...ม็อบกับเหมียวช่วยเป็นตัวประกอบให้หนังสือของผมหลายเรื่อง...

ผมจำไม่ได้ว่าใครเป็นคนเอา "ม็อบ" มาเลี้ยงที่บ้านกรุงเทพ มันเป็นหมาลูกผสมพันธุ์สปินท์กับหมาจู ตอนที่เอามันมาบ้านเป็นช่วงเหตุการณ์ "พฤษภาทมิฬ" ปีพ.ศ. 2535 พอดี...

"เรียกมันว่า 'ไอ้ม็อบ' ก็แล้วกัน" ใครคนหนึ่งบอก แล้วแต่นั้นมาหมาน้อยสีขาวตัวผู้ที่เราเอามาเลี้ยงตัวนี้ก็ชื่อว่า "ม็อบ"

เมื่อมันโตขึ้น ทุกเช้าเมื่อผมวิ่งออกกำลังในตอนเช้าไปตามถนนในหมู่บ้าน มันจะออกวิ่งตามไปด้วยวันละหลายกิโลเมตร

อีกแปดปีต่อมาเมื่อผมขึ้นมาอยู่เชียงใหม่ ผมเอาม็อบมาอยู่ด้วย เราอยู่ด้วยกันเพียงสองชีวิตในบ้านไม้ไผ่หลังน้อย และมันก็ออกวิ่งไปกับผมทุกเช้าเหมือนตอนอยู่กรุงเทพ แต่เราวิ่งน้อยลง เพราะต่างคนต่างก็แก่ลง

ม็อบนอนที่ระเบียงหน้าประตูห้องทุกเวลาที่ผมอยู่ข้างในห้อง และจะย้ายลงไปนอนใต้โต๊ะกินข้าวในครัวเมื่อผมลงไปนั่งที่นั่น มันจะตามผมไปทุกแห่งในบ้านและในสวน... อากาศเย็นที่นี่ทำให้ม็อบมีขนยาวและฟูขึ้น

อีกสองเดือนต่อมา เริ่มมีหนูมาอยู่ร่วมบ้านกับเราด้วย ผมไปขอลูกแมวเขามาตัวหนึ่งเอาไว้จับหนู สีดำปลอดทั้งตัวเป็นแมวตัวเมีย เพิ่งจะอดนมและเรียกมันว่า"เหมียว" ลูกแมวเข้าไปนอนซุกที่ท้องม็อบตั้งแต่คืนแรกและต่อไปทุกๆคืนที่ระเบียงหน้าประตูห้อง และเข้ากันได้ดี ตอนนี้ทั้งหมาและแมวจะตามผมตลอดถ้าผมอยู่ในบ้าน เมื่อผมขับรถออกไปนอกบ้าน พอกลับเข้ามาทั้งม็อบและเหมียวจะวิ่งออกมารับที่รถ

อีกแปดเดือน ลูกแมวก็กลายเป็นแม่แมวลูกห้า ไม่ปรากฏพ่อ ! เมื่อลูกของเหมียวอดนม ผมให้เขาไปสี่ตัว คงเก็บตัวสีดำเหมือนแม่ไว้เพียงตัวเดียวเรียกชื่อมันว่าเหมียวอย่างแม่

และจากนั้นทั้งหมาหนึ่งและแมวสองก็จะนอนที่ระเบียงหน้าประตูห้องผมทุกคืน ...เราสี่ชีวิตอยู่ด้วยกันมาอย่างมีความสุขตามอัตถภาพในบ้านหลังน้อย

ใครที่มาบ้านผมจะจำได้ทั้งม็อบและแมวดำสองตัวที่ชื่อเหมือนกันว่าเหมียว ในบ้านไม้ไผ่หลังน้อยนี้ไม่มีใครที่เขาจะรู้จักอีกนอกจากนี้

ม็อบกับเหมียวช่วยเป็นตัวประกอบให้ผมในหนังสือหลายเรื่อง เช่นจากเรื่อง "เมืองปราบเซียน" "...แกไม่มีลูกและไม่มีเมีย ดูเหมือนไร้ญาติแต่แน่นอนไม่ขาดมิตรเพราะแกมีหมาหนึ่งตัวกับแมวอีกสองตัวเป็นเพื่อน..." และจากเรื่อง "เมื่อปลายฝน" "...หมาน้อยสีขาววิ่งพล่านรอบๆตัวแก มันตามตะแกไปทุกที่ในบ้านเพราะกลัวเสียงฟ้าร้อง แมวดำสองแม่ลูกปีนขึ้นไปนอนบนขื่อใต้หลังคาครัวเรียบร้อยแล้ว หน้าต่างบานสุดท้ายปิดเสร็จพอดีเมื่อฝนสาดกระหน่ำบ้านไม้ไผ่หลังน้อย ..."

ต่อมาเราคือผมกับก็ม็อบเลิกวิ่ง ผมออกกำลังตอนเช้าโดยการเดินแทน ตามสังขารที่ร่วงโรยไปตามกาลเวลา เหมียวสองตัวแม่ลูกยังตามไปส่งถึงหน้าประตูสวน และคอยต้อนรับเราในขากลับอย่างเดิม

และปีนี้ผมก็เลิกเดินอีก แต่ออกกำลังกายอยู่บนระเบียงบ้านแทน มีม็อบนอนดูเป็นกำลังใจ มันแก่มากแล้ว ตาเสียไปข้างหนึ่งและเดินช้าลง

"มึงกับกูใครจะตายก่อนกัน ?" ผมเคยถามมันบ่อยๆต่อหน้าเพื่อนที่มาเยี่ยมที่บ้านของเรา แล้วเราก็หัวร่อชอบใจ

ก่อนสงกรานต์หนึ่งวันม็อบไม่กินข้าว มันลงไปนอนอยู่ใต้โต๊ะกินข้าวในครัวและเดินไม่ไหว แต่ยังมองผมด้วยความภักดีจากนัยน์ตาข้างเดียวของมัน

มันอยู่ที่บ้านหลังน้อยกับผมที่นี่มาหกปีและอายุได้สิบสี่ปีแล้ว ถ้าเทียบกับอายุคนม็อบก็จะมีอายุเท่าๆกับคุณตาที่อายุเก้าสิบปี ผมตัดสินใจไม่พาม็อบไปหาหมอ ผมคิดว่าสรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้ต้องแตกดับไปตามอายุขัย และผมไม่ต้องการพันธนาการชีวิตใดๆ ไม่ว่าคนหรือสัตว์ไว้หากว่ามันถึงเวลาอันควรแล้ว

ค่ำวันนั้นม็อบพยายามจะเดินขึ้นบันไดมานอนที่ระเบียงหน้าห้องผม แต่มันไม่มีเรี่ยวแรงพอ ผมช่วยอุ้มมันขึ้นมาวางมันให้นอนตรงที่ๆมันเคยนอนมาแล้วตลอดเวลาหลายปีที่เราอยู่ด้วยกันมาที่นี่ ผมลูบหัวมันเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเข้านอนด้วยใจที่หดหู่

เช้าวันที่สิบสามเมษายน วันสังขารล่องแห่งเทศกาลมหาสงกรานต์ ม็อบจากไปอย่างสงบที่ระเบียงหน้าประตูห้องผม

ผมขุดหลุมฝังสังขารของม็อบไว้ใกล้ๆทางซึ่งมันเคยเดินออกมารับผมที่รถ มีเหมียวสองแม่ลูกตามออกมาดูด้วย ผมไม่รู้ว่าเจ้าเหมียวสองแม่ลูกจะรู้หรือไม่ว่า "คุณตา" ที่มันเคยนอนซุกด้วยทุกคืนเป็นอะไรไป

ผมนึกถึงคำถามที่เคยถามม็อบว่าใครจะตายก่อนกัน คราวนี้ผมไม่กล้าถามนังเหมียวทั้งสองตัวแม่ลูกอย่างที่เคยถามม็อบ !...O

เมื่อวันที่ : 25 เม.ย. 2549, 08.09 น.
ผู้อ่านที่รัก,
นิตยสารรายสะดวก และผู้เขียนยินดีรับฟังความคิดเห็นต่อข้อเขียนชิ้นนี้
เชิญคลิกแสดงความเห็นได้โดยอิสระ ขอขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ในการมีส่วนร่วมของท่านในครั้งนี้...