...ในหิมวาสยามนั้น ราชสีห์โผนขย้ำกวางผาในถ้ำน้อยเสียงอึงคะนึง... นาคาใหญ่อุตลุดเข้าตระหวัดรัดมฤคี... คูปรีเล็มหญ้าระบัดอยู่ชายไพร...

ณ กาลครั้งหนึ่ง ยังมีชฎิลเฒ่าปลูกกุฎีบำเพ็ญพรตอยู่ที่ชายพนาแห่งหิมพานต์ประเทศ มีศิษย์หนุ่มปลูกกุฎีอีกหลังอยู่ใกล้กัน

ผู้ศิษย์นั้นเฝ้าเพียรปรนนิบัติรับใช้ท่านชฎิลที่เขาศรัทธาในคำสอนมาแต่ยังวัยดรุณ หวังจะได้เข้าบวชร่วมนิกายกับท่านชฎิลเมื่อถึงเวลาอันควร มีสวรรค์เป็นที่หมายในสัมปรายภพ แต่ทั้งท่านคุรุแลศิษย์จะอยู่ในลัทธินิกายใดเรื่องหาได้กล่าวไว้ไม่...

ทุกทิวา ยามเมื่ออาทิตย์ไขแสง ผู้ศิษย์จะออกเก็บหาผลหมากรากไม้บรรดามีในพนามาสู่ท่านคุรุผู้เฒ่า เหลือแล้วตนจึงเสพเพียงเพื่อประทังชีวิต เขาจำไว้เป็นข้อปฏิบัติตลอดมาว่า ท่านคุรุจักต้องได้เสพก่อนศิษย์เสมอ

ยามสายศิษย์หนุ่มก็กวาดแผ้วใบไม้ที่ลานตฤณชาติหน้ากุฎีทั้งสองหลัง จนเตียนเรียบเป็นที่เจริญตา แล้วจึงมาปัดกวาดเช็ดถูทำความสะอาดกุฎีของท่านคุรุแลของตนต่อไป เขาตักเอาน้ำใสจากสระอโนดาตมาต้มเป็นน้ำร้อนแลชงน้ำสมุนไพรไว้ให้ท่านชฏิลเฒ่าดื่มเพื่อพลานามัยที่อมตะ ครั้นยามบ่ายก็คอยปรนนิบัตินวดเฟ้นท่านคุรุด้วยน้ำมันมนตร์ที่เจือด้วยน้ำดอกไม้เทศอันหอมจรุงให้คลายเมื่อยล้ามิเคยเว้น

ข้างๆกุฎีท่านชฏิลเจ้าสำนัก มีมวลบุปผามาลีหลากหลายสีสันชูช่อ ตระการตาที่ศิษย์หนุ่มปลูกประดับไว้ เขาปลูกผักแลฟักแฟงแตงกวาไว้ด้านหลัง เอาไว้เก็บมาทำเป็นภัตตาหารให้ท่านชฎิลผู้คุรุ

ค่ำลงเขาก็เข้ากุฎีแห่งตน สวดมนต์ร่ายเวทย์ตามที่ท่านเจ้าสำนักสอนจนดึกดื่น จะเข้าสู่นิทรารมย์ก็เมื่อเที่ยงคืนล่วงแล้ว

ศิษย์หนุ่มใช้ชีวิตอยู่กับคุรุผู้เฒ่าด้วยสมถวิสัยมานานนับได้กว่าทศวรรษ แลจะได้ข้องแวะกับโลกย์ใดๆก็หาไม่ แม้แต่อิตถีเพศเขาก็แทบจะมิเคยเห็น เฉกเช่นเดียวกับท่านชฎิลเฒ่าผู้เคร่งในพรตภาวนา

อยู่มาวันหนึ่ง มีนรีสาวแม่ร้างระหกระเหินดั้นอรัณย์มาจนถึงสำนักแห่งนี้แต่เพียงผู้เดียว นางนั้นช่างมีเรือนร่างสะคราญตายิ่งนัก

เมื่อนรีนางนั้นได้พบกับท่านชฎิลเจ้าสำนัก แลได้ฟังคำสอนแล้วก็ให้มีศรัทธาล้ำลึกจึงสมัครเป็นศิษย์ และขออาศัยอยู่ ณ ที่นี้เพื่อช่วยปรนนิบัติรับใช้ท่านเจ้าสำนักด้วยอีกคนหนึ่ง

ท่านชฎิลสั่งศิษย์ผู้หนุ่มปลูกกุฎีน้อยขึ้นอีกหลังให้นางอยู่ชายดงไม้ห่างออกไป...

ตั้งแต่มีนรีรูปงามมาเป็นศิษย์ร่วมสำนัก ศิษย์หนุ่มก็เพลางานที่ต้องคอยปรนนิบัติวัตถากท่านคุรุลง นางศิษย์สาวนั้นขยันขันแข็งช่วยงานทุกอย่างที่เขาเคยปฏิบัติอยู่คนเดียว

ยามอรุณรุ่ง มิทันที่เหล่าทิชาชาติจะออกจากรวงรัง ทั้งสองศิษย์ต่างก็ออกท่องไปในพนาสัณฑ์ ช่วยกันเสาะแสวงผลหมากรากไม้แลเก็บไม้ฟืน แล้วแวะตักน้ำจากสระอโนดาตใส่น้ำเต้าคอนกลับมายังสำนัก จากนั้นจึงกวาดลานตฤณชาติหน้ากุฎี ครั้นบ่ายก็สลับผลัดเปลี่ยนกันปรนนิบัตินวดเฟ้นแลทาน้ำมันอันมีกลิ่นหอมให้ท่านชฎิลคลายเมื่อยอยู่ทุกทิวา

ศิษย์หนุ่มกับศิษย์สาวต่างช่วยกันทำงานปรนนิบัติรับใช้ชฎิลเฒ่ามาด้วยดี ต่างก็ระมัดระวังมิให้กิเลสแลกามคุณเข้ามาข้องแวะในดวงจิตแห่งตนแม้เพียงเศษเสี้ยวแห่งธุลี

วันหนึ่ง ขณะที่ทั้งสองกำลังช่วยกันกวาดลานตฤณชาติหน้ากุฎีกันอยู่นั้น ก็ให้บังเกิดเป็นอัศจรรย์ มีกระแสลมอลวนพัดหมุนเข้ามาที่ลานแห่งนั้น ลมได้พัดตลบเอาอาภรณ์ที่เจ้าศิษย์หนุ่มใช้ห่มร่างกายอยู่เปิดตลบขึ้นไปถึงเอว ศิษย์หนุ่มตกใจ ! รีบดึงอาภรณ์ที่เปิดขึ้นกลับลงมาที่เดิมอย่างเร็ว แต่ก็ช้าไป ! เพราะนางศิษย์สาวได้เห็นสิ่งที่อยู่ในอาภรณ์ของตนเสียแล้ว

เขาให้รู้สึกกระดากอาย แลเกรงว่านางศิษย์สาวจะมีใจไขว้เขวไปทางอัน มิควรจึ่งรีบเอ่ยขึ้นว่า

"นางเอย ! พึงรู้เถิดว่าสิ่งที่เธอได้เห็นอยู่กับร่างข้าเมื่อครู่นี้คือปีศาจร้าย เธอจงลืมมันเสียเถิด !" ทันทีที่เจ้าหนุ่มกล่าวจบ อัศจรรย์ได้บังเกิดขึ้นเป็นคำรบสอง กระแสลมอลวนพัดผวนเข้ามาตรงนั้นอีก ครานี้มันพัดตลบเอาอาภรณ์ของนรีร่างสะคราญขึ้นไปถึงเอวเช่นกัน

แลเจ้าศิษย์หนุ่มก็ได้ประจักษ์ในสิ่งที่อยู่ในอาภรณ์ของนาง เขาตกใจแลประหม่ายิ่งนักกับสิ่งนั้น ด้วยมิเคยเห็นมาก่อน

"พี่ท่าน ! " นรีสาวเอ่ยเอื้อน ค่อยดึงอาภรณ์ลงปิดกายดังเดิม

"สิ่งที่ทำให้ท่านตะลึงแลอยู่นี้คือขุมนรกร้าย จงลืมมันเสียเช่นกัน"

แต่นั้นมาศิษย์หนุ่มผู้มีพรหมจรรย์ก็มิอาจปลงใจกับสิ่งที่เห็นมาได้ มันกลายเป็นภาพมายาตามหลอกหลอนเขาไปทุกทิวาราตรี

ทั้งเจ้าหนุ่มยังรู้สึกว่าได้มีสิ่งวิปริตเกิดขึ้นกับตนทั้งใจและกาย กล่าว คือ ...

ในรัตติกาล ภาพของขุมนรกร้ายเด่นอยู่ในจิตที่เคยสงบนิ่งดังน้ำใสในสระอโนดาต จนมิอาจข่มใจเข้าสู่นิทรารมย์โดยง่ายดังแต่ก่อน แม้จะร่ายมนต์คาถาสักกี่บทกี่คาบก็มิเป็นผล มันเหมือนไฟที่เผาผลาญเลือดหนุ่มของเขาให้เดือดพล่าน ยามค่อนคืนไปแล้วนั้นแลจึงจะข่มตาหลับลงได้

แต่แม้กระนั้นก็ยังฝันเห็นนรกขุมนั้นอยู่ดี จนเลือดที่เดือดพล่านในกายาปะทุท้นออกมาเมื่อยามใกล้รุ่งอรุโณทัย

ครั้นเมื่อทิวากาลเล่า เขาก็มิอาจเข้าหน้านรีสาวร่างโสภาได้ ด้วยปฏิกริยาผลักดันในกายจะบังเกิดขึ้นทุกเพลาไปที่ได้เห็นนาง ศิษยหนุ่มมีอันต้องเบี่ยงกายหันหลังหลบเสียด้วยความกระดากอยู่ร่ำไป มิให้นางเห็นพิรุธที่เกิดนั้น ...ดูเป็นที่ทุกขเวทนา ยิ่งนัก !

การณ์เป็นดั่งนี้มาหลายเพลาจวบจนราตรีหนึ่ง ศิษย์หนุ่มผู้สมถะก็สุดที่จะสะกดกลั้นซึ่งฤทธาแห่งราคจริตไว้ได้อีกแล้ว

จึ่งครั้นเมื่อดึกสงัด เดือนเสี้ยวคล้อยลับนภาไปแล้ว เจ้าหนุ่มผู้พลุ่งพล่านไปด้วยพลังในกายาก็แอบออกจากกุฎีของตน ค่อยจรลีไปยังกุฎีน้อยของนรีสาวดั่งพยัคฆาขยับย่างสู่นางเนื้อ...

แนวพนาในราตรีนั้นช่างเงียบนัก มีก็แต่เสียงนกการเวกร้องละเมอเพรียกหาคู่อยู่บนยอดเมฆา นภาอันมืดมิดดังสีนิลเดียรดาษแพรวพรายไปด้วยดาริกานับเป็นอสงไขย แลมีทางขาวนวลแห่งคงคาสวรรค์พาดผ่าน

พยัคฆาหนุ่มยืนนิ่ง สยบอย่างแสนจะกริ่งเกรงอยู่หน้าห้องน้อยของนางเนื้อร่างงาม ใจนั้นเต้นรัวระทึกราวแผ่นดินไหว เสียงน้ำค้างจากชายคาหยดลงต้องพื้นพสุธาดังเป็นระยะ

เจ้าพยัคฆารวบรวมพลังปราณทั้งหมดที่มีอยู่ แล้วจึงเคาะประตูห้องเบาๆ....

"พี่ท่านมีธุระอันใดฤๅ ?" แว่วเสียงนางเนื้อสาวกระซิบแผ่วออกมา นางรู้ว่าในเขตหิมเวศยามนี้ จักมีใครอื่นอีกก็หาไม่ที่จะมาเคาะประตูห้องน้อยนี้ นอกจากเจ้าศิษย์หนุ่มร่วมสำนัก

"นางเอย จงเปิดประตูด้วยเถิด ! " พยัคฆาหนุ่มรำพันแหบโหย กายแทบจะระเบิดเป็นเสี่ยงด้วยอำนาจแห่งดำฤษณา...

"เมตตาเจ้าปีศาจแห่งข้าด้วย ! มันถวิลหาแต่ขุมนรกร้ายมิยอมหลับยอมนอน" เขากล่าวไปโดยซื่อแต่ก็โยนบาปนั้นไปที่เจ้าปีศาจร้าย... มีเสียงกุกกักดังขึ้นในห้อง

"วานพี่ท่านกลับไปก่อนเถิด เพลานี้นรกหาว่างไม่ !" นางเนื้อสาวบอกออกมาด้วยเสียงกระเส่า... มีเสียงเคลื่อนไหวอยู่ในห้องน้อย

" เป็นเพราะเหตุอันใดเล่า ? "

"มีปีศาจอีกตนหนึ่งเข้าสิงอยู่ในนรกขุมนี้เสียแล้ว พี่ท่านจงกลับไปเสียเถิด" นางเนื้อสาววอน พร้อมกับส่งเสียงคราง แลมีเสียงกุกกักดังตามมา

พยัคฆาหนุ่มผู้ไม่เดียงสาให้มีสงกายิ่งนัก ! กายของเขาร้อนรุ่มดังไฟเผาแลแข็งปานประหนึ่งหินผาด้วยถูกสาปสะกดจากมนต์แห่งเมถุน

...พระพายยามดึกพัดมาบางเบาผ่านห้องน้อย พากลิ่นน้ำมันมนตร์เจือน้ำดอกไม้เทศโชยมา

พลันเจ้าศิษย์หนุ่มก็กระจ่างในเหตุปัจจัยทั้งหลายทั้งปวง แลสิ้นแล้วซึ่งสงกา เขาประนมมือขึ้นน้อมคารวะ กายาที่ร้อนดังไฟกลับเย็นเยียบลง ระทดระทวยผันผายสู่กุฎีแห่งตน ใจที่เต้นดังแผ่นดินไหวสงบนิ่งราวกับว่ามันได้หยุดเสียแล้ว

ในหิมวาสยามนั้น ราชสีห์โผนขย้ำกวางผาในถ้ำน้อยเสียงอึงคะนึง... นาคาใหญ่อุตลุดเข้าตระหวัดรัดมฤคี... คูปรีเล็มหญ้าระบัดอยู่ชายไพร... คนธรรพ์กระชั้นหอบชะเง้อเก็บมักกะลีผลแรกแย้มไปเชยชม... กินนรปลงปีกแลหางโผลงอโนดาตในยามดึกสระสนานสำราญกาย มิอาจทนรออาทิตย์อุทัยได้... การเวกสาวละเมอแผ่วรับเสียงเพรียกวอนของนกผู้จากยอดเมฆา

แล้วเสียงทั้งหลายแห่งรัตติกาลก็ค่อยเงียบลงอีกครั้ง เงียบเสียจนได้ยินเสียงตฤณชาติกำลังงอกขึ้นมาจากพื้นพสุธาเพื่อรับความเย็นฉ่ำของน้ำค้างกลางหาว ... O
(เรื่องเล่าจากวงสุราโดยผู้แต่งนิรนาม - เก็บมาเล่าใหม่โดย ชาร ทิคัมพร)

เมื่อวันที่ : 18 ก.พ. 2549, 08.55 น.
โอ.. อุมาเทวีทรงโปรด อึ๋ย... คลาสิกยิ่งแล้ว ข้าน้อยขอคารวะ