......ผมเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับตลอดมา ไม่เคยแพร่งพรายให้ใครรู้เลย แม้ว่าพ่อผมจะตายจากไปนานแล้วก็ตาม.....

นานมากแล้วที่ผมเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ ระหว่างผมกับพ่อและกาลเวลา น่าจะถึงคราวที่ต้องผ่องถ่ายเรื่องราวให้คนอื่นรู้กันบ้าง มิฉะนั้นใครเลยจะรู้ว่าบนถนนสุขุมวิทของกรุงเทพมหานครในวันนี้ เคยมีเรื่องที่ผมจำต้องเก็บเอาไว้เป็นความลับคนเดียวมานานแสนนาน

ณ วันนี้ถนนที่มีตึกสูงเรียงรายสองข้าง และบนท้องถนนเต็มไปด้วยรถยนต์ เหนือจากถนนขึ้นไปมีรถไฟลอยฟ้าวิ่งเสียงดังซู่อยู่เหนือหัว มันเป็นถนนสายธุรกิจแห่งหนึ่งของกรุงเทพ...

ถนนสายเดียวกันนี้นานมาแล้ว ผมจำได้ว่ามันเป็นถนนลาดยาง กว้างประมาณรถยนต์สองคันแล่นสวนกันได้เท่านั้น ไกลสุดของถนนด้านหนึ่งที่พ่อผมเคยพาไปเขาเรียกว่าราชประสงค์ และที่ไกลสุดอีกด้านหนึ่งที่ผมยังไม่เคยไปนั้น เขาเรียกกันว่าพระโขนง และเลยจากนั้นไปเขาว่าไปได้ถึงปากน้ำแต่เป็นถนนไม่ลาดยาง

ตอนนั้นถนนนี้ยังไม่ได้ชื่อถนนสุขุมวิทหรอก เรียกกันว่า ถนนกรุงเทพ--ปากน้ำ ด้านหนึ่งของถนนเป็นคลองยาวขนานไปจนถึงพระโขนง คลองนี้มีน้ำใสสะอาดอยู่ตลอดทั้งปี บ้านของผมก็อยู่ในซอยหนึ่งของถนนนี้แหละ !

ทุกเช้าเป็นหน้าที่ของพ่อที่จะเอาผมไปส่งโรงเรียน พ่อเป็นข้าราชการพ่อไม่รวยแต่ไม่จน พ่อไม่มีรถยนต์แต่พ่อมีรถถีบอยู่คันหนึ่ง พ่อแต่งเครื่องแบบสีกากีมีบั้งสีเหลืองซีด ๆ อยู่บนบ่า...

โรงเรียนของผมอยู่ไม่ไกลจากบ้านสักเท่าใด ดังนั้นเมื่อโรงเรียนเลิกตอนบ่าย แม่จะกางร่มผ้าสีดำเดินมารับผมกลับบ้านทุกวัน แต่ถ้าเป็นตอนเช้าพ่อจะจับตัวผมซ้อนรถถีบไปส่งที่โรงเรียน เพราะเป็นทางผ่านที่พ่อจะต้องไปทำงานอยู่แล้ว การซ้อนรถถีบสมัยนั้นเขาทำกันอยู่สองอย่าง อย่างแรกก็คือนั่งซ้อนตะแกรงท้ายเรียกว่า "ซ้อนท้าย"

สำหรับพ่อผม มีวิธีที่ดีกว่าด้วยการจับผม "ซ้อนหน้าแบบพิเศษ" ที่ไม่เหมือนใคร พ่อเอาเบาะยัดนุ่นหนาๆมาแล้วเอามัดหุ้มคานหน้ารถถีบ พ่อหุ้มเบาะถึงสองชั้นเพื่อให้หนานุ่ม แล้วก็หิ้วตัวผมขึ้นนั่งคร่อมบนเบาะนั่น ขาทั้งสองข้างของผมก็จะห้อยลงไปตรงๆ คร่อมคานหน้าของรถถีบ เหมือนกับขี่ม้าและหน้าผมก็จะหันตรงไปข้างหน้า มือทั้งสองข้างก็จับแฮนด์รถด้านในของมือพ่อเอาไว้

ผมไปโรงเรียนด้วยวิธีนี้ทุกวัน อ้อ! ลืมบอกไปว่าผมอายุประมานสี่ห้าขวบเท่านั้น จะเรียนอยู่ชั้นอะไรก็ไม่รู้ รู้แต่ว่ายังอ่านหนังสือไม่ออกและตัวเล็กที่สุดในห้องเรียน

ทุกวันเราออกจากบ้านแต่เช้า พ่อจะถีบรถออกจากบ้าน ข้ามสะพานไม้ข้ามคลองที่ปากซอยแล้วเลี้ยวซ้ายไปทางราชประสงค์ พ่อถีบรถเลียบคลองไป
ข้างถนนจะมีคนยืนรอรถเมล์ที่มีอยู่สายเดียว คนที่รอรถเมล์มักยืนรอตามปากซอย แต่จะรอตรงไหนก็ได้เขาจอดรับทั้งนั้น ไม่มีป้ายรถเมล์ ด้านขวาของถนนมีร้านค้าซึ่งเป็นห้องแถวไม้ชั้นเดียวและมีบ้านคนปลูกอยู่ห่างๆ แต่ที่ยังเป็นที่ว่างก็มี ยังไม่มีห้องแถวที่เป็นตึกเลย

เพื่อนร่วมถนนของเรามีอยู่สามประเภทคือ รถยนต์กับรถเมล์ซึ่งนาน ๆ จะแล่นผ่านมาสักคัน ประเภทที่สองคือคนที่ขี่รถถีบด้วยกันอย่างพ่อกับผม และสุดท้ายก็เป็นคนเดินเท้า

พ่อจะขี่รถถีบไปเรื่อยๆ พอถึงปากซอยเข้าโรงเรียนก็เลี้ยวขวา เมื่อถึงหน้าตึกเรียนพ่อก็จะจอดรถ และหิ้วตัวผมขึ้นจากเบาะปล่อยลงบนพื้น ให้ผมวิ่งจู๊ดหายเข้าไปในกลุ่มเพื่อนรุ่นกระจิ๋วหลิว ส่วนพ่อก็ถีบรถต่อไปทำงาน...

ด้วยวิธีการ "ซ้อนหน้า" ของผมที่ไม่เหมือนใครนี้ทำให้ผู้คนสนใจ เมื่อรถของเราสองพ่อลูกวิ่งไปทางไหนก็จะมีคนมอง บางคนก็ยิ้มให้ แถมบางคนยังโบกมือให้อีกด้วย บางครั้งมีรถยนต์ของเพื่อนพ่อขับแซงไป เขาจำเราได้จึงบีบแตรรถแล้วโบกมือให้ ซึ่งพ่อก็โบกมือตอบไป รถถีบของพ่อจึงมีผมเป็นตัวแสดงสำคัญ เป็นที่สนใจของคนข้างถนนรวมทั้งครูและนักเรียนที่โรงเรียน และนี่เป็นสิ่งที่ผมภาคภูมิใจมาก !

ตอนเช้าวันหนึ่ง ขณะที่พ่อกำลังหิ้วตัวผมลงจากรถถีบที่หน้าตึกเรียน ผมแอบได้ยินครูผู้หญิงสวยซึ่งกำลังมองมาที่เราบอกกับเพื่อนครูอีกคนว่า " อุ๊ย น่ารักจัง !" ผมไม่แน่ใจว่าเธอชมพ่อหรือชมผม แต่ก็เดาเอาว่าเธอชมผม นับจากวันนั้นเมื่อได้ขึ้นซ้อนรถ ผมจะพยายามยืดคอให้หัวที่ซุกอยู่ตรงหน้าอกพ่อชูสูงขึ้นด้วยความทระนง

การเดินทางไปโรงเรียนด้วยรถถีบของเราใช้เวลาประมาณยี่สิบนาทีเท่านั้น แต่ผมก็หาทางใช้เวลาน้อยนิดเท่าที่มีนี้ให้เกิดความสนุกสนานกับตัวเองได้ ตอนแรกๆผมเล่น "เกมความคิด" โดยสมมติว่าตัวเองกำลังขี่ม้า ให้เบาะที่นั่งคร่อมอยู่เป็นอานม้า ส่วนมือทั้งสองที่จับแฮนด์รถไว้คือการถือบังเหียน ผมนึกอย่างนี้ไปเรื่อยๆจนถึงโรงเรียน

ผมเล่นเกมขี่ม้านี้อยู่หลายวันจนเบื่อ จึงเปลี่ยนโปรแกรมใหม่ คราวนี้ผมสมมติว่าตัวเองกำลังขี่รถถีบ โปรแกรมนี้เข้าท่ามากกว่าแบบขี่ม้า เพราะผมกำลังนั่งอยู่บนรถถีบจริงๆ และผมยังสามารถทำท่าประกอบได้ด้วยโดยยกขาสองข้างขึ้นๆลงๆเหมือนกำลังถีบรถ แต่ผมเล่นอยู่ได้เดี๋ยวเดียวพ่อก็บอกให้เลิก เพราะทำหยุกหยิก น่ารำคาญ ....

เอาใหม่ ! ผมหาเรื่องใหม่เล่นได้ ผมขอพ่อดีดกระดิ่งรถแทน เมื่อรถเราจะแซงรถถีบคันอื่น หรือเมื่อเข้าไปใกล้คนเดินถนนอย่างที่พ่อทำ พ่อยอมอนุญาตแต่ถ้าผมดีดเรื่อยเปื่อยเอาสนุกโดยไม่มีเหตุผล พ่อก็จะเอานิ้วดีดมือผม งานดีดกระดิ่งนี้สนุกดี ผมเล่นสลับกับเกมขี่ม้าซึ่งไม่ต้องออกท่าอะไร

แล้วผมก็หาเรื่องสนุกอย่างอื่นมาลองทำต่อ เริ่มด้วยการลองปล่อยมือข้างซ้ายออกจากแฮนด์ที่เกาะเอาไว้ ก็พ่อผมยังปล่อยมือจากแฮนด์ไปโบกให้คนอื่นได้นี่นา ทำไมผมจะทำมั่งไม่ได้ ผมปล่อยมือไม่สูงหรอก เอาแค่คลายมือออกแล้วยกให้สูงจากแฮนด์ขึ้นมานิดหนึ่งก็ถือว่าปล่อยมือแล้ว เพราะถ้าสูงกว่านั้นพ่ออาจจะเห็นและห้ามทำอีก แล้วมาลองทำด้วยมือขวาบ้าง ผมก็ทำได้อีก !

วันรุ่งขึ้นผมลองปล่อยมือพร้อมกันทั้งสองข้างเลย แล้วพยายามเกร็งตัวเอาต้นขาหนีบเบาะให้ตัวตรงไว้ ซึ่งก็ทำได้ แต่มีอยู่คราวหนึ่งขณะที่กำลังปล่อยมือทั้งสองข้างซึ่งพอดีกับที่พ่อเลี้ยวรถ เลยทำให้ตัวผมเอียง เท้าข้างหนึ่งเข้าไประกับซี่ล้อรถถีบพ่อ มีเสียงดัง "กรึ๊ง" เบาๆ ผมรีบกลับไปจับแฮนด์ใหม่ แล้วทรงตัวให้ดีอย่างเดิม พ่อไม่รู้หรอกว่าผมกำลังทำอะไรแต่ก็รู้ว่าผมนั่งอยู่ไม่สุข จึงปรามว่าให้นั่งนิ่งๆ... แล้วเราก็มาถึงโรงเรียน

และแล้ววันสำคัญก็มาถึง ! เช้าวันนั้นพอเราออกจากบ้านไปได้สักครึ่งทาง ผมก็รู้สึกว่าวันนี้น่าเบื่อจัง ยังไม่มีเรื่องให้ผมต้องดีดกระดิ่งเลย เกมเล่นถีบรถก็ถูกห้ามไปแล้ว น่าจะมีอะไรใหม่ๆทำบ้างเพื่อเพิ่มรสชาติในการเดินทาง แล้วก็นึกไปถึงเมื่อวานตอนที่เท้าผมกระทบกับซี่ล้อรถถีบพ่อโดยไม่ได้ตั้งใจ เสียงมันดังแปลกดีน่าจะลองอีกสักที

ผมนั่งนิ่งทำทุกอย่างให้ดูปกติไม่เป็นที่สงสัยของพ่อ แล้วผมก็แหย่เท้าซ้ายเข้าไประกับซี่ล้อรถ ! มีเสียงดัง "กรึ๊ง" แต่ก็เบามาก เบาจนมีแต่ผมเท่านั้นที่ได้ยิน ผมลองอีกทีหนึ่ง แหย่เท้าให้ลึกอีกนิด ปล่อยไว้ให้นานอีกหน่อย มีเสียงดัง "กรึ้งงง" อีคราวนี้ดังมากขึ้นและนานขึ้นกว่าครั้งที่แล้ว เอ๊ะ ! ชักจะสนุกแล้วสิ ..!

แต่เพื่อความไม่ประมาท ผมทำนิ่งอยู่นิดหนึ่งเพื่อสังเกตว่าพ่อจะรู้เรื่องหรือเปล่า แต่พ่อคงไม่รู้เพราะยังถีบรถไปเรื่อยๆ ผมก้มลงมองไปที่ล้อหน้าเห็นซี่ล้อที่เป็นเหล็กขาววับหมุนวนจากข้างล่างขึ้นมา.. เอ ! จะเป็นอย่างไรหนอถ้าผมจะเอาเท้าแหย่เข้าไปในซี่ล้อนั้นให้หมดเลย น่าจะลองดู !

แล้วผมก็เอาเท้าซ้ายแหย่พรวดเข้าไประหว่างซี่ล้อรถ ซี่ล้อรถพาเท้าผมหมุนขึ้นไปขัดกับตะเกียบหน้าทันที ! ผมเจ็บแปลบที่เท้า แล้วรถถีบพ่อก็หยุดกึกโดยกระทันหัน ! พลัน รถถีบ ตัวพ่อ ตัวผมรวมทั้งความน่ารักของผมก็ตีลังกาลงไปคลุกฝุ่นอยู่ริมถนน !

รถถีบกับตัวพ่อทับอยู่บนตัวผม ผมตกใจมากและก็เจ็บที่เท้าซ้ายมากด้วย เกิดมาผมไม่เคยเจ็บอะไรขนาดนี้เลย ผมร้องไห้ออกมาด้วยความเจ็บและตกใจ แล้วสำนึกก็กลับคืน ! เพราะความอุตริของผมนี่เอง ทำให้เราตีลังกาลงมาคลุกฝุ่น

เรื่องดูจะไปกันใหญ่ คนที่เดินอยู่ใกล้ๆเข้ามาช่วยพ่อยกรถที่ล้มทับผมไว้ รถถีบคันอื่นๆ ที่ถีบตามหลังมาก็พากันจอดดู กลายเป็นไทยมุงกลุ่มย่อยๆ พ่อพยุงผมจากท่านอนตะแคงให้นั่งลงบนพื้นถนนแล้วถามว่าเจ็บที่ไหนบ้าง ผมร้องไห้มากขึ้น ด้วยความเจ็บและความกลัว แต่ความกลัวนั้นมากกว่าความเจ็บ

ผมรู้ว่ากลับไปบ้านจะต้องโดนหวดก้นแน่นอน หรืออาจจะโดนเดี๋ยวนี้เลยก็ได้ แต่ก็แปลกที่พ่อไม่มีท่าทางว่าจะโกรธผมเลย พ่อประคองให้ผมยืนขึ้น สำรวจตรวจดูว่ามีแผลที่ไหนบ้าง ผมต้องยืนเขยกขาข้างซ้าย รองเท้าหนังมีรอยกดของซี่ล้อรถเพียงนิดเดียว แต่พ่อก็ไม่ได้สังเกต เข้าใจไปว่าเท้าผมคงแผลงเพราะรถล้ม พ่อเองก็ไม่เป็นอะไรมาก แต่รถถีบสิ ! ซี่ล้อคดถีบต่อไปไม่ได้ พ่อไม่รู้ว่าทำไมรถจึงล้ม !

พ่อแปลกใจว่าทำไมรถถึงล้มลงกระทันหันได้อย่างนี้ แล้วก็มีไทยมุงคนหนึ่งช่วยแก้สถานการณ์ให้ผมได้ เขาชี้ไปที่ก้อนหินขนาดกำปั้นซึ่งตกอยู่ข้างถนนใกล้กับรถถีบพ่อ เขาว่าพ่อคงจะถีบรถทับหินก้อนนี้เองรถจึงล้ม เพราะไม่มีเหตุอื่นให้เดาได้

ไทยมุงคนอื่นพากันสนับสนุน พ่อเองดูจะคล้อยตามพวกนั้นไป มีก็แต่ผมเท่านั้นที่รู้ว่าอะไรคืออะไร นี่ถ้าไม่ใช่เพราะรองเท้าหนังที่ผมใส่ เท้าผมคงจะเหวอะหวะหรืออาจด้วนพิการไปตลอดชีวิตเลย แต่นั่นไม่สำคัญหรอก ! ที่สำคัญมันจะเป็นหลักฐานยืนยันว่ารถล้มเพราะอะไร ซึ่งผมกลัวยิ่งกว่าเท้าด้วนเสียอีก

มีรถยนต์คันหนึ่งแล่นเข้ามาจอดข้างกลุ่มไทยมุง รถเพื่อนพ่อนั่นเอง ! เขาถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แล้วก็มาลูบหัวผมด้วยความปรานี เขาอาสาจะช่วยเราทุกอย่าง พ่อเลยขอให้เอาผมไปส่งโรงเรียนแทน (พุทโธ่เอ๋ย ! ผมนึกว่าจะให้พาผมกลับไปส่งบ้าน) ส่วนพ่อจะจูงรถถีบไปซ่อมที่ร้านใกล้ๆแถวนั้น เพื่อนผู้อารีของพ่อพาผมไปส่งโรงเรียนโดยเรียบร้อย แถมควักเศษสตางค์ให้ผมกำมือหนึ่งเป็นค่าเช็ดน้ำตา

วันนั้นผมไม่สนใจเรื่องที่ครูสอนเลย และยังไม่ยอมเล่นกับเพื่อนอย่างเคยด้วย มัวกังวลว่ากลับไปบ้านเย็นนี้พ่อจะรู้ไหมหนอว่าความจริงคืออะไร และถ้ารู้โทษมันจะเป็นยังไง ผมควรจะเข้าไปรับสารภาพผิดกับพ่อเสียเลยดีไหม แต่จนแล้วจนรอดผมก็ยังคิดไม่ออก รอดูสถานการณ์ไปก่อนดีกว่าน่า ! ผมคิด

เมื่อแม่มารับผมกลับบ้านในตอนบ่าย ผมเดินได้เป็นปกติแล้วแม้จะยังเจ็บเท้าอยู่บ้าง ผมไม่ปริปากบอกแม่สักคำว่าเมื่อเช้านี้เกิดอะไรขึ้นกับพ่อและผม เพราะแม่จะต้องถามว่าทำไมรถถึงล้ม ซึ่งผมคงไม่กล้าบอกว่ารถทับก้อนหินล้ม เพราะว่ามัน ไม่จริง !

ผมถูกสั่งสอนมาตั้งแต่จำความได้ว่า ต้องไม่โกหก ! และจากประสบการณ์โทษของการโกหกนั้นจะเจ็บก้นมากๆ แต่ผมก็ยังไม่ได้โกหกเลยนับแต่เกิดเรื่องมา เพียงแต่ยังไม่ได้บอกความจริงเท่านั้น ก็ยังไม่มีใครมาถามผมนี่นา

เย็นนั้นพอพ่อกลับมาพ่อก็เล่าเรื่องเมื่อเช้าให้แม่ฟัง พ่อว่ายังไม่ค่อยเชื่อเสียทีเดียวว่ารถล้มเพราะแล่นไปทับก้อนหิน ผมได้ยินพ่อบอกกับแม่ว่าพรุ่งนี้เช้าจะไปดูตรงที่รถล้มอีกที แต่ตาพ่อนั้นกลับมองมาที่ผม เหมือนกับจะถามเพื่อนร่วมชะตากรรมเมื่อตอนเช้า !

แม้ว่าจะยังอ่านหนังสือไม่ออกและตัวเล็กนิดเดียว แต่ผมก็พอจะรู้ว่าขืนอยู่ตรงนั้นต่อไปอาจมีการมาถามเรื่องนี้กับผม ดังนั้นถ้าห่วงโซ่ของความจริงขาดหายไปแม้ชั่วครู่ก็ตาม คนที่พยายามจะปะติดปะต่อเรื่องย่อมทำได้ยากขึ้น

แล้วผมก็หลบแวบไปปีนต้นฝรั่งริมบ่อหลังบ้านเล่น หลังจากนั้นอีกไม่นานพ่อก็ต้องลืมเรื่องรถล้ม เพราะเกิดโกลาหลขึ้นเนื่องจากกิ่งฝรั่งหักลง และผมตกลงไปในน้ำผมทั้งๆที่ยังว่ายน้ำไม่เป็น !

นอกจากนี้ในวันต่อๆมา ผมยังทำเรื่องอื่นๆให้พ่อปวดหัวอีกมากมายจนไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องรถล้มอีก ไอ้ตัวร้ายอย่างผมจึงรอดไม้เรียวมาได้จนทุกวันนี้ แต่ก็เฉพาะเรื่องนี้เท่านั้น

ผมเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับตลอดมา ไม่เคยแพร่งพรายให้ใครรู้เลย แม้ว่าพ่อผมจะตายจากไปนานแล้วก็ตาม โบราณว่าความลับนั้นมันคับอกยิ่งนัก มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ! จึงอยากจะยกเรื่องคับอกนี้ออกไปเสีย ไม่อยากจะตายไปพร้อมกับความลับนี้ ก็เลยเอามาเล่าให้คุณฟัง แต่ขออย่างหนึ่ง ช่วยเก็บไว้เป็นความลับด้วย

หากคุณมีโอกาสได้พบพ่อผมเมื่อใด อย่าได้บอกเรื่องนี้ให้ท่านรู้เป็นอันขาดเทียว ผมกลัวถูกหวดก้นเป็นที่สุด ! สงสารเด็กน่ารักอย่างผมเถอะ ! ....O

เมื่อวันที่ : 17 ก.ย. 2548, 20.21 น.
ผู้อ่านที่รัก,
นิตยสารรายสะดวก และผู้เขียนยินดีรับฟังความคิดเห็นต่อข้อเขียนชิ้นนี้
เชิญคลิกแสดงความเห็นได้โดยอิสระ ขอขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ในการมีส่วนร่วมของท่านในครั้งนี้...