...ดอกคำมอกหอมมากมันออกดอกปีละครั้งเท่านั้น คนกะเหรี่ยงถือเป็นดอกไม้แห่งความรัก ชายหนุ่มจะเก็บเอาไปฝากสาวที่ตนรัก...

ผมยืนดูดอกไม้สีเหลืองนวลที่กำลังบานเต็มต้นซึ่งเขาปลูกไว้ในที่ทำการเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าที่ผมทำงาน กลิ่นของมันช่างหอมประหลาด !...

มันเป็นไม้ป่าประจำถิ่นของที่นี่ ดอกไม้บางดอกที่บานเมื่อสองสามวันมาแล้วเริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาว หมู่ผึ้งบินว่อนเข้าเคล้าเกสรก่อนที่มันจะโรยรา ผึ้งกับดอกไม้ ! ภาพของการเกิดและการจากไป สัจธรรมแห่งชีวิต !...ผมกำลังนึกถึงชายหนุ่มคนหนึ่ง...

....มีคนบอกว่าคนเราเกิดมาก็เพื่อใช้กรรม ทั้งกรรมในชาตินี้และในอดีตชาติ ผมก็ไม่รู้ว่าชายหนุ่มคนนี้ไปทำกรรมอะไรไว้หนักหนา แต่ก็พยายามจะลำดับเรื่องราวที่ผมรู้ให้คุณฟัง เรื่องมันเกิดหลังวันสงกรานต์ไม่กี่วัน ตอนที่ดอกคำมอกกำลังบานพอดี !....

...........................................................................

คงเป็นเพราะผมเป็นเจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าซึ่งชำนาญพื้นที่ตอนในของลุ่มน้ำแม่ตื่นซึ่งมีดอยสูงชัน และพอพูดภาษากะเหรี่ยงได้ ผมจึงได้รับการขอร้องจากนายอำเภอผ่านทางหัวหน้าเขต ให้ช่วยนำทางพาคณะเจ้าหน้าที่อำเภอออกสำรวจราษฎรไทยในเขตทุรกันดารที่ยังไม่มีบัตรประชาชน เพื่อขึ้นทะเบียนไว้สำหรับการทำบัตรต่อไป

คณะสำรวจชุดนี้นำโดยปลัดอำเภอหนุ่ม นายยุทธนาซึ่งเรียนจบจากมหาวิทยาลัยมาสดๆเมื่อปีที่แล้ว อายุเพิ่งจะยี่สิบสองเป็นคนกรุงโดยกำเนิด เขาถูกบรรจุเป็นปลัดที่อำเภออันทุรกันดารที่สุดแห่งนี้เมื่อก่อนวันสงกรานต์ได้ไม่กี่วัน

"ผมชอบป่าชอบธรรมชาติและเป็นคนขอเลือกมาที่นี่เอง ผมอยากจะหาประสพการณ์จากท้องถิ่นห่างไกล อยากรู้ว่าชาวบ้านอยู่กันอย่างไร " ยุทธนาเล่าให้ผมฟังเมื่อเราพบกันครั้งแรกที่ห้องทำงานของผม เขามาพบกับผมเพื่อแนะนำตัวเองและนัดวันเดินทาง หน้าแล้งคือหน้าการออกท้องที่ของอำเภอแถบนี้ ไม่ว่ามหาดไทยหรือป่าไม้

ปลัดหนุ่มร่างสูงโปร่ง ผิวขาวหน้าตาดี เขาพูดเพราะและเรียกผมและทุกคนในคณะที่อายุแก่กว่าว่าพี่ ยุทธนาเป็นคนหนุ่มที่กระตือรือล้น ทำงานอย่างมีชีวิตชีวา เราทุกคนชอบเขา และผมก็รักเขาอย่างน้องชาย

ปลัดยุทธนาเพิ่งออกป่าจริงๆเป็นครั้งแรกในคราวนี้ เขาตื่นเต้นเมื่อได้เห็นเอื้องคำกอใหญ่ออกดอกสีเหลืองสดอยู่บนคบไม้เตี้ยๆตามธรรมชาติเป็นครั้งแรกเมื่อเราเริ่มเข้าเขตป่าตอนนอก

บางทีเขาจะขอให้หยุดรถเพื่อลงไปถ่ายรูปเอื้องสายน้ำผึ้งที่ทิ้งสายดอกยาวเท่าแขนนับสิบๆสาย และหลายครั้งเราต้องหยุดรถเพื่อให้เขาลงไปถ่ายรูปพันธุ์ไม้แปลกๆที่เขาสนใจ แม้กระทั่งเห็ดป่าดอกเล็กๆสีขาวที่ขึ้นเป็นดงพรึดอยู่โคนไม้ใหญ่ซึ่งเราเห็นเป็นของธรรมดา เขาก็ลงไปถ่ายรูปมาได้อย่างสวยงามอย่างที่เรานึกไม่ถึง

ฝนที่ตกลงมาแล้วประปรายเมื่อตอนสงกรานต์ทำให้ไม้ป่าผลิใบใหม่เป็นสีเขียวอ่อนบ้าง สีส้มอ่อนบ้าง มะกอกป่าแตกใบเป็นสีส้มอมน้ำตาล ไม้เก็ดยอดแดงแทงใบอ่อนเป็นสีแดงเข้ม ไม้ใหญ่บางต้นที่ผลิใบก่อนนี้มีสีเขียวสดทั้งต้น ตัดกันกับลมแล้งที่ทิ้งใบหมดแล้วออกดอกเป็นสายสีเหลืองอร่ามตามป่าเบญจพรรณ มันแข่งกับจ้อล่อที่ออกดอกสีม่วงบานแต่งแต้มอยู่ทั่วไปในป่าโปร่ง สร้างสีสันงดงามให้กับป่าผลัดใบปลายฤดูร้อนที่เราผ่านเข้าไป

กระเจียวกับดอกดินแทงดอกแหวกใบไม้ผุขึ้นมาจากพื้นดิน อีกไม่นานเห็ดถอบก็จะผุดขึ้นมาให้เก็บกินแล้ว...

แต่ป่าก็ยังรอฝนใหญ่ที่จะตกลงมาให้ความชุ่มชื้นกับเมล็ดของของมันเพื่องอกสืบพืชพันธุ์ต่อไป

หนุ่มน้อยจากเมืองกรุงไม่เคยเห็นความงามของป่าที่กำลังเปลี่ยนสีในฤดูนี้มาก่อนเลยแม้จะเคยเที่ยวป่ามาบ้าง เขาให้หยุดรถเมื่อเห็นไม้ป่าขนาดกลางที่ออกดอกเหลืองเต็มต้นเพื่อลงไปถ่ายรูป เขาเก็บมาอวดผมด้วยช่อหนึ่ง

"เขาเรียกดอกคำมอก อยู่ในตระกูลเดียวกับดอกพุด" ผมบอกปลัดหนุ่มจากเมืองกรุง

"ชื่อแปลกดีนะครับ คำมอก ! หอมเสียด้วย" ยุทธนายกดอกไม้ในมือขึ้นดม

"ดอกคำมอกหอมมากมันออกดอกปีละครั้งเท่านั้น คนกะเหรี่ยงถือเป็นดอกไม้แห่งความรัก ชายหนุ่มจะเก็บเอาไปฝากสาวที่ตนรักอย่างที่คนกรุงเอากุหลาบแดงให้กัน" ผมเล่าเรื่องของดอกไม้หอมแห่งป่ากะเหรี่ยงให้เขาฟัง

ปลัดหนุ่มสนใจในเรื่องต้นไม้มาก เขาคอยถามผมอยู่ตลอด เพียงสามวันแรกของการเดินทาง ยุทธนาก็บอกประเภทของป่าที่เราผ่านเข้าไปได้ถูกต้อง เขารู้ว่าตรงไหนคือป่าแพะ ตรงไหนเป็นป่าเบญจพรรณ ตรงไหนเป็นป่าดิบเขา

ยุทธนาดื่มด่ำกับกลิ่นสนที่หอมกรุ่นเมื่อเราผ่านเข้าไปในป่าสนเขา และจำชื่อต้นไม้ป่าที่ผมบอกไปได้เกือบหมด เขาน่าจะเรียนวิชาป่าไม้อย่างผม !

บ้านผีปานเป็นหมู่บ้านสุดท้ายที่เราไปทำงานในครั้งนี้ มันอยู่กลางป่าใหญ่ที่ยังสมบูรณ์ทั้งต้นไม้และสัตว์ป่า ติดกับเขตป่าสาละวิน ที่นี่เป็นหมู่บ้านเล็กๆห่างจากที่ว่าการอำเภอออกไปบนเส้นทางที่ต้องใช้รถยนต์โฟร์วีลเท่านั้น ไกลจากแหล่งท่องเที่ยว ที่นี่ยังไม่มีไฟฟ้า แต่มีโรงเรียน เราตัดสินใจพักที่บ้านผีปาน ผมรู้จักกับผู้ใหญ่บ้าน เราได้รับการต้อนรับอย่างดีจากผู้ใหญ่บ้านผีปานและครอบครัว ทั้งที่พักและอาหาร ณ วันนั้นผมไม่รู้ว่ามันเป็นเวรกรรมของใครที่กำหนดให้เราค้างที่นี่ !

สาวน้อยผิวสีน้ำผึ้งในชุดผ้าฝ้ายสีขาวทอมือทั้งผืนอันแสดงถึงสถานะของสาวบริสุทธิ์ประคองถาดอาหารเย็นมื้อแรกสำหรับเราออกมาจากครัว แอบอิงอยู่ข้างหลังแม่ด้วยท่าทีเอียงอาย ผมเกือบจะจำหนะโพ้ไม่ได้ เธอโตขึ้นกว่าเมื่อสามปีที่แล้วเมื่อผมมาที่นี่ เป็นสาวเต็มตัวแล้ว !

ผมดำของเธอยาวประบ่า นัยน์ตาโตงามสุกใส จมูกเป็นสันอย่างชาวกะเหรี่ยง ริมฝีบางงามเหมือนใบไม้อ่อน

ผมสังเกตเห็นตาของเธอประสานกับตาของปลัดยุทธนา แล้วตางามคู่นั้นก็หลบลงต่ำดูเหมือนจะสะเทิ้นอาย เป็นปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นอย่างธรรมชาติ กามเทพเริ่มทำงานของท้าวเธอแล้ว !

บ้านผีปานเงียบสงบแต่ก็งดงามอยู่กับธรรมชาติ มีลำห้วยเล็กๆใสสะอาดไหลอยู่ปลายเนิน มันไหลไปรวมกับน้ำแม่ตื่นและไหลไปลงทะเลสาปดอยเต่าไกลออกไปทางทิศตะวันออก

ชาวบ้านที่นี่ส่วนใหญ่ถือคริสต์ พวกเขาปลูกข้าวไร่ตามที่ลาดเชิงดอยในหน้าฝน ปลูกพริกและพืชไร่ในหน้าแล้ง เก็บหาของป่าและบางทีก็ล่าสัตว์เล็กกินเป็นอาหารบ้าง แค่นี้ทางป่าไม้ยอมได้เพราะคนต้องอยู่กับป่า

เราเร่งงานสำรวจเพื่อทำบัตรประจำตัวประชาชนให้แก่ราษฎรทันทีในวันรุ่งขึ้น ก่อนที่บ้านผีปานจะถูกปิดด้วยฤดูฝนอันยาวนานที่กำลังจะมาถึง เสร็จงานจากหมู่บ้านนี้เราก็จะกลับอำเภอ จากนั้นหน่วยถ่ายรูปทำบัตรประชาชนของจังหวัดจึงจะออกปฏิบัติการต่อไปในอีกหกหรือเจ็ดเดือนข้างหน้า เมื่อหมดหน้าฝนแล้ว

เรานอนรวมกันในห้องๆหนึ่งที่ผู้ใหญ่บ้านจัดให้ หนะโพ้กับแม่ของเธอต้อนรับเราด้วยอาหารพื้นบ้านและข้าวซ้อมมือพันธุ์กะเหรี่ยงสีขาวนวลที่ตำกินวันต่อวัน เสริมด้วยอาหารแห้งที่เราเตรียมไปด้วย

ทุกคนสังเกตได้ว่าทั้งปลัดอำเภอหนุ่มและสาวน้อยลูกผู้ใหญ่บ้านดูจะมีอะไรๆทำใกล้ชิดกันเสมอและเพียงสามวันต่อมา เขาและเธอก็เป็นเสมือนเป็นเงาของกันและกัน ผมมองทั้งสองคนด้วยความเอ็นดู...

เมื่อเรากลับมาจากงานสำรวจประจำวันในตอนเย็น ปลัดหนุ่มจะลงไปช่วย แม่สาวน้อยกะเหรี่ยงตักน้ำที่ลำห้วยข้างล่างขึ้นมาไว้ใช้บนบ้าน

หนะโพ้หัวเราะเสียงใสเมื่อปลัดยุทธนาพยายามจะช่วยเธอฝัดข้าวที่เพิ่งจะตำเสร็จ แต่มันกลับหกกระจายออกไปนอกกระด้งตั้งครึ่งค่อน และในเช้าบางวันก่อนจะออกไปทำงาน ชายหนุ่มจะชวนหนะโพ้ออกไปถ่ายรูปดอกไม้ป่าใกล้ๆบ้าน

สาวน้อยกะเหรี่ยงตื่นเต้นอย่างยิ่งที่ได้เห็นภาพของเธอกับดอกจ้อล่อสีม่วงสดอยู่ในกล้องดิจิตอลของเขา เธองามบริสุทธิ์เหมือนดอกไม้ป่าต้นฤดูฝน

เช้าตรู่บางวัน หนะโพ้จะชวนปลัดผู้เป็นแขกเดินเข้าไปที่ชายป่าท้ายหมู่บ้าน ที่เป็นดงทึบเพื่อซุ่มฟังเสียงชะนีร้องหาคู่ ชะนีคือตัวแทนของป่าที่ยังสมบูรณ์ !

เช้าวันหนึ่งปลัดหนุ่มกับสาวน้อยเดินกลับออกมาจากแนวป่าหลังบ้าน แดดอ่อนสาดแสงสีทองผ่านใบไม้ลงสู่พื้นดินเป็นลำยาว ทั้งสองคนมีดอกคำมอกอยู่ในมือคนละกำ เขาและเธอเก็บดอกคำมอกแลกให้แก่กันและกัน ชีวิตยามนั้นช่างงดงามและหวานหอมด้วยกลิ่นของดอกไม้แห่งความรัก ! ผมมองภาพนั้นจากบนบ้านด้วยความประทับใจ

หลังจากอาหารค่ำ ทุกคนเข้านอนเมื่อได้เวลา แต่ปลัดยุทธนากับหนะโพ้จะนั่งกันอยู่ท่ามกลางแสงตะเกียงที่หรุบหรู่ต่อไป กระซิบกระซาบคุยกันอย่างแผ่วเบา อ้อยอิ่งกันอยู่จนดึกดื่นค่อนคืน จะอำลาจากกันไปนอนก็เมื่อจันทร์แรมลับฟ้าไปแล้ว

ผู้คนในหมู่บ้านรู้ความเป็นไปที่เกิดขึ้นในบ้านของหนะโพ้เป็นอย่างดี และปลัดยุทธนาก็เป็นที่ชื่นชมของชาวบ้านผีปาน ...แต่อาจจะไม่ทุกคน !

พอนึกถึงตรงนี้แล้วผมให้นึกสงสารปลัดหนุ่ม ไม่มีใครจะรู้ชะตากรรมของตัวเองล่วงหน้า !...

พ่อแม่ของหนะโพ้ดีใจเมื่อปลัดผู้เป็นแขกสำคัญของบ้านให้สัญญากับครอบครัวนี้ว่าเขาจะกลับมาอีกครั้งเมื่อหมดหน้าฝน เพื่อบอกข่าวดี ! คงไม่ต้องบอกว่าเป็นข่าวดีเรื่องอะไร

ในท่ามกลางความสัมพันธ์ที่แสนหวานและหอมละมุนด้วยกลิ่นดอกไม้ป่าระหว่างปลัดอำเภอหนุ่มกับสาวน้อยบ้านป่า จะมีใครอื่นอีกหรือไม่นอกจากผมที่ทันสังเกตว่า มีหนุ่มกะเหรี่ยงคนหนึ่งต้องถอยห่างออกจากบ้านนี้ไปอย่างเงียบๆ

เมื่อสามวันแรกที่เรามาถึงที่นี่ ผมยังเห็นหนุ่มกะเหรี่ยงคนนั้นมานั่งคุยด้วยกันกับหนะโพ้และเราหลังอาหารเย็น เขาเป็นแขกประจำของบ้านนี้ก่อนที่เราจะมา เขามี สีหน้าที่เรียบเฉยเหมือนไม่มีความรู้สึกใดๆ...

"กรีแค เป็นญาติห่างๆของเรา" ผู้ใหญ่บ้านพ่อของหนะโพ้แนะนำกับผมเป็นภาษากะเหรี่ยงหลังอาหารเย็นเมื่อวันที่เรามาถึง ว่าที่จริงคนเกือบทั้งหมู่บ้านนี้ก็เป็นญาติกันทั้งนั้น แต่ผมรู้ว่าเขามาเป็นแขกที่บ้านนี้ก็เพื่อหวังจะเด็ดดอกไม้งามของหมู่บ้าน

ผมรู้สึกอึดอัดกับหนุ่มคนนี้เมื่อต้องนั่งร่วมวงสนทนาด้วย เขานิ่งเงียบแทบจะไม่พูดกับใครเลย แต่คอยฟังและสังเกตคนอื่นพูดอย่างตั้งอกตั้งใจตลอดเวลา นัยน์ตาที่รีเล็กทั้งคู่ด้านไม่มีแววและเกือบไม่เคลื่อนไหว เหมือนตางูที่ลอบจ้องเหยื่อ เมื่อบวกกับสีหน้าที่เรียบเฉยของเขาแล้ว กรีแคดูเป็นคนลึกลับ สัญชาติญาณบอกผมให้ระวัง คนๆนี้ !

วันที่สามเขาเข้ามานั่งตรงที่เดิมเมื่อเรากินข้าวเย็นกันแล้วและไม่พูดอะไรเลยสักคำจนกระทั่งกลับไป แล้วผมก็ไม่เห็นเขาอีก บทบาทที่โดดเด่นของปลัดยุทธนาในบ้านนี้คงทำให้ที่นั่งสำหรับกรีแคผู้เคยเป็นแขกประจำร้อนรุ่มจนต้องถอยออกไปเอง

เย็นวันสุดท้ายก่อนที่เราจะกลับ กรีแคกับเพื่อนก็หามเก้งตัวหนึ่งเข้ามา ที่บ้าน

"มันติดแร้วที่ผมดักเอาไว้ ผมจะทำอาหารเลี้ยงส่งคุณปลัด" เขาบอกสั้นๆเหมือนจะเป็นการขออนุญาตผม หน้าที่เคยเรียบเฉยของกรีแคมีรอยยิ้มนิดๆ ตาที่เคยไร้แววเหมือนตางูกลับมีประกายวาวประหลาด

เขากับเพื่อนจัดการสำเร็จโทษเก้งตัวนั้น และช่วยกันชำแหละเนื้อมันอย่างชำนาญ

กรีแคเข้าครัวอย่างคุ้นเคย เขาลงมือทำอาหารเอง ค่ำวันนั้นทุกคนเอร็ดอร่อยกับแกงเนื้อเก้งฝีมือกรีแค แถมด้วยเหล้าข้าวโพดที่พ่อของหนะโพ้เอามาเลี้ยงส่ง

คงจะมีผมเพียงคนเดียวที่ไม่ได้กินแกงของหนุ่มกรีแค ผมเป็นเจ้าหน้าที่รักษาพันธุ์สัตว์ป่า พอรับได้กับการที่ชาวบ้านจะจับสัตว์ป่ากินเป็นอาหารบ้างถ้าไม่ใช่เพื่อการค้า แต่ผมจะไม่กินสัตว์ป่าที่ผมต้องคุ้มครองมัน !

คืนนั้นผมตื่นขึ้นมาเพราะมีเสียงเหมือนคนลุกขึ้น ไม่รู้ว่ากี่ทุ่มกี่ยามแล้วและเห็นภาพดำตะคุ่มของใครคนหนึ่งกำลังเปิดประตูห้องออกไปข้างนอก คงเป็นพวกเราคนหนึ่งออกไปเข้าห้องน้ำ ผมหลับไปอีกครั้งก่อนที่จะทันเห็นคนๆนั้นกลับมา

ผมต้องตื่นขึ้นอีกครั้งหนึ่งเมื่อถูกปลัดยุทธนาปลุก !

"พี่ครับช่วยดูหน่อย ! อะไรมันเข้าไปในหูผม คงเป็นมด" ผมปลุกทุกคนให้ตื่นขึ้นมาช่วยกันดู แต่ละคนช่างตื่นยากตื่นเย็นเสียเหลือเกิน พวกเขาหลับเหมือน ตาย !

เราจุดตะเกียงขึ้นแล้วช่วยกันเอาไฟฉายส่องดูในหูของปลัดหนุ่ม ผมให้เขานอนตะแคงแล้วเอาน้ำใส่แก้วมากรอกเข้าไปในรูหู เหมือนอย่างที่แม่เคยทำให้ผมตอนเด็กๆเมื่อมีมดเข้าไปในหู...

ปลัดยุทธนา เริ่มร้องว่าเจ็บในหู ไอ้ตัวอะไรนั้นมันกัดในรูหูของเขา เราช่วยกันหยอดน้ำลงไปในหูของเขาจนหมอนเปียกน้ำเปียกเลอะเทอะไปหมด แต่ก็ไม่ได้ผล ! ไม่มีตัวมดลอยขึ้นมา ซ้ำเขายังร้องครางดังขึ้น เราต้องไปปลุกครอบครัวเจ้าของบ้านซึ่งก็ปลุกยากปลุกเย็นอีกเหมือนกัน

จนใกล้รุ่งไม่มีใครช่วยแก้ไขอะไรได้ !

"พาผมกลับอำเภอ เอาไปส่งโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้เลย !" ปลัดยุทธนาสั่งพร้อมกับเสียงครางอย่างเจ็บปวด เอามือทั้งสองข้างกุมหัวไว้ นอนตัวงอ ทุกคนตกใจกันมาก ! ปลัดอำเภอหนุ่มร้องครางดังขึ้นอีก

ผมสั่งให้เอาตัวเขาขึ้นรถทันทีไม่ต้องเก็บของให้เสียเวลา หนะโพ้เข้ามาช่วยอย่างตื่นตระหนก หน้าซีดด้วยความกลัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เธอร้องไห้ขณะที่ช่วยประคองปลัดหนุ่มไปขึ้นรถยนต์

ที่ปากทางเข้าหมู่บ้านผีปาน กรีแคยื่นอยู่ข้างๆหอผีประจำหมู่บ้าน ผมเห็นเขามองมาที่รถเราซึ่งกำลังแล่นผ่านออกไปด้วยตาที่ไร้แววเหมือนงูและสีหน้าเรียบเฉย

คณะสำรวจเพื่อทำบัตรประชาชนใช้เวลาหนึ่งวันเต็มจึงพาหัวหน้าคณะกลับมาถึงอำเภอได้อย่างทุลักทุเล อาการของปลัดเป็นที่สาหัสสากรรจ์ ระหว่างทางเขาร้องครวญครางอย่างน่าเวทนา เอามือกุมหัวไว้และดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวดที่ในหู จนพวกเราต้องทำเปลสนามขึ้นแล้วจับตัวเขามัดเอาไว้กับเปล นอกจากนี้ไม่มีอะไรที่เราจะช่วยเขาได้อีก เราขับรถตะลุยกันออกมาโดยไม่หยุดแม้แต่จะกินข้าว

"ปืน ! ปืนผมอยู่ไหน ? ใครเอาปืนผมไป" ปลัดหนุ่มเรียกหาปืนพกของเขาที่ถูกใครเก็บเอาไว้เสียก่อนแล้ว

"ช่วยยิงผมเสียให้ตายเถิดพี่ ! ผมเจ็บเหลือเกินอย่าให้ผมทรมานอีกต่อไปอีกเลย โอ๊ย ! ผมทนไม่ไหวแล้ว" เขาพยายามจะยกมือทั้งสองข้างที่ถูกมัดไว้กับเปลขึ้นไหว้ผม ร้องอ้อนวอนให้ยิงเขาทิ้งเสีย บางครั้งเขาหมดสติไปด้วยความเจ็บปวด ผมสงสารหนุ่มยุทธนาจับใจ !

เมื่อมาถึงโรงพยาบาลประจำอำเภอในตอนค่ำ รูหูของปลัดหนุ่มบวมจนตีบตัน ใบหน้าด้านนั้นบวมไปทั้งซีกและไปดันนัยน์ตาข้างหนึ่งให้ลืมค้างอยู่ ปลัดยุทธนาหายใจหอบ ! ตัวเขาร้อนราวกับไฟด้วยพิษไข้และหมดสติไปอีกครั้ง หมอหมดปัญญาที่จะสอดเครื่องมือใดๆเข้าไปตรวจในรูหูที่ตีบตันของปลัดหนุ่มผู้เคราะห์ร้าย ทำได้เพียงฉีดยาบรรเทาปวด ยาแก้อักเสบ ให้น้ำเกลือและเอ็กซเรย์หัวข้างที่บวมนั้นไว้

เช้าวันรุ่งขึ้น รูหูที่บวมของปลัดหนุ่มลดอาการบวมลง หมอวางยาสลบให้เขา และเตรียมจะสอดเครื่องมือเข้าไปในรูหูของเขาได้ เราทั้งหมดรอกันอยู่ที่หน้าห้องผ่าตัด นายอำเภอก็มานั่งเฝ้าลูกน้องของเขาอยู่ด้วยความเป็นห่วงตั้งแต่เมื่อคืน

"คุณคะ คุณหมอเชิญเข้าไปในห้อง ท่านนายอำเภอด้วยคะ" พยาบาลออกมาบอกผมกับนายอำเภอที่ม้ายาวหน้าห้องผ่าตัด...

ภายในห้อง ปลัดยุทธนานอนหมดสติอยู่บนเตียง ผมเผ้ายุ่งเหยิง มีผ้าคลุมอยู่ครึ่งตัว ร่างของเขามีอาการเกร็ง ตอนนี้หมอต้องใช้เครื่องช่วยหายใจให้กับเขาแล้ว

หมอคนเมื่อวานยืนอยู่ข้างๆเตียง ในมือมีถาดเคลือบสีขาวใบเล็ก อีกมือหนึ่งถือปากคีบเขี่ยอะไรในถาดอยู่อย่างหนึ่ง แล้วถามผมโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นจากสิ่งนั้น

"นี่มันอะไรกัน ! คุณรู้ไหม? " เขายื่นถาดเคลือบใบนั้นมาให้ผมดู

"มันไต่ออกมาจากในหูคุณปลัด ! " เขาบอก ผมก้มลงดูเพื่อให้เห็นถนัด ใจเต้นระทึก !...

มันคือเห็บป่า ! เห็บตัวนั้นสีน้ำตาลเข้มอมแดงเป็นมันวาว ท้องเป่งไปด้วยเลือด ! เห็บนี้จะอาศัยอยู่กับสัตว์ป่าเท่านั้นและมีพิษกับคนมาก แค่ถูกมันกัดที่หัวแม่เท้าก็อาจจะบวมไปทั้งขาอยู่เป็นวันๆ หลายครั้งที่ผมเคยเห็นชาวบ้านป่าถูกมันกัด เห็บนี้จะออกจากร่างสัตว์ป่าที่กำลังจะตายเพื่อแสวงที่อยู่ใหม่ แต่ว่ามันเข้าไปอยู่ในหูปลัดได้อย่างไร ? ...

หนะโพ้เปิดประตูเข้ามาในห้อง ! เธอให้พ่อขี่มอเตอร์ไซค์ตามออกมาจากบ้านผีปานจนถึงโรงพยาบาลจนได้ เธอเก็บดอกคำมอกมาด้วยกำใหญ่ ห่อมันอย่างดีไม่ให้ถูกแดดถูกลมด้วยใบตองสด

สาวน้อยกะเหรี่ยงเข้ามานั่งข้างร่างที่ไม่ได้สติของปลัดหนุ่ม เธอแก้ห่อดอกคำมอกออก หยิบเอามันใส่ในฝ่ามือของปลัดยุทธนา มือนั้นกำดอกไม้สีเหลืองนวลไว้ทันทีทั้งๆที่ยังหมดสติอยู่ !

หนะโพ้นั่งสงบฟังหมอพูดถึงอาการของปลัดยุทธนาอย่างเลื่อนลอย

"มันกินเลือดจากเส้นเลือดที่อยู่ลึกเข้าไปในระบบหูคอจมูกของปลัด พิษของมันทำให้สมองเขาบวมแล้วยังไปทำลายระบบประสาทส่วนที่ควบคุมการหายใจด้วย" หมอบอกกับเรา เขาละสายตาจากแผ่นฟิล์มเอ็กซเรย์ วางมันลงบนโต๊ะเล็กข้างเตียงแล้วส่ายหน้า

"ผมเสียใจ !" หมอบอกกับเรา...

หนะโพ้นั่งอยู่ข้างๆร่างของปลัดยุทธนาตลอดวันนั้น หมดหน้าที่ของกามเทพ พญามัจจุราชก็เข้ามารับหน้าที่แทน ! เขาสิ้นใจในตอนค่ำตอนที่ฝนพรำ ร่างกายทุกส่วนของยุทธนาผ่อนคลายลง เว้นแต่มือข้างหนึ่งที่กำดอกคำมอกที่เหี่ยวเฉาเอาไว้แน่น !

ผมไม่อาจจะกล่าวโทษใครในเรื่องนี้ได้เพราะไม่มีหลักฐาน เสียใจที่ ข้าราชการดีๆอย่างเขาต้องมาตายก่อนเวลาอันควรและอย่างทุกขเวทนา ผมรู้สึกเศร้าทุกครั้งที่เห็นความงามของป่าซึ่งกำลังเปลี่ยนสีและเห็นดอกคำมอกบาน มันทำให้ผมนึกถึงภาพของหนุ่มเหน้ากับสาวน้อยคู่หนึ่งกำลังเดินกันออกมาจากแนวป่าในยามเช้า แดดสีทองสาดเป็นลำทะลุใบไม้ลงมา ทั้งสองคนถือดอกคำมอก ดอกไม้แห่งความรักมาคนละกำ เขากับเธอเพิ่งจะแลกดอกไม้ให้แก่กัน... O

เมื่อวันที่ : 09 ก.ค. 2549, 07.39 น.
ผู้อ่านที่รัก,
นิตยสารรายสะดวก และผู้เขียนยินดีรับฟังความคิดเห็นต่อข้อเขียนชิ้นนี้
เชิญคลิกแสดงความเห็นได้โดยอิสระ ขอขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ในการมีส่วนร่วมของท่านในครั้งนี้...