![]() |
![]() |
Silverfur![]() |
...ตัวของเราเป็นใครกันแน่ เฝ้าเปลี่ยนแปรชีวิตทุกวันไป ตามแต่เขาปั้นให้ บทบาทวาดไว้ สวมใส่ให้เดิน...
ตัวของเราเป็นใครกันแน่ เฝ้าเปลี่ยนแปรชีวิตทุกวันไป ตามแต่เขาปั้นให้ บทบาทวาดไว้ สวมใส่ให้เดินนั่นสินะ ชีวิตไม่ใช่ของเราหรอก ตั้งแต่เกิดมาก็ถูกกำหนดไว้แล้ว ให้เป็นลูกคนโตบ้าง เป็นเสาหลักของบ้านบ้าง ต้องเรียนดี ทำตัวดี เป็นคนดี
ดีหมดทุกอย่าง ผมเกิดมาเป็นเทวดาหรืออย่างไรกัน ไม่อาจทำผิดอะไรได้เลยหรือ ตอนที่น้องชายของผมสอบได้คะแนนไม่ดีพ่อแม่บอกกับผมว่าน้องไม่ฉลาดเหมือนพี่ แต่ตอนที่ผมเกรดตกกลับบอกว่าไม่ขยัน ผมดูหนังสือหนักแทบตายนะ แต่วิชานั้นมันยากมากจนผมเองก็ทำไม่ได้เท่านั้นแหละ
ผมมองผ่านลูกกรงที่กั้นผมออกจากอิสรภาพข้างนอก ต้นไม้สูงใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่กลางเรือนจำราวกับจะไขว่คว้าหาดวงอาทิตย์ มันมีอายุกี่ร้อยกี่พันปีกันนะ ลำต้นของมันสูงใหญ่เสียจนคนนับร้อยก็โอบไม่รอบ ผู้คุมบอกกับผมว่านั่นคือต้นไม้แห่งตำนานที่มีมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์แล้ว แม้กระทั่งศิลาจารึกหลายหลักยังบันทึกเรื่องของต้นไม้ต้นนี้
แต่มันก็ไม่สำคัญกับผมเท่าไหร่หรอก ถึงอย่างไรต้นไม้ก็คือต้นไม้ จะมาเข้าใจความรู้สึกของผมได้อย่างไร
เหตุการณ์ในวันนั้นยังแจ่มชัดในสมองของผม เหมือนกับมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน ผมกำลังทานข้าวเย็นกับครอบครัว มั้งนะ ผมไม่แน่ใจมากว่านั่นเรียกว่าครอบครัวหรือเปล่า เพราะดูเหมือนมีแต่พ่อ แม่ และน้องชายผมเท่านั้น ผมมองจานข้าวด้วยความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจว่าทำไมต้องเกิดมาในบ้านนี้ด้วย ทำไมไม่หายๆไปซะจะได้ไม่ต้องทำให้พ่อแม่รำคาญอีก พวกเขาจะได้ไม่ต้องมาห่วงผม ห่วงน้องผมตามสบายเลย ไม่รู้สินะ... ตั้งแต่จำความได้ผมก็รู้สึกแบบนั้นแล้ว
ความคิดของผมหยุดชะงักด้วยเสียงพังประตูเข้ามา ตำรวจในเครื่องแบบยื่นหมายค้นแล้วสั่งให้ตำรวจคนอื่นค้นบ้านทันที พ่อหน้าตาซีดเผือดขณะอ่านหมายค้น ดูเหมือนแม่และน้องก็ทำหน้าเหมือนหวาดกลัวความผิดเหมือนกัน เกิดอะไรขึ้นกันแน่ มีความลับกันอีกแล้วหรือ ทำไมผมไม่รู้เรื่องด้วยเลย แต่ก็เป็นเรื่องปกติของบ้านนี้นี่นา ใช่แล้วแหละ ผมเป็นใครก็ไม่รู้ที่มาอยู่บ้านที่มีพ่อ แม่ และน้องของผม
พ่อเดินเข้ามาหาผมด้วยท่าทางแปลกๆ หรือว่าผมแปลกเองก็ไม่รู้ที่มองเขาว่าทำตัวแบบนั้น พ่อทำหน้าเคร่งขรึม ฝีเท้าแต่ละก้าวที่ก้าวเข้ามาหาผมก็หนักคล้ายกับมีความในใจหนักอึ้งซ่อนอยู่ ผมประหลาดใจเหลือเกินที่มีตำรวจมาค้นบ้าน ผมไม่เคยกินเหล้า สูบบุหรี่ เสพยา ลักขโมย หรือฉ้อโกงอะไรทั้งนั้น แต่อยู่ๆก็มีตำรวจมาค้นบ้าน ในที่สุดผมก็หายสงสัยเมื่อพ่อเข้ามากระซิบที่หูผม
"น้องของลูกขโมยคอมพิวเตอร์ของสำนักนายกรัฐมนตรีมา น้องเห็นมีคนวางไว้ก็เลยหยิบกลับบ้านมา ลูกจำได้มั้ยว่าน้องชอบขอซื้อคอมพิวเตอร์บ่อยๆ แต่ก็อย่างที่รู้แหละลูก ว่าช่วงนี้บริษัทของพ่อกำไรไม่ค่อยดี โบนัสก็ไม่ได้ แถมเรายังเป็นหนี้บ้านท่วมหัวไม่รู้จะถูกยึดวันไหน พ่อเองก็เห็นใจน้องนะ ขอร้องล่ะลูก ให้ตำรวจจับลูกแทนน้องไปนะ" ผมโกรธแทบคลั่ง ไม่น่าเชื่อว่ามีเรื่องบ้าๆแบบนี้ด้วย นี่หรือเมืองพุทธ กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นต้องชดใช้ไม่ใช่หรืออย่างไร ทำไมกรรมที่น้องก่อต้องให้พี่ชดใช้ให้ด้วย คำพูดเรียบๆของพ่อไม่มีแววสำนึกผิดในสิ่งที่ตัวเองทำลงไปแม้แต่น้อย
ผมกวาดตาไปมองครอบครัวของผม แม่เอามือซบหน้าร้องไห้อย่างน่าสงสารเหมือนอย่างเคย แม่มักจะเป็นแบบนี้เสมอ แม่เป็นผู้หญิงอ่อนแอ ตัดสินใจเองไม่ค่อยได้ พอมีเรื่องก็มักจะร่ำไห้อยู่เสมอ ผมไม่อยากเห็นหน้าของแม่แบบนั้นเลย มันทำให้ผมรู้สึกเศร้า รู้สึกเสียใจที่ทำไมตัวเองถึงดีอย่างที่แม่หวังไม่ได้ ส่วนน้องชายต้นเหตุของผมก้มหน้านิ่งเหมือนกับสำนึกผิด ให้ตายเถอะ นี่สินะกฎของบ้าน "The brother can do no wrong" เหมือนกษัตริย์เลยสินะ พอทำผิดพ่อแม่ก็ปกป้อง
แล้วผมล่ะ ผมเป็นอะไรกัน
"ขอร้องล่ะลูก น้องเขายังเด็กนะ ลูกเป็นพี่คนโต ปกป้องน้องเถอะนะ" แม่เว้นคำพูดบางอย่างไว้ แต่ผมก็เข้าใจมันอยู่ดี พี่ต้องเสียสละให้น้องสินะ ครอบครัวนี้ดีจริงๆที่ให้พี่ชายรับโทษแทนน้องชายสุดที่รัก แถมยังบอกด้วยว่าพี่ต้องเสียสละให้น้อง
"ลูกชายคนโต!! ลูกชายคนโต!!" ผมคิดว่าผมบ้าไปแล้วที่หัวเราะออกไปแบบนั้น ผมไม่แน่ใจเรื่องว่าทำไมผมถึงหัวเราะ โศกเศร้า คับแค้น เสียใจ เดือดดาล ผิดหวัง ความรู้สึกทั้งหลายปนเปกันยุ่งเหยิงในใจผม ผมทรมานเสียจนอยากจะควักหัวใจของตัวเองทิ้งจะได้ลืมความเจ็บปวดนี้ไปเสีย
ตำรวจเดินลงมาจากบันไดพร้อมกับคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คที่เป็นของกลาง นี่สินะที่ทำให้ผมต้องเป็นโจร ไม่สิ ความโลภของน้องชายผมมากกว่า พวกเขามองผมแบบพวกเสียสติ ผมคงจะเป็นแบบนั้นแหละตอนนั้น
"คุณเป็นคนขโมยสิ่งนี้มาใช่มั้ยครับ" เขาพยายามถามผมให้ปกติที่สุด แต่ผมก็รู้ว่าเขามองผมเป็นคนบ้า ผมจะปฏิเสธดีไหมเนี่ย ถ้าผมทำผมก็พ้นมลทิน ส่วนเจ้าน้องชายก็ชดใช้กรรมในคุก
ผมหันกลับมามองหน้าแม่ของผมก่อนที่จะพูดอะไรออกไป แววตาของแม่เต็มไปด้วยความหวังให้น้องชายพ้นผิด
"ครับ ผมขโมยเอง" ไม่รู้ว่าผมเป็นบ้าหรืออะไรที่ตอบไปแบบนั้น เพียงแต่ผมไม่อยากเห็นแม่ทำหน้าเศร้าแบบนั้น แม่ผมดีใจมาก เธอยิ้มน้อยๆออกมาแล้วสวมกอดกับน้องชาย เธอหลั่งน้ำตาแห่งความยินดีอออกมา แต่รอยยิ้มของแม่ก็ถูกน้องผมบังไว้ ในสายตาของตำรวจ นั่นคงเป็นน้ำตาแห่งความเสียใจที่ลูกชายตัวเองเป็นขโมยอย่างที่ควรจะเป็นสินะ
"ผมขอจับคุณข้อหาลักทรัพย์" ตำรวจใส่กุญแจมือให้ผมอย่างรวดเร็ว พวกเขาคงไม่อยากเสียเวลากับคนบ้าอย่างผมนานมากนัก ผมอยากจะร้องไห้ให้กับชะตาของผม แต่น้ำตากลับไม่ไหลออกมาซักหยด มีแต่ความปวดร้าวในหัวใจเท่านั้นที่เป็นความจริง น้ำตาเองคงจะรู้ความในใจของผมจึงไม่ยอมหลั่งออกมา นั่นสินะ ถึงน้ำตาไหลออกไปก็ไม่มีใครสงสารหรือเห็นใจให้ พ่อแม่ของผมสงสารแต่น้องชายผมเท่านั้นแหละ
ผมถูกพาขึ้นรถตำรวจ ระหว่างทางที่พวกเขาพาผมไปโรงพัก ผมกลับเหม่อมองกุญแจมือที่จองจำอิสรภาพตน ไม่มีความจำเป็นต้องแก้ตัวอะไรทั้งนั้นหรอก ผมไม่เหลืออะไรอีกแล้วนี่นา ถึงแม้ยังมีชีวิตอยู่ แต่ชื่อเสียง สถานภาพของผมคงไม่อยู่อีกแล้ว แต่นั่นคงเทียบไม่ได้กับการที่สูญเสีย "ครอบครัว" ไปหรอก ถ้าเลือกได้ผมอยากให้สูญเสียครอบครัวแบบพ่อแม่เสียชีวิตยังจะดีกว่า "ไม่มีพ่อแม่"แบบนี้ คนที่ผมเคารพรักมาตลอด แม้ว่าเขาจะเลวร้ายกับผมแค่ไหนก็ตาม ผมยังเชื่อว่าเขาเป็นพ่อแม่ผมอยู่จนกระทั่งวันนี้
ความพยายามที่แล้วมาของผมสูญเปล่า ผมไม่ใช่ลูกรักของพ่อแม่เลย นั่นสินะ ผมคงแสดงไม่เก่งจริงๆ ไม่มีวิชาหนังหน้าเหล็กคลุมหน้าทองเรียกร้องความสงสารได้เหมือนกับน้องชายผม ผมก็แค่พยายามทำตัวดีเพื่อให้พ่อแม่รักเท่านั้น จะไปสู้พ่อนักแสดงตุ๊กตาทองที่ทำตัวเลวร้ายเพราะถูกบังคับแบบน้องชายผมได้อย่างไรเล่า
ละครโศกย่อมมีคนดูมากกว่าละครสุขอยู่แล้ว แม้ว่าละครสุขจะดีกว่าก็ตาม
คดีปิดลงอย่างง่ายดายเพราะผู้ต้องหารับสารภาพ แต่โทษที่ผมได้รับคือจำคุกสิบปี เนื่องจากของที่น้องชายตัวดีขโมยไปคือฐานข้อมูลรัฐบาลที่บังเอิญมีคนลืมทิ้งไว้ที่ร้านกาแฟ ข้อหาที่ผมได้รับคือขโมยความลับทางราชการเกี่ยวกับความมั่นคง ป่านนี้เจ้าน้องชายคงขายข้อมูลในเครื่องนั้นให้ประเทศอื่นไปแล้ว เท่านี้คงปลดหนี้พ่อแม่ได้แล้ว แต่ถึงอย่างไรก็ไม่สำคัญกับผมมากนัก ก็ในเมื่อผมต้องอยู่ในคุกห้าปี แต่ลดหย่อนโทษให้กึ่งหนึ่งเนื่องจากผู้ต้องหารับสารภาพ และไม่เคยมีความผิดมาก่อน
แล้วผมก็ถูกยัดเข้าคุกแห่งนี้ ผมคงทำตัวเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่แล้วสินะ
ผมอิจฉาต้นไม้ที่อยู่ข้างนอกเสียเหลือเกิน มันช่างดูยิ่งใหญ่จนเกินเอื้อม ยอดของมันหายเข้าไปในเมฆ จริงๆนะ มันหายเข้าไปในก้อนเมฆจริงๆ ถ้าทำได้ผมก็อยากยิ่งใหญ่แบบต้นไม้นั้น มีพลังที่สามารถจะไขว่คว้าหาสิ่งที่ต้องการเหมือนต้นไม้ที่ยืดตัวขึ้นฟ้านั้น
ผมทำได้แค่จ้องมองเท่านั้นเอง
ผมล้มตัวลงนอนบนเตียงของห้องขัง ความมืดของห้องมันทำให้ผมรู้สึกอึดอัดมาก ยิ่งเห็นแสงอาทิตย์ที่ลอดผ่านหน้าต่างคล้ายกับเป็นทางสู่อิสรภาพที่เป็นทางตัน โทษของการขโมยความลับจากสำนักนายกรัฐมนตรีคือการจำคุกที่นี่อีกห้าปีเท่านั้นเอง น้อยเหลือเกิน ก็แค่ทำให้เด็กทารกกลายเป็นผู้ใหญ่ได้ ไม่นับว่านานเท่าใดเลย
ผมหัวเราะแห้งแล้งไร้รสชาติ ชีวิตนี้คงไม่มีที่อยู่ให้ผมอีกแล้ว ผมอยากจะร้องไห้ระบายความคับแค้นเสียเหลือเกิน แต่ผมกลับทำได้เพียงสะอื้นเท่านั้น แม้อยากจะให้น้ำตาหลั่งไหลออกมาเท่าใดก็ไม่อาจหลั่งไหลออกมา
ผมสะอื้นเป็นเวลานานเท่าใดก็ไม่รู้ แต่รู้สึกคล้ายผ่านไปชั่วครู่ แต่ก็คล้ายผ่านไปชั่วนิรันดร์ จิตใจของผมสับสนล่องลอยไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหนทั้งนั้น รู้สึกตัวอีกที ผมกลับนอนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นแล้ว ผมออกจากคุกมาได้อย่างผมเองก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ รอบไม่มีสิ่งก่อสร้างใดๆทั้งนั้น มีเพียงต้นไม้ใหญ่ที่ล้อมรอบด้วยป่าเท่านั้นเอง
เสียงใบไม้ไหวเสียดสีราวกับดนตรีกลางพงไพร ฟังแล้วไพเราะยิ่งกว่าเครื่องดนตรีใดๆยิ่งนัก ผมหลับตาพริ้ม ฟังลมหายใจของผืนป่าสีเขียวแห่งนี้ อา นานเท่าไหร่แล้วนะที่ผมไม่ได้สัมผัสความอบอุ่นนี้ เหมือนได้กลับไปอยู่ในอ้อมกอดของแม่ ผมเองจำได้แค่ตอนเป็นเด็กเท่านั้นเองที่มีความรู้สึกแบบนั้น
"นี่สินะ ความสุขที่เราเฝ้าใฝ่หา ที่แท้ก็อยู่ที่นี่นี่เอง" ผมรำพึงกับตัวเองเบาๆ ปล่อยให้เสียงนั้นล่องลอยไปตามสายรม ผมเงยหน้าขึ้นมองต้นไม้ที่ผมพิงอยู่ กิ่งก้านสาขาของมันแผ่กว้างราวกับจะปกคลุมผืนป่าไว้ ธรรมชาติช่างยิ่งใหญ่เหลือเกิน ใหญ่เกินกว่าที่มนุษย์จะไขว่คว้าได้ แต่ผมก็สงสัยเหมือนกันว่าทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ ผมอยู่ในคุกไม่ใช่หรือ ถึงแม้จะมองเห็นต้นไม้เหมือนกัน แต่คุกกลับหายไปไหนแล้ว
พอผมนึกถึงคุก ความทรงจำในวันนี้ก็ตามมาหลอกหลอนผมอีกครั้ง ใบหน้าเรียบๆไร้แววสำนึกผิดของพ่อ แม่ที่ซบหน้าร่ำไห้ น้องชาย...นักแสดงตุ๊กตาทองต่างหาก ให้ตายเถอะ ผมอยากล้างแค้นเจ้าน้องบ้านั่นจริงๆ เพราะมันแท้ๆทำให้ผมต้องมาอยู่ในคุกแห่งนี้ ผมเคียดแค้น อยากทำลาย อยากระบาย กำปั้นของผมชกใส่ต้นไม้ตามสัญชาตญาณ
"เจ้าหนุ่ม ชีวิตของผู้คน เทียบกับฟ้าแล้วเป็นเพียงฝันตื่นหนึ่ง" ผมหูฝาดไปหรือเปล่าที่ได้ยินเสียงนั้น มันดังก้องมาจากไหนกันแน่ ผมมองไปรอบๆด้วยความสงสัย ไม่เห็นมีใครซักคน หรือว่ามีผี
"ใครน่ะ" ผมถามกลับแล้วสอดส่องสายตามองไปรอบๆเพื่อหาต้นเสียงเมื่อกี้นี้
"ข้าคือต้นไม้แห่งตำนานตามที่พวกเจ้าเรียก ข้ามีชีวิตอยู่มานานก่อนที่จะมีพวกสัตว์ใดๆเกิดขึ้นเสียอีก" เสียงนั้นก้องกังวานไปทั่วผืนป่า มีเรื่องบ้าๆแบบนี้ด้วยหรือนี่ ต้นไม้พูดได้ ผมไม่อยากเชื่อหูตัวเองเลย ผมเงยหน้ามองขึ้นไปเผื่อจะเห็นลำโพงหรือโทรโข่งบ้าง แต่ผมเห็นแต่เพียงใบไม้สีเขียวที่ถักทอเป็นร่างแหบดบังแสงอาทิตย์ไว้เท่านั้น
"ไม่ต้องเสียใจหรอกที่ครอบครัวของเจ้าทิ้งเจ้า ตัวเจ้ายังมีชีวิตอยู่ไม่ใช่หรืออย่างไร" ต้นไม้นั่นพูดอีกแล้ว
"แล้วอย่างไรล่ะ ถึงแม้จะยังมีชีวิตอยู่ แต่สิ่งที่ผมเคยเชื่อถือทั้งหมดไม่มีอีกแล้ว ทั้งพ่อแม่ ก็คิดแต่ให้ผมเป็นตัวตายตัวแทนของน้อง ส่วนเพื่อนที่โรงเรียนก็เอาแต่เห็นผมเป็นต้นฉบับลอกการบ้าน คนที่รักผมจริงๆน่ะ ไม่มีซักคนเดียว แล้วอย่างนั้นผมจะอยู่ไปเพื่ออะไรล่ะ" ผมระบายความในใจออกมา ผมทนไม่ไหวแล้วที่จะเก็บมันเอาไว้ ใช่แล้ว หากผมเก็บมันไว้อีกผมคงต้องบ้าตายแน่ๆ ใครจะคิดบ้างเล่าว่าจะมีเรื่องบ้าๆแบบนี้เกิดขึ้น
"กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว" ต้นไม้เริ่มเล่านิทาน แต่ขอโทษนะ ผมไม่อยากฟังนิทานตอนนี้หรอก คนทรมานจะเป็นจะตายที่ไหนจะต้องการฟังนิทานอีกเล่า
"นิทานมันเกี่ยวอะไรกับผมล่ะ ผมไม่อยากฟัง" ผมปฏิเสธต้นไม้นั่น ผมคงจะบ้ามากขึ้นอีกที่คุยกับต้นไม้ได้ แต่คงไม่สำคัญอะไรมากแล้ว
ถึงอย่างไรผมก็บ้าอยู่แล้ว จะบ้าให้มากขึ้นอีกก็คงไม่เป็นไร
"ครอบครัวชนบทแห่งหนึ่งมีพ่อแม่และลูกสาวทำนาอย่างสงบสุข แต่มีปีหนึ่งเกิดฝนแล้ง ครอบครัวที่แทบจะอดตายอยู่แล้วยามปกติกลับต้องเผชิญการกลั่นแกล้งจากฟ้า ผู้เป็นพ่อถึงกับซบหน้าร่ำไห้กับพระแม่ธรณี ขอให้พระนางปรานีให้ฝนตกลงมาด้วยเถิด" นิทานอะไรก็ไม่รู้น่าเบื่อ เคยเรียนเรื่องแบบนี้ตอนมัธยมปลายแล้วนี่นา เราคือลูกของพระแม่ธรณีน่ะ เรื่องของชาวนาที่เผชิญกับภัยแล้ง แต่สุดท้ายฝนก็ตกลงมา ก็แค่นิยายน้ำเน่าธรรมดา เรื่องแบบนี้มีแต่ในนิยายเท่านั้นแหละ
ผมหาวด้วยความเบื่อหน่าย ตั้งใจจะหลับเสียที นิทานน่าเบื่อแบบนี้ผมไม่เห็นอยากฟังเลย
"น่าเบื่อจะตาย" ผมส่งสัญญาณว่าผมเองก็เบื่อเหมือนกัน ผมเองก็มีเรื่องทุกข์มากพออยู่แล้ว จะหาเหาใส่หัวทำไมอีก
รู้สึกต้นไม้จะไม่ฟังผมเลย มันเริ่มเล่านิทานของมันต่อไป
"หลังจากหลายเดือนที่ฝนไม่ตกลงมาสักหยด ผืนดินที่เคยเป็นไร่นาเขียวขจีกลับกลายเป็นทุ่งร้าง แผ่นดินแตกระแหงเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของการไม่เคารพธรรมชาติ ในที่สุดข้าวกระสอบสุดท้ายของครอบครัวก็หมดลงพร้อมกับเงินเก็บ ชาวนาผู้พ่อจึงตัดสินใจขายลูกให้กับสถานบริการ" แล้วอย่างไรล่ะ พ่อแม่คือพระเจ้าอยู่แล้วนี่ ถ้าบอกให้ตายก็คงต้องตายน่ะแหละ
ก็ 'ความกตัญญูเป็นเครื่องหมายของคนดี' นี่ จะให้ปฏิเสธอย่างไรล่ะ
"พอแล้วๆ แบบแผนนิยายน้ำเน่าชัดๆ" ผมตัดบทเพราะรำคาญสุดๆ ให้ตายเถอะ ผมชักอยากไปให้พ้นๆแล้วนะ
"สมาธิสั้นจังนะ" รู้สึกเหมือนต้นไม้จะตำหนิผมนะ ช่างเถอะ ผมไม่สนใจหรอก ผมอยากหลับสงบๆมากกว่า ไอ้เรื่องราวทั้งหลายในโลกน่ะ ปล่อยให้ผ่านไปเหมือนสายลมเถอะ ผมเหนื่อยมามากพอแล้ว ทดแทนบุญคุณก็คงมากพอแล้วด้วย ก็ในเมื่อน้องชายผมรอดพ้นข้อกล่าวหาแล้ว พ่อแม่คงปิดบ้านฉลองกันเลยล่ะมั้ง ความสุขของน้องชายผมก็คือความสุขของพ่อแม่อยู่แล้วนี่ จะมีผมหรือไม่ก็ไม่สำคัญอะไรนักหรอก
"แม่ของผู้หญิงคนนั้นคัดค้าน" ต้นไม้เล่าต่อ ผมรู้สึกว่าต้นไม้ต้นนี้หน้าด้านดีพิลึก "นางอยากให้ลูกสาวทำงานสุจริตมากกว่า แต่ตัวลูกกลับคิดว่าเพื่อทดแทนบุญคุณพ่อแม่ที่เลี้ยงดูตนมาจนเติบใหญ่ แค่ที่นาผืนน้อยของตนก็ไม่มีค่าอย่างไรเลย ลูกสาวจึงไปเป็นโสเภณีในเมือง อาศัยความงดงามและที่นาผืนน้อยของเธอเป็นเงินทองส่งให้พ่อแม่สุขสบาย ส่วนเธอกลับอยู่ในห้องเช่าเล็กๆ เพียงคนเดียวเท่านั้น สาวบ้านนาอย่างเธอโดดเดี่ยวเดียวดายไม่มีแม้แต่คนรู้จักสักคน วันๆก็เจอแต่สัตว์ป่าหื่นกระหายที่เห็นเธอเป็นเครื่องระบายความใคร่เท่านั้น เธอแม้จะทุกข์ใจเพียงไหน แต่เมื่อเธอนึกตอนน้ำตาของแม่ยามสั่งลาเธอเมื่อใด เธอกลับกัดฟันทำงานนี้ต่อไป เพื่อความสบายใจของพ่อแม่ เธอทำได้ทุกอย่าง" ผมว่าต้นไม้นี่น่าจะไปเป็นนักเทศน์มาก ช่างยกตัวอย่างได้ตรงกับผมดีเหลือเกิน ผมนึกถึงน้ำตาของแม่ที่หลั่งไหลในวันนั้น ผมกลับรู้สึกเหมือนลูกสาวในเรื่องที่ต้นไม้เล่า ภาพพ่อแม่ผมอยู่กับน้องชายอย่างมีความสุขมันมากพอที่จะทำให้ผมยอมติดอยู่ในคุกทีเหมือนนรกนี่ได้ตลอดไป
"แต่ความจริงนั้นไม่เหมือนกับที่เธอฝันไว้ พ่อแม่ของเธอได้เงินทองสุขสบายก็จริง แต่พ่อของเธอกลับเปลี่ยนไป พ่อผู้ซื่อสัตย์สุจริตกลับติดเหล้าเมาการพนัน แต่ละวันเล่นไพ่ไม่มีเว้น เงินที่พ่อใช้วางพนันอย่างสนุกสนานนั้นกลับเป็นหยาดเหงื่อ หยดเลือดและน้ำตาของลูกสาว ลูกสาวที่ยอมมอบร่างกายให้ผู้อื่นเพื่อให้พ่อสุขสบายคนนั้น พ่อของเธอรอคอยต้นเดือนอย่างจดจ่อ เมื่อเขาได้เงินมาแล้วก็ใช้เป็นเบี้ยหมดภายในไม่กี่วัน แม่ของเธอกลับมีชีวิตยากแค้นยิ่งกว่าเก่า ทุกวันเธอเก็บผักขายทั้งน้ำตา ลูกสาวเธอส่งเงินมามากมายแท้ๆ กลับไม่ได้ทำให้พวกเราสุขสบายขึ้นเลย เธอกลับคิดว่าถ้าลูกสาวเธอมีอาชีพที่ได้เงินน้อยกว่านี้ ส่งเงินมาให้น้อยกว่านี้ พ่อของเธออาจจะใช้เงินน้อยกว่านี้ก็ได้ แต่ตอนนี้ทุกอย่างสายเกินไปแล้ว" นี่มันเรื่องการใช้เงินไม่ใช่หรือไงกันนะ เงินทองไม่ได้ทำให้เรารวยขึ้นมาได้หรอกน่า ตัวเราเองต่างหากที่ทำให้เรารวยหรือจนได้
"โสเภณีแม้จะทำเงินได้มากมาย แต่ก็มีเวลาทำเงินเพียงช่วงสั้นๆเท่านั้น เมื่อเวลาผ่านไป สังขารของเธอก็เสื่อมลงพร้อมๆกับค่าตัวเธอที่ลดลงเรื่อยๆ เธอล้มป่วยด้วยกามโรคที่ติดมาจากผู้ใช้บริการเธอ สุดท้ายก็เสียชีวิต ก่อนตายเธอยังกำซองจดหมายใส่เงินที่เตรียมมอบให้พ่อแม่ของเธอไว้แน่น ส่วนพ่อของเธอกำลังหงุดหงิดที่เงินที่ลูกสาวส่งมาน้อยลงเรื่อยๆ ก็ไปทะเลาะกับเจ้ามือ สุดท้ายเขาก็ถูกเจ้าหนี้ฆ่าทิ้งเนื่องจากบุญที่ลูกสาวส่งมาให้หมดลงพร้อมกับชีวิตของเธอ" ในที่สุดต้นไม้บ้านั่นก็เล่าจบลงเสียที
"หมดเรื่องที่จะสอนแค่นี้ใช่มั้ย" ผมล้มตัวลงนอนกับพื้น ในที่สุดผมก็คงจะได้หลับสบายเสียที
"เจ้าได้อะไรจากเรื่องนี้บ้างล่ะ" พูดจาอวดดีเป็นบ้า คิดว่าตัวเองเป็นอาจารย์หรืออย่างไร ตอนนี้ผมไม่ฟังใครทั้งนั้นแล้ว
"ได้ฟังนิทานน่าหลับหนึ่งเรื่อง แค่นี้แหละ" ผมกวนโมโหมันเล่น ความจริงผมเองก็ได้คิดเหมือนกันว่าผมมันบ้าหรือเปล่าที่ยอมพ่อแม่ถึงขนาดนั้น ทั้งที่ชีวิตมันก็เป็นของผมแท้ๆ หรือว่าผมเกิดเห็นแก่ตัวขึ้นมากันแน่
"หัวแข็งจังนะ เจ้านี่" ไม่เห็นมันอนาทรร้อนใจสักนิด แค่เล่านิทานเรื่องสองเรื่องให้ฟังมันไม่ทำให้ผมดีขึ้นมาหรอกนะ
"ในสมัยอยุธยามีกษัตริย์องค์หนึ่ง พระองค์ทรงมีพระมเหสีสิริโฉมงดงามอย่างยิ่ง" ยังไม่จบอีกเรอะ จะให้ฟังเป็นพันหนึ่งราตรีไปเลยใช่มั้ย ผมไม่คิดจะพูดกับต้นไม้นี่อีกแล้ว พูดไปก็ป่วยการเปล่า เผด็จการอำนาจนิยมชัดๆ หรือว่ามันเหงาปากเพราะไม่รู้จะพูดให้ใครฟังก็ไม่ทราบ "พระมเหสีองค์นั้นโปรดปรานการชมสระบัวอย่างมาก พระนางจึงเสด็จประพาสทางชลมารคพร้อมขบวนเสด็จไปยังบึงดอกบัว ระหว่างทางเกิดวังน้ำวนกลางแม่น้ำ เรือต้นนั้นถูกดูดเข้าไปในวังน้ำวน" เรื่องพระนางเรือล่มมันเกิดในสมัยรัชกาลที่ห้าไม่ใช่หรือ ทำไมต้นไม้นี่มันมั่วได้ดีอย่างนี้
"ผู้คนในเรือต้นต่างสละเรือกันอย่างรีบร้อน แต่เสียดายที่ผู้คนบางคนรู้สึกตัวช้าเกินไปจึงว่ายออกไปไม่ได้ พระมเหสีเองก็ทรงสละเรือไม่ทันเหมือนกัน พระนางทรงถูกวังน้ำวนดูดเข้าไป ผู้คนที่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำคิดจะไปช่วยพระนาง แต่กระแสน้ำแรงมาก นอกจากนี้ยังมีกฏมณเฑียรบาลที่ห้ามไม่ให้ผู้อื่นนอกจากพระมหากษัตริย์เท่านั้นที่สามารถแตะต้องพระมเหสี หากฝ่าฝืนมีโทษประหารเจ็ดชั่วโคตร" เข้าล็อกเป๊ะ พระนางเรือล่มชัดๆ อีกเดี๋ยวพระมเหสีนั่นคงไปที่ชอบๆ แล้วกษัตริย์ก็อนุญาตให้ต้องตัวพระมเหสีในยามคับขันน่ะแหละ ผมเบื่อที่จะฟังแล้วสิ
"ทหารองครักษ์คนหนึ่งหลังจากได้ยินเสียงขอความช่วยเหลือของพระมเหสี ก็รีบว่ายน้ำเข้าไปช่วยพระนางทันที หลังจากที่ตัวเขาเพิ่งขึ้นมาจากน้ำ" ไอ้ทหารนี่มันบ้าไปแล้วหรืออย่างไร ทำไมถึงทำเรื่องแบบนั้นได้ ไม่กลัวพ่อแม่ตัวเองตายไปด้วยเพราะการกระทำชั่ววูบของตัวเองหรืออย่างไรกัน ประหารเจ็ดชั่วโคตรนะ หมดสิ้นทั้งตระกูลแน่ๆ
"ในที่สุดเขาก็ลากพระวรกายของพระมเหสีขึ้นจากน้ำ ก่อนจะกดพระอุระของนางให้พระนางหายใจได้อีกครั้ง พระนางเมื่อทรงทราบเรื่องทั้งหมดหลังจากฟื้นก็ตรัสขอบใจนายทหารคนนั้นก่อนจะตรัสถามว่าทำไมถึงช่วยพระนาง
'เจ้าไม่หวาดกลัวกฎมณเฑียรบาลหรืออย่างไร ทำไมถึงช่วยตัวเราไว้' พระนางสงสัยอย่างยิ่ง สมัยนั้นกฎมณเฑียรบาลมีอำนาจเหนือองค์พระมหากษัตริย์เสียอีก
'หน้าที่ของกระหม่อมคือปกป้องพระมเหสี แม้ชีวิตนี้จะต้องตายก็หาเป็นไรไม่' คำตอบของนายทหารทำให้คนอื่นเบือนหน้าหนีด้วยความละอายใจ
'แล้วชีวิตของครอบครัวท่านเล่า ท่านไม่เสียดายชีวิตของพวกเขาหรืออย่างไร' พระมเหสีทรงซักต่อไป พระนางเพิ่งพบคนอย่างนายทหารผู้นี้เป็นครั้งแรก
'นี่เป็นเรื่องที่กระหม่อมคิดจะขอร้อง ขอให้พระนางช่วยทัดทานไม่ให้ประหารครอบครัวของกระหม่อมด้วย ถึงอย่างไรกระหม่อมคงต้องถูกประหารเพื่อให้กฎมณเฑียรบาลศักดิ์สิทธิ์ต่อไป' พระมเหสีรับฟังทั้งน้ำตา พระนางไม่เคยคิดเลยว่าตนเองจะทำให้ทหารผู้จงรักภักดีต้องตายเช่นนี้
ในที่สุดคนนำสารของพระมหากษัตริย์ก็มาถึงพร้อมกับราชโองการให้ประหารเพียงนายทหารผู้นั้นตามกฎมณเฑียรบาลเท่านั้น นามของนายทหารผู้นั้นก็ไม่ปรากฏในประวัติศาสตร์อีกหลังจากที่กรุงศรีอยุธยาโดนเผาตอนเสียเมือง เอกสารของเรื่องนี้ก็สาปสูญไป" ในที่สุดเรื่องก็จบเสียที แต่ทำไมต้นไม้นี่ถึงรู้เรื่องมากนักนะ
"ทำไมถึงรู้เรื่องราวมากมายอย่างนี้" ผมถาม ตอนนี้ผมคิดว่าผมบ้าใช้ได้เลย พูดกับต้นไม้แถมยังซาบซึ้งไปกับเรื่องที่เล่าอีก
"ข้าอยู่มาตั้งแต่สมัยไหนแล้วเล่า" ต้นไม้ย้อนคำถามผม รู้สึกผู้คุมคุกจะบอกผมว่าต้นไม้นี่อยู่มาตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์แล้วนี่นา
"คนในยุทธจักร ไม่เป็นตัวของตัวเอง คิดถอนตัวเร้นกายกลับไม่ง่ายดาย" ผมไม่ใช่เหล็งฮู้ชงนะถึงต้องยกคำพูดในกระบี่เย้ยยุทธจักรมาอ้าง "ความกตัญญูเป็นเรื่องที่ดีก็จริง แต่เจ้าควรจะนึกถึงตัวเองบ้าง อย่าปล่อยให้ความกตัญญูทำลายชีวิตของตัวเอง หนทางทดแทนพระคุณพ่อแม่มีหลายวิธี ใช้สมองตรึกตรองหาหนทางที่เข้ากันได้ทั้งพ่อแม่และเรา นั่นแหละ คือความกตัญญูที่แท้จริง" จริงสินะ ผมคงตีความหมายของคำว่า "กตัญญู" เป็น "เชื่อฟังเหมือนทาส" ไปเสียได้
"ทำตามใจของเจ้า ทำในสิ่งที่เจ้าไม่เสียใจภายหลัง นั่นแหละคือหนทางที่ควรจะเป็น" ที่ต้นไม้ต้องการจะสอนคือสิ่งนี้เอง ผู้ที่วาดบทบาทของชีวิตก็คือตัวผมเอง ผมเห็นกงจักรเป็นดอกบัวตั้งนาน น้ำตาของผมไหลออกมาอย่างไม่น่าเชื่อ นี่แหละสิ่งที่ผมค้นหา ความอบอุ่นที่แท้จริง
"ขอบคุณ ต้นไม้แห่งตำนาน" ผมกล่าวเสียงสั่นครือ
"หลับให้สบายเสียเถิด" เสียงใบไม้เสียดสีคล้ายเสียงเพลงขับกล่อมให้ผมหลับฝันดี
ผมลืมตาตื่นขึ้นในห้องขังมืดๆห้องนั้น แต่ตอนนี้ผมกลับมองเห็นทุกอย่างสว่างไสวราวกับเป็นโลกใบใหม่ ใจของผมกระจ่างแล้ว ผมไม่ลังเลกับทางที่ตัวเองเดินอีกต่อไป ถึงแม้ผมจะอยู่ที่นี่อีกนานแค่ไหนผมก็จะไม่ผิดหวัง จะไม่ท้อถอยอีก ผมลุกขึ้นไปมองต้นไม้แห่งตำนาน มันช่างยิ่งใหญ่เหลือเกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจิตใจของมัน
ผู้คุมเปิดประตูคุกของผม ผมประหลาดใจว่าเกิดอะไรขึ้น
"ออกไป แกพ้นผิดแล้ว" เขาพูดอย่างรำคาญ ผมตะโกนด้วยความดีใจที่ในที่สุดผมก็ได้ออกไปจากที่นี่ ไม่น่าเชื่อว่าชีวิตใหม่ของผมจะเริ่มต้นเร็วขนาดนี้ แต่ผมก็นึกขึ้นได้ว่าทำไมต้องปล่อยตัวผมด้วย
"ทำไมต้องปล่อยผมด้วยครับ" ผมถามเขาด้วยคำถามที่แปลกสุดๆ คงไม่มีนักโทษคนไหนต้องมาสงสัยหรอกว่าตัวเองถูกปล่อยได้อย่างไร แค่ได้เป็นอิสระภาพก็น่าจะพอแล้วนี่นา
ผู้คุมเองก็คงจะสงสัยเหมือนกัน แต่เขาก็ตอบคำถามผม
"เราเจอคนร้ายตัวจริงแล้ว แกออกไปได้" เขานำทางผมออกไปนอกคุก นักโทษคงอื่นๆคงคิดว่าผมบ้าเมื่อเห็นสีหน้ายินดีของผม แต่ผมก็ดีใจจนข่มอารมณ์ตัวเองไม่อยู่จริงๆ
ผู้คุมอีกคนคุมตัวนักโทษคนหนึ่งสวนทางผม นักโทษคนนั้นก้มหน้าก้มตาเหมือนกับจะปลงตกกับชะตากรรมของตัวเอง ผมยิ้มเยาะนิดๆเมื่อเห็นว่านั่นเป็นน้องชายของผมเอง
สายฝน แม้จะตกหนักราวฟ้ารั่วอย่างไร สุดท้ายแสงตะวันก็ยังสาดส่องลงมา
ต่อจากนี้ไป บทบาทของผม ผมจะเล่นเองแล้ว
เมื่อวันที่ : 04 ต.ค. 2548, 18.32 น.
มานั่งฟังนิทานของต้นไม้ค่ะ