท่า
เขา...นานๆ กลับมาบ้านพักสักครั้งเพราะต้องย้ายไปประจำสาขาย่อยตามชานเมือง ตามคำสั่งกับความเจริญในหน้าที่การงาน
แต่นั่นไม่ใช่อุปสรรคสำหรับหนทางสายฝัน เธอมักได้ยินคำรักและห่วงหาอาทรมาทางสายโทรศัพท์เสมอ หญิงสาวยิ้มตื้นตันกับข้อความที่ว่า เธอยังคงสวยงามในใจเขาเสมอ ก่อนกดวางสายแล้วก้มหน้าทำงานต่อไป ภาพครอบครัว เธอ เขา และลูกตัวน้อยสักคน วิ่งเล่นบริเวณบ้าน สิ่งเหล่านี้เข้ามาเสริมสร้างกำลังใจยามเมื่อร่างกายอ่อนล้า หรือแม้กระทั่งยามทำงานได้ไม่เป็นที่พอใจผู้เป็นนายก็ตาม
หลายวันต่อมาในช่วงวัดหยุดสุดสัปดาห์ หลานสาววัยรุ่นจากต่างจังหวัดมาเยี่ยมเธอโดยไม่ได้แจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทำให้เธอไม่มีเวลาเตรียมตัวใดๆ จะโล่งใจอยู่บ้างก็ตรงที่สัปดาห์นี้คนรักยังติดงานไม่สามารถปลีกตัวมาได้
แต่เธอก็ต้องยิ้มหน้าเจื่อน แก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ เมื่อหลานสาวเดินสำรวจไปทั้งห้องพัก เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย ของใช้ของ ผู้ชาย เป็นหลักฐานมัดให้ปากเธอขยับได้ไม่เต็มคำมากนัก
"ของเพื่อนน้าเองจ้ะ นี่คงเอามาลืมไว้" เธอรีบบอก
หลานสาวหัวเราะคิดคักตามวัยอยากรู้อยากเห็น และสาวน้อยก็รู้เรื่องพวกนี้พอดู "ของเพื่อน หรือของแฟนกันแน่คะ" ว่าแล้วก็หัวเราะ ผู้เป็นน้าถึงกับหน้าถอดสี "เอาเถอะค่ะ หนูไม่กลับไปบอกลุงกับป้าหรอกค่ะ"
หลานสาวกลับบ้านไปแล้ว แต่คืนนี้เธอนอนข่มตาให้หลับได้อย่างยากลำบาก ด้วยเข้าใจดีว่าไม่วันใดวันหนึ่งเรื่องนี้ต้องเข้าหูพ่อกับแม่แน่ๆ และอาจจะเลยไปถึงกลายเป็นขี้ปากชาวบ้านให้ได้อับอาย จะอย่างไรเสีย ที่หมู่บ้านของเธอยังหัวโบราณอยู่กับประเพณีดั้งเดิมอยู่มาก
"ได้ข่าวมาว่าลูกสาวแกท้องก่อนแต่งรึ ตามั่น" ใครคนหนึ่งอาจมาถามพ่อ
"เห็นคนเขาพูดกันปากต่อปาก เรื่องมันเท็จจริงยังไงละพี่มั่น"
"อ้าว...ก็ไหนคุยหนักคุยหนาว่าลูกสาวนิสัยเรียบร้อยไง งามหน้าไหมละนั่น เอ้อ...เด็กสมัยนี้"
และอีกมากมาย... เพราะสมัยเธอยังเป็นเด็ก พี่สาวข้างบ้านขึ้นมาเรียนที่กรุงเทพฯ แต่ไม่จบ แถมยังท้องหาพ่อไม่ได้ กลับมาบ้าน ผู้เป็นพ่อแม่ต้องย้ายครอบครัวหนีเพื่อนบ้านด้วยความอับอาย...เธอยังจำได้ดี เคยสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ประพฤติตัวอย่างนั้นเป็นอันขาด
หากเป็นเธอบ้างเล่า....!?
เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นพ่อเอาเธอตายแน่ ทางเดียวคือต้องรีบเก็บเงินแล้วรีบแต่งงาน เพื่อป้องกันปัญหาที่จะตามมา เธอคลายความกังวลลงไปได้มากเมื่อคิดถึงชายคนรัก เขาเอาใจใส่เธอเสมอมา คงไม่ทำให้เธอเสียใจเป็นแน่
ตะวันยอแสงสว่างจ้ามาทางบานหน้าต่าง หญิงสาวตกใจตื่น รีบลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวเร็วเป็นปรากฏการ เนื่องจากสายมากแล้ว การออกจากบ้านสายเพียงห้านาทีทำให้เธอเข้าทำงานสายเป็นชั่วโมง เพราะเวลาส่วนใหญ่ติดอยู่บนรถเมล์
การมาทำงานสายของเธอนอกจากโดนหัวหน้างานดุแล้วยังต้องทำชดเชยเวลาที่เสียไปอีก รวมกับการทำล่วงเวลาไปด้วย ทำให้เดินต้องกลับบ้านช้ากว่าปกติ ถึงจะเหนื่อยล้า แต่ทุกครั้งกับสิ่งที่หวังไว้ในอนาคตเบื้องหน้ามันทำให้เธอมีแรงฮึดขึ้นมีมากโข
ท้องฟ้ายามราตรีของเมืองหลวงไร้ซึ่งดาวเดือน แสงไฟจ้าจากท้องถนนกับเมืองที่ไม่เคยหลับใหลเป็นตัวเสริมชั้นดี ยามนี้หากว่าอยู่ที่บ้านเกิดไม่พ้นแสงดาวคงระยิบระยับเต็มฟ้าไปหมด เมื่อครั้งยังเด็กเธอมักถามยายว่า ยายจ๋า ที่บ้านของจ๋อมแจ๋มมีดาวอย่างบ้านหนูไหมคะ? จ๋อมแจ๋มคือเพื่อนเล่นของเธอในวัยเยาว์ อยู่ถัดไปไม่กี่หลังคาเรือน
ยายผู้ใจดียิ้มจนน้ำหมากกระเซ็น เอามืออันเหี่ยวย่นลูบหัวเธอแล้วบอกด้วยน้ำเสียงเอ็นดูว่า ที่ไหนๆ มันก็มีดาวทั้งนั้นแหละยัยหนู เธออมยิ้มทุกครั้งที่คิดถึงมัน และตอนนี้เธอคงค้านคำของยายผู้ล่วงลับเมื่อหลายปีก่อนได้
อีกนิดเดียวจะถึงห้องพักเสียที สำหรับวันที่ยาวนาน เธอเดินคิดฝันไปพร้อมกับครอบครัวที่อบอุ่น
หญิงสาวเดินจ้ำผ่านร้านรวงหน้าปากซอยเห็นผู้คนยังคงแน่นร้าน ต่างใจจดจ่ออยู่กับหน้าจอโทรทัศน์ เสียงเฮจากบรรดาพวกเชียร์ฟุตบอลโลกยังคงดังไล่ลังเข้ามาในซอยเปลี่ยวให้พออุ่นใจ
ทันใดนั้น...แสงจ้าหน้ารถจากเบื้องหน้าพุ่งมาหาเธออย่างรวดเร็วเกินกว่าจะตั้งตัว อะไรก็ไม่รู้มาปะทะร่างจนกระเด็นตามมันไป หน้าครูดไปบนพื้นถนน รู้สึกเจ็บแปลบตรงโคนขา หน้าชา ได้ยินเสียงเอะอะดังมาแต่ไกล รู้สึกเหมือนมีใครมาดึงกระเป๋าเธอไป พยายามรั้งเอาไว้ แต่ไม่มีแรง แม้แต่คำพูดก็เปล่งออกมาไม่ได้
เธอตาลาย เห็นดาวพร่างพรายเต็มท้องฟ้า แล้วสติก็ดับวูบตรงนั้น
ตรงป้ายรถเมล์เก่าคร่ำคร่าในยามเที่ยงยังคงคับคั่งด้วยผู้คน หญิงสาวคนหนึ่งนั่งตัวลีบตรงม้านั่ง รู้สึกชาชินแล้วกับสายตาที่มองมายังเธอ เมื่อสามเดือนก่อนเป็นอย่างไร เดี๋ยวนี้ก็เป็นอย่างนั้น เธอยิ้มขื่นกับโชคชะตา หากว่าชีวิตเปรียบดังนิยายสักเรื่อง ตอนนี้คงมาถึงบทโศกขอตัวละคร คงมีเธอเล่นเป็นตัวดำเนินเรื่องเคล้าด้วยรอยน้ำตา
หากไม่จำเป็นเธอคงไม่มา ตอนนี้เธอกำลังนั่งรอเวลา รอเพื่อพิสูจน์ความจริงที่แสนจะเจ็บปวด
อุบัติเหตุคราวนั้นดับสลายความฝันราวกับโดนกลั่นแกล้ง เธอเคยพอใจกับรูปโฉมของตัวเอง หากบัดนี้ส่องกระจกทีไรก็เห็นแผลเป็นเหมือนแม่มดหรือปิศาจที่สิงห์สู่ ซ้ำร้ายเธอกลายเป็นคนพิการสังเวยให้กับนักพนันคนหนึ่ง เพียงเพื่อเอาเงินไปใช้หนี้
ครอบครัว เธอ เขา และลูกน้อย บ้าน รถ ที่เคยหวังกลายเป็นเพียงภาพฝัน แต่สิ่งที่เธอเจ็บปวดที่สุดคือ เขา ความห่างเหินของชายอันเป็นที่รักนับวันจะห่างเหินขึ้นเรื่อยๆ หลังจากเธอออกโรงพยาบาลมาฟักฟื้นที่บ้านได้ไม่นาน เขาก็เปลี่ยนไป
คราบน้ำตาในวันนั้นยังคงเปียกชื้นทุกครั้งเมื่อหวนคิดถึง "เราไปด้วยกันไม่ได้หรอก" เขาว่า
"ทำไมคะ ?" เธอสะอื้น ไม่คิดว่าจะได้ยินคำนี้ "เพราะฉันหน้าตาอัปลักษณ์ใช่ไหม คุณถึงได้ทิ้งฉันไป" อดไม่ได้ที่ต้องถาม
เธอและเขาโต้เถียงกันรุนแรงเป็นครั้งแรกและคงครั้งเดียวตั้งแต่คบกันมา แล้วไม่นานเขาก็จากไป ทิ้งไว้เพียงความทรงจำที่เคยแสนหวาน คำพร่ำรักในวันที่เธอเป็นของเขาคงเป็นเพียงลมปากของผู้ชายคนหนึ่งให้ฟังไพเราะเสนาะหู ไม่มีแล้วประโยคที่ว่า เธอยังคงสวยงามในใจเขาเสมอ
หญิงสาวนั่งละเลียดความหลังแล้วพาน้ำตาไหลซึม ภาพที่เธอและเขาเดินจูงมือไปทานมื้อเที่ยงด้วยกันคงไม่หวนคืนมาอีกแล้ว ใครจะกล้าเดินควง ยัยหน้าผี อย่างเด็กในซอยมักล้อเธอเป็นที่สนุกสนาน เพราะตอนนี้มีสาวสวยคนใหม่หน้าตาจิ้มลิ้มมาแทนที่เธอ อย่างที่เพื่อนส่งข่าวมาบอกจริงๆ
ถึงจะยอมรับความจริงมาบ้างแล้วก่อนออกจากบ้าน หากพอมาเห็นจริงกับภาพตำตาก็ยากจะทำใจ โอ...อนิจจา เขาเพียงแค่หลงเงารูปลักษณ์ภายนอกเสมือนมายาในสังคมเท่านั้น แม้แต่ดอกเฟื้องฟ้าข้างตึกก็ถึงวันเหี่ยวเฉา
หญิงสาวลุกขึ้นเดินกะเผลกหนีจากภาพนั้นมาด้วยดวงตาพร่ามัวเหม่อลอย มาถึงแยกไฟแดงการจราจรยังคับคั่ง แดง เหลือง เขียว
เอี๊ยดดดดด!!!!....
+++++++++

เมื่อวันที่ : 09 ก.ค. 2549, 16.04 น.
ผู้อ่านที่รัก,
นิตยสารรายสะดวก และผู้เขียนยินดีรับฟังความคิดเห็นต่อข้อเขียนชิ้นนี้
เชิญคลิกแสดงความเห็นได้โดยอิสระ ขอขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ในการมีส่วนร่วมของท่านในครั้งนี้...